ลิ้นหัวใจรั่ว ( Heart Valve Regurgitation ) เป็นอย่างไร ?

0
ลิ้นหัวใจรั่ว ( Heart Valve Regurgitation ) เป็นอย่างไร
ลิ้นหัวใจรั่ว ( Heart Valve Regurgitation ) คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่ทำให้ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท ทำให้เลือดไหลย้อนกลับในขณะที่หัวใจบีบตัว
ลิ้นหัวใจรั่ว ( Heart Valve Regurgitation ) เป็นอย่างไร
ลิ้นหัวใจรั่ว ( Heart Valve Regurgitation ) คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่ทำให้ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท ทำให้เลือดไหลย้อนกลับในขณะที่หัวใจบีบตัว

ลิ้นหัวใจรั่ว คือ

ลิ้นหัวใจรั่ว ( Heart Valve Regurgitation ) คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่ทำให้ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท ซึ่งโดยปกติลิ้นหัวใจจะเปิดเพื่อให้เลือดไหลไปในทิศทางเดียวขณะที่มันไหลผ่านห้องของหัวใจ จากนั้นลิ้นหัวใจจะปิดเพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับเข้าไปในห้องที่เหลืออยู่ แต่ขณะเดียวกันลิ้นหัวใจอาจปิดไม่สนิท ซึ่งหมายความว่าหลังจากที่หัวใจบีบและสูบฉีดเลือดไปข้างหน้าเลือดบางส่วนจะรั่วไหลย้อนกลับผ่านลิ้นหัวใจทำให้หัวใจทำงานหนัก

สาเหตุของลิ้นหัวใจรั่ว

  • มีความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่เป็นมาแต่กำเนิด
  • ลิ้นหัวใจเสื่อมตามอายุ
  • การติดเชื้อ streptococcus ที่ส่งผลต่อหัวใจได้โดยตรง และทำให้ลิ้นหัวใจเกิดความเสียหาย

ตำแหน่งที่เกิดลิ้นหัวใจรั่ว

1. ลิ้นหัวใจไมตรัลรั่ว ( Mitral Regurgitation ) เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่กั้นระหว่างหัวใจห้องบนและล่างซ้าย จนทำให้เลือดไหลย้อนกลับไปที่หัวใจห้องบนหลังจากสูบฉีดเลือด
2. ลิ้นหัวใจเอออร์ติกรั่ว ( Aortic Regurgitation ) เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่อยู่ระหว่างหัวใจห้องล่างซ้ายและหลอดเลือดเอออตาร์ ทำให้เลือดที่ไหลไปยังหลอดเลือดเกิดการไหลย้อนกลับขึ้นมาที่หัวใจห้องล่างซ้าย
3. ลิ้นหัวใจไตรคัสปิดรั่ว ( Tricuspid Regurgitation ) เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจไตรคัสปิดที่อยู่ระหว่างห้องหัวใจขวาบนและล่าง ทำให้เลือดไหลย้อนกลับขึ้นไป และทำให้ปริมาณเลือดที่ส่งไปยังปอดลดลง
4. ลิ้นหัวใจพัลโมนารีรั่ว ( Pulmonary Regurgitation ) เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจพัลโมนารีที่อยู่ระหว่างหัวใจห้องขวาล่างและปอด เป็นเหตุให้เลือดไหลย้อนกลับไปที่หัวใจห้องล่างขวา จนปอดได้รับออกซิเจนที่ถูกลำเลียงไปกับเลือดไม่เพียงพอ

อาการลิ้นหัวใจรั่ว

ผู้ป่วยบางคนไม่แสดงอาการนานเป็นเวลาหลายปี แต่หากเริ่มมีอาการที่รุนแรงมากขึ้นอาจมีอาการดังต่อไปนี้

  • หัวใจเต้นผิดปกติ ใจสั่น
  • หายใจถี่ ( หายใจลำบาก )
  • เมื่อยล้า
  • เหนื่อยง่าย
  • ปวดที่บริเวณหน้าอก
  • วิงเวียนศีรษะหรือเป็นลม
  • มีอาการบวมที่เท้าหรือข้อเท้า

การรักษาลิ้นหัวใจรั่ว

แพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาจากความรุนแรงของโรค หากการรั่วไหลเพียงเล็กน้อยก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด หากอาการของผู้ป่วยรุนแรงแพทย์ต้องผ่าตัดซ่อมแซมลิ้นหัวใจที่มีความผิดปกติให้กลับมาทำงานได้ กรณีที่ลิ้นหัวใจไม่สามารถกลับมาทำงานตามเดิมจะต้องผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนลิ้นหัวใจ แม้แต่คนที่ไม่มีอาการก็ต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและศัลยแพทย์ เพื่อภาวะแทรกซ้อนที่จะตามมาในระหว่างการรักษาผู้ป่วยควรจะดูแลตัวเองให้มากขึ้นดังนี้

  • ควบคุมระดับความดันโลหิต
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ควบคุมน้ำหนัก
  • ลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์
  • พบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

ภาวะแทรกซ้อนของลิ้นหัวใจรั่ว

  • หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ( Heart Attack )
  • ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว ( Atrial Fibrillation )
  • การติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ ( Endocarditis )
  • ความดันเลือดแดงในปอดสูง ( Pulmonary Hypertension )
  • ลิ่มเลือดอุดตัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

What is a leaky heart valve? (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.webmd.com [15 พฤษภาคม 2562].

Mitral valve regurgitation (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.mayoclinic.org [15 พฤษภาคม 2562].

โรคแทรกซ้อนทางตาจากเบาหวานที่ควรรู้

0
โรคแทรกซ้อนทางตาจากเบาหวานที่ควรรู้
โรคแทรกซ้อนทางตาในผู้ป่วยเบาหวาน
โรคแทรกซ้อนทางตาในผู้ป่วยเบาหวาน เกิดจากการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ทำให้หลอดเลือดแดงของจอตาเกิดความผิดปกติ

โรคแทรกซ้อนทางตาในผู้ป่วยเบาหวาน

ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 มักทราบระยะเวลาการเริ่มเป็นเบาหวานได้อย่างชัดเจน โดยในช่วง 5 ปีแรกมักไม่พบภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา อย่างไรก็ตาม หลังจากเป็นเบาหวานมาแล้ว 15 ปี มีโอกาสพบเบาหวานขึ้นจอประสาทตาระยะรุนแรงหรือการเกิดหลอดเลือดฝอยใหม่เพิ่มมากขึ้น

ระยะของโรคแทรกซ้อนทางตา

1. เบาหวานขึ้นตาระยะต้น หรือระยะที่ยังไม่มีหลอดเลือดฝอยงอกใหม่ ( Non-proliferative diabetic retinopathy : NPDR )
2. เบาหวานขึ้นจอตาระยะรุนแรง หรือระยะที่มีหลอดเลือดฝอยงอกใหม่ ( Proliferative diavetic retinopathy : PDR )

สาเหตุโรคแทรกซ้อนทางตา

สาเหตุโรคแทรกซ้อนทางตาเกิดจากการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ทำให้หลอดเลือดแดงของจอตาเกิดความผิดปกติ พบความอ่อนแอของผนังหลอดเลือดของจอตาจนเกิดหลอดเลือดฝอยโป่งพอง เรียกว่า ไมโครอะนูริซึม มีจุดเลือดออกเล็กๆกระจายทั่วไป มักมีรูรั่วทำให้มีน้ำและไขมันรั่วออกมา ทำให้จอตาบวมน้ำและมีจุดไขมันสีเหลืองบริเวณจุดภาพชัดทำให้มีอาการตามัว

อาการโรคแทรกซ้อนทางตา

ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่เป็นในระยะแรกๆ จะไม่มีอาการ แต่ถ้าเป็นมากขึ้นมักพบอาการตามัวเป็นเงาดำคล้ายหยากไย่ลอยไปมา บางรายเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีม่านมาบัง ผู้ป่วยบางรายก็อาจไม่มีอาการเลย แม้จะมีเบาหวานขึ้นจอตาอย่างรุนแรง

การวินิจฉัย

แพทย์จะเริ่มเก็บข้อมูลจากการซักประวัติของผู้ป่วย ประวัติเบาหวานของคนในครอบครัว ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน อาการที่พบ ประวัติการควบคุมเบาหวาน โรคประจำตัวอื่นๆ ทดสอบการมองเห็น

การรักษาโรคแทรกซ้อนทางตา

การรักษาโรคแทรกซ้อนทางตาแพทย์จะประเมินการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของเบาหวานขึ้นจอตา

    • การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    • การควบคุมระดับความดันเลือด
    • การควบคุมระดับไขมัน ในเลือด
    • การยิงแสงเลเซอร์
    • การฉีดยาเข้าวุ้นตา
    • การผ่าตัดจอตาและวุ้นตา

โรคแทรกซ้อนทางตาในผู้ป่วยเบาหวานสามารถรักษาได้ ถ้าตรวจพบและเข้ารักการรักษาแต่เนิ่นๆ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย, สมาคมต่อมไร้ท่อแห่ง ประเทศไทย, กรมการแพทย์, สำนักงานหลักประกันสุขภาพ แห่งชาติ. แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับเบาหวาน 2554. 1st ed. กรุงเทพ: บริษัท ศรีเมืองการพิมพ์จำกัด;2554.

โรคถุงลมโป่งพอง ( Emphysema )

0
โรคถุงลมโป่งพอง ( Emphysema )
โรคถุงลมโป่งพอง ( Emphysema ) คือโรคที่เกิดจากเนื้อเยื่อถุงลมถูกทำลาย ทำให้ถุงลมที่อยู่บริเวณปลายต่อหลอดลมฝอยส่วนปลายพองโตกว่าปกติ
โรคถุงลมโป่งพอง ( Emphysema )
โรคถุงลมโป่งพอง ( Emphysema ) คือโรคที่เกิดจากเนื้อเยื่อถุงลมถูกทำลาย ทำให้ถุงลมที่อยู่บริเวณปลายต่อหลอดลมฝอยส่วนปลายพองโตกว่าปกติ

โรคถุงลมโป่งพองคืออะไร

โรคถุงลมโป่งพอง ( Emphysema ) คือ โรคที่เกิดจากเนื้อเยื่อถุงลมถูกทำลาย ทำให้ถุงลมที่อยู่บริเวณปลายต่อหลอดลมฝอยส่วนปลายพองโตกว่าปกติ ซึ่งที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนออกซิเจนในอากาศกับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดถูกทำลายเสียหาย สูญเสียความยืดหยุ่น และอาจร่วมกับมีถุงลมถูกทำลายเสียหาย

สาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง

เกิดจากสูดดมมลพิษทางอากาศ อาจจะอยู่ในรูปของฝุ่นควัน แก๊ส สารเคมีที่มีอานุภาพเล็กๆ เข้าไปยังปอดในระยะยาว นอกจากนั้นการสูบบุหรี่ไม่ว่าเราสูบเอง หรือได้รับจากคนรอบข้างเป็นระยะเวลาหลายปีมีโอกาสที่จะเป็นโรคถุงลมโป่งพองได้เช่นกัน

อาการของโรคถุงลมโป่งพอง

  • อาการหายใจตื้น ( หายใจลำบาก )
  • อาการไอและมีเสมหะมาก
  • อาการเหนื่อยหอบ
  • เบื่ออาหาร
  • น้ำหนักลง
  • หายใจถี่
  • หายใจเสียงดัง
  • อาการกำเริบเฉียบพลัน อาจส่งผลให้หัวใจล้มเหลวได้

การวินิจฉัยโรคโรคถุงลมโป่งพองจากแพทย์

แพทย์จะเริ่มทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด ซักประวัติทางผู้ป่วยและสอบถามเกี่ยวกับอาการที่พบ จากนั้นอาจทำการทดสอบดังต่อไปนี้เพื่อความแม่นยำในการวินิจฉัยโรค

  • การทดสอบการทำงานของปอด ( Pulmonary Function Tests )
  • ใช้เครื่องเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ ( CT Scan ) ที่มีความละเอียดสูง
  • การเอกซเรย์ปอด ( Chest X-Ray ) สามารถช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพองและแยกแยะสภาพปอดได้
  • การตรวจวิเคราะห์ก๊าซในหลอดเลือด เพื่อวัดค่าการถ่ายโอนออกซิเจนไปยังกระแสเลือด และกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปได้ดีเพียงใด
  • การตรวจเสมหะ

ภาวะแทรกซ้อนโรคโรคถุงลมโป่ง

  • ผู้ที่เป็นโรคถุงลมโป่งพองมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคปอดบวม จากการติดเชื้อของถุงลมและหลอดลมได้
  • ภาวะปอดแตก หรือภาวะโพรงเยื่อหุ้มปอดมีอากาศ เกิดจากเมื่ออากาศรั่วออกมาจากปอด และไปติดค้างอยู่ในช่องว่างระหว่างหน้าอกกับโพรงเยื่อหุ้มปอดแทน
    มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ถุงลมโป่งพองสามารถเพิ่มความดันโลหิตของหลอดเลือดที่ไหลกลับเข้าสู่หัวใจ ซึ่งสามารถทำให้เกิดภาวะหัวใจห้องขวาล้มเหลว

แนวทางการรักษา

  • แพทย์จะให้ยาขยายหลอดลม เพื่อลดการหดเกร็งกล้ามเนื้อทางเดินหายใจช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้ดีขึ้น
  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ( Corticosteroids ) เพื่อลดการอักเสบของปอด
  • ยาปฏิชีวนะ เพื่อลดการอักเสลจากการติดเชื้อบริเวณหลอดลม

การป้องกันถุงลมโป่งพอง

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 วัน
  • เลิกสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงควันบุหรี่
  • สวมใส่หน้ากากอนามัยให้เป็นนิสัยขณะออกจากบ้าน เพื่อป้องกันฝุ่น ควันพิษ สารเคมีต่างๆ ที่ปะปนมากับอากาศ
  • หลีกเลี่ยงสถานที่ ที่มีการก่อสร้างหรือมีฝุ่นละเอียงเป็นปริมาณมาก

สรุป

​​อันตรายใกล้ตัวบุหรี่ถือเป็นยาเสพติดที่ยังถูกกฎหมายและมีสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 80 ชนิด ในประเทศไทยโรคถุงลมโป่งพองรุนแรงขึ้นทุกปี พบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพองกว่า 3 ล้านคน ขณะที่ทั่วโลกมีผู้ป่วยทั้งหมด 300 ล้านคน และที่น่าวิตกกังวล คือ ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยเข้ารับการรักษาโรคถุงลมโป่งพองในโรงพยาบาลมากกว่าปีละ 1 ล้านครั้ง

เอกสารที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ถุงลมโป่งพอง โรคที่ทรมานที่สุดจากการสูบบุหรี่ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : www.ashthailand.or.th [ 8 มิถุนายน 2562]

มารู้จักโรคถุงลมโป่งพองกันเถอะ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : www.si.mahidol.ac.th [ 8 มิถุนายน 2562]

Emphysema Diagnosis (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.ucsfhealth.org [ 8 มิถุนายน 2562]

Emphysema (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.betterhealth.vic.gov.au [ 8 มิถุนายน 2562]

What Are the Stages of Emphysema? (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.healthline.com 8 มิถุนายน 2562]

ส้มโอ ( Pomelo ) แคลอรี่ต่ำ กินยังไงก็ไม่อ้วน

0
ส้มโอ ( Pomelo ) แคลอรี่ต่ำ กินยังไงก็ไม่อ้วน
ส้มโอ ( Pomelo ) คือผลไม้ตระกูลเดียวกับส้มชนิดหนึ่งที่เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีรสหวานหรือหวานอมเปรี้ยว เวลารับประทานนิยมแกะเปลือกออกก่อนจนเหลือแค่กลีบเนื้อผล
ส้มโอ ( Pomelo ) แคลอรี่ต่ำ กินยังไงก็ไม่อ้วน
ส้มโอ ( Pomelo ) คือผลไม้ตระกูลเดียวกับส้มชนิดหนึ่งที่เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีรสหวานหรือหวานอมเปรี้ยว เวลารับประทานนิยมแกะเปลือกออกก่อนจนเหลือแค่กลีบเนื้อผล

ส้มโอ

ส้มโอ ( Pomelo ) คือ ผลไม้ตระกูลเดียวกับส้มชนิดหนึ่งที่เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีรสหวานหรือหวานอมเปรี้ยว เนื้อเป็นกุ้งใหญ่ และอวบนูน เวลารับประทานนิยมแกะเปลือกออกก่อนจนเหลือแค่กลีบเนื้อผล ซึ่งมีประโยชน์หลากหลายและยังมีสรรพคุณทางยาในการรักษาโรคต่างๆ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซีซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมาก และยังมีวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย

ประโยชน์ของส้มโอ

  • สารโมโนเทอร์ปีนในเนื้อช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ดี
  • ช่วยทำให้การทำงานของระบบทางเดินอาหารดีขึ้น
  • ช่วยขับสารพิษในร่างกายได้เป็นอย่างดี
  • ช่วยทำให้ความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติ
  • ใช้เป็นยาแก้อาการปวดข้อหรือ อาการปวดบวม
  • ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น
  • ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
  • ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน
  • ช่วยให้เจริญอาหาร
  • ช่วยแก้อาการไอ
  • มีวิตามินซีสูง
  • ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน
  • ช่วยขับลมในลำไส้
  • ใช้รักษาโรคลมพิษที่ผิวหนัง
  • ใบนำมาตากแห้ง และชงดื่มเป็นชา แก้อาการปวดท้อง รักษาโรคลำไส้อักเสบ
  • เปลือกด้านนอกนำมาบดผสมสำหรับทำธูปหอม ธูปไล่ยุง

ตารางคุณค่าทางโภชนาการของ ส้มโอต่อ 100 กรัม

พลังงาน 41 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 9.62 กรัม
เส้นใย 1 กรัม
ไขมัน 0.04 กรัม
โปรตีน 0.76 กรัม
วิตามินบี 1 0.034 มิลลิกรัม              3%
วิตามินบี 2 0.027 มิลลิกรัม              2%
วิตามินบี 3 0.22 มิลลิกรัม                1%
วิตามินบี 6 0.036 มิลลิกรัม              3%
วิตามินซี 61 มิลลิกรัม                    73%
ธาตุแคลเซียม 4 มิลลิกรัม                 0%
ธาตุเหล็ก 0.11 มิลลิกรัม                 1%
ธาตุแมกนีเซียม 6 มิลลิกรัม               2%
ธาตุแมงกานีส 0.017 มิลลิกรัม          1%
ธาตุฟอสฟอรัส 17 มิลลิกรัม              2%
ธาตุโพแทสเซียม 216 มิลลิกรัม         5%
ธาตุโซเดียม 1 มิลลิกรัม                   0%
ธาตุสังกะสี 0.08 มิลลิกรัม                1%

5 เมนูเด็ด สำหรับส้มโอ

1. ตำผลไม้รวมส้มโอ
2. ยำส้มโอกุ้งสด
3. ข้าวยำปักษ์ใต้ส้มโอ
4. ข้าวคลุกกะปิส้มโอ
5. แกงคั่วส้มโอ

ส้มโอเป็นมากกว่าผลไม้ที่ให้รสชาติความอร่อยแล้ว ยังมีดีทางด้านสรรพคุณทางยารักษาโรคต่างๆ โดยส่วนที่จะนำมาใช้ประโยชน์ก็มีหลายส่วน เช่น ผล เปลือก ใบ ดอก ราก และเมล็ด ก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ส้มโอ สรรพคุณ ประโยชน์และโทษของส้มโอ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.karatbarsaec.com [14 มิถุนายน 2562].

ส้มโอ (Pomelo) สรรพคุณ และการปลูกส้มโอ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://puechkaset.com [14 มิถุนายน 2562].

ภาวะวุ้นตาเสื่อม ( Vitreous Degeneration ) เป็นอย่างไร

0
ภาวะวุ้นตาเสื่อม ( Vitreous Degeneration ) เป็นอย่างไร
ภาวะวุ้นตาเสื่อม ( Vitreous Degeneration ) คือ ภาวะที่ทำให้มองเห็นจุดเล็กๆ ลอยไปตามแนวสายตาคล้ายใยแมงมุม และผู้สูงอายุหรือผู้ที่สายตาสั้นอาจเสื่อมเร็วกว่าปกติ
ภาวะวุ้นตาเสื่อม ( Vitreous Degeneration ) เป็นอย่างไร
ภาวะวุ้นตาเสื่อม คือ ภาวะที่ทำให้มองเห็นจุดเล็กๆ ลอยไปตามแนวสายตาคล้ายใยแมงมุม และผู้สูงอายุหรือผู้ที่สายตาสั้นอาจเสื่อมเร็วกว่าปกติ

ภาวะวุ้นตาเสื่อม คือ

ภาวะวุ้นตาเสื่อม ( Vitreous Degeneration ) คือ ภาวะที่ทำให้มองเห็นจุดเล็กๆ ลอยไปตามแนวสายตาคล้ายใยแมงมุม พบได้บ่อยเมื่ออายุมากขึ้นและอาจเสื่อมเร็วกว่าปกติในผู้ที่สายตาสั้นมาก

สาเหตุของการเกิดภาวะวุ้นตาเสื่อม

1. ภาวะความเสื่อมตามวัย ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด
2. การอักเสบในวุ้นตาและจอตา
3. ภาวะเลือดออกในน้ำวุ้นตา
4. การฉีกขาดของจอประสาทตา
5. ภาวะเลือดออกในวุ้นตา
6. การผ่าตัดตา
7. การใช้ยารักษาสายตาบางชนิด

อาการวุ้นตาเสื่อม

  • ผู้ป่วยจะมองเห็นเป็นจุด หรือเส้นสีดำคล้ายหยากไย่ลอยไปมา
  • เห็นเป็นแสงวาบคล้ายแฟลชจากกล้องถ่ายรูป หรือมีแสงฟ้าแลบในดวงตาแม้ในขณะหลับตา
  • ในผู้ป่วยบางราย อาจมีการดึงรั้งของหลอดเลือดจอตาให้ฉีกขาด จึงเกิดมีเลือดออกในวุ้นตาทำให้เห็นเงาดำเพิ่มมากขึ้น

ปัจจัยเสี่ยงวุ้นตาเสื่อม

การรักษาภาวะวุ้นตาเสื่อม

  • แพทย์จะทำการขยายม่านตา และตรวจดูบริเวณหลังจอประสาทตาว่ามีรอยขาด หรือไม่
  • ตรวจการเคลื่อนไหวของวุ้นตา
  • รักษาด้วยวิธีการยิงเลเซอร์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ภาวะวุ้นตาเสื่อม ดูแลได้ (Vitreous Degeneration) (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://www.siphhospital.com [12 มิถุนายน 2562].

Eye floaters (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.mayoclinic.org [12 มิถุนายน 2562].

โรคตับแข็ง ( Cirrhosis ) เกิดได้อย่างไรกัน

0
โรคตับแข็ง ( Cirrhosis ) เกิดได้อย่างไรกัน
โรคตับแข็ง ( Cirrhosis ) คือ โรคตับเรื้อรังระยะสุดท้ายที่เซลล์ตับจำนวนมากถูกทำลายอย่างถาวร ทำให้เนื้อเยื้อมีลักษณะเป็นปุ่มและกลายเป็นพังผืดที่มีลักษณะแข็งกว่าปกติ
โรคตับแข็ง ( Cirrhosis ) เกิดได้อย่างไรกัน
โรคตับแข็ง คือ โรคตับเรื้อรังระยะสุดท้ายที่เซลล์ตับจำนวนมากถูกทำลายอย่างถาวร ทำให้เนื้อเยื้อมีลักษณะเป็นปุ่มและกลายเป็นพังผืดที่มีลักษณะแข็งกว่าปกติ

โรคตับแข็ง คือ

โรคตับแข็ง ( Cirrhosis ) คือ โรคตับเรื้อรังระยะสุดท้ายที่เซลล์ตับจำนวนมากถูกทำลายอย่างถาวรใช้ระยะเวลาโดยเฉลี่ย 15 ถึง 20 ปี ทำให้เนื้อเยื้อมีลักษณะเป็นปุ่มและกลายเป็นพังผืดที่มีลักษณะแข็งกว่าปกติ ผู้ป่วยโรคตับแข็งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากกว่าคนสุขภาพแข็งแรง เนื่องจากความสามารถในการกำจัดเชื้อลดลง

สาเหตุของตับแข็ง

1. ไขมันพอกตับจากการดื่มสุรา
2. การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง
3. โรคทางระบบภูมิคุ้มกัน
4. ความผิดปกติของเมตาบอริซึม เช่น ภาวะเหล็กเกิน โรควิลสัน
5. ยาและสารพิษ
6. โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ภาวะหัวใจด้านขวาล้มเหลวเรื้อรัง
7. โรคตับอักเสบเหตุไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุรา
8. โรคพิษสุราเรื้อรัง เกิดจากการดื่มแอลกฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานาน

อาการของตับแข็ง

โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยโรคตับแข็งอาจไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อยมาก อาการที่เกิดขึ้นเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนและระยะของโรค ซึ่งอาการที่พบได้บ่อยได้แก่

  • มีไข้ต่ำๆ
  • อาการอ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร
  • ผอมลงน้ำหนักลด
  • ภาวะบวมทั่วร่างกาย
  • ผู้หญิงประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • ดีซ่าน ( Jaundice ) เช่น อาการตาเหลือง ตัวเหลือง
  • ท้องมาน ( ascites ) ท้องโตขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ร่างกายส่วนอื่นผอมลง
  • มีอาการแน่นใต้ชายโครงขวา หรือคลำก้อนได้ใต้ชายโครงขวา หรือม้ามโต
  • ภาวะเลือดออกผิดปกติ
  • อาการทางสมอง ผู้ป่วยมีอาการสับสน ไม่ค่อยรู้ตัว

การวินิจฉัยตับแข็งโดยแพทย์

1.การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย เช่น มีประวัติการดื่มสุราเป็นเวลานาน
2.การตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับ
3.ตรวจภาพตับด้วยอัลตราซาวด์
4. เจาะชิ้นเนื้อจากตับ ตรวจทางพยาธิวิทยา

ระยะของตับแข็ง

  • ระยะที่ 1 ผู้ป่วยระยะ compensated ที่ตรวจไม่พบภาวะท้องมาน และไม่พบหลอดเลือดดำในหลอดอาหารโป่งพอง ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 1 ต่อปี
  • ระยะที่ 2 ผู้ป่วยระยะ compensated ที่ตรวจพบหลอดเลือดดำในหลอดอาหารโป่งพอง โดยที่ไม่มีภาวะท้องมานและไมมีเลือดออกจากหลอดเลือดดำโป่งพอง ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 3 – 4 ต่อปี หากผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนที่เพิ่มขึ้นอัตราการเสียชีวิตต่อปีก็จะมากขึ้น
  • ระยะที่ 3 ผู้ป่วยในระยะ decompensated ที่ตรวจพบภาวะท้องมาน โดยมีหลอดเลือดดำในหลอดอาหารโป่งพองร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้แต่ต้องไม่เคยมีเลือดออกจากหลอดเลือดดำโป่งพอง ผู้ป่วย ในกลุ่มนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 20 ต่อปี
  • ระยะที่ 4 ผู้ป่วยในระยะ decompensated ที่มีภาวะเลือดออกจากหลอดเลือดดำโป่งพอง โดยที่อาจพบภาวะท้องมานร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ในกลุ่มนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดคือร้อยละ 57 ต่อปีโดยผู้ป่วยครึ่งหนึ่งอาจเสียชีวิตภายใน 6 สัปดาห์ หลังการเกิดเลือดออกในทางเดินอาหาร
  • ระยะที่ 5 ผู้ป่วยในระยะ decompensated ที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือด ระยะนี้เป็นระยะที่เพิ่งถูกกำหนดขึ้นจากข้อสังเกตที่ว่าผู้ป่วยในระยะ decompensated อาจมีการติดเชื้อได้ง่ายจาก
    ภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ลดลง โดยจะเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตสูงสุดถึงมากกว่าร้อยละ 60

การรักษาและการป้องกัน

การรักษาภาวะตับแข็งมีวัตถุประสงค์ เพื่อหยุดการพัฒนาของเนื้อเยื่อแผลเป็นในตับและเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ดังต่อไปนี้

  • งดการดื่มแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาและสารที่เป็นอันตรายต่อตับ
  • หากมีอาการบวมที่ข้อเท้าและท้อง ควรจำกัดเกลือและอาหารรสเค็ม
  • เข้ารับการฉีดวัคซีนสำหรับโรคไวรัสตับอักเสบ AและB ไข้หวัดใหญ่ และโรคปอดบวม เนื่องจากผู้ป่วยโรคตับแข็งมีความเสี่ยงในการติดเชื้อที่รุนแรงมากกว่าคนปกติ
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อลดโอกาสของการเกิดภาวะไขมันพอกตับขึ้นจนนำไปสู่โรคได้
  • หลีกเลี่ยงหรืองดการกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคตับ
  • พบแพทย์เพื่อติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตามการเกิดพังผืดในตับเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเกิดโรคตับแข็ง ซึ่งเมื่อโรคมีการดำเนินเข้าสู่ระยะแรกผู้ป่วยจะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ส่งผลให้มีโอกาสเสียชีวิตมากขึ้นได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Cirrhosis (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.mayoclinic.org [8 มิถุนายน 2562].

โรคหัด ( Measles ) เกิดได้กับใครบ้าง ?

0
โรคหัด ( Measles ) เกิดได้กับใครบ้าง ?
โรคหัด ( Measles ) หรือไข้ออกผื่น คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสทางระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยจะเกิดผื่นขึ้นตามผิวหนังพร้อมเป็นไข้
โรคหัด ( Measles ) เกิดได้กับใครบ้าง ?
โรคหัด ( Measles ) หรือไข้ออกผื่น คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสทางระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยจะเกิดผื่นขึ้นตามผิวหนังพร้อมเป็นไข้

โรคหัด คืออะไร

โรคหัด ( Measles ) หรือไข้ออกผื่น คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสทางระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยจะเกิดผื่นขึ้นตามผิวหนังพร้อมเป็นไข้ร่วมด้วย โดยโรคหัดเกิดจากไวรัสกลุ่มพารามิคโซไวรัส ( Paramyxovirus ) มีลักษณะเด่นคือมีจุดเทาขาวในปาก และผื่นแดงหรือน้ำตาลแดงไล่จากหัว ใบหน้า คอ และตัว แต่ในบางครั้งอาจนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงกว่า ที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ในผู้ป่วยบางราย ซึ่งรวมไปถึงปอดบวมและไข้สมองอักเสบ

อาการของโรคหัด

  • อาการคล้ายหวัด เช่น คัดจมูก จาม และไอ
  • ปวดตา ตาแดง น้ำตาไหล อาจมีความอ่อนไหวต่อแสงเพิ่มขึ้น
  • มีไข้ขึ้นสูงถึง 40 องศาเซลเซียส
  • ปวดกล้ามเนื้อ
  • ไม่อยากอาหาร
  • เหน็ดเหนื่อย ระคายเคือง และหมดเรี่ยวแรง
  • ต่อมบวม
  • เกิดจุดสีเทาขาวภายในกระพุ้งแก้ม
  • หลังจากมีอาการเหล่านี้ไม่กี่วันจะออกผื่นสีน้ำตาลแดงขึ้น ซึ่งอาจจะเริ่มจากบนศีรษะหรือบนคอก่อนจะลามลงไปทั่วร่างกาย ผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการป่วยยาวนานประมาณ 7 ถึง 10 วัน

ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัด

โรคหัดเกิดจากเชื้อไวรัส ดังนั้นเด็กเล็ก คนชรา สตรีมีครรภ์ ผู้ที่ร่างกายไม่สมบูรณ์แข็งแรง ภูมิต้านทานโรคต่ำ รวมถึงผู้ที่ต้องทานยากดภูมิคุ้มกันเพื่อรักษาโรคอื่นๆ สามารถติดโรคหัดได้ทั้งนั้น ดังนั้นใครก็ตามที่อยู่ใกล้ผู้ป่วยโรคหัด ก็มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหัดได้ทั้งนั้น แต่พบบ่อยที่สุดในเด็กเล็กช่วงอายุแรกเกิดถึง 4 ปี

สาเหตุของโรคหัด

โรคหัดจัดเป็นโรคติดต่อที่มีโอกาสติดเชื้อได้สูง การติดโรคนั้นเกิดจากการรับเชื้อไวรัสผ่านทางอากาศ จากการสัมผัสละอองน้ำลาย น้ำลาย และน้ำมูกของผู้ป่วย ซึ่งช่วง 4 วันทั้งก่อนและหลังเกิดผื่นนั้นถือเป็นระยะเวลาของการแพร่เชื้อ โดยเชื้อไวรัสจะเข้ามาทางระบบทางเดินหายใจและแพร่ไปทั่วร่างกาย ทำให้ป่วยเป็นโรคหัด โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดมีโอกาสป่วยเป็นโรคหัดหากอยู่ใกล้ผู้ป่วยที่เป็นโรค

ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัด

ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัดมักเกิดกับทารกที่อายุต่ำกว่า 1 ปี เด็กที่ขาดสารอาหารและภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ ไปจนถึงวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่สุขภาพไม่ดี โดยภาวะแทรกซ้อนมีดังนี้

  • ท้องเสียและอาเจียน ซึ่งจะนำไปสู่อาการขาดน้ำ
  • หูชั้นกลางติดเชื้อ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดหู
  • ติดเชื้อที่ตา ก่อให้เกิดอาการตาแดงเยิ้มแฉะ
  • กล่องเสียงอักเสบ ( Laryngitis )
  • ปอดบวม หลอดลมอักเสบ หรือกลุ่มโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจอักเสบ ( Croup ) เกิดจากการติดเชื้อในระบบ
  • ทางเดินหายใจและปอด

การรักษาโรคหัด

  • ยังไม่มีวิธีรักษาโรคหัด แต่ภาวะนี้ก็สามารถหายได้เองภายใน 7 ถึง 10 วัน โดยแพทย์มักจะแนะนำให้คุณพักรักษาตัวที่บ้านไปจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น
  • ทานยาพาราเซตตามอลหรืออิบูโพรเฟนเพื่อลดไข้และอาการปวดกล้ามเนื้อ ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินกับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี
  • ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • ปิดม่านเพื่อลดภาวะอ่อนไหวต่อแสงอาทิตย์
  • ใช้ผ้าขนนุ่มชื้น ๆ ทำความสะอาดรอบตา
  • ลาเรียนหรือลางานเป็นเวลาอย่างน้อยสี่วันหลังจากที่เริ่มมีผื่นขึ้น
  • ในกรณีที่ป่วยรุนแรง โดยเฉพาะที่มีภาวะแทรกซ้อนร่วมด้วยต้องพาผู้ป่วยไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลทันที

การป้องกันโรคหัด

1. โรคหัดป้องกันได้หากเด็กได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัด ( Measles Vaccine ) ครบตามกำหนด โดยวัคซีนที่ใช้ฉีดเพื่อป้องกันคือวัคซีน Measles-Mumps-Rubella Vaccine ( MMR ) ซึ่งเป็นวัคซีนที่ป้องกันได้ทั้งโรคหัด ( Measles ) คางทูม ( Mumps ) และหัดเยอรมัน ( Rubella ) โดยทารกสามารถรับวัคซีนได้ครั้งแรกเมื่ออายุครบ 9-12 เดือน และรับวัคซีนครั้งต่อไปเมื่ออายุ 4-6 ปี

2. เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน สามารถรับวัคซีนได้ 2 เข็ม โดยเว้นช่วงการรับวัคซีนแต่ละรอบให้ห่างกันอย่างน้อย 28 วัน อย่างไรก็ตาม การได้รับวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าวก็ก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้เช่นกัน โดย 15 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่ได้รับวัคซีนเป็นไข้ 6-12 วันหลังจากได้รับวัคซีน และเด็กอีก 5 เปอร์เซ็นต์มีอาการผื่นขึ้นคล้ายผื่นโรคหัดและหายไปเอง

3.กลุ่มเสี่ยงที่ไม่ควรรับวัคซีนป้องกันโรคหัด ได้แก่ สตรีมีครรภ์ เด็กที่ป่วยเป็นวัณโรค ลูคีเมีย และมะเร็งชนิดอื่น ๆ แล้วยังไม่ได้รับการรักษา ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ และเด็กที่มีประวัติแพ้เจลาตินหรือกลุ่มยาปฏิชีวนะนีโอมัยซิน ( Neomycin ) อย่างรุนแรง ถึงอย่างนั้น หากกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวได้รับเชื้อไวรัสโรคหัดเข้าไปก็สามารถฉีดแอนติบอดี้หรือสารโปรตีนที่มีชื่อว่าอิมมูนโกลบูลิน ( Immunoglobulin ) เพื่อป้องกันการป่วยได้ ซึ่งต้องฉีดสารดังกล่าวภายใน 6 วันหลังจากที่รับเชื้อ

กลุ่มผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีน

1. สตรีมีครรภ์
2. ผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอมาก
3. เด็กที่มีประวัติแพ้เจลาติน หรือกลุ่มยาปฏิชีวนะนีโอมัยซินอย่างรุนแรง
4. เด็กที่ป่วยเป็นวัณโรค ลูคีเมีย และมะเร็งชนิดอื่นๆ ที่ยังไม่ได้เข้ารับการรักษา

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

โรคหัด (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.pobpad.com [8 มิถุนายน 2562].

โรคหัด MEASLES (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.bnhhospital.com [8 มิถุนายน 2562].

Measles (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.mayoclinic.org [8 มิถุนายน 2562].

สาเหตุการเกิด โรคพยาธิใบไม้ตับ ( Opisthorchiasis )

0
โรคพยาธิใบไม้ตับ ( Opisthorchiasis )
พยาธิใบไม้ตับ เป็นการติดเชื้อภายในท่อน้ำดีคนส่วนใหญ่ไม่มีอาการ โดยพยาธิวิทยาส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการอักเสบเรื้อรังหรืออุดตันจากไข่และตัวพยาธิเป็นระยะๆบริเวณท่อน้ำดี
โรคพยาธิใบไม้ตับ ( Opisthorchiasis )
พยาธิใบไม้ตับ เป็นการติดเชื้อภายในท่อน้ำดีคนส่วนใหญ่ไม่มีอาการ โดยพยาธิวิทยาส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการอักเสบเรื้อรังหรืออุดตันจากไข่และตัวพยาธิเป็นระยะๆบริเวณท่อน้ำดี

พยาธิใบไม้ตับ คือ

โรคพยาธิใบไม้ตับ ( Opisthorchiasis ) เป็น การติดเชื้อภายในท่อน้ำดีคนส่วนใหญ่ไม่มีอาการ โดยพยาธิวิทยาส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการอักเสบเรื้อรังหรืออุดตันจากไข่และตัวพยาธิเป็นระยะๆบริเวณท่อน้ำดี ในกรณีที่ไม่รุนแรงอาการต่างๆ ได้แก่ อาการอาหารไม่ย่อย ปวดท้อง ท้องเสียหรือท้องผูก ด้วยการติดเชื้อที่มีระยะเวลานานขึ้นอาการอาจรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้เกิดภาวะตับโต ตัว ตาเหลือง ( ดีซ่าน ) แน่นท้องจากตับโตและมีน้ำในท้อง ( ท้องมาน ) มักพบมากทางภาคอีสานของประเทศไทย ลาว และภาคตะวันตกของประเทศมาเลเชีย การติดเชื้อเกิดจากคนที่ชอบกินเนื้อปลาดิบนหรือ เนื้อสุกๆดิบๆที่มีตัวอ่อนของพยาธิฝังอยู่บางรายอาจไม่มีอาการใดๆ ตลอดชีวิต

สาเหตุของพยาธิใบไม้ตับ

  • การบริโภคปลาหรือสัตว์น้ำที่มีตัวอ่อนของพยาธิ
  • ชอบกินอาหารชนิดเนื้อปรุงสุกๆ ดิบๆ
  • กินปลาร้าที่หมักดองจากปลาตะเพียน ปลาซิว ปลาสร้อย ปลาแก้มช้ำ ปลาขาวนา และปลาขาว ที่ไม่ผ่านการทำให้สุก

อาการของพยาธิใบไม้ตับ

  • เบื่ออาหาร
  • ท้องผูก
  • ท้องอืดมาก
  • กดเจ็บบริเวณใต้ชายโครงขวา
  • ท้องเสียเรื้อรัง
  • ตับโต
  • ตัวเหลือง
  • ตาเหลือง
  • มีไข้ต่ำๆ หรือไข้สูงจนมีอาการหนาวสั่น
  • อ่อนเพลีย
  • ออกร้อนบริเวณหน้าท้อง
  • ท้องมาน

ภาวะแทรกซ้อนของพยาธิใบไม้ตับ

  • ภาวะโลหิตจาง
  • ติดเชื้อแบคทีเรีย
  • ท่อน้ำดีอักเสบติดเชื้อ
  • ถุงน้ำดีอักเสบ
  • ตับอ่อนอักเสบ
  • ตับแข็ง
  • มะเร็งท่อน้ำดี
  • ติดเชื้อในกระแสเลือด และการติดเชื้อกระจายไปทั่วร่างกาย

การวินิจฉัย

จะต้องซักประวัติของผู้ติดเชื้อ ลักษณะการรับประทานอาหาร และอาการเจ็บป่วย หากภูมิลำเนามาจากอีสาน และชอบรับประทานอาหารสุกๆดิบๆ การตรวจอุจาระเพื่อตรวจค้นหาไข่ของพยาธิ หากมีโรคแทรกซ้อนที่ตับอาจจะต้องตรวจโดยการส่องกล้องเข้าช่องท้องหรือการฉีดสีเข้าท่อน้ำดี

การป้องของพยาธิใบไม้ตับ

  • กินปลาที่ปรุงสุกด้วยความร้อน
  • ก่อนรับประทานผักสดควรล้างให้สะอาด
  • ควรตรวจหาไข่หนอนพยาธิในอุจจาระอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
  • ไม่เกินอาหารกึ่งสุก กึ่งดิบ เช่น ก้อยปลา ปลาดิบ ปลาส้ม ปลาจ่อม หม่ำปลา ปลาหมกไฟ ปลาปิ้ง ลาบปลา
  • รณรงค์ให้ประชาชนถ่ายอุจจาระในส้วม หรือขุดหลุมฝังกลบเมื่อถ่ายนอกส้วม

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Opisthorchiasis (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.cdc.gov [8 พฤษภาคม 2562]

โรคพยาธิใบไม้ตับ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : thaigcd.ddc.moph.go.th [8 พฤษภาคม 2562]

เฝ้าระวังป้องกันและกำจัดโรคพยาธิใบไม้ตับ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.thaihealth.or.th (สสส) [8 พฤษภาคม 2562]

ดาวน์ซินโดรม ( Down Syndrome ) เกิดจากอะไร

0
ดาวน์ซินโดรม ( Down Syndrome )
ดาวน์ซินโดรม ( Down Syndrome ) คือ ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อการแบ่งเซลล์ผิดปกติส่งผลให้มีโครโมโซม คู่ที่ 21 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพัฒนาการและทางร่างกาย
ดาวน์ซินโดรม ( Down Syndrome )
ดาวน์ซินโดรม คือ ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อการแบ่งเซลล์ผิดปกติส่งผลให้มีโครโมโซม คู่ที่ 21 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพัฒนาการและทางร่างกาย

อาการดาวน์ซินโดรม คือ

ดาวน์ซินโดรม ( Down Syndrome ) คือ ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อการแบ่งเซลล์ผิดปกติส่งผลให้มีโครโมโซม คู่ที่ 21 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพัฒนาการและทางร่างกาย โดยปกติคนเราจะมีโครโมโซมซึ่งเป็นพันธุกรรมที่ควบคุมลักษณะของแต่ละบุคคล เช่น สีของตา เพศ หรือการพัฒนารูปร่างหน้าตาที่ได้รับ

สาเหตุของการเกิดกลุ่มอาการดาวน์

1.ไทรโซมี 21 ( Trisomy 21 ) คือ การที่มีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง ปกติคนเราจะมีโครโมโซม 23 คู่หรือ 46 แท่ง โดยครึ่งหนึ่งหรือ 23 แท่ง มาจากไข่ของแม่และ 23 แท่ง มาจากสเปิร์มของพ่อ เมื่อไข่และสเปิร์มมาผสมกันจึงมีโครโมโซม 46 แท่ง ผู้ป่วยที่เป็น Trisomy 21 จะมีโครโมโซม 47 แท่ง เกิดจากรังไข่ของแม่มีการแบ่งเซลล์ที่ผิดปกติ ทำให้ได้ไข่ที่มีโครโมโซม 24 แท่ง โดยมีแท่งของโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง

2. การสับเปลี่ยนของโครโมโซมแบบโรเบิร์ตโซเนียน ( Robertsonian translocation ) คือ การมีสารพันธุกรรมของโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมาแต่จำนวนแท่งของโครโมโซมไม่เพิ่มขึ้น คือมี 46 แท่ง เป็นภาวะที่มีการสับเปลี่ยนหรือเคลื่อนย้ายโครโมโซมผิดปกติ ( Translocation ) สาเหตุเกิดจากพ่อหรือแม่มีโครโมโซมผิดปกติ คือบางส่วนของแท่งโครโมโซมที่ 21 ย้ายไปติดอยู่กับโครโมโซมคู่ที่ 13, 14, 15, 21 หรือ 22 แต่ที่พบบ่อยที่สุด คือระหว่างโครโมโซมคู่ที่ 21 กับ 14 และทำให้มีจำนวนโครโมโซมเหลือเพียง 45 แท่ง

3. โมเซอิก ( Mosaicism ) คือ การที่เซลล์บางเซลล์ในร่างกายมีแท่งโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง คือมี 47 แท่ง แต่บางเซลล์มีโครโมโซม 46 แท่งเหมือนปกติ เรียกว่า Trisomy 21 Mosaicism
สาเหตุการเกิดเหมือนกับ Trisomy 21 แต่เซลล์ตัวอ่อนที่เป็น Trisomy 21 เกิดการแบ่งเซลล์ที่ผิดปกติ

4. Partial Trisomy 21 คือ โครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมาเพียงบางส่วนไม่ใช่ทั้งโครโมโซม โดยส่วน
ของโครโมโซมที่เกินมานั้น มียีนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการดาวน์ ซึ่งอยู่บนแขนยาวของโครโมโซมคู่ที่ 21 รวมอยู่ด้วย ความผิดปกติแบบนี้พบน้อยมาก

ดาวน์ซินโดรม คือ ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกิดแบ่งเซลล์ผิดปกติ ทำให้มีโครโมโซม คู่ที่ 21 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพัฒนาการและทางร่างกาย

อาการของดาวน์ซินโดรม

  • ศีรษะเล็ก
  • ใบหน้าสั้นและแบน
  • ตาขนาดเล็ก หางตาเฉียงขึ้น
  • คอสั้น
  • ใบหูเล็ก
  • พัฒนาการทางด้านร่างกาย เด็กจะตัวอ่อนนิ่ม
  • นิ้วสั้น มือสั้น เท้าสั้นและเล็ก
  • เส้นลายพับบนฝ่ามือตัดเป็นเส้นเดียว
  • ปากเล็ก และลิ้นจุกปากยื่นออกมา
  • พัฒนาการทางด้านสมองความจำสั้น ปัญญาอ่อนเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • พูดช้าและพูดไม่ชัด
  • มีจุดเล็กๆ สีขาวบนม่านตา
  • ตัวเตี้ย
  • พฤติกรรมต่างๆ จะช้ากว่าปกติการวินิจฉัยดาวน์ซินโดรม
  • บางรายอาจพบปลายนิ้วก้อยโค้งเข้าหานิ้วนาง

ตารางความเสี่ยงที่จะเกิดทารกกลุ่มอาการดาวน์ของหญิงตั้งครรภ์

ช่วงอายุหญิงตั้งครรภ์ (ปี) อัตราความเสี่ยง (คน)
20 – 34 1 : 600 – 1 : 800
35 – 39 1 : 350
40 – 44 ปี 1 : 100
> 45 1 : 50

การรักษาดาวน์ซินโดรม

ดาวน์ซินโดรมเป็นกลุ่มอาการที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากคนในครอบครัว สังคม และโรงเรียน เพื่อให้เค้าเหล่านั้นดูแลและช่วยเหลือตนเอง ปรับตัวอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้ ฝึกทักษะการพูด อ่าน เขียน แม้แต่การใช้ชีวิตประจำวัน

การป้องกันดาวน์ซินโดรม

  • การตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ของทารกในครรภ์ โดยการเจาะเลือดของมารดาในระหว่างตั้งครรภ์ ตั้งแต่อายุครรภ์ 11 สัปดาห์
  • การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด ได้แก่ การตัดชิ้นเนื้อรกโดยใช้เข็มเจาะผ่านทางหน้าท้อง หรือสอดเข้าทางช่องคลอดของมารดาในขณะที่ตั้งครรภ์ 11-12 สัปดาห์ และการเจาะน้ำคร่ำไปตรวจในระหว่างที่มารดามีอายุครรภ์ 16-20 สัปดาห์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Down syndrome (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.mayoclinic.org [30 พฤษาคม 2562].

กลุ่มอาการดาวน์ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://th.wikipedia.org [30 พฤษาคม 2562].

ตกขาว ( Leukorrhea หรือ Vaginal Discharge )

0
ตกขาว ( Leukorrhea หรือ Vaginal Discharge )
ตกขาว ( Leukorrhea หรือ Vaginal Discharge ) คือ ตกขาวมีลักษณะเป็นมูกใส ๆ หรือเป็นสีขาวไหลออกมาจากช่องคลอดของผู้หญิงโดยไม่ใช่เลือดประจำเดือน
ตกขาว ( Leukorrhea หรือ Vaginal Discharge )
ตกขาว คือ ตกขาวมีลักษณะเป็นมูกใส ๆ หรือเป็นสีขาวไหลออกมาจากช่องคลอดของผู้หญิงโดยไม่ใช่เลือดประจำเดือน

ตกขาวคืออะไร

ตกขาว ( Leukorrhea หรือ Vaginal Discharge ) คือ ตกขาวมีลักษณะเป็นมูกใส ๆ หรือเป็นสีขาวไหลออกมาจากช่องคลอดของผู้หญิงโดยไม่ใช่เลือดประจำเดือน ซึ่งสร้างความชุ่มชื้นให้บริเวณช่องคลอดและช่วยป้องกันการติดเชื้อภายในช่องคลอด โดยตกขาวปกติจะมีสีขาวหรือใส และไม่มีกลิ่นเหม็น ส่วนตกขาวที่มีสีเทา สีเขียว สีเหลือง สีชมพู หรือมีเลือดปน และส่งกลิ่นคาวคล้ายเนื้อเน่า จะเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นภายใน ซึ่งอาการตกขาวอาจทำให้สาวๆ จำนวนไม่น้อยหมดความมั่นใจ และยังก่อให้เกิดอาการระคายเคืองบริเวณจุดซ่อนเร้นด้วย ปกติตกขาวจะมีปริมาณมากช่วงไข่ตกในระยะกลางของรอบเดือนแล้วจะหายไป และกลับมาอีกครั้งในช่วงใกล้มีประจำเดือน

สาเหตุของตกขาว

1. ตกขาวที่ผิดปกติมักเป็นผลมาจากการติดเชื้อและอาการป่วยต่าง ๆ ได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดภาวะช่องคลอดอักเสบ เช่น โรคหนองในแท้หรือโรคหนองในเทียม การแพร่กระจายของเชื้อรา ทำให้เกิดโรคเชื้อราในช่องคลอด การติดเชื้อไวรัสทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศ ปรสิตที่ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ทำให้เกิดการติดเชื้อทริโคโมนาส โดยมีลักษณะ สี และกลิ่นเปลี่ยนไปจากเดิม จากปกติที่มักใส ไม่มีสี ก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือสีเขียว ข้นเป็นก้อน เป็นมูกเลือด มีหนอง มีฟองปนออกมาจำนวนมาก หรือมีกลิ่นเหม็นคล้ายปลาเน่า อีกทั้งยังมีอาการคันและปวดแสบปวดร้อนที่บริเวณปากช่องคลอด รวมถึงมีไข้ รู้สึกปวดท้องน้อย ขัดเบา และมีอาการเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์
2. อาการตกขาวผิดปกติที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ อาจเกิดจากการมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในช่องคลอดหรือปากมดลูก การแพ้สารเคมี เช่น สารจากผ้าอนามัย หรือถุงยางอนามัย การสวนล้างช่องคลอด การเกิดติ่งเนื้อที่ปากมดลูก เป็นต้น

สีของตกขาวบอกถึงอะไร

การสังเกตลักษณะตกขาวและอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นร่วมกับการมีตกขาวที่ผิดปกตินั้น อาจทำให้ทราบสาเหตุของการป่วยเบื้องต้นได้ ดังนี้

1. ตกขาวเป็นน้ำ หรือเมือกใส
เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะในช่วงกึ่งกลางของรอบเดือนที่มีการตกไข่ซึ่งจะมีปริมาณตกขาวมาก แต่ถ้าตกขาวเป็นน้ำและไหลเป็นฟองรวมถึงมีอาการคันร่วมด้วย อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรืออาการอักเสบภายในช่องคลอดได้

2. ตกขาวเป็นก้อนสีขาว
เกิดจากการติดเชื้อราที่มีชื่อว่า ” แคนดิดา อัลบิแคนส์ ( Candida albicans ) ” ในช่องคลอด ส่งผลให้ตกขาวมีลักษณะเป็นก้อนสีขาวข้น หรือสีเหลืองขาวคล้ายนมบูด มีกลิ่นเหม็นแต่ไม่คาว อาจทำให้ปัสสาวะแสบขัด หรือแสบคันในบางครั้ง มักจะเกิดกับผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ หรือใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานานๆ

3. ตกขาวสีเหลือง
เป็นลักษณะตกขาวที่พบได้มากที่สุด โดยตกขาวลักษณะนี้มีสาเหตุเกิดจากการการใช้ยาปฏิชีวนะ และการติดเชื้อได้หลายชนิด โดยจะมีทั้งแบบสีเหลืองขุ่น สีเหลืองเข้ม หรือสีเหลืองใส ๆ ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เกิด นอกจากนี้ยังอาจมีกลิ่นที่ผิดปกติ อาการแสบ อาการคันร่วมด้วย โดยถ้าหากมีกลิ่นที่เหม็นรุนแรง และมีอาการคันหรือแสบ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อความปลอดภัย

4. ตกขาวสีเทา มีกลิ่นคาวปลา
เกิดจากการลดลงของแบคทีเรียชนิด ” แลคโตบาซิลไล ( Latobacilli ) ” ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรคในช่องคลอด ทำให้แบคทีเรียก่อโรคมีจำนวนเพิ่มขึ้นจนช่องคลอดเกิดการอักเสบ อาการตกขาวชนิดนี้มักมีกลิ่นรุนแรงหลังหมดประจำเดือนใหม่ๆ หรือหลังมีเพศสัมพันธ์ ตกขาวสีเทาสอดคล้องกับปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคอย่าง เช่น การคุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัย การสวนล้างช่องคลอด การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ และการรับประทานยาปฏิชีวนะต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ เป็นต้น

5. ตกขาวมีลิ่มเลือด
ตกขาวชนิดนี้เป็นสัญญาณของการติดเชื้อและการอักเสบภายในช่องคลอด โดยการอักเสบนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การไม่รักษาความสะอาด หรือภูมิต้านทานต่ำทำให้ร่างกายเกิดการติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นหากมีลิ่มเลือดออกมาพร้อมกับตกขาว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อความปลอดภัย

6. ตกขาวสีน้ำตาล
เป็นอาการตกขาวที่พบได้บ่อยหลังมีประจำเดือน ซึ่งมักมีสาเหตุเกิดจากเยื่อบุมดลูกลอกตัวช้า หรือไม่หลุดลอกออกมาขณะมีประจำเดือน แต่หลุดออกมาทีหลัง โดยอาจมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย หรือไม่ก็ได้ อาการเลือดออกจากประจำเดือนที่มาช้า หรือมาไม่ตรงรอบ เลือดออกที่เกิดจากการฝังตัวของตัวอ่อน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ 3 หลังจากที่มีประจำเดือนวันแรก แต่ไม่มีอาการปวดท้อง มีลักษณะเป็นเลือดสีน้ำตาลที่ปริมาณไม่มากนัก นอกจากนี้กรณีที่มีเลือดออกจากการตั้งครรภ์นอกมดลูกก็อาจทำให้มีอาการเลือดออกกระปริบกระปรอยและมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย รวมถึงอาจเกิดจากการติดเชื้อที่ช่องคลอด หรือปากมดลูก จึงทำให้มีกลิ่นเหม็นและมีสีน้ำตาลปนจากเลือดเก่า

7. ตกขาวสีชมพู
พบได้มากในหญิงหลังคลอด ซึ่งเกิดจากการลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก หรืออาจจะเป็นสีของเลือดที่เรียกว่า “ เลือดล้างหน้าเด็ก ” ที่เป็นสีชมพูจางๆ

8. ตกขาวสีเขียว
หากสังเกตเห็นว่าตกขาวที่ออกมามีสีเขียวแล้วละก็ ขอบอกให้รีบไปพบแพทย์น่าจะดีกว่า เพราะตกขาวลักษณะนี้เป็นตกขาวที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยโรคหนองใน ทั้งนี้อาจมีกลิ่นคาวปลา อาการคัน หรือปวดแสบขณะปัสสาวะร่วมด้วย

การรักษาตกขาว

อาการตกขาวผิดปกติต้องรักษาที่สาเหตุและโรคที่ป่วย ทั้งการรักษาด้วยยาเฉพาะทางหรือการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับอาการป่วยและความรุนแรงของโรค แต่โดยทั่วไป ตกขาวมักเกิดจากการติดเชื้อประเภทแบคทีเรียหรือเชื้อราในช่องคลอด ซึ่งรักษาให้หายขาดได้ มีการรักษาเบื้องต้น ดังนี้

การป่วยเป็น แบคทีเรียล วาไจโนสิส ( Bacterial Vaginosis ) และการติดเชื้อปรสิตทริโคโมนาส แพทย์จะรักษาด้วยการจ่ายยาปฏิชีวนะในรูปแบบยาเม็ดรับประทาน หรือครีมทาภายในช่องคลอด โดยใช้ยาเมโทรนิดาโซล ( Metronidazole ) หรือทินิดาโซล ( Tinidazole ) ตัวยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของทั้งปรสิตและแบคทีเรีย

การใช้ยาปฏิชีวนะควรอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาจมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน หรือในขณะที่กำลังตั้งครรภ์

การอักเสบจากเชื้อรา ใช้ยาต้านเชื้อราชนิดสอดเข้าไปในช่องคลอด มีทั้งรูปแบบครีม ยาเหน็บ ตัวยาที่ใช้ ได้แก่ โคลไตรมาโซล ( Clotrimazole ) ส่วนยารับประทานใช้ยาฟลูโคนาโซล ( Fluconazole ) เพื่อยับยั้งทำลายเชื้อราและกระบวนการสร้างเซลล์ของเชื้อรา

หากอาการตกขาวแสดงถึงการติดเชื้อรา สามารถใช้ยารักษาเชื้อราแบบครีม หรือเหน็บช่องคลอดที่ซื้อได้ตามร้านขายทั่วไปโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ แต่หากรักษาไม่หายและอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา

ภาวะแทรกซ้อนของตกขาว

ตกขาวที่ผิดปกติอาจมีอาการที่แสดงออกมาเนื่องจากการติดเชื้อและการเจ็บป่วยของโรค เช่น

1. คัน บวม เจ็บปวด หรือมีแผลบริเวณช่องคลอดและปากช่องคลอด
มีเลือดที่ไม่ใช่เลือดประจำเดือนไหลออกมาจากช่องคลอด
2. เจ็บปวดในขณะปัสสาวะ ปวดบริเวณท้องน้อย
3. เจ็บปวดในขณะมีเพศสัมพันธ์
4. การติดเชื้ออาจแพร่จากแม่สู่ลูกได้ในการคลอด
5. การติดเชื้ออาจแพร่ลามไปยังอวัยวะในระบบสืบพันธุ์อื่น ๆ อาจทำให้เกิดภาวะมีลูกยาก
6. การติดเชื้ออาจทำให้เกิดการอักเสบลุกลาม เรื้อรัง และส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรงในระบบสืบพันธุ์ เช่น มดลูก และรังไข่

การป้องกันการเกิดตกขาว

สามารถป้องกันการเกิดตกขาวที่ผิดปกติได้ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงและลดโอกาสการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อ เช่น

1. รักษาความสะอาดช่องคลอดและอวัยวะเพศอยู่เสมอ
2. ล้างช่องคลอดด้วยน้ำและสบู่อ่อน ๆ ที่ไม่ทำให้เกิดการอักเสบระคายเคือง
3. สวมใส่กางเกงชั้นในที่สะอาด ทำจากผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่หนาและไม่อับชื้น
4. ไม่ใช้สบู่หอม สเปรย์พ่น ฟองสบู่ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีชนิดต่าง ๆ เพื่อล้างสวนช่องคลอด
5. ทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์ก่อนการใช้งานเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และล้างทำความสะอาดห้องน้ำอยู่เสมอเพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ตกขาว กับ 8 สัญญาณเตือน (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.apexprofoundbeauty.com [31 พฤษภาคม 2562].

ตกขาวแบบต่างๆ บ่งบอกถึงสาเหตุอะไรบ้าง (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.honestdocs.co [31 พฤษภาคม 2562].

ตกขาว (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.pobpad.com [31 พฤษภาคม 2562].