กินปลาดิบอย่างไรให้ปลอดภัย

0
กินปลาดิบอย่างไรให้ปลอดภัย
ปลาดิบ คือ เนื้อปลาทะเลสด แล่เป็นชิ้นบาง ๆ นิยมกินกับวาซาบิ ซีอิ๊วญี่ปุ่น และหัวไช้เท้าขูดฝอย เช่น แซลมอล ทูน่า
กินปลาดิบอย่างไรให้ปลอดภัย
ปลาดิบ คือ เนื้อปลาทะเลสดแล่เป็นชิ้นบาง ๆ นิยมกินกับวาซาบิ ซีอิ๊วญี่ปุ่น และหัวไช้เท้าขูดฝอย เช่น ปลาแซลมอล ปลาทูน่า เป็นต้น

ปลาดิบ

ปลาดิบ (Raw fish) คือ เนื้อปลาทะเลสดแล่เป็นชิ้นบาง ๆ นิยมกินกับวาซาบิ ซีอิ๊วญี่ปุ่น และหัวไช้เท้าฝอย เช่น ปลาแซลมอล ปลาทูน่า หรือปลาอื่น ๆ ปลาดิบสามารถนำมาประกอบอาหารหลายรูปแบบ แตกต่างกันไปตามความนิยมของแต่ละประเทศ เช่น ซาชิมิของประเทศญี่ปุ่นที่จะหั่นปลาดิบเป็นชิ้นพอดีคำรับประทานคู่กับวาซาบิและซอสถั่วเหลือง ประเทศอิตาลีที่นำปลาดิบมาแล่บาง ๆ รับประทานคู่กับสลัด และคนไทยในแถบอีสานจะเป็นก้อยปลาโดยใช้เนื้อปลาดิบมาผสมกับน้ำปลา น้ำมะนาว กระเทียม พริก และผักชนิดต่าง ๆ ให้รสชาติคล้ายลาบและส้มตำ

ประโยชน์ของปลาดิบ

  • เพิ่มสารอาหาร การรับประทานปลาดิบบางชนิดอาจได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์จากเนื้อปลาได้มากกว่า เช่น วิตามินดีธรรมชาติที่มักไม่ค่อยพบในอาหารชนิดอื่น และโอเมก้า 3
  • เสริมความแข็งแรงให้อสุจิ มีงานวิจัยหนึ่งให้ผู้ชายจำนวน 188 คนรับประทานปลาสดร่วมกับผัก ผลไม้ และธัญพืช พบว่าอสุจิของผู้ทดลองนั้นมีรูปลักษณ์ที่แข็งแรงและมีความคล่องตัวมากกว่าอสุจิของผู้ที่รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์
  • ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง การประทานปลาดิบแทนปลาปรุงสุกอาจช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งได้ เพราะการทอดปลาหรือย่างปลาด้วยความร้อนสูงจะทำให้เกิดสารอันตรายอย่างเฮเทอโรไซคลิก เอมีน (Heterocyclic Amine) อาจทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น
  • ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ปลาดิบ เช่น ปลาแซลมอนอุดมไปด้วย โอเมก้า 3 ช่วยต้านโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

ข้อควรระวังในการบริโภคปลาดิบ

อันตรายจากปลาดิบหรือเนื้อปลาที่ปรุงไม่สุก บางคนชอบเนื้อปลาสดสัมผัสถึงรสชาติหวานของปลาดิบเป็นที่นิยมในญี่ปุ่นรวมถึงคนไทยบางกลุ่ม เช่น ซาซิมิ ซูชิ โดยเฉพาะปลาดิบที่มาจากทะเลสดๆ เช่น แซลมอน ปลามากุโระ ปลาบุริ ปลาซาบะ ปลาคัตสึโอะ ปลาโอ หลายคนเกิดความกังวนเมื่อกินเนื้อปลาดิบที่ไม่มีวิธีจัดการอย่างถูกวิธีในการเตรียมวัตถุดิบก่อนนำมาทำอาหาร

การจัดเก็บวัตถุดิบในเมนูปลาดิบให้ปลอดภัยจากพยาธิ

ก่อนนำปลาดิบมารับประทานควรนำไปแช่แข็งและจัดเก็บที่อุณหภูมิติดลบ 20 องศา (-20°C) หรือต่ำกว่าเป็นเวลา 7 วัน หรือแช่แข็งที่อุณหภูมิติดลบ 35 องศา (- 35°C) เป็นเวลา 15 ชั่วโมงก็สามารถฆ่าตัวอ่อนพยาธิหรือไข่พยาธิในเนื้อปลาดิบก่อนนำไปรับประทานได้

การติดเชื้อพยาธิจากปลาดิบ

การติดเชื้อพยาธิใบไม้จะเกิดขึ้นหากกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนด้วยไข่พยาธิหรือตัวออ่นจะเริ่มฝังตัวอยู่ตามผนังลำไส้ เนื้อเยื่อ และอวัยวะภายในของร่างกาย พยาธิสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอาศัยอยู่ในสิ่งมีชีวิตทั้งหมดรวมถึงปลาสามารถมีพยาธิได้ หรือเรียกอีกอย่างว่า ปรสิต สามารถแพร่เชื้อสู่คนผ่านทางอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนตัวพยาธิหรือไข่พยาธิ ได้แก่ พยาธิใบไม้ (trematodes) พยาธิตัวตืด (cestodes) และพยาธิไส้เดือน (Ascariasis) ซึ่งพยาธิมีขนาดเล็กไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ามีอยู่ประมาณ 50,000 สายพันธุ์ พยาธิสามารถแพร่กระจายได้ง่ายทำให้เกิดการติดเชื้อภายในระบบทางเดินอาหารอย่างรุนแรงอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต่อชีวิตได้

สาเหตุของการเกิดโรคพยาธิ

โรคพยาธิ เกิดจากการรับพยาธิหรือไข่พยาธิเข้าสู่ร่างกาย โดยมีช่องทางการเข้าสู่ร่างกาย ดังนี้
1. เข้าทางปาก จากการกินอาหารที่มีการปนเปื้อนไข่พยาธิ หรือ ตัวพยาธิ
2. เข้าทางผิวหนัง เกิดจาการเข้าทางแผล หรือ สัตว์เป็นพาหะ

อาการเบื้องต้นของโรคพยาธิที่พบบ่อย

ใครบ้างที่เสี่ยงการติดเชื้อพยาธิ

  • ผู้ที่กินเนื้อปลาดิบเป็นประจำ
  • ผู้ที่อาศัยอยู่ในถิ่นอาศัย หรือชุมชนที่มีสุขอนามัยที่ไม่ดี
  • ผู้ที่กินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนไข่หรือตัวอ่อนพยาธิ
  • ผู้ที่ใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติที่ไม่ผ่านการกรองหรือบำบัด

วิธีป้องกันการติดเชื้อพยาธิเบื้องต้น

  • หมั่นล้างมือบ่อยๆ ก่อน – หลังหยิบจับอาหารเข้าปาก
  • ดื่มน้ำสะอาดที่ผ่านการต้มสุกหรือผ่านการกรองแล้ว
  • ไม่กลืนน้ำเวลาเล่นน้ำจากแหล่งธรรมชาติ
  • ควรปรุงเนื้อสัตว์ให้สุกก่อนรับประทานทุกครั้งถ้าเป็นไปได้
  • ล้างเนื้อสัตว์ เนื้อปลาดิบ ก่อนรับประทานหรือปรุงอาหาร

อย่างไรก็ตาม การกินปลาดิบเป็นประจำจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อพยาธิได้ แต่พยาธิบางชนิดก็สามารถอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ คุณสามารถลดความเสี่ยงจากพยาธิ โดยการเลือกทานและเลือกซื้อปลาดิบจากร้านที่ได้คุณภาพมีความน่าเชื่อถือในความสะอาด และมีวิธีการจัดเตรียมอาหารเมนูปลาดิบได้อย่างเหมาะสมถูกวิธีนั้นเอง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เจลาติน คืออะไร

0
เจลาติน คืออะไร
เจลาตินเป็นส่วนประกอบในอาหารไร้สีไร้รสได้มาจากคอลลาเจนเป็นโปรตีนเกือบทั้งหมดคล้ายอัลบูมินที่ละลายน้ำ ได้มาจากการต้มหนังเนื้อเยื่อของสัตว์ กระดูก ผิวหนัง และเส้นเอ็นของสัตว์
เจลาติน คืออะไร
เจลาตินเป็นส่วนประกอบในอาหารไร้สีไร้รสได้มาจากคอลลาเจนเป็นโปรตีนเกือบทั้งหมดคล้ายอัลบูมินที่ละลายน้ำ 

เจลาติน

เจลาติน (Gelatin) คือ ส่วนประกอบในอาหารไร้สีไร้รสได้มาจากคอลลาเจนเป็นโปรตีนเกือบทั้งหมดคล้ายอัลบูมินที่ละลายน้ำได้ ซึ่งได้มาจากการต้มหนังเนื้อเยื่อของสัตว์ กระดูก ผิวหนัง และเส้นเอ็นของสัตว์ เช่น วัว ควาย ไก่ หมู และปลา ในเจลาตินมีกรดอะมิโนอยู่สองชนิดเป็นสารที่ร่างกายมนุษย์ใช้สร้างคอลลาเจน จากข้อมูลพบว่าในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ใช้สารเพิ่มความข้นจากเจลาตินที่มนุษย์ใช้อยู่นั้นประมาณ 9,590 จาก 10,586 รายการในเกรดอาหาร และเกรดยา ในรูปแบบแคปซูลเจลาตินคิดเป็นประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ สำหรับขนมหวานบางชนิด เช่น ขนมเหนียว ๆ ลูกอมเหนียวหนึบ มาร์ชเมลโลว์ เค้ก พาย เยลลี่ โยเกิร์ตข้น ลูกอมเยลลี่ ฯลฯ

เจลาตินทำอย่างไร

นำกระดูก เนื้อเยื่อ เส้นเอ็น หนังแห้งจากสัตว์ รวมถึงเกล็ดปลาสามารถใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการทำเจลาตินได้ ขั้นตอนต่อไปหั่นวัตถุดิบทั้งหมดเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วแช่ด้วยน้ำล้างให้สะอาด และนำไปแช่ต่อในสารเคมีประมาณสองวัน
เมื่อครบ 2 วันแล้วก็นำวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการไฮโดรไลซิส ซึ่งเป็นกระบวนการย่อยสลายตัวของวัตถุดิบด้วยปฏิกิริยาจากน้ำร้อนและสารเคมี เมื่อเสร็จแล้วเอาวัตถุดิบที่ได้พักทิ้งไว้ให้เย็น หลังจากนั้นกรองแยกน้ำแยกกากเสร็จแล้วเป็นขั้นตอนการทำให้กระจ่างน้ำระเหยเพื่อให้ผลิตภัณฑ์เจลาตินมีความเข้มข้นสูง มาถึงขั้นตอนการฆ่าเชื้อแล้วรอให้เย็นแล้วฆ่าเชื้อซ้ำอีกครั้ง โดยนำไปผ่านกระบวนการที่เปลี่ยนของเหลวให้เป็นเจล จากนั้นนำไปเข้าเตาอบเพื่อบดให้เป็นผงขนาดสม่ำเสมอ คัดแยก และบรรจุ

ประเภทของเจลาติน

1. เจลาตินแบบแผ่น
2. ผงเจลาติน
3. แคปซูลเจลาติน (แคปซูลยา)

ประโยชน์ของเจลาตินต่อสุขภาพ

  • เจลาตินช่วยสร้างและรักษาเนื้อเยื่อของร่างการให้แข็งแรง
  • เจลาตินช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ลดริ้วรอย ร่องลึกต่างๆ
  • อุดมไปด้วยกรดกลูตามิกช่วยย่อยอาหารโดยกระตุ้นการผลิตน้ำย่อย
  • ช่วยให้อาหารเคลื่อนผ่านระบบย่อยอาหาร
  • คอลลาเจนในเจลาตินสามารถลดอาการปวดข้อที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ
  • ไลซีนในเจลาตินช่วยเสริมสร้างกระดูก และป้องกันการสูญเสียกระดูก
  • ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม
  • ช่วยให้กระดูกแข็งแรงไกลซีนในเจลาติน
  • ช่วยให้คุณภาพการนอนหลับดียิ่งขึ้น

คุณสมบัติที่สำคัญของเจลาติน คืออะไร

  • เจลาตินละลายที่อุณหภูมิร่างกายทำให้รู้สึกสบายปากจึงเหมาะสำหรับทำขนม เช่น กัมมี่ มาร์ชเมลโลว์ ลูกอมเคี้ยวหนึบ และผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อสัตว์ และของหวานอื่นๆ อีกมากมาย
  • เป็นโปรตีนจากธรรมชาติที่มีความปลอดภัย เมื่อรับประทานเข้าไปจึงทำให้เกิดอาการแพ้ในร่างกายมนุษย์น้อยมาก ดังนั้น เจลาตินจึงเหมาะสำหรับการใช้งานด้านเภสัชกรรมและการแพทย์
  • เจลาตินเป็นส่วนประกอบในอาหารทั่วไปในซุป ซอส ลูกอมเหนียวหนึบ และเจลาตินไม่ได้ใช้ในอาหารเท่านั้น แต่ยังใช้ในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพหรือเครื่องสำอางเท่าและเจลาตินยังถูกใช้ในผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้แก่ ฟิล์มถ่ายภาพกระดาษ หัวไม้ขีด กระดาษทราย กระดาษพิมพ์เคลือบเงา หมวกว่ายน้ำ
  • แผ่นจำลองทางการแพทย์สำหรับเย็บแผลผ่าตัด
  • การตรวจลักษณะบาดแผลที่เกิดจากการถูกยิงด้วยอาวุธปืน
  • เพื่อระบุบาดแผลทางเข้าและบาดแผลทางออกของกระสุนปืนใช้ในงานด้านนิติวิทยาศาสตร์

กรดอะมิโนในเจลาตินจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีมากที่สุด

  • ไกลซีน 27%
  • โพรลีน 16%
  • วาลีน 14%
  • ไฮดรอกซีโพรลีน 14%
  • กรดกลูตามิก 11%

ผลข้างเคียงของเจลาตินคืออะไร?

นอกจากจะใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารเสริมเพื่อสุขภาพแล้ว เจลาตินยังใช้ทำการเคลือบแคปซูลสำหรับยาหลายชนิดอีกด้วย แม้ว่าจะพบได้ยาก แต่บุคคลบางคนอาจแพ้ผลิตภัณฑ์เจลาตินจากวัว ดังนั้น หากคุณรู้ว่าคุณมีอาการแพ้ หรือแพ้ง่ายควรศึกษาข้อมูลบนฉลากสินค้าก่อนทุกครั้ง เมื่อกินอาหารหรือขนมหวานที่มีส่วนผสมของเจลาตินในปริมาณมากเกินไป อาจส่งผลข้างเคียงหลังการบริโภคเจลาตินเพราะเจลาตินสามารถทำให้เกิดรสชาติที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้รู้สึกหนักในกระเพาะอาหาร ท้องอืด หรือเรอมากกว่าปกตินั่นเอง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

วุ้น ทำมาจากวัตถุดิบอะไร เรื่องที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวุ้น

0
วุ้น ทำมาจากวัตถุดิบอะไร เรื่องที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวุ้น
วุ้น ทำมาจากอะไร
วุ้นที่ใช้ทำขนมมี 2 ชนิด คือ ชนิดผง มีลักษณะเป็นผงสีขาวนวล และชนิดเส้น มีลักษณะคล้ายเชือกฟาง ขาวใสเส้นยาว

วุ้น

วุ้น (Agar–Agar) คือสารที่ประกอบไปด้วยน้ำตาลหลายโมเลกุล ซึ่งสกัดมาจากสาหร่ายทะเลสีแดง 2 ชนิด คือ Gelidium (สาหร่ายเขากวาง) และ Gracilaria (สาหร่ายวุ้นหรือสาหร่ายผมนาง) โดยสาหร่ายเหล่านี้มีการกระจายพันธุ์อยู่ทั่วโลกในพื้นที่ชายฝั่งทะเลหรือบริเวณเกาะที่มีคลื่นลมสงบ ทั้งในเขตร้อนและเขตอบอุ่น ในประเทศไทย วุ้นสามารถพบได้ตามชายฝั่งของอ่าวไทยและฝั่งมหาสมุทรอินเดีย

วิธีทำวุ้น (ผงวุ้น)

นำสาหร่ายทะเลสีแดงแห้ง (ทั้ง2ชนิด) มาแยกเศษวัสดุเจือปนออกโดยล้างด้วยน้ำแล้วนำไปตากแห้ง ทำซ้ำ หลาย ๆ รอบจดสะอาด จากนั้นนำไปต้มจนสาหร่ายนิ่มแล้วบดให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้วนำไปต้มต่อโดยเติมสารต่าง ๆ เพื่อปรับระดับความเป็นกรดด่าง และนำไปกรอง ทิ้งวุ้นให้แข็งตัวแล้วนำไปแช่เย็นเพื่อทำให้น้ำแยกตัวออกจากวุ้นตามเวลาที่กำหนด จากนั้นวุ้นออกมาปล่อยให้น้ำแข็งละลายและล้างวุ้นด้วยน้ำเย็นทิ้งให้สะเด็ดน้ำ และขั้นตอนสุดท้ายคือการอบแห้งและบดให้เป็นผง เมื่อเราจะทำวุ้นกิน ก็นำวุ้นผงสำเร็จรูปต้มใส่น้ำ น้ำตาลแล้วทิ้งไว้ให้วุ้นแข็งตัวได้สะดวกขึ้น

ชนิดสาหร่ายที่ใช้ทำวุ้น

สาหร่ายที่ให้วุ้นเหล่านี้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามความสามารถในการแข็งตัวของวุ้น (setting power) ได้แก่
1. เจลิเดียม (Gelidium type) เป็นสาหร่ายชนิดที่ให้วุ้น ซึ่งสามารถแข็งตัวได้ดี แม้จะใช้วุ้นในปริมาณต่ำ
2. กราซิลลาเรียฮิบเนีย (Glacilaria, Hypnea type) เป็นสาหร่ายที่ให้วุ้น ซึ่งจะแข็งตัวได้เมื่อใช้ในปริมาณค่อนข้างสูงหรือต้อง เติมสารอิเล็กทรอไลต์
3. คอนดรัส (Chondrus type) เป็นสาหร่ายที่ให้วุ้นซึ่งจะแข็งตัวได้ เมื่อใช้ในปริมาณความเข้มข้นสูงเท่านั้น

ประเภทของวุ้น

วุ้นแบ่งประเภทออกได้เป็น 2 ชนิด ดังนี้
1. วุ้นที่ทำจากเจลาติน (GELATIN)
ทำมาจากคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนในเนื้อเยื่อพังผืดของสัตว์เ เช่น กระดูก เอ็น หนังสัตว์ การหุงต้มทำให้คลอลาเจนเปลี่ยนเป็นเจลาติน แล้วผ่านขบวนการทำให้แห้งและบดให้เป็นเม็ดเล็กๆ เจลาตินในท้องตลาดมีขายทั้งในลักษณะเป็น เม็ด ผง เกล็ดและแผ่น การนำไปใช้ต้องผสมเจลาตินกับของเหลวเย็นในปริมาณเล็กน้อย ตั้งไว้จนอ่อนตัวลง จึงนำไปตั้งไฟเพื่อให้เจลาตินกระจายไปทั่ว หรือจะเติมน้ำร้อนลงในเจลลาตินที่อ่อนตัวนั้นได้ แล้วคนจนส่วนผสมใส ไม่มีเม็ดเจลาตินเหลืออยู่ จึงเติมส่วนผสมอื่น เช่น น้ำตาล เกลือ
2. วุ้นที่ทำจากสาหร่ายทะเล (AGAR-AGAR)
เป็นกัมที่สกัดได้จากสาหร่ายทะเลสีแดงบางชนิด เช่น Gelidium-amansii, Gelldlum-pacificum ฯลฯ เป็น กัมที่ไม่ละลายน้ำเย็น แต่จะละลายในน้ำร้อน เมื่อแข็งตัวให้เจลที่มีลักษณะแข็งและยืดหยุ่นได้ดี เนื่อง จากคุณสมบัติที่วุ้นสามารถเกิดเจลได้ที่อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิละลายมาก จึงทำให้มีการนำวุ้นไปใช้ ในอุตสาหกรรมอาหารมาก นิยมใช้กันมากในผลิต ภัณฑ์ขนมอบ ผลิตภัณฑ์ขนมหวาน ผลิตภัณฑ์เนื้อและ ปลา ซึ่งประเทศไทยนิยมนำวุ้นจากสาหร่าย (AGAR-AGAR) นำมาทำขนม เช่น วุ้นหน้ากะทิ วุ้นลาย วุ้นชั้น วุ้นสังขยา ฯลฯ วุ้นสาหร่ายทำมาจากสารเหนียวที่มีอยู่ในสาหร่าย มีคุณสมบัติ จับตัวเป็นวุ้นที่ยืดหยุ่นได้ มิลักษณะใส

ชนิดของวุ้นทำขนม

วุ้นที่ใช้ทำขนมมี 2 ชนิด คือ
1. ชนิดผง มีลักษณะเป็นผงสีขาวนวล บรรจุในถุงพร้อมใช้สะดวก
2. ชนิดเส้น มีลักษณะคล้ายเชือกฟาง ขาวใสเส้นยาว (คนละชนิดกับที่ทำแกงจืด) วิธีการใช้ก็คือ ล้างด้วยน้ำสะอาดให้หมดผงแล้วแช่น้ำสักครู่ พอให้เส้นพองขึ้น แล้วนำไปเคี่ยว

คุณสมบัติของวุ้น

1. วุ้นละลายในน้ำเดือด เป็นเจลระหว่าง 32 ถึง 43 ° C เจลนี้จะไม่ละลายจนกว่าจะได้รับความร้อนถึง 85 ° C หรือสูงกว่าวุ้นไม่ละลายในน้ำเย็น มีลักษณะของเจลจากวุ้น แข็งกรอบ และยึดหยุ่น
2. 90% ของการผลิตวุ้นใช้สำหรับอาหาร สำหรับไอซิ่งเคลือบชีสแปรรูปเยลลี่และขนมหวาน ฯลฯ
3. ใช้ทำเป็นเจล และใช้เคลือบผิวของกินให้มันวาว
4. ใช้ในการใช้งานทางจุลชีววิทยาและเทคโนโลยีชีวภาพอื่น ๆ
5. ใช้เจือปนขนมหวานบางอย่าง เช่น วุ้นกะทิ วุ้นนํ้าเชื่อม

ประโยชน์ของวุ้น

1. ใช้เป็นอาหารแล้ว
2. ผสมในผลิตภัณฑ์นม ขนมปัง และอาหารกระป๋อง
3. อุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น เครื่องสำอาง เครื่องหนัง และสิ่งทอ
4. ทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ ใช้เป็นส่วนประกอบของยาระบายใช้เป็นทันตวัสดุ และใช้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช เป็นต้น

ข้อแนะนำการทำวุ้น

วิธีทำวุ้นให้น่ารับประทานไม่เละหรือแข็งเกินไป ต้องชั่งปริมาณให้ได้ 7-10% ของน้ำหนักน้ำ เช่น น้ำ 1,000 กรัม ต่อผงวุ้น 70-100 กรัม ซึ่งถ้าอยากให้ตัววุ้นแข็งมากก็ใช้ผงวุ้น 100 กรัม หรืออยากให้ตัววุ้นนุ่มก็ลดผงวุ้นลงตามต้องการ (ใช้ได้กับวุ้นทุกชนิด)

ผู้ที่ควรบริโภควุ้นแต่น้อย

เด็กที่กำลังเจริญเติบโตไม่ควรบริโภคขนมประเภทเหล่านี้มากเกินไปจนขาดความอยากอาหารอื่น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการขาดอาหารได้ เพราะสารอาหารที่มีอยู่ในขนมประเภทนี้ไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต อีกทั้งอาจก่อให้เกิดปัญหาฟันผุอีกด้วย เด็กๆ มักชอบกินเยลลี่เพราะเย็นชื่นใจ และยังละลายได้ในปาก ส่วนประเภทขนมเยลลี่พร้อมบริโภคก็ชอบเพราะสะดวกและเคี้ยวสนุก นอกจากนี้ยังมีรสชาติต่างๆ อยู่ในถุงเดียวกัน ผู้ปกครองจึงควรระมัดระวังให้มาก ส่วนผู้ใหญ่ที่ต้องการลดน้ำหนักก็อาจกินวุ้นหรือเยลลี่ลองท้อง แต่อย่างไรต้องระวังไว้เกี่ยวกับปริมาณน้ำตาลที่สูงพอๆ กับน้ำอัดลมที่หวานๆ ทีเดียว

บทความที่เกี่ยวข้อง

คาราจีแนนในอาหาร ปลอดภัยแค่ไหน ข้อดีและข้อควรระวังที่ต้องรู้

0
คาราจีแนนในอาหาร ปลอดภัยแค่ไหน ข้อดีและข้อควรระวังที่ต้องรู้
คาราจีแนน นิยมใช้ทำอะไร และดีหรือไม่ดีอย่างไร
เป็นสารเพิ่มความข้น สารก่อเจล สารทำให้คงตัว หรืออิมัลซิไฟเออร์ในขนม ของหวาน และอาหารแปรรูปที่หลากหลาย

คาราจีแนน

คาราจีแนน (Carrageenan) คือสารสกัดจากสาหร่ายสีแดงที่สามารถรับประทานได้ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในเกาะอังกฤษ สารนี้ถูกใช้เป็นวัตถุเจือปนในอาหารเพื่อเพิ่มความข้นและทำให้เกิดเนื้อสัมผัสที่ดีขึ้น คาราจีแนนไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่มีคุณสมบัติในการเพิ่มความข้น, การก่อเจล, การช่วยให้คงตัว หรือทำให้สารต่างๆ รวมกันเป็นอิมัลซิไฟเออร์ ซึ่งทำให้มันถูกใช้ในอาหารหลายประเภท เช่น นมถั่วเหลือง, โยเกิร์ต, ชีสสด, นมช็อคโกแลต, นมผงสำหรับทารก รวมถึงผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์และขนมหวานต่างๆ

อาหารใดบ้างที่มีคาราจีแนนเป็นส่วนประกอบ

อาหารใดบ้างที่มีคาราจีแนนเป็นส่วนประกอบมักผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์อาหารมังสวิรัติ เนื่องจากเป็นพืชผู้ผลิตจึงใช้คาราจีแนนแทนเจลาติน ซึ่งทำจากชิ้นส่วนของสัตว์นั่นเอง

  • ไอศครีม
  • ชีสสดหรือคอทเทจชีส
  • นมช็อคโกแลต
  • วิปครีม
  • เยลลี่ผลไม้
  • ของหวานเมนูมูสแช่เย็น
  • น้ำสลัดไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ
  • สูตรอาหารทารกสำเร็จรูป

วิธีใช้ผงคาราจีแนน

ใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนอย่างน้อย 70 องศา เพื่อทำการละลายผงคาราจีแนนก่อนนำไปผสมกับส่วนผสมอย่างอื่น

ประโยชน์ของคาราจีแนน

ประโยชน์ของคาราจีแนนคาราจีแนนมีคุณสมบัติเฉพาะตัวใช้สำหรับเพิ่มความหนืดในอาหารเครื่องดื่มที่ต้องการเจลหรือเพิ่มความหนืด เช่น เต้าหู้นม นมช็อคโกแลต เยลลี่ ไอศกรีม ไส้กรอก เนื้อสัตว์ อาหารสัตว์ เครื่องดื่ม และเป็นสารเพิ่มเนื้อ
อาหารที่มีคาราจีแนน

  • ผลิตภัณฑ์จากนม : วิปปิ้งครีม นมช็อกโกแลต ไอศกรีม ซาวครีม คอทเทจชีส และผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตสำหรับเด็ก
  • ผลิตภัณฑ์นมทดแทน : นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ นมกัญชง กะทิ พุดดิ้งถั่วเหลือง และของหวานอื่นๆ
  • เนื้อสัตว์ : ไก่ปรุงสำเร็จ และเนื้อ
  • อาหารสำเร็จรูป : ซุปและน้ำซุปกระป๋อง อาหารเย็นแบบใช้ไมโครเวฟได้ และพิซซ่าแช่แข็ง
  • เพื่อให้เนื้อสัตว์กับเครื่องเทศปรุงรสกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน (อาหารกระป๋อง)
  • เพิ่มการคงรูปเป็นเนื้อเดียวกัน
  • คงสภาพหลังเก็บในความเย็นต่ำแช่เย็นแล้วไม่เปลี่ยนรสไม่แข็งตัวเป็นก้อน (เนื้อสัตว์)
  • ป้องกันการแยกชั้นและตกตะกอนของช็อคโกแลต (นมช็อคโกแลต)
  • ทำให้นมช็อคโคแลตมีส่วนผสมคงที่
  • ป้องกันการแยกชั้นของไขมันและน้ำในนมช็อคโคแลต
  • เพิ่มความมัน ทำให้ไขมันรวมตัวกับนม แป้ง ไข่ กลิ่น
  • ลดการละลายของเนื้อไอศกรีม (ไอศกรีม)
  • ป้องกันการแยกตัวของความมัน จากเนื้อไอศกรีม
  • ทำให้เกิดการตกตะกอนโปรตีน เพิ่มปริมาณแอลกอฮอล์และความใส (เครื่องดื่มแอลกอฮอร์)
  • ป้องกันการแยกชั้นของส่วนไขมัน (ขนมพุดดิ้งและอาหารทำจากนม)
  • คงสภาพของพุดดิ้งขณะตัดแบ่งที่สวยงาม
  • เพิ่่มความยืดหยุ่นและความกรอบของเยลลี่ได้ (เจลลี่)
  • สามารถผลิตเจลลี่ได้ในอุณหภูมิปรกติโดยไม่ต้องแช่เย็น
  • ทำให้โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรตและน้ำ รวมตัวเป็นเนื้อเดียวกันในนมถั่วเหลือง
  • ทำให้นมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้มีความเข้มข้นกลมกล่อม

กระบวนการผลิตของคาราจีแนนก่อนนำมาใช้

1. การเตรียมสาหร่ายดิบ : สาหร่ายดิบเตรียมตากแดดโดยสาหร่ายสดที่เก็บจากฟาร์ม สาหร่ายตากแห้งล้างให้สะอาดด้วยน้ำกลั่นด้วยเหตุผลสองประการ เพื่อขจัดสิ่งปนเปื้อนและทำให้ความชื้นของสาหร่ายเป็นมาตรฐาน สาหร่ายเปียกถูกทำให้แห้งในเตาอบที่ 60°C เป็นเวลา 15-16 ชั่วโมงเพื่อขจัดความชื้นส่วนเกิน
2. การสกัดสาหร่าย : สกัดสาหร่ายแห้งในหม้อหุงเป็นชุดในสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (สูตรโมเลกุลแบบย่อ KOH) อุณหภูมิในการสกัดถูกควบคุมให้คงที่ ในขณะที่ความเข้มข้นของสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์และเวลาในการสกัดถูกกำหนดให้เป็นค่าที่ต้องการสาหร่ายที่สกัดแล้วถูกทำให้เย็นลงที่อุณหภูมิห้อง และล้างด้วยน้ำกลั่นเพื่อขจัดสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ส่วนเกิน
3. การผลิตผง : หลังจากนั้น ตัวอย่างจะละลายด้วยน้ำกลั่นที่อุณหภูมิ 90°C ก่อนกระบวนการพ่นแห้งแบบพ่นฝอย อัตราส่วนของตัวอย่างต่อน้ำกลั่นคือ 1:15 อัตราการไหลของฟีดมีการตั้งค่าที่ 8 มลเอช1 และอัตราการไหลของอากาศร้อนในห้องอบแห้งเป็น 40 เมตร3ชั่วโมง-1 อุณหภูมิขาเข้าของอากาศร้อนคือ 140°C สำหรับเครื่องพ่นแห้งแบบพ่นฝอย กระบวนการทำแห้งแบบพ่นฝอยได้ในห้องปฏิบัติการโดยใช้เครื่องพ่นสเปรย์
4. การตรวจสอบ : นำผงคาราจีแนนมาวัดค่าความหนืด และการวิเคราะห์ความหนืดของคาราจีแนน มีค่าอยู่ในช่วง 54.6-194.8 cP

จากการทดสอบพบว่าค่าความหนืดของคาราจีแนนมีความสัมพันธ์กับระยะเวลาในการสกัดและความเข้มข้นของสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์
เนื่องจากความเข้มข้นของสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ยิ่งสูงขึ้น แอนไฮโดรกาแลคโตส 3,6 ก็จะสร้างมากขึ้น และให้คาราจีแนนที่หนืดมาขึ้นเท่านั้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เพกติน (Pectin) ทำความรู้จักสารเพิ่มความหนึบในเยลลี่

0
เพกติน (PECTIN) สารเพิ่มความหนึบเยลลี่
เพกตินเป็นสารจากพืชเกิดขึ้นตามธรรมชาติละลายน้ำได้และมีลักษณะคล้ายกาวเหนียวๆ มีทั้งแบบ เช่น ผง ของเหลว และแผ่น

เพกติน

เพกติน (Pectin) คือ สารจากพืชที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีลักษณะคล้ายกาวเหนียวและละลายน้ำได้ ซึ่งช่วยยึดเซลล์พืชไว้ด้วยกัน ทำให้เกิดความเหนียว โดยปริมาณเพกตินในผลไม้แต่ละชนิดจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดและความสุกของผลไม้ เพกตินมีหลายรูปแบบ เช่น ผง ของเหลว และแผ่น ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการผลิตอาหารได้หลากหลาย ทั้งในการทำแยม เยลลี่ หรือแม้กระทั่งน้ำผลไม้ เพกตินจะช่วยเปลี่ยนให้ของเหลวจากผลไม้เซ็ตตัวเป็นเจลได้ดีโดยไม่ต้องใช้น้ำตาลมากเกินไป ทำให้เหมาะสำหรับการผลิตขนมหวานต่าง ๆ ที่ต้องการให้เกิดความหนึบหนับ นอกจากนี้ยังมีการใช้เพกตินในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวอีกด้วย

ประเภทของเพคติน

เพคตินมีอยู่หลายชนิดมีเพียง 2 ชนิด ที่ถูกใช้ในเชิงพาณิชย์กันอย่างแพร่หลายในท้องตลาด ได้แก่ ไฮ เมทอกซิล HM (High methoxyl) และ เมทอกซิลต่ำ LM (low methoxyl)

HMP (ปริมาณเมทอกซิลสูง) LMP (ปริมาณเมทอกซิลต่ำ)
ประกอบด้วยกรดเพกติกซึ่งสกัดด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้นในสารละลายที่เป็น กรด ประกอบด้วยกรดเพกติกซึ่งถูกสกัดที่อุณหภูมิต่ำโดยมีสารละลายที่เป็นกรดน้อยกว่า แต่มีสารประกอบทางเคมีอื่นๆ
HMP ต้องการน้ำตาลและความเข้มข้นของกรดสูงเพื่อสร้างเจล LMP ไม่ต้องการความเข้มข้นของน้ำตาลในการสร้างเจล
สร้างเจล HMP ไม่จำเป็นต้องมีแคลเซียมไอออน สร้างเจล LMP ในที่ที่มีแคลเซียมไอออน

เพกตินทำมาจากอะไร?

เพกตินทำมาจากอะไร?เพกตินสามารถหาได้จากผักและผลไม้หลากหลายชนิด ได้แก่ มะม่วงหาวมะนาวโห่ ส้ม เกรฟฟรุต มะนาว แอปเปิ้ล มะยมเขียว แอปริคอต ลูกพลัม แบล็กเบอร์รี่ เชอร์รี่ ปริมาณเพคตินที่พบในผักและผลไม้จะแตกต่างกันมาก ผลไม้ดิบที่เนื้อแน่นจะมีปริมาณเพคตินสูงกว่าผลไม้สุกที่เนื้อนิ่มกว่าจะมีปริมาณเพคตินที่ต่ำกว่านั่นเอง

เพคตินทำงานอย่างไร?

เพกตินมาในรูปของเหลวหรือผง และละลายได้ในน้ำเย็น เพคตินต้องการส่วนผสมอื่นๆเพื่อที่จะเป็นเจล โดยปกติส่วนผสมเหล่านั้นจะเป็นน้ำตาลหรือแคลเซียม

วิธีการผลิตเพกตินอย่างไร

การผลิตเพคตินประกอบด้วยกระบวนการสกัดเป็นส่วนใหญ่ในสภาวะที่เป็นกรดโดยที่เพคตินจะถูกแยกออกจากเปลือกส้มและกลายเป็นรูปแบบที่ละลายน้ำได้ ซึ่งโปรโทเพคตินที่มีอยู่ในผลไม้สกัดโดยการไฮโดรไลซิสในสารละลายที่เป็นน้ำ ของเหลวจะถูกแยกออกจากเศษเปลือกที่ยังคงอยู่ในสารแขวนลอยโดยใช้การกรองเพื่อให้ได้เพคตินที่ใส เมื่อใช้ในการผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป จากนั้นน้ำเชื่อมเพคตินจะถูกทำให้ตกตะกอนทำให้บริสุทธิ์ และกรองเพื่อแยกเพคตินออกให้ได้เพคตินบริสุทธิ์จะถูกทำให้แห้งและตรวจวิเคราะห์ทางเคมีอย่างละเอียด เพื่อให้ลูกค้าได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพระดับการเกิดเจลคงที่และเหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมอาหาร และอื่นๆ

เพกตินเหมือนกับเจลาตินหรือไม่?

หลายคนจะเข้าใจผิดว่าเพกตินและเจลาตินจะทำหน้าที่เป็นสารเพิ่มความเหนียวข้น หรือสารทำให้คงตัวเหมือนกันแต่ก็ไม่ใช่อย่างเดียวกัน เนื่องจากเพกตินมาจากพืชส่วนเจลาตินมาจากสัตว์ ดังนั้น เพคตินจึงถูกนำมาทำเป็นอาหารมังสวิรัติ

ประโยชน์ของเพกติน

เพคตินมีการใช้งานที่หลากหลายมีความสามารถเฉพาะตัวในการสร้างเจล เมื่อมีน้ำตาล กรด หรือแคลเซียมไอออน เนื่องด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวจึงถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น

  • ใช้เป็นสารลดแรงตึงผิวหรือสารสร้างเจล
  • สารเพิ่มความข้น
  • สารเพิ่มความคงตัว
  • สารทดแทนไขมัน หรือน้ำตาลในอาหารแคลอรีต่ำ
  • ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหาร
  • ใช้เป็นสารเคลือบผิวอาหาร ขนม ลูกอมที่รับประทานได้
  • เพกตินมักใช้ในแยมผิวส้ม แยม และเยลลี่ เพราะเมื่อปรุงด้วยกรดและน้ำตาลที่อุณหภูมิสูงจะทำให้ได้เนื้อเจลที่สวยงาม

ดังนั้น การเกิดเจลของเพคตินและการคงตัวเป็นไปตามกลไกที่แตกต่างกัน สำหรับเพคตินประเภทต่างๆ รูปแบบเจล HMP ในช่วง pH ต่ำ 2.0 – 3.5 เมื่อมีซูโครสที่ความเข้มข้นสูงกว่า 55% w/v ในตัวกลาง ในระหว่างการทำให้เกิดเจล การสร้างเจลโดย LMP เกิดขึ้นใน pH 2.0 – 6.0 พวกมันไม่ต้องการความเข้มข้นของซูโครส แต่ต้องมีไอออนไดวาเลนต์ ในระหว่างการเกิดเจล

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

อาหารว่างสำหรับเด็กควรเป็นอย่างไร

0
อาหารว่างสำหรับเด็กควรเป็นอย่างไร
อาหารว่าง คือ อาหารทานระหว่างมื้อ เบาๆ มีทั้งคาว หวาน เป็นอาหารชิ้นเล็ก ๆ หยิบรับประทานง่าย เป็นได้ทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ
อาหารว่างสำหรับเด็กควรเป็นอย่างไร
อาหารว่าง คือ อาหารทานระหว่างมื้อ เบาๆ มีทั้งคาว หวาน เป็นอาหารชิ้นเล็ก ๆ หยิบรับประทานง่าย เป็นได้ทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ

อาหารว่าง

อาหารว่าง ( Light meal ) คือ อาหารระหว่างมื้อ เป็นอาหารประเภทเบาๆ มีปริมาณอาหารน้อยกว่า อาหารมื้อหลัก อาจจะเป็นอาหารน้ำ หรืออาหารแห้ง คาว หรือหวาน เป็นอาหารชิ้นเล็ก ๆ ขนาดพอคำ หยิบรับประทานได้ง่าย เป็นได้ทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ หรือรับประทานควบคู่กับเครื่องดื่มร้อน เย็น หรือน้ำผลไม้

หลักการเลือกอาหารว่างสำหรับเด็ก

1. เลือกขนมที่มีพลังงานไม่สูงมาก ไม่มีน้ำมัน และน้ำตาลมากเกินไป พลังงานจากอาหารว่างไม่เกินมื้อละ 100-150 กิโลแคลอรี่ วันละ 2 ครั้ง
2. อาหารว่างควรมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โปรตีน เหล็ก แคลเซียม วิตามินเอ ซี บี 1 บี 2 หรือใยอาหาร โดยแต่ละชนิดมีปริมาณไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน
3. ควรเลือกซื้อขนมที่มีสีตามธรรมชาติ สีสันไม่ฉูดฉาด
4. เลือกขนมโดยการพิจารณาจากข้อมูลบนฉลากโภชนาการ
5.ผลไม้สดหลากสี เช่น ส้ม ฝรั่ง ชมพู่ มะละกอ กล้วย แอปเปิ้ล มะม่วงสุก หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานจัด
6. ขนมอื่น ๆ เช่น นมจืด ขนมปังกรอบชนิดโฮลวีต หรืออาจเป็นขนมหวานไทยที่รสไม่หวานจัด ไม่มีกะทิ
7. หลีกเลี่ยงขนมถุงกรุบกรอบที่มีเกลือและผงชูรสเป็นส่วนประกอบเป็นอาหารว่าง
8. ของหวาน เช่น ไอศกรีม โยเกิร์ตไขมันต่ำ และไม่ควรบริโภคน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือนมเปรี้ยว
9. ขนมปัง เช่น ขนมปังกรอบโฮลวิท ปลาเส้น ถั่วอบ เมล็ดทานตะวันอบ แซนวิท

ข้อควรระวังเกี่ยวกับของการกินขนม

1. ถ้ากินขนมมากและกินอาหารหลัก3 มื้อได้มากจะทำให้เกิดโรคอ้วน
2. กินขนมมากแต่กินอาหารหลัก 3 มื้อน้อย จะทำให้เด็กผอมและขาดสารอาหาร
3. ไม่กินอาหารว่างที่มีเกลือสูง เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง
4. ไม่กินขนมหวานแล้วดูแลรักษาความสะอาดฟันจะเกิดฟันผุ
5. ไม่กินอาหารว่างที่มีรสหวานบ่อยๆ เพราะเด็กจะติดหวาน ไม่ชอบกินผักผลไม้หรืออาหารที่มีกากใย

ข้อควรปฏิบัติเกี่ยวกับการกินขนม

1. ควรกินห่างจากมื้ออาหารไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง
2. ไม่กินอาหารว่างก่อนนอน
3. กินขนมแล้วให้ดื่มน้ำเปล่า บ้วนปากหรือแปรงฟันเพื่อกำจัดความหวาน และช่วยลดจำนวนแบคทีเรียในช่องปากที่เป็นสาเหตุของฟันผุ
4. เลือกชนิดของขนมให้มีสารอาหารและพลังงานที่เหมาะสมไม่กินมากหรือน้อยเกินไป และกินขนมให้เป็นเวลาให้เหมาะสม โดยไม่ละเลยการกินอาหารมื้อหลัก 3 มื้อ เพื่อสุขภาพที่ดี

โภชนาการอาหารว่างสำหรับเด็ก

นอกจากอาหารมื้อหลักแล้ว เด็กควรได้รับอาหารว่างที่มีประโยชน์และให้พลังงานที่เพียงพอในแต่ละมื้อ
เนื่องจากเด็กอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตร่างกายจึงต้องการพลังงานระหว่างวัน เลือกอาหารว่างหรือขนม
ขบเคี้ยวที่มีประโยชน์ดังนี้

ตารางโภชนาการอาหารว่างสำหรับเด็กแต่ละช่วงวัยที่ควรบริโภค

ช่วงอายุ / ปี เด็กผู้หญิง เด็กผู้ชาย
2 – 4 แคลอรี่ 1,000-1,400 kcal แคลอรี่ 1,000-1,600 kcal
โปรตีน 2-4 ออนซ์ 2-5 ออนซ์
ผลไม้ 1-1.5 ถ้วย 1-1.5 ถ้วย
ผัก 1-1.5 ถ้วย 1-2 ถ้วย
ธัญพืช 3-5 ออนซ์ 3-5 ออนซ์
ผลิตภัณฑ์นม 2-2.5 ถ้วย ผลิตภัณฑ์นม 2-2.5 ถ้วย
5 -8 แคลอรี่ 1,200-1,800 kcal แคลอรี่ 1,200-2,000 kcal
โปรตีน 3-5 ออนซ์ โปรตีน 3-5.5 ออนซ์
ผลไม้ 1-1.5 ถ้วย ผลไม้ 1-2 ถ้วย
ผัก 1.5-2.5 ถ้วย ผัก 1.5-2.5 ถ้วย
ธัญพืช 4-6 ออนซ์ ธัญพืช 4-6 ออนซ์
ผลิตภัณฑ์นม 2.5 ถ้วย ผลิตภัณฑ์นม 2.5 ถ้วย
9 -13 แคลอรี่ 1,400-2,200 kcal แคลอรี่ 1,600-2,600 kcal
โปรตีน 4-6 ออนซ์ โปรตีน 5-6.5 ออนซ์
ผลไม้ 1.5-2 ถ้วย ผลไม้ 1.5-2 ถ้วย
ผัก 1.5-3 ถ้วย ผัก 2-3.5 ถ้วย
ธัญพืช 5-7 ออนซ์ ธัญพืช 5-9 ออนซ์
ผลิตภัณฑ์นม 3 ถ้วย ผลิตภัณฑ์นม 3 ถ้วย
14 -18 แคลอรี่ 1,800-2,400 kcal แคลอรี่ 2,000-3,200 kcal
โปรตีน 5-6.5 ออนซ์ โปรตีน 5.5-7 ออนซ์
ผลไม้ 1.5-2 ถ้วย ผลไม้ 2-2.5 ถ้วย
ผัก 2.5-3 ถ้วย ผัก 2.5-4 ถ้วย
ธัญพืช 6-8 ออนซ์ ธัญพืช 6-10 ออนซ์
ผลิตภัณฑ์นม 3 ถ้วย ผลิตภัณฑ์นม 3 ถ้วย

เด็กเป็นวัยเจริญเติบโต เป็นวัยที่ต้องการพลังงานและสารอาหารมากกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งควรได้รับประทานอาหารหลักวันละ 3 มื้อ และควรกินอาหารว่างเพื่อให้ได้พลังงานเพิ่มขึ้น รวมทั้งยังช่วยเสริมการเรียนรู้ในเรื่องการกินอาหารที่หลากหลาย ซึ่งในปัจจุบันเด็กได้รับพลังงานจากอาหารว่างและขนมที่ไม่เหมาะสมที่เต็มไปด้วยไขมัน แป้งและน้ำตาล มากกว่าอาหารหลัก ส่งผลให้เด็กมีปัญหาโภชนาการเกิน ดังนั้นการเลือกขนมหรืออาหารว่างที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ขนมขบเคี้ยวอันตรายต่อสุขภาพอย่างไร

0
ขนมขบเคี้ยวเป็นอาหารที่กินระหว่างมื้อซึ่งไม่ใช่มื้อหลัก และไม่ใช่กับข้าว มีทั้งขึ้นรูปและแปรรูปทำเป็นชิ้นเล็ก ๆ เป็นได้ทั้งของหวานหรือของคาว
ขนมขบเคี้ยวอันตรายต่อสุขภาพอย่างไร
ขนมขบเคี้ยวเป็นอาหารที่กินระหว่างมื้อซึ่งไม่ใช่มื้อหลัก และไม่ใช่กับข้าว มีทั้งขึ้นรูปและแปรรูปทำเป็นชิ้นเล็ก ๆ เป็นได้ทั้งของหวานหรือของคาว

ขนมขบเคี้ยว

ขนมขบเคี้ยว (Snack food) คือ อาหารที่กินระหว่างมื้อซึ่งไม่ใช่มื้อหลัก และไม่ใช่กับข้าว มักปรุงด้วยแป้งต่าง ๆ หรือข้าว นํ้าตาล เกลือ ไขมัน ผงชูรส แต่งกลิ่น รสหวาน มัน เค็ม และสี มีทั้งขึ้นรูปและแปรรูปทำเป็นชิ้นเล็ก ๆ เป็นได้ทั้งของหวานหรือของคาว ได้แก่ มันฝรั่งทอด ลูกอมลูกกวาด ช็อกโกแลต คุกกี้ หมากฝรั่ง เนื้อปลาและปลาหมึก ถั่ว สาหร่าย ข้าวเกรียบกุ้ง และข้าวโพดอบกรอบ และของหวานที่เคี้ยวได้ต่าง ๆ เช่น นมอัดเม็ด ซึ่งมักกินเพื่อลดความหิว ความอร่อย หรือ เพิ่มพลังงาน คลายเคลียด

ประวัติของ ขนมขบเคี้ยว

ขนมขบเคี้ยว พบได้ในวัฒนธรรมตะวันตก ในรูปแบบของอาหารที่ไม่ใช่อาหารที่เป็นมื้อหลักของวัน แต่หมายถึงอาหารที่มีไว้เพื่อระงับความหิวระหว่างมื้อ และให้พลังงานแก่ร่างกายเล็กน้อย

ประเภทของขนม

1. ขนมไทย
2. ขนมขบเคี้ยวหรือ สแน็ก
3. ขนมหวาน
4. ขนมเค้ก
5. ขนมปัง

โทษของขนมขบเคี้ยว

1. โรคอ้วน และฟันผุ ขนมขบเคี้ยวบางชนิดมีรสหวานเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วไม่มีการเผาผลาญ กลูโคสในน้ำตาลจะแปรสภาพเป็นไขมันและเกาะตามส่วนต่างๆ ของร่างกายทำให้อ้วนได้ และน้ำตาลยังเป็นสาเหตุของฟันผุอีกด้วย
2. ไขมันอุดตันในเลือด โดยไขมันที่ไม่ดีอาจทำให้เกิดภาวะการเกิดลิ่มเลือด และเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวสำหรับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายบ่อยๆ
3. เบื่ออาการ เด็กที่ชอบรับประทานขนมขบเคี้ยวเป็นประจำ เมื่อรับประทานเข้าไปมากๆ จะชิดกับรสเค็ม หวานจากขนมจะทำให้เบื่ออาหาร ส่งผลให้ไม่ได้รับสารอาหารตามโภชนาการ และเกิดการขาดสารอาหาร
4. โรคไต ขนมขบเคี้ยวส่วนใหญ่จะมีการเติมเกลือเพื่อเพิ่มรสชาติ มีทั้งการแต่งสี กลิ่นและใส่ผงชูรส ซึ่งเมื่อรับประทานเข้าไปมากไตจะทำงานหนัก และถ้าบริโภคต่อเนื่องจะทำให้เกิดการสะสมของสารพิษในตับและไตและทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
5. โรคความดันโลหิตสูง ขนมขบเคี้ยวจำพวกช็อกโกแลตหรือขนมอบเคลือบช็อกโกแลต มีสารเฟนิลไธลามิน ธีโอโบรไมน์ และกาเฟอีน ซึ่งรับประทานมากเกินไปจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ควนทานช็อกโกแลตแท้ หรือ Dark chocolate แทน

ขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ

1. ผลไม้อบแห้ง อาทิ ฟักทองอบแห้ง แครอทอบแห้ง สับปะรดอบแห้ง กล้วยอบแห้ง ลูกพรุนอบแห้ง จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตตามินซี และกากใยอาหารช่วยเรื่องระบบขับถ่าย พกพาสะดวก สามารถรับประทานได้ทุกที
2. นมอัดเม็ด นมอัดเม็ดเป็นขนมขบเคี้ยวทำขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนนมของเด็กที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ซึ่งตอนนี้ขนมชนิดนี้ได้มีวางจำหน่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป อร่อย เคี้ยวเพลิน ได้แคลเซียมสูง
3. ปลาเส้นหรือปลาสวรรค์ มีโปรตีนและวิตามินเป็นส่วนประกอบ เป็นขนมขบเคี้ยวที่มีโทษน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับขนมขบเคี้ยวในปริมาณ และต้องเลือกยี่ห้อที่ใช้การอบแทนการทอดรวมทั้งมีโซเดียมต่ำ
4. อัลมอนด์อบกรอบ เป็นขนมขบเคี้ยวที่อร่อยมีประโยชน์ อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ วิตามิน โปรตีนและกรดไขมันไม่อิ่มตัว มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยเพิ่มไขมันดี HDL และลดระดับไขมันไม่ดี LDL
5. ป็อบคอร์นไขมันต่ำ ให้พลังงานสูงแต่ไขมันต่ำมีวิตามินบี 1 วิตามินบี2 วิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ

ข้อควรปฏิบัติในการเลือกขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ

1. เลือกขนมที่ใช้สีที่มาจากธรรมชาติ
2. ขนมอบกรอบที่น้ำตาลน้อย และไม่เค็มเกินไป
3. ไม่ควรรับประทานขนมขบเคี้ยว หรือขนมหวานแทนอาหารหลัก
4. ควรจำกัดปริมาณขนมขบเคี้ยว ขนมทานเล่นให้เหมาะสม

ขนมขบเคี้ยวถือเป็นอาหารว่างที่มีมาตั้งแต่เด็กจนโต เป็นอาหารที่ทานได้เพลินๆไม่เฉพาะแต่เด็กๆ ที่ชื่นชอบ เพราะผู้ใหญ่วัยทำงานหลายๆ คนก็ซื้อหาขนมติดตัวเพื่อช่วยประทังความหิว ตามท้องตลาดทั่วไปมีทั้งประโยชน์และโทษต่อร่างกาย ดังนั้นควรรับประทานแต่น้อย และออกกำลังกายเพื่อเพิ่มการเผาผลาญให้มากขึ้น เลือกบริโภคขนมที่อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ

บทความที่เกี่ยวข้อง

เคล็ดลับดูแลลูกน้อยก่อนวัยเรียน ให้สุขภาพดี

0
เคล็ดลับดูแลลูกน้อยก่อนวัยเรียน ให้สุขภาพดี
การดูแลสุขภาพเด็กก่อนวัยเรียน
เด็กวัยก่อนเรียน หรือปฐมวัย คือ เด็กที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 2-6 ปี ซึ่งมีพัฒนาการรูปร่าง จินตนาการ การสื่อสารเพิ่มมากขึ้น ต้องให้ความใกล้ชิดมาก ๆ

เด็กวัยก่อนเรียน หรือปฐมวัย

เด็กวัยก่อนเรียน หรือที่เรียกว่าปฐมวัย (Early Childhood) คือเด็กที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 2-6 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เด็กเริ่มมีพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจอย่างรวดเร็ว โดยรูปร่างจะมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่อ้วนเตี้ยเป็นผอมสูง แขนขายาวมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาทางด้านจินตนาการและการสื่อสารที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงวัยนี้การดูแลโภชนาการเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางร่างกายและสมองให้แข็งแรง โดยการให้เด็กทานอาหารที่มีความหลากหลายและครบ 5 หมู่ จะช่วยให้เด็กได้รับสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเติบโตและพัฒนาการในทุกด้าน

การดูแลสุขภาพเด็กวัยก่อนเรียนให้พร้อมก่อนเข้าเรียน

1. ด้านโภชนาการ

เด็กวัยนี้เป็นวัยที่เริ่มเดินต้องใช้พลังงานในการเล่นมาก โภชนาการในช่วงนี้จึงต้องการอาหารจำพวกโปรตีน และอาหาร 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการที่เหมาะสมตามวัย ได้แก่ ข้าวหรือแป้ง เนื้อสัตว์ต่าง ๆ เครื่องในสัตว์ ผักใบเขียวและผักอื่น ๆ ผลไม้ ไข่ (วันละฟอง) ไขมัน เช่น กะทิ น้ำมันหมู ฯลฯ เป็นต้น
1.1 ปลูกฝังการรับประทานอาหาร เริ่มฝึกวินัยให้ช่วยตัวเองในการกิน ควรให้ลูกได้ลองกินอาหารที่หลากหลาย และอย่าปล่อยให้เด็่กกินขนมจุบจิบ เช่น ลูกอม ขนมกรุบกรอบ เพราะเด็กจะรสชาติเค็ม ๆ หวาน ๆ ชอบกินแต่ขนม กินข้าวน้อยลง ก็จะทำให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมา
1.2 ให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย
1.3 ควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กและเพิ่มแคลเซียมให้กระดูกและฟัน
1.4 ใช้เกลือหรือน้ำตาลปรุงรสอาหารเพียงเล็กน้อย

2. ด้านสุขภาพในช่องปาก

โรคฟันผุเป็นปัญหาที่พบบ่อยในเด็กวัยก่อนเรียน พบได้ตั้งแต่ฟันเริ่มขึ้นในช่วงขวบปีแรกจนถึง 3 ปี สาเหตุอาจเกิดจากการกินของหวาน
2.1 ดูแลทำความสะอาดช่องปากให้ถูกวิธี แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง และช่วง 1 ขวบต้องตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์ครั้งแรก หรือ ใช้ฟลูออไรด์เคลือบฟันเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ
2.2 ลดกินของหวานในปริมาณต่อวันให้น้อยลง เพราะหากฟันผุแล้วต้องถอนออกซึ่งจะทำให้เคี้ยวอาหารไม่ได้ตามปกติ มักไม่อยากกินอาหาร สูญเสียความมั่นใจในการพูดหรือยิ้ม
2.3 ปรับพฤติกรรมด้านการกินหลีกเลี่ยงการให้ขนมกรุบกรอบ ขนมถุง ลูกอม เยลลี่ น้ำหวาน น้ำอัดลม ฝึกรับประทานอาหารให้เป็นเวลา รวมถึงการดูดนิ้ว ติดจุกนม กัดเล็บ

การพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของเด็กก่อนวัยเรียน

การพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของเด็กก่อนวัยเรียนผู้ปกครองควรส่งเสริมพัฒนาการด้านพื้นฐาน เพื่อให้เด็กสามารถปฏิบัติกิจกรรมต่างๆได้ เน้นให้เด็กช่วยเหลือตนเอง เช่นการทานอาหาร การแต่งตัว เป็นต้น เพื่อให้เด็กปรับตัวในสังคมได้

1. ด้านร่างกาย (Physical หรือ psycho-motor development) หมายถึง ความสามารถของร่างกายในการทรงตัวในอิริยาบถต่างๆ และการเคลื่อนไหวโดยใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ การใช้สัมผัสรับรู้และการใช้ตาและมือประสานกันในการทำกิจกรรมต่างๆ
2. ด้านสติปัญญา (Cognitive development) หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้ความสัมพันธ์
ระหว่างสิ่งต่างๆกับตนเอง การรู้คิด รู้เหตุผล และความสามารถในการแก้ปัญหาซึ่งแสดงออกด้วยการใช้ภาษาสื่อความหมายและการกระทำ ดังนั้นพัฒนาการด้านภาษาและสื่อความหมาย การใช้ตากับมือทำงานประสานกันเพื่อแก้ปัญหาและความสามารถในการปรับตัว จึงมีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการด้านสติปัญญา
3. ด้านจิตใจอารมณ์ (Emotional development) หมายถึง ความสามารถในด้านการแสดงความรู้สึก เช่น พอใจ ไม่พอใจ รัก ชอบ โกรธ เกลียด กลัว และเป็นสุข ความสามารถในการแยกแยะ ลึกซึ้ง และควบคุมการแสดงออกของอารมณ์อย่างเหมาะสมเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ตลอดจนการสร้างความรู้สึกที่ดีและนับถือตนเอง บางครั้งจึงมีการรวมพัฒนาการทางด้านจิตใจ อารมณ์ และสังคมเป็นกลุ่มเดียวกัน
4. ด้านสังคม (social development) หมายถึง ความสามารถในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น มีทักษะการปรับตัวในสังคม คือ สามารถทำหน้าที่ตามบทบาทของตน ร่วมมือกับผู้อื่น มีความรับผิดชอบ และมีความเป็นตัวของตัวเอง สำหรับเด็กหมายความรวมถึงความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน และการปฏิบัติตัวเหมาะสมกับกาลเทศะในบริบทเชิงสังคมและวัฒนธรรมของสังคมตนเอง และวัฒนธรรมสากล
5. ด้านจิตวิญญาณ (spiritual development) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงความสามารถในการรู้จักคุณค่าของชีวิตของตนเอง มีกำลังใจในการควบคุมตนเองให้เลือกดำรงชีวิตในทางที่ชอบที่ควรและสร้างสรรค์ นำมาสู่การรู้จักคุณค่าชีวิตของคนอื่นๆ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และพัฒนาการด้านคุณธรรม เช่น ความเมตตากรุณา ซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดของชีวิตที่ดีงาม

หลักการส่งเสริมสุขภาพของเด็กวัยก่อนเรียน

หลักการส่งเสริมสุขภาพของเด็กวัยก่อนเรียน1. ด้านความรับผิดชอบต่อสุขภาพ เป็นการดูแลส่งเสริมสุขภาพอนามัยของเด็ก เช่น การดูแลสุขภาพ รับวัคซีน และพบแพทย์
2. ด้านโภชนาการ เป็นการส่งเสริมด้านอาหารและโภชนาการให้เด็กได้อย่างครบถ้วน หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีประโยชน์
3. ด้านการออกกำลังกาย เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆภายในร่างกาย ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนื้อของเด็ก
4. ด้านการพัฒนาจิตวิญญาณ สามารถทำได้โดยการให้กำลังใจ ใกล้ชิด ฝึกฝนให้ช่วยเหลือตนเองให้มากขึ้น
5. ด้านการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ควรส่งเสริมให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆให้มากขึ้น เช่น พาไปพบปะกับญาติพี่น้องหรือเพื่อนบ้านใกล้เคียง
6. ด้านการจัดการกับความเครียด กิจกรรมการคลายเครียดสามารถกระทำได้โดยการเล่านิทานหรือร้องเพลงให้เด็กฟัง และควรให้ได้รับการนอนหลับทั้งกลางวันและกลางคืนไม่น้อยกว่า 8-10 ชั่วโมง

เด็กวัยก่อนเรียนต้องการอาหารที่ให้พลังงานมีสารอาหารครบ 5 หมู่ ให้เหมาะกับการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง และอาหารควรมีความหลากหลายครบถ้วนทุกมื้อ เพื่อเสริมสร้างระบบประสาทและกล้ามเนื้อ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สิ่งที่ผู้สูงวัยควรรู้

0
สิ่งที่ผู้สูงวัยควรรู้
ผู้สูงวัยหรือผู้สูงอายุเป็นวัยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเป็นช่วงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลง เสื่อมโทรมถดถอยในด้านต่างๆทั้งร่างกายและจิตใจ
สิ่งที่ผู้สูงวัยควรรู้
ผู้สูงวัยหรือผู้สูงอายุเป็นวัยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเป็นช่วงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลง เสื่อมโทรมถดถอยในด้านต่างๆทั้งร่างกายและจิตใจ

ผู้สูงวัย

ผู้สูงวัย หรือผู้สูงอายุ ( Elderly person ) คือ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เป็นที่เคารพรักของลูกหลาน เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของทุกคนในครอบครัว เพื่อเป็นการแสดงถึงคุณค่าของผู้สูงอายุและให้คนทั่วไปได้ตระหนัก องค์การสหประชาชาติจึงกำหนดให้ทุกวันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปี เป็น วันผู้สูงอายุสากล หรือ International Day of Older Persons สำหรับประเทศไทยเรานั้น คณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้มีมติอนุมัติให้วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี เป็น วันผู้สูงอายุ ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์หรือปีใหม่ไทย เป็นการที่ทุกคนในครอบครัวอยู่พร้อมหร้อมหน้ากันและมีการ ทำบุญตักบาตร เข้าวัดฟังธรรม สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวขอพรจากผู้ใหญ่

สิ่งที่ผู้สูงอายุต้องเตรียมตัว

ผู้สูงอายุ เป็นวัยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลง เสื่อมโทรมถดถอยในด้านต่างๆทั้งร่างกายและจิตใจ จึงต้องมีการปรับตัวให้สมวัยดังนี้

1. การเตรียมทางด้านร่างกาย ผู้สูงอายุต้องยอมรับสภาพเสื่อมถอยของร่างกาย และต้องปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับสภาวะที่เป็นอยู่ โดยการลดภาระหน้าที่ให้น้อยลง อย่าหักโหก ควรทำงานที่ให้ความเพลิดเพลินและกระจายงานที่รับผิดชอบไปสู่ลูกหลาน หากไม่สบายให้รีบไปหาหมอ อย่าปล่อยทิ้งไว้นาน หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนที่ทำให้เกิดความเครียดทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งสนใจในสิ่งจำเป็นพื้นฐานของตนเอง ได้แก่ อาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย สุขอนามัย การออกกำลังกาย และการพักผ่อน

2. การเตรียมทางด้านจิตใจ ผู้สูงอายุต้องเข้าใจและยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ฝึกตนให้อยู่ในหลักธรรม ทำตนให้เป็นที่เคารพของคนทั่วไป ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม ใช้จ่ายให้พอดีกับรายรับ และหากิจกรรมที่ชื่นชอบทำ

3. การเตรียมทางด้านสังคม ผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่มักอยู่ติดบ้านมากขึ้น ส่วนใหญ่ได้แต่นั่งๆ นอนๆ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกห่อเหี่ยวลงทุกวัน ดังนั้น ผู้สูงอายุต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมปัจจุบัน ไม่ยึดถือตัวตน ฟังความคิดเห็นของคนอื่น สนใจสิ่งใหม่ๆ คบเพื่อนต่างวัยเพื่อพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ออกสังคมบ้างเป็นครั้งคราว หรือเข้าร่วมชมรมผู้สูงอายุที่อยู่ใกล้บ้าน รวมทั้งเตรียมพร้อมทางด้านกฎหมาย โดยควรทำพินัยกรรมทิ้งไว้ในขณะที่ยังมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ เพื่อให้ลูกหลานได้ปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของตนเอง

การดูแลผู้สูงอายุ

1. อาหาร ผู้สูงอายุควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต และไขมัน เน้นทานโปรตีนจากปลา ไข่แดงไม่ควรเกินวันละ3ฟองต่อสัปดาห์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
2. ออกกำลังกาย ผู้สูงอายุควรออกกำลังกาย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อกระตุ้นจังหวะการเต้นของหัวใจ ฝึกกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่นร่างกาย เช่น ยืดเหยียด รำไทเก็ก รำไม้พลอง โยคะ เดินเร็ว ว่ายน้ำ เป็นต้น ป้องกันการพลัดตกหกล้ม
3. อารมณ์ ผู้สูงอายุต้องควบคุมอารมณ์ ความนึกคิด ความเข้าใจตนเองถึงการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ปล่อยวางเรื่องต่าง ๆ ไม่ยึดติด ทำจิตใจให้ร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เครียด
4. สุขอนามัย ระบบขับถ่าย และตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ทานอาหารที่มีประโยชน์หลีกเลี่ยง เหล้า บุหรี่ รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ
5. ทำกิจกรรม หรืองานอดิเรก เช่น ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ เข้าวัดฟังธรรม เข้าร่วมชมรมต่างๆ พบปะสังสรรค์กับเพื่อนผู้สุงวัย

ดังนั้น ลูกหลานควรเอาใจใส่ดูแลด้วยความรู้ ความเข้าใจ และความเห็นอกเห็นใจ เพื่อให้เข้าใจความต้องการของผู้สูงอายุ ซึ่งผู้สูงอายุก็ต้องเปิดใจ ไม่ยึดติดในตัวตน ใช้ชีวิตอย่างสงบ เรียบง่าย สุขุม ยินดีในสิ่งที่มี ฝึกสมาธิ ฟังธรรมเพื่อให้จิตใจสงบผ่อนคล้าย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ความสำคัญระหว่างจุลินทรีย์กับร่างกายมนุษย์

0
จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นส่วนประกอบที่มากที่สุดในร่างกายมนุษย์ และพบมากที่สุดคือในลำไส้
ความสำคัญระหว่างจุลินทรีย์กับร่างกายมนุษย์
จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นส่วนประกอบที่มากที่สุดในร่างกายมนุษย์ และพบมากที่สุดคือในลำไส้

จุลินทรีย์

จุลินทรีย์ (Microorganism) คือ สิ่งที่มีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ร่างกายมนุษย์ประกอบไปด้วยเซลล์มนุษย์เพียง 43% ส่วนที่เหลือเป็นจุลินทรีย์ ไม่ว่าคุณจะชำระล้างทำความสะอาดเพียงใดก็ไม่หมด และแทบทุกซอกทุกมุมของคุณถูกปกคลุมไปด้วยจุลินทรีย์ ซึ่งมีทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา โดยแหล่งที่มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่มากที่สุดในร่างกายเราก็คือลำไส้

ไมโครไบโอต้า คืออะไร และสำคัญอย่างไร

ไมโครไบโอม (Microbiome) หรือ ไมโครไบโอต้า (Microbiota) คือ ยีนทั้งหมดของจุลินทรีย์ ในร่างกายมนุษย์ ทั้งจุลินทรีย์ แบคทีเรีย อาร์เคีย และไวรัส มีประโยชน์ต่อการดูแลรักษาสุขภาพของเรา ทั้งในแง่ของการคาดการณ์โรคที่อาจเกิดขึ้น การเลือกวิธี หรือเลือกใช้ยาเพื่อการรักษาที่จำเพาะเจาะจงต่อตัวบุคคลในอนาคต ซึ่งนำไปสู่นวัตกรรมการรักษาโรคแบบใหม่ ๆ เช่น การเกิดสิว โรคสะเก็ดเงินชนิดเรื้อรัง โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังชนิดเรื้อรัง และ/หรือผื่นภูมิแพ้จากการสักลาย แผลที่ผิวหนังเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวาน โรคซึมเศร้า เป็นต้น

ไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหาร

ไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหารหมายถึงจุลชีพต่างๆที่อาศัยอยู่ภายในลำไส้หรือระบบทางเดินอาหารของเรา ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีความหลากหลายของเชื้อจุลชีพมากที่ในร่างกาย ไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหารอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อปัญหาสุขภาพ เช่น น้ำหนักเกิน หอบหืด เบาหวาน มะเร็ง ภูมิคุ้มกันบกพร่องและโรคหัวใจ และส่งผลต่อการนอนหลับ อารมณ์ ความตื่นกลัว และพฤติกรรมต่างๆ การตอบสนองของยา

สาเหตุที่ขาดแบคทีเรียดีในลำไส้

1. กินยาปฏิชีวนะ
2. กินอาหารไขมันสูง น้ำตาลสูง โปรตีนสูง
3. การดื่มแอลกอฮอร์
4. สูบบุหรี่
5. ความเครียดสะสมต่อเนื่อง

แหล่งจุลินทรีย์

การรักษาสมดุลอาจมีเสริม พรีไบโอติก (prebiotic) และโพรไบโอติก (probiotic) เป็นสารอาหารที่ลำไส้ ย่อยไม่ได้ แต่จะถูกย่อยโดยแบคทีเรียในท้อง เช่น แบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส หรือจุลินทรีย์สายพันธุ์ Bifidobacterium ด้วยการกระตุ้นการทำงานและการเจริญของจุลินทรีย์โพรไบโอติก จุลินทรีย์เหล่านี้พบได้ในร่างกายมนุษย์ทั้งในและนอกร่างกาย ตั้งแต่ช่องท้อง ช่องหู ช่องคลอด ระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง และอื่นๆ ส่วนอาหารที่เป็นแหล่งจุลินทรีย์ เช่น โยเกิร์ต กิมจิ เทมเป้ ซาวเคราท์ (sauerkraut) หรือกะหล่ำปลีเปรี้ยว แตงกวาดอง แกงส้ม น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล

ประโยชน์ของจุลินทรีย์ชนิดดีต่อร่างกาย

1. ช่วยเรื่องภูมิคุ้มกัน
2. ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานเป็นปกติ
3. ช่วยปรับสมดุลย์ในลำไส้ โดยเฉพาะคนที่ใช้ยาปฏิชีวนะบ่อย จะขาดจุลิทรีย์ดี ปกป้อง
4. ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อต่างๆ
5. ช่วยย่อยนมแลคโตส สำหรับคนที่แพ้นมวัว

ความเครียดสามารถทำให้ไมโครไบโอมของผิวพร่องลงไปได้ รวมถึงสภาพอากาศ รังสีอัลตราไวโอเลต มลภาวะ และการใช้ชีวิต จะทำให้ผิวไม่มีตัวป้องกันและไวต่อการระคายเคือง ดังนั้นเราควรเสริมจุลินทรีย์พรีไบโอติกและโพรไบโอติกให้กับร่างกายอยู่เสมอ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม