ข้าวขาว น้ำตาลต่ำ ข้าวกข 43 ( RD43 )

0
ข้าว กข43 ( RD43 )
ข้าวกข 43 ( RD43 ) พันธุ์ข้าวเพื่อสุขภาพที่ดีของเมืองไทยที่ผสมระหว่าง พันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี ( พันธุ์แม่ ) กับ พันธุ์สุพรรณบุรี 1 ( พันธุ์พ่อ )
ข้าวขาว น้ำตาลต่ำ ข้าวกข 43 ( RD43 )
ข้าวกข 43 ( RD43 ) พันธุ์ข้าวเพื่อสุขภาพที่ดีของเมืองไทยที่ผสมระหว่าง พันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี ( พันธุ์แม่ ) กับ พันธุ์สุพรรณบุรี 1 ( พันธุ์พ่อ )

ข้าวขาว น้ำตาลต่ำ ข้าวกข 43 ( RD43 )

หนึ่งในบรรดาพันธุ์ข้าวเพื่อสุขภาพที่ดีของเมืองไทย
ข้าวขาว นุ่ม น้ำตาลน้อย อร่อยได้สุขภาพ
ข้าวขาวนํ้าตาลต่ำ หอม นุ่ม น่ารับประทาน
คนเป็นเบาหวานกินได้ คนลดน้ำหนักกินดี

ข้าวกข 43 คืออะไร ?

ข้าวกข 43 เป็นพันธุ์ข้าวที่ผสมระหว่าง พันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี ( พันธุ์แม่ ) กับ พันธุ์สุพรรณบุรี 1 ( พันธุ์พ่อ ) ที่ศูนย์วิจัยข้าวสุพรรณบุรี ในฤดูนาปรัง พ.ศ. 2542

ปลูกทดสอบผลผลิตในศูนย์วิจัยข้าวและในนาเกษตรกรตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปี 2551 กรมการข้าวพิจารณารับรองพันธุ์เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2552 ใช้ชื่อว่า ข้าวเจ้า กข 43 รูปร่างเมล็ดยาวเรียว คุณภาพของเมล็ดทางการหุงต้ม รับประทานดี ข้าวสุก นุ่ม เหนียว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ( ใกล้เคียงข้าวหอมดอกมะลิ 105 ) ข้าวกข43 ให้ปริมาณน้ำตาลกลูโคสต่ำกว่าข้าวชนิดอื่นๆ

ลักษณะเด่นของข้าวกข 43

มีค่าการแตกตัวเป็นน้ำตาลน้อยทำให้ร่างการสามารถดูดซึมน้ำตาลจากข้าวได้น้อยลง มีค่าดัชนีน้ำตาลระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ หมายถึง ค่าการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับน้อย มีอมิโลสต่ำ ข้าวจะนุ่มและเหนียว ( อะมิโลสในข้าว – Amylose คือ คุณภาพข้าวทางเคมีซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ข้าวสุกแล้วจะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน อมิโลสยิ่งสูง ข้าวยิ่งแข็งร่วน อมิโลสต่ำ ข้าวจะนุ่มและเหนียว ) ที่จริงแล้ว จุดเด่นของข้าวพันธุ์กข 43 คือเป็นข้าวไม่ไวต่อช่วงแสงต้านทานโรคไหม้คุณภาพการสีดีสามารถนำมาทำเป็นข้าวขาว 100%

ข้าว กข 43 เหมาะกับใคร ?   

เหมาะกับทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะผู้ที่รักสุขภาพเพราะถือได้ว่าเป็นข้าวที่มีคุณประโยชน์สูง

เป็นข้าวของผู้ใส่ใจสุขภาพ และกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคไต รวมถึงผู้ที่กำลังลดน้ำหนักที่ต้องการจะลดปริมาณน้ำตาลจากข้าวและอาหารที่กินในแต่ละวันเพราะเมื่อรับประทานอาหารน้ำตาลต่ำ ( Low Glycemic Index ) อย่างข้าว กข  43 ร่างกายก็จะเปลี่ยนแป้งไปเป็นน้ำตาลได้ช้าลงส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและ ช่วยให้เราไม่หิวง่าย

ข้าวกข 43 หุงอย่างไรให้อร่อย ?

ถ้าเป็นชนิดข้าวขัดขาวไม่ใช่ข้าวกล้องก็หุงโดยใช้น้ำปกติประมาณ 1 ข้อนิ้ว หรือ ข้าว 1 ส่วน : น้ำ 1 ส่วน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

กรมการข้าว; http://www.กข43.com

น้ำมันงาดำสกัดเย็น ( Cold pressed black sesame ) ดีต่อสุขภาพจริงไหม

0
น้ำมันงาดำสกัดเย็น ( Cold pressed black sesame oil )
มีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจและไต ส่งเสริมระบบสูบฉีดเลือดให้ภาวะปกติ ล้างชำระหลอดเลือดให้สะอาด ช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือดและหัวใจ
น้ำมันงาดำสกัดเย็น ( Cold pressed black sesame oil )
งาดำ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุประกอบด้วย สารเซซามิน ไขมันชนิดดี ( HDL) โอเมก้า 3-6-9 วิตามินบี

น้ำมันงาดำสกัดเย็น

งาดำ ชื่อสามัญ Black Sesame Seeds
งาดำ ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Sesamum indicum L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Sesamum orientale L.)จัดอยู่ในวงศ์งา (PEDALIACEAE) น้ำมันงาดำสกัดเย็นได้มาจากเมล็ดงาดำ ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการมากมายในงาดำมีสารเซซามิน (Sesamin) อุดมไปด้วยวิตามินบี ฟอสฟอรัส และแคลเซียมที่สูงกว่าผัก มีแคลเซียมประมาณ 410-485 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม รวมถึงสรรพคุณและประโยชน์ดีต่อสุขภาพเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน เมื่อบริโภคน้ำมันเมล็ดงาดำสกัดเย็นจะมีกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถผลิตได้

สารอาหารในน้ำมันงาดำสกัดเย็นมีอะไรบ้าง

น้ำมันงาดำ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุประกอบด้วย สารเซซามิน ไขมันชนิดดี ( HDL) โอเมก้า 3-6-9 วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 บี 9 แคลเซียม แมกนีเซียม โปแตสเซียม โซเดียม ฟอสฟอรัส สังกะสี เหล็ก ในเมล็ดงาดำยังมีส่วนประกอบของน้ำมันอยู่ถึง 70% ในประเทศไทยงาดำถูกนำมาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านยารักษาโรค อาหาร และเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเป็นขนม เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ นำไปเติมลงในอาหาร หรือแม้แต่นำไปสกัดเป็นน้ำมันงาดำ เนื่องจากอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร โดยในงาดำปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 573 กิโลแคลอรี และมีคุณค่าทางโภชนาการทานน้ำมันงาดำเป็นประจำจะทำให้ร่างกายจะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน

ประโยชน์ของน้ำมันงาดำสกัดเย็น ที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย

  • งาดำมีสารอาหารที่ช่วยซ่อมแซมและบำรุงผิว ทำให้ผิวไม่เหี่ยวแห้ง
  • ช่วยบำรุงเส้นผมให้ดำเงางามและแข็งแรง ป้องกันการเกิดผมหงอก
  • ช่วยให้ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
  • งาดำช่วยป้องกันเส้นเลือดแข็งตัว ช่วยขยายหลอดเลือด
  • ช่วยให้ระบบการทำงานของหัวใจแข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ป้องกันลิ่มเลือด
  • งาดำมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้
  • ช่วยลดความเครียด บำรุงระบบประสาทและสมอง
  • งาดำมีธาตุเหล็กสูง จึงช่วยบำรุงเลือด ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและยัง- ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว ร่างกายจึงแข็งแรงต่อเชื้อโรค
  • ป้องกันโรคหวัด โรคเหน็บชา ตะคริว

น้ำมันงาดำสกัดเย็นมีสรรพคุณช่วยลดอาการปวดเข่า ปวดข้อและช่วยป้องกันโรคข้อเสื่อม ข้ออักเสบ

จุดเด่นของน้ำมันงาดำ ต่อสุขภาพมีอะไรบ้าง

คือ สารเซซามินที่พบได้เฉพาะแต่ในงาดำมีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจและไต ส่งเสริมระบบสูบฉีดเลือดให้ภาวะปกติ ส่วนวิตามินอีที่อยู่ในน้ำมันงาดำสกัดเย็น จะช่วยเข้าไปล้างชำระหลอดเลือดให้สะอาด ลดการอุดตันในเส้นเลือดและช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว และตัวไขมันชนิดดี ( HDL ) นั้น จะเข้าไปช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นเลือดของเรา ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือดและหัวใจ     

ถ้าจะว่ากันด้วยสรรพคุณของน้ำมันงาดำนั้น ก็มีหลากหลายประการ แต่หนึ่งในสรรพคุณที่ผู้รับประทานน้ำมันงาดำสกัดเย็นแล้วนำมาเล่าขานต่อกันถึงคุณประโยชน์สุดดีก็คือ การใช้น้ำมันงาดำสกัดเย็นเพื่อลดอาการปวด ต้านอักเสบของข้อต่างๆในร่างกาย และช่วยลดความเสี่ยงของโรคข้อเสื่อม สำหรับสารเซซามินที่พบเฉพาะแต่ในงาดำนั้น มีสรรพคุณเด่นในการช่วยบำรุงหัวใจและไต ส่งเสริมระบบสูบฉีดเลือดให้ดำเนินไปอย่างปกติ ส่วนวิตามินอีที่อยู่ในน้ำมันงาดำสกัดเย็น ลดการอุดตันในเส้นเลือดและช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว และตัวไขมันชนิดดีนั้น จะเข้าไปช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นเลือดของเรา ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือดและหัวใจ การรับประทานน้ำมันงาดำสกัดเย็นซึ่งเป็นอาหารเสริมจากธรรมชาตินั้น สามารถช่วยควบคุมและรักษาโรคความดันโลหิตสูงได้ ซึ่งการรับประทานน้ำมันงาดำอย่างสม่ำเสมอพร้อมอาหารที่ครบหมู่ จะช่วยให้หลอดเลือดเราสะอาด มีความยืดหยุ่น จะส่งผลให้การทำงานของระบบเส้นเลือดและหัวใจทำงานได้ดีเป็นปกติ ซึ่งในที่สุดสภาวะความดันโลหิตสูงจะค่อยๆปรับลดลง และจะสามารถปรับมาอยู่ในระดับคงตัวในสภาวะที่ เหมาะสมได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

D. Ray Langham. “Phenology of Sesame” (PDF). American Sesame Growers Association.
Small, Ernest (2004). “History and Lore of Sesame in Southwest Asia”. Economic Botany. New York Botanical Garden Press. 58 (3): 329–353.

E.S. Oplinger, D.H. Putnam, A.R. Kaminski, C.V. Hanson, E.A. Oelke, E.E. Schulte, and J.D. Doll (May 1990). “Sesame”. Center for New Crops & Plant Products, Purdue University, Department of Horticulture and Landscape Architecture.

น้ำมันถั่วดาวอินคาสกัดเย็น ( Cold pressed sacha inchi oil )

0
น้ำมันถั่วดาวอินคาสกัดเย็น ( Cold pressed sacha inchi oil )
น้ำมันถั่วดาวอินคาสกัดเย็น ( Cold pressed sacha inchi oil ) เป็นน้ำมันที่สกัดได้จากเมล็ดดาวอินคา โดยผ่านกระบวนกรรมวิธีการบีบอัดและไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีใด ๆ
น้ำมันถั่วดาวอินคาสกัดเย็น ( Cold pressed sacha inchi oil )
น้ำมันถั่วดาวอินคาสกัดเย็น เป็นน้ำมันที่สกัดได้จากเมล็ดดาวอินคา โดยผ่านกระบวนกรรมวิธีการบีบอัดและไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีใด ๆ

น้ำมันถั่วดาวอินคาคืออะไร

น้ำมันถั่วดาวอินคา ( Cold pressed sacha inchi oil ) เป็นน้ำมันที่สกัดได้จากเมล็ดดาวอินคา โดยผ่านกระบวนกรรมวิธีการบีบอัดและไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีใด ๆ ทำให้ได้น้ำมันดาวอินคาที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมีไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย และมีกลิ่นรสที่ดี

ถั่วดาวอินคาคืออะไร

ถั่วดาวอินคา ( Sacha Inchi ) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Plukenetia volubilis L. ลักษณะของถั่วดาวอินคามีลำต้นเป็นไม้เถาเลื้อยอายุ 10 – 50 ปี ใบรูปหัวใจปลายแหลม ดอกเล็กๆทรงกลมสีเขียวอมเหลือง เมล็ดออกเป็นพูมีประมาณ 4 – 7 พู เปลือกอ่อนเป็นสีเขียวสด เมื่อฝักแก่เปลือกจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ถั่วดาวอินคาจัดเป็นพืชที่ให้น้ำมันเจริญเติบโตตามบริเวณลุ่มน้ำอเมซอนแถบประเทศเปรู และแพร่กระจายทั่วไปในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 100 – 2,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ปัจจุบัน ถูกนำเข้ามาปลูกในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ในอดีตจนถึงปัจจุบันเมล็ดของถั่วดาวอินคาจะถูกนำไปสกัดเป็นน้ำมัน เพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาหารที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการและสารอาหารสำคัญได้แก่ โปรตีน พลังงาน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม เหล็ก โซเดียม วิตามิน C วิตามิน A กรดไขมัน โอเมก้า 3

น้ำมันถั่วดาวอินคา สกัดได้จากเมล็ดถั่วดาวอินคา โดยผ่านกระบวนการบีบอัดและไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีใด ๆ ทำให้ได้น้ำมันถั่วดาวอินคาที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมีไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย

สรรพคุณของน้ำมันถั่วดาวอินคากับสุขภาพ

  • ช่วยลดคอเลสเตอรอล
  • ช่วยป้องกันการแข็งตัวของเลือด
  • ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
  • ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
  • ช่วยลดไขมันประเภทไตรกลีเซอไรด์ ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และป้องกันโรคเบาหวาน
  • ช่วยลดน้ำหนัก
  • ช่วยลดอาการซึมเศร้า   
  • กระตุ้นความจำ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของสมอง
  • ป้องกันโรคสมองเสื่อม
  • เสริมสร้างเซลล์ และรักษาความแข็งแรงของเซลล์
  • ป้องกัน และลดการอักเสบของหลอดเลือด
  • ป้องกัน และลดอาการของโรคไขข้อ
  • ป้องกัน และบรรเทาโรคหอบหืด
  • รักษาโรคไมเกรน
  • ป้องกันโรคต้อหิน ต้อกระจก
  • ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง แลดูอ่อนวัย
  • ควบคุมความดันในลูกตา และเส้นเลือด
  • กระตุ้น และส่งเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • ลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
  • ป้องกันโรคหลอดเลือด และสมอง
  • ป้องกันโรคเบาหวาน

ซึ่งในปัจจุบันถั่วดาวอินคากำลังเป็นที่สนใจและมีการนำมาเพาะปลูกในเชิงพาณิชย์ และนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยิ่งได้น้ำมันถั่วดาวอินคาสกัดเย็นอย่างปลอดจากสารเคมีเพื่อให้คงคุณค่าสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ จะได้น้ำมันสกัดเย็นที่เหมาะสำหรับผู้รักสุขภาพ เช่น ต้องการบำรุงถนอมสายตาและป้องกันโรคต่าง ๆ และผู้ที่มีปัญหาทางสุขภาพแล้ว เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการมีโรคที่สำคัญ ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ โรคไขข้อกระดูก รวมถึงผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย ปริมาณที่แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญแนะนำ น้ำมันสกัดถั่วดาวอินคาก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อสุขภาพได้เป็นอย่างดี

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Fanali C; Dugo L; Cacciola F; Beccaria M; Grasso S; Dachà M; Dugo P; Mondello L. (December 2011). “Chemical characterization of Sacha Inchi (Plukenetia volubilis L.) oil”. J Agric Food Chem. 59 (24): 13043–9. doi:10.1021/jf203184y. PMID 22053706.

Hans-Peter Hanssen; Markus Schmitz Hübsch. Victor R. Preedy; Ronald Ross Watson; Vinood B. Patel, eds. “Sachai Inchi (Plukentia Volubilis L.) Nut Oil and Its Therapeutic and Nutritional Uses”. Nuts and seeds in health and disease prevention. Retrieved 2011-09-07.

Blanka Krivankova; Zbynek Polesny; Bohdan Lojka; Jana Lojkova; Jan Banout; Daniel Preininger (October 2007). “Sacha Inchi (Plukenetia volubilis, Euphorbiaceae): A Promising Oilseed Crop from Peruvian Amazon” (PDF). Tropentag.

น้ำมันพริกสกัดเย็น ( Clod Pressed Capsicum )

0
น้ำมันพริกสกัดเย็น ( Clod Pressed Capsicum )
น้ำมันพริกสกัดเย็น ( Cold pressed capsicum ) สรรพคุณช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ทำให้ไขมันแตกตัว สามารถลดการเกิดเซลลูไลท์ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี
น้ำมันพริกสกัดเย็น ( Clod Pressed Capsicum )
น้ำมันพริกสกัดเย็น สรรพคุณช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ทำให้ไขมันแตกตัว สามารถลดการเกิดเซลลูไลท์ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี

น้ำมันพริกสกัดเย็น

น้ำมันพริกสกัดเย็น ( Cold pressed capsicum ) มีคุณสมบัติในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ เนื่องจากในน้ำมันพริกสกัดเย็นจะทำให้ไขมันแตกตัวได้ดี สามารถลดการเกิดเซลลูไลท์ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสารแคปไซซินจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญไขมันและขับเหงื่อ จึงเป็นที่นิยมใช้น้ำมันพริกสกัดเย็นเปนส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น ครีมนวดลดไขมัน เป็นต้น ทั้งนี้น้ำมันพริกสกัดเย็นยังเพิ่มการหมุนเวียนเลือดได้เป็นอย่างดี ช่วยลดอาการปวดเมื่อยบริเวณต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งงานวิจัยพบว่า สามารถนำน้ำมันพริกสกัดเย็นไปเป็นส่วนประกอบของยาบางชนิดได้

เพราะลักษณะสำคัญของพริกนั้นมีความเผ็ดร้อนจึงเป็นที่มาของสารชนิดหนึ่ง ชื่อว่า แคปไซซิน ( Capsaicin ) ซึ่งจะมีอยู่มากใยบริเวณเยื่อแกนกลางสีขาวเป็นส่วนที่เผ็ดที่สุดของพริก ส่วนของเปลือกพริกนั้นมีความเผ็ดร้อนที่น้อยกว่านั้นเอง จึงทำให้สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีความทนทานต่อทั้งความร้อน และความเย็นได้ดีมาก

จากการที่แคปไซซินสามารถลดความรู้สึกเจ็บปวดได้จึงมีผู้นำมาใช้เป็นยาภายนอก โดยใช้บรรเทาอาการปวดเนื่องจากโรคข้ออักเสบ ( Osteoarthritis, Rheumatoid arthritis ) โดยใช้ทา 3 – 4 ครั้งต่อวัน อย่างน้อยเป็นเวลา 2 – 4 สัปดาห์ แคปไซซินจะเสริมฤทธิ์ยาแก้ปวดอื่นๆ เช่น Methyl Salicylate
ข้อควรระวังในการใช้แคปไซซินในรูปครีม คือต้องระวังไม่ให้ผลิตภัณฑ์จากพริกถูกตาหรือแผลเปิด ถ้าทาแล้วเกิดอาการระคายเคือง และแดง ต้องลดจำนวนครั้งที่ทาลง

น้ำมันพริกสกัดเย็น ( Cold pressed capsicum ) มีคุณสมบัติในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้

ประโยชน์ของพริก

1.พริก มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย     
2.วิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
3.ช่วยในการบำรุงและรักษาสายตา
4.เสริมสร้างภูมิต้านทาน เพราะพริกมีวิตามินเอ วิตามินซีสูงมาก
5.พริกช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก และลดเสมหะ
6.ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอลในร่างกาย ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระเลือดลดลง
7.ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด เส้นเลือดสมองอุดตัน ช่วยในการสลายลิ่มเลือด
8.ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดให้ดียิ่งขึ้น
9.สารแคปไซซินในพริกสามารถกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี
10.ช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อการดูดซึมอาหารที่ดีขึ้น
11.สารแคปไซซินช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร
12.ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย ขับแก๊สในกระเพาะ
13.ป้องกันโรคโลหิตจาง ซึ่งในพริกก็มีธาตุเหล็กและทองแดงที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีกรดโฟลิกที่ช่วยเสริมให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแข็งแรง
14.ในด้านความงามจะใช้สารสกัดจากแคปไซซินมาสกัดเป็นเจลเพื่อใช้ในการนวดลดเซลลูไลท์ สลายไขมัน

เอกสารเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง

เอกสารอ้างอิง

แปลและรวบรวมข้อมูลโดย Amprohealth.com

iamm.com/capsicum.htm

น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว ( Cold Pressed Rice Bran Oil )

0
น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว
น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว คือ น้ำมันชนิดหนึ่งที่สกัดมาจากรำข้าวหรือเมล็ดข้าวด้วยการแยกส่วนของกากหรือน้ำมันจากวัตถุดิบ โดยสกัดออกมาจากส่วนต่าง ๆ
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว
น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว คือ น้ำมันชนิดหนึ่งที่สกัดมาจากรำข้าวหรือเมล็ดข้าวด้วยการแยกส่วนของกากหรือน้ำมันจากวัตถุดิบ โดยสกัดออกมาจากส่วนต่าง ๆ

น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว

น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว ( Rice Bran Oil, Cold Pressed Rice ) เป็น น้ำมันที่ได้จากเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบันผ่านกระบวนการบีบ อัด สกัดเย็น โดยนำรำข้าวดิบที่ประกอบด้วยเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ซึ่งในน้ำมันรำข้าวประกอบด้วยสารอาหารและวิตามิน คือ โครเมียม เหล็กแมกนีเซียม สังกะสี แมงกานีส ซีลีเนียม โปแตสเซียม สารแกมมา โอไรซานอล ( Gamma Oryzanol ) กรดไขมันอย่างกรดโอเลอิก ( Oleic Acid ) หรือโอเมก้า 9 ( Omega 9 ) ไฟโตสเตอรอล (Phytosterol) วิตามินอีรวม ( Vitamin E Complex ) แคโรทีนอยด์ ( Carotenoids ) กรดแอลฟา-ไลโนเลอิก ( Alpha-linolenic Acid ) หรือโอเมก้า 3 ( Omega 3 ) สารในกลุ่มเลซิติน ( Lecithin ) เมลาโทนิน ( Melatonin )   

น้ำมันรำข้าวจมูกข้าวสกัดเย็น คืออะไร

การสกัดเย็น คือ น้ำมันชนิดหนึ่งที่สกัดมาจากรำข้าวหรือเมล็ดข้าวด้วยการแยกส่วนของกากหรือน้ำมันจากวัตถุดิบที่เราสกัดออกมา โดยสกัดออกมาจากส่วนต่าง ๆ ของวัตถุดิบนั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืชผักและผลไม้ชนิดต่าง ๆ การสกัดเย็นจะได้น้ำมันจากบริเวณส่วนของรำข้าวดิบที่คงด้วยเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าว โดยอาศัยขั้นตอนบีบอัดที่อุณหภูมิห้องโดยตั้งทิ้งไว้ให้ตกตะกอนแล้วนำมากรองด้วยอุปกรณ์ที่มีความละเอียดสูงจึงได้น้ำมันที่มีความบริสุทธิ์สูงมาใช้งาน ทั้งนี้การสกัดต้องไม่ผ่านกระบวนการความร้อนหรือสารเคมีใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะจะยังคงสี รสชาติ กลิ่นตามธรรมชาติ คงคุณค่าและสรรพคุณของพืชผักและผลไม้ชนิดนั้น ๆ ไว้อย่างครบถ้วน

คุณประโยชน์สำคัญที่ร่างกายจะได้รับจากน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว

1. ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องชะลอวัย ชะลอความเสื่อม ความแก่ของร่างกาย
2. ปรับสมดุลระบบฮอร์โมนของสตรีวัยทอง
3.ในน้ำมันรำข้าวมีสารโครเมียม เป็นสารที่จับกับอินซูลินช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในร่างกายให้คงที่
4. น้ำมันรำข้าวมีวิตามินอี ในกลุ่ม แอลฟ่า โทโคฟีรอลแกมม่า-ออริซานอลและสเตอรอลจากพืช ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง
5. ในน้ำมันรำข้าวมีโอเมกา 3 ( Omega 3 ) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสารสื่อประสาทช่วยให้ความจำดีขึ้น    
6. ในน้ำมันรำข้าวมีวิตามินอี และเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตา ลดอาการตาแห้ง ลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา
7. ช่วยลดการบีบตัวของหลอดเลือด ช่วยให้ลิ่มเลือดสลายตัว ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น
8. น้ำมันรำข้าวมีสารเมลาโทนิน ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายหลับสนิทและช่วยลดความเครียดอีกด้วย
9. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้นุ่มนวลดูอ่อนเยาว์ ลดรอยเหี่ยวย่น ฝ้าและ จุดด่างดำ
10. ช่วยบำรุงสมองป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์

การแปรรูปจากวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นที่มีจำนวนมากราคาตกต่ำ น้ำมันรำข้าวจมูกข้าวก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร และเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนในระยะยาวอีกด้วย

บทความเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้าง

เอกสารอ้างอิง

น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว อินทรีย์ สกัดเย็น (ออนไลน์). สืบค้นจาก : น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว.com [30 มี.ค 62]

ประโยชน์น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว (แบบสกัดเย็น) (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://rice.coffee [30 มี.ค 62]

กัญชา ( Marijuana ) สมุนไพรทางเลือก

0
กัญชา ( Marijuana ) สมุนไพรทางเลือก
กัญชา ( marijuana ) คือ พืชล้มลุกชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณทำให้มึนเมา เปลือกลำต้นใช้ทำเชือกป่านและทอผ้า ฤทธิ์ของกัญชาที่ทำให้ผู้เสพอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้ม
กัญชา ( Marijuana ) สมุนไพรทางเลือก
กัญชา ( marijuana ) คือ พืชล้มลุกชนิดหนึ่ง ทำให้มึนเมา เปลือกลำต้นใช้ทำเชือกป่านและทอผ้า ฤทธิ์ของกัญชาที่ทำให้ผู้เสพอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้ม

กัญชา

กัญชา ( Marijuana ) คือ พืชล้มลุกชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Cannabidaceae ใบมนแฉกลึกเข้าไปทางก้านหลายแฉก ดอกสีเขียว ช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ใบและช่อดอกเพศเมียที่แห้งใช้สูบ มีสรรพคุณทำให้มึนเมา เปลือกลำต้นใช้ทำเชือกป่านและทอผ้า ฤทธิ์ของกัญชาที่ทำให้ผู้เสพอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้ม รู้สึกสนุก อารมณ์ดี และยังเป็นยาเสพติดประเภทที่เสพแล้วไม่ติด ก็ยิ่งทำให้กล้าลองกันมากขึ้น เมื่อลองแล้วก็ติดใจ บางคนถึงขั้นเอาไปสอดไส้ในบุหรี่ เพื่อให้สูบได้ทุกที่ที่ต้องการอีกด้วย

ต้นกัญชามีลักษณะทั่วไป คือ ลำต้นสูงประมาณ 2-5 เมตร ใบเลี้ยงคู่เมื่อโตเต็มวัยลำต้นสูงประมาณ 2-4 ฟุต ลักษณะใบจะแยกออกเป็นแฉกประมาณ 5-8 แฉก มีลักษณะคล้ายใบมันสำปะหลังที่ขอบใบทุกใบจะมีรอยหยักอยู่เป็นระยะๆ ออกดอกเป็นช่อเล็ก ๆ ตามง่ามของกิ่งและก้าน ส่วนที่คนนำมาเสพได้แก่ส่วนของกิ่ง ก้าน ใบ และยอดช่อดอกกัญชา โดยนำมาตากหรืออบแห้ง แล้วบดหรือหั่นให้เป็นผงหยาบ ๆ จากนั้นจึงนำมายัดไส้บุหรี่สูบหรืออาจสูบด้วยกล้องหรือบ้องกัญชา บ้างก็ใช้เคี้ยวหรือผสมลงในอาหารรับประทาน ปัจจุบันรูปแบบของกัญชาที่พบ นอกจากจะพบในลักษณะของกัญชาสด กัญชาแห้งอัดเป็นแท่งเป็นก้อนแล้ว ยังอาจพบในรูปของ ” น้ำมันกัญชา ” ( Hashish Oil ) ซึ่งมีลักษณะเป็นของเหลวสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ได้จากการนำกัญชามาผ่านกระบวนการสกัดหลาย ๆ ครั้ง จึงได้เป็นน้ำมันกัญชาที่มีปริมาณสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทสูงถึง 20-60% หรืออาจพบในลักษณะของ ” ยางกัญชา ” ( Hashish ) เป็นยางแห้งที่ได้จากใบ และยอดช่อดอกกัญชา ซึ่งโดยทั่วไปจะมีฤทธิ์แรงกว่ากัญชาสด

การปลูกกัญชา และการขออนุญาตปลูกกัญชาอย่างถูกต้อง

ส่วนที่ 1 : การปลูกกัญชา
1.เตรียมสถานที่ปลูก ดินต้องเป็นที่ที่ถูกต้องตามกฏหมายจะต้องมีเอกสารสิทธิที่ดิน และได้รับความยินยอมจากผู้ที่มีกรรมสิทธิในที่ดินนั้น เช่น หนังสือยินยอมให้ใช้ที่ดิน หรือหนังสือสัญญาเช่ากับเจ้าของที่ดินก็ได้
2.เจ้าของที่ดินนั้นๆจะต้องมีหนังสือที่แสดงว่า ให้หน่วยงานรัฐและวิสาหกิจชุมชนนี้เข้ามาใช้ที่ดินปลูกกัญชาได้
3.ปลูกกัญชาในโรงเรือนสามารถขออนุญาตปลูกได้ทั้งในระบบปิดต้องควบคุมแสง อุณหภูมิ เช่น โรงเรือนกระจกและระบบเปิด เช่น โรงเรือนตาข่ายพรางแสง (สแลน) หรือปลูกกลางแจ้ง (outdoor)
ส่วนที่ 2 : การขออนุญาตปลูกกัญชาอย่างถูกต้อง
1.ผู้ที่ต้องการปลูกกัญชาจะต้องมีคุณสมบัติตรงตามกฏหมายก่อน
คือ ท่านต้องมีสถานะเป็นวิสาหกิจชุมชน และเข้าร่วมกับหน่วยงานของรัฐ
2.ท่านต้องทำโครงการเพื่อเสนอแบบแผนการผลิต โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์กัญชาอย่างชัดเจน
3.ท่านต้องมีสถานที่ปลูกกัญชาที่มีเอกสารสิทธิ หรือมีสิทธิการครอบครองที่ถูกต้องตามกฏหมาย

ข้อดี และข้อเสียการปลูกกัญชาแบบระบบปิดในโรงเรือนและระบบเปิด

ปลูกกัญชาแบบระบบปิด

ข้อดี
– สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมและศัตรูพืชได้
– วางแผนเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทั้งปี
– ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพและสม่ำเสมอ
ข้อเสีย
– ต้นทุนเริ่มแรกมีราคาสูง
– ต้นทุนการดำเนินการสูงกว่าปลูกแบบกลางแจ้ง
– ต้องสร้างแสงแดดเทียมและระบบมีความซับซ้อน

ปลูกกัญชาแบบระบบเปิด

ข้อดี
– ต้นทุนเริ่มแรกน้อยกว่าการปลูกในโรงเรือน
– ต้นทุนการดำเนินการต่ำกว่า
– ต้นกัญชาสามารถใช้แสงจากธรรมชาติได้เต็มที่
ข้อเสีย
– มีปัญหาเกี่ยวกับศัตรูพืช
– ไม่สามารถควบคุมคุณภาพผลผลิตได้

สารฤทธิ์ของกัญชา

กัญชามีสารออกฤทธิ์สำคัญ 2 ชนิด ที่สามารถนำมาใช้บำบัดหรือรักษาโรค ได้แก่
1. สาร CBD ( Cannabidiol ) : มีคุณสมบัติลดอาการเจ็บปวด ลดการอักเสบของแผล ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ลดอาการชักเกร็ง และลดอาการคลื่นไส้
2. สาร THC ( Tetrahydrocannabinol ) : มีคุณสมบัติต่อจิตประสาท ทำให้เกิดความผ่อนคลาย และเคลิบเคลิ้ม หากได้รับในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยลดอาการตึงเครียดได้

สรรพคุณของกัญชา

1. เป็นยาชูกำลัง ช่วยเจริญอาหาร หรือใช้กับผู้ป่วยที่เบื่ออาหาร
2. ใช้รักษาในหลายอาการ เช่น ลดอาการปวด ลดอาการลดเกร็งและชักกระตุกของกล้ามเนื้อ อาการของโรคทางกระเพาะปัสสาวะ โรคลมชัก โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์
3. ใช้เป็นยารักษาโรคหอบหืด ช่วยขยายหลอดลมและลดการหดตัวของหลอดลม 
4. ฆ่าเซลล์มะเร็งและทำให้เนื้อร้ายในสมองเหี่ยวลดลงได้
5. สารสกัดจากกัญชาสามารถรักษาโรคที่เกิดจากการอักเสบของสมองและไขสันหลัง หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบอื่น ๆ
6. เส้นใยของลำต้น สามารถนำมาใช้ในการทอผ้าหรือทอกระสอบได้
7. เส้นใยกัญชาสามารถนำมาทำกระดาษได้

กัญชา ในตำรับยาแพทย์แผนไทย

จากข้อมูลในตำราพระโอสถพระนารายณ์ และตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ พบข้อมูลตำรับยาไทยที่เข้ากัญชาอยู่หลายตำรับ ซึ่งรวบรวมมาจากพระคัมภีร์หลายฉบับ แสดงให้เห็นว่า มีการใช้กัญชาประกอบเป็นตัวยาเพื่อบำบัดรักษาอาการป่วยต่าง ๆ มานานหลายร้อยปีแล้ว ตัวอย่างสรรพคุณตำรับยาไทยที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบ เช่น
1. ตำรับศุขไสยาศน์ มีสรรพคุณช่วยให้นอนหลับสบาย แก้ปวด เจริญอาหาร ซึ่งนำมาใช้ทดแทนหรือเสริมกับยาแผนปัจจุบันในกลุ่มยานอนหลับ ยาคลายเครียด
2. ตำรับน้ำมันสนั่นไตรภพ ช่วยเรื่องท้องมาน ท้องบวม คลายลมในท้อง ท้องอืดจากโรคมะเร็งตับ ใช้ทาบริเวณท้อง
3. ตำรับทำลายพระสุเมรุ มีฤทธิ์ช่วยแก้อาการแข็งเกร็งจากอัมพฤกษ์ อัมพาตได้
4. ตำรับทัพยาธิคุณ ช่วยเรื่องโรคเบาหวาน ลดน้ำตาล

ขนาดและวิธีใช้ : ใช้ต้มรับประทาน โดยต้นแห้งให้ใช้ครั้งละ 10-20 กรัม หรือใช้ร่วมกับตัวยาอื่น ๆ ในตำรับยา ส่วนเมล็ดให้ใช้ครั้งละ 10-15 กรัม
ข้อควรระวัง : ในกรณีที่รับประทานมากเกินไป จะทำให้เกิดอาการประสาทหลอน มีอาการชัก ตาลาย หรือกลายเป็นเสพติด ในผู้ชายหากรับประทานมากเกินไปจะทำให้น้ำกามเคลื่อน ส่วนสตรีที่รับประทานมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการตกขาว

ผลข้างเคียงของกัญชาที่มีต่อร่างกายในกรณีที่เสพมากเกินขนาด

1. กัญชาจะมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ผู้เสพมีอาการเคลิบเคลิ้ม หัวเราะตลอดเวลา ต่อมาจะมีฤทธิ์กดประสาท ทำให้ผู้เสพมีอาการคล้ายเมาเหล้าอย่างอ่อน เซื่องซึม และง่วงนอน
2. การเสพกัญชา จะทำให้สมองและความจำเสื่อม เกิดความสับสน วิตกกังวล
3. กัญชามีฤทธิ์ทำลายสมรรถภาพทางกาย ทำลายระบบการทำงานของอวัยวะในร่างกาย ทำลายระบบการสร้างภูมิคุ้มกัน 
4. ควันของกัญชาทำลายการทำงานของระบบทางเดินหายใจ และทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดได้เมื่อใช้นานเกินไป
5. หญิงที่เสพกัญชาในระยะตั้งครรภ์ ทารกที่เกิดมาอาจพิการและพบความผิดปกติทางร่างกาย

อย่างไรก็ตามการใช้กัญชาหรือสารสกัดจากกัญชาใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีก็หาไม่ จากการศึกษาพบว่ามีผลเสียดังต่อไปนี้

ข้อเสียของการใช้กัญชา

1.เพิ่มการเกิดโรคทางจิต 3.9 เท่า

2.พบการฆ่าตัวตายเพิ่มชึ้น 2.5 เท่า

3.ทำให้ติดกัญชา 10% ( ต้องเพิ่มปริมาณการใช้ชึ้นเรื่อยๆ )  ส่วนมากมักอยู่ในวัยเรียน 17%

4.ทำให้สมองฝ่อ

5.มีปัญหาการเรียนรู้ สมาธิ และความจำ

6.สัมพันธ์กับการเกิดภาวะถุงลมโป่งพอง

7.สัมพันธ์กับภาวะเส้นเลือดสมองตีบ

8.สัมพันธ์กับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

9.สัมพันธ์กับมะเร็งอัณฑะ

10.เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจขาดเลือด

11.พบอุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่สัมพันธ์กับการใช้กัญชาสูงขึ้น 

โทษของกัญชาตามกฎหมายประเทศไทย

กัญชาถูกจัดให้เป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 ซึ่งมีโทษตามกฎหมายหลัก 4 ประเภท คือ

1. ครอบครอง ( อย่างเดียว ) มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากมีในครอบครองมากกว่า 10 กิโลกรัมขึ้นไป ให้ถือว่าครอบครองไว้เพื่อจำหน่าย
2. ครอบครองเพื่อจำหน่าย หากไม่ถึง 10 กิโลกรัม จำคุกตั้งแต่ 2-10 ปี หรือปรับ 40,000 – 200,000 บาท แต่หากมากกว่า 10 กิโลกรัมขึ้นไป มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และมีโทษปรับตั้งแต่ 200,000 – 1,500,000 บาท ทั้ง 2 กรณีอาจมีโทษทั้งจำทั้งปรับ
3. ผลิต นำเข้า มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และมีโทษปรับตั้งแต่ 200,000 – 1,500,000 บาท
4. เสพ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

บทความเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง

เอกสารอ้างอิง

กัญชา (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://th.wikipedia.org [28 มีนาคม 2562].

สรรพคุณและประโยชน์ของต้นกัญชา : https://medthai.com [28 มีนาคม 2562].

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูง (Leukocytosis): สาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษา

0
ภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ( Leukocytosis ) คือ ภาวะที่มีเม็ดเลือดขาวในโลหิตสูงกว่าปกติ โดยภาวะนี้อาจเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม
สภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ( Leukocytosis )
ภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ( Leukocytosis ) คือ ภาวะที่มีเม็ดเลือดขาวในโลหิตสูงกว่าปกติ โดยอาจเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงคืออะไร?

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูง หรือ Leukocytosis คือภาวะที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาวในร่างกายสูงกว่าปกติ โดยทั่วไปหมายถึงการมีเม็ดเลือดขาวมากกว่า 11,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงเกิดจากอะไร?

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากการติดเชื้อ โรคบางชนิด หรือปัจจัยอื่นๆ ดังนี้

อะไรเป็นสาเหตุหลักของภาวะเม็ดเลือดขาวสูง?

สาเหตุหลักของภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ได้แก่:

  • การติดเชื้อ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา
  • โรคอักเสบเรื้อรัง
  • โรคเลือด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • การได้รับบาดเจ็บหรือการผ่าตัด
  • ความเครียดทางร่างกายหรือจิตใจ

ปัจจัยใดที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวสูง?

ปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ได้แก่:

  • อายุที่มากขึ้น
  • การสูบบุหรี่
  • โรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • การใช้ยาบางประเภท เช่น สเตียรอยด์

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงเกี่ยวข้องกับการติดเชื้ออย่างไร?

เมื่อร่างกายติดเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันจะผลิตเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้ระดับเม็ดเลือดขาวในเลือดสูงขึ้น

อาการของภาวะเม็ดเลือดขาวสูงมีอะไรบ้าง?

อาการของภาวะเม็ดเลือดขาวสูงมักไม่เฉพาะเจาะจง และอาจแตกต่างกันไปตามสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงส่งผลต่อร่างกายอย่างไร?

ผลกระทบต่อร่างกายอาจรวมถึง:

  • อ่อนเพลีย
  • มีไข้
  • ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อ
  • เบื่ออาหาร
  • น้ำหนักลด

มีอาการใดที่บ่งบอกว่าควรพบแพทย์?

ควรพบแพทย์หากมีอาการต่อไปนี้:

  • มีไข้สูงเกิน 38°C นานกว่า 3 วัน
  • อ่อนเพลียมากผิดปกติ
  • มีอาการติดเชื้อรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หรือปวดท้องรุนแรง

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงวินิจฉัยได้อย่างไร?

การวินิจฉัยภาวะเม็ดเลือดขาวสูงทำได้โดยการตรวจเลือด และอาจต้องมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ

การตรวจเลือดแสดงค่าภาวะเม็ดเลือดขาวสูงอย่างไร?

การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) จะแสดงจำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมดและชนิดต่างๆ ของเม็ดเลือดขาว

ค่าเม็ดเลือดขาวสูงแค่ไหนถึงเข้าข่ายภาวะเม็ดเลือดขาวสูง?

โดยทั่วไป ค่าเม็ดเลือดขาวมากกว่า 11,000 เซลล์ต่อไมโครลิตรถือว่าสูงกว่าปกติ

มีการตรวจเพิ่มเติมอะไรบ้างที่ช่วยวินิจฉัยภาวะนี้?

การตรวจเพิ่มเติมอาจรวมถึง:

  • การตรวจไขกระดูก
  • การตรวจหาการติดเชื้อ
  • การตรวจภาพถ่ายรังสี

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงอันตรายหรือไม่?

ความอันตรายของภาวะเม็ดเลือดขาวสูงขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของภาวะ

มีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะสั้นและระยะยาวอย่างไร?

ผลกระทบระยะสั้นอาจรวมถึงอาการอ่อนเพลียและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ส่วนผลระยะยาวขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอะไรได้บ้าง?

ภาวะแทรกซ้อนอาจรวมถึง:

  • การติดเชื้อรุนแรง
  • ภาวะเลือดหนืด
  • ปัญหาการไหลเวียนของเลือด

วิธีรักษาภาวะเม็ดเลือดขาวสูงคืออะไร?

การรักษาภาวะเม็ดเลือดขาวสูงขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้

มียารักษาภาวะเม็ดเลือดขาวสูงหรือไม่?

การรักษาด้วยยาขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น ยาปฏิชีวนะสำหรับการติดเชื้อ หรือยาเคมีบำบัดสำหรับมะเร็งเม็ดเลือดขาว

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและโภชนาการช่วยลดภาวะนี้ได้หรือไม่?

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และลดความเครียดอาจช่วยสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของภาวะนี้

การรักษาภาวะเม็ดเลือดขาวสูงแตกต่างกันอย่างไรขึ้นอยู่กับสาเหตุ?

การรักษาจะแตกต่างกันไป เช่น:

  • การติดเชื้อ: ใช้ยาปฏิชีวนะ
  • โรคอักเสบ: ใช้ยาต้านการอักเสบ
  • มะเร็งเม็ดเลือดขาว: ใช้ยาเคมีบำบัดหรือการปลูกถ่ายไขกระดูก

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงสามารถป้องกันได้หรือไม่?

การป้องกันภาวะเม็ดเลือดขาวสูงทำได้โดยการดูแลสุขภาพทั่วไปและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

วิธีลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวสูงมีอะไรบ้าง?

วิธีลดความเสี่ยง ได้แก่:

  • รักษาสุขอนามัยที่ดี
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารพิษ
  • ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี
  • ลดความเครียด

ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์มีผลต่อภาวะเม็ดเลือดขาวสูงหรือไม่?

ใช่ ไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการนอนหลับเพียงพอ ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะนี้ได้

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงเกี่ยวข้องกับโรคอื่นหรือไม่?

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงอาจเกี่ยวข้องกับโรคหลายชนิด ทั้งโรคติดเชื้อและโรคเรื้อรัง

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือไม่?

ใช่ ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงอาจเป็นอาการหนึ่งของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มีภาวะนี้จะเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว

โรคอักเสบเรื้อรังส่งผลต่อระดับเม็ดเลือดขาวอย่างไร?

โรคอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อาจทำให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดขาวมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับการอักเสบ ส่งผลให้ระดับเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น

เมื่อไรควรไปพบแพทย์หากสงสัยว่ามีภาวะเม็ดเลือดขาวสูง?

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าอาจมีภาวะเม็ดเลือดขาวสูง

อาการแบบไหนที่ไม่ควรละเลย?

อาการที่ไม่ควรละเลย ได้แก่:

  • ไข้สูงเกิน 38°C นานกว่า 3 วัน
  • อ่อนเพลียมากผิดปกติ
  • มีอาการติดเชื้อรุนแรง
  • มีจ้ำเลือดหรือเลือดออกง่ายผิดปกติ

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่ตรวจพบภาวะเม็ดเลือดขาวสูง

ผู้ที่ตรวจพบภาวะเม็ดเลือดขาวสูงควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งอาจรวมถึง:

  • ทำการตรวจเพิ่มเติมตามที่แพทย์สั่งเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้อาการแย่ลง เช่น การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการรุนแรงขึ้น

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าร่างกายกำลังต่อสู้กับบางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อ การอักเสบ หรือโรคอื่นๆ การตรวจพบและรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายได้ หากมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับภาวะนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
เม็ดเลือดขาวสูง (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.pobpad.com [27 มีนาคม 2562].
เม็ดเลือดขาวสูง บ่งบอกความผิดปกติอะไรบ้าง? (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.honestdocs.co [27 มีนาคม 2562].
leukocytosis (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://en.wikipedia.org [27 มีนาคม 2562].

ฮีโมโกลบินคืออะไร? หน้าที่ของฮีโมโกลบินและผลกระทบต่อสุขภาพ

0
ฮีโมโกลบินคืออะไร และเกี่ยวข้องกับสุขภาพอย่างไร
ฮีโมโกลบิน, เฮโมโกลบิน, ฮีม
ฮีโมโกลบินหรือเฮโมโกลบิน คือส่วนหนึ่งของระบบไหลเวียนโลหิตซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญจะอยู่ในเม็ดเลือดแดงและช่วยนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย

ฮีโมโกลบินคืออะไร?

ฮีโมโกลบินเป็นโปรตีนที่พบในเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่สำคัญในการลำเลียงออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย ระดับฮีโมโกลบินที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพโดยรวม

ฮีโมโกลบินมีบทบาทอย่างไรในร่างกาย?

ฮีโมโกลบินมีบทบาทสำคัญในการขนส่งออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบไหลเวียนโลหิต โดยมีรายละเอียดดังนี้

ฮีโมโกลบินทำหน้าที่อะไรในระบบไหลเวียนโลหิต?

ฮีโมโกลบินทำหน้าที่จับกับออกซิเจนในปอดและนำไปส่งยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย

ฮีโมโกลบินเกี่ยวข้องกับการลำเลียงออกซิเจนอย่างไร?

ฮีโมโกลบินจับกับออกซิเจนในปอดและปล่อยออกซิเจนให้กับเนื้อเยื่อที่ต้องการ

ระดับฮีโมโกลบินที่เหมาะสมคือเท่าใด?

ระดับฮีโมโกลบินปกติในผู้ชายคือ 13.5-17.5 g/dL และในผู้หญิงคือ 12.0-15.5 g/dL

อะไรเป็นสาเหตุของระดับฮีโมโกลบินที่ผิดปกติ?

ระดับฮีโมโกลบินที่ผิดปกติอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคและปัจจัยภายนอก ดังนี้

อะไรเป็นสาเหตุของภาวะฮีโมโกลบินต่ำ?

สาเหตุของฮีโมโกลบินต่ำ ได้แก่ การขาดธาตุเหล็ก โรคโลหิตจาง และการเสียเลือด

อะไรเป็นสาเหตุของภาวะฮีโมโกลบินสูง?

สาเหตุของฮีโมโกลบินสูง ได้แก่ โรคทางพันธุกรรม ภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง และการสูบบุหรี่

ปัจจัยใดที่ส่งผลต่อระดับฮีโมโกลบินในร่างกาย?

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับฮีโมโกลบิน ได้แก่ อาหาร การออกกำลังกาย ความสูงจากระดับน้ำทะเล และโรคบางชนิด

ฮีโมโกลบินมีความเกี่ยวข้องกับโรคอะไรบ้าง?

ฮีโมโกลบินมีความเกี่ยวข้องกับโรคหลายชนิด โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับเลือดและระบบไหลเวียน ดังนี้

ฮีโมโกลบินต่ำเกี่ยวข้องกับโรคโลหิตจางอย่างไร?

ฮีโมโกลบินต่ำเป็นลักษณะสำคัญของโรคโลหิตจาง ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน

ภาวะฮีโมโกลบินสูงมีความเกี่ยวข้องกับโรคอะไร?

ฮีโมโกลบินสูงอาจเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ โรคปอด และโรคเลือดบางชนิด

โรคทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับฮีโมโกลบินมีอะไรบ้าง?

โรคทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับฮีโมโกลบิน ได้แก่ โรคธาลัสซีเมีย และโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว

การตรวจระดับฮีโมโกลบินทำได้อย่างไร?

การตรวจระดับฮีโมโกลบินเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสุขภาพทั่วไป โดยมีวิธีการดังนี้

วิธีการตรวจระดับฮีโมโกลบินมีอะไรบ้าง?

วิธีตรวจระดับฮีโมโกลบินที่พบบ่อย ได้แก่ การตรวจนับเม็ดเลือดสมบูรณ์ (CBC) และการตรวจฮีโมโกลบินโดยตรง

ค่าผลตรวจเลือดบอกอะไรเกี่ยวกับระดับฮีโมโกลบิน?

ค่าผลตรวจเลือดจะแสดงปริมาณฮีโมโกลบินในเลือด ซึ่งบ่งบอกถึงความสามารถในการลำเลียงออกซิเจน

การตรวจระดับฮีโมโกลบินช่วยวินิจฉัยโรคอะไรได้บ้าง?

การตรวจระดับฮีโมโกลบินช่วยวินิจฉัยโรคโลหิตจาง โรคเลือด และภาวะสุขภาพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

วิธีรักษาภาวะฮีโมโกลบินผิดปกติมีอะไรบ้าง?

การรักษาภาวะฮีโมโกลบินผิดปกติขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของปัญหา โดยมีวิธีการดังนี้

การรักษาภาวะฮีโมโกลบินต่ำทำได้อย่างไร?

การรักษาฮีโมโกลบินต่ำอาจทำได้โดยการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง หรือการให้ธาตุเหล็กเสริม

วิธีลดระดับฮีโมโกลบินที่สูงเกินไปมีอะไรบ้าง?

วิธีลดระดับฮีโมโกลบินที่สูงเกินไป ได้แก่ การเจาะเลือดออก และการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ

อาหารและโภชนาการส่งผลต่อระดับฮีโมโกลบินอย่างไร?

อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงและวิตามินบี 12 ช่วยเพิ่มระดับฮีโมโกลบิน ในขณะที่การดื่มชาและกาแฟอาจลดการดูดซึมธาตุเหล็ก

ฮีโมโกลบินมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร?

ระดับฮีโมโกลบินที่ผิดปกติส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายด้าน ดังนี้

ฮีโมโกลบินต่ำส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร?

ฮีโมโกลบินต่ำทำให้เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย และมีปัญหาในการทำงานของอวัยวะต่างๆ

ภาวะฮีโมโกลบินสูงมีผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร?

ฮีโมโกลบินสูงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด และโรคหัวใจและหลอดเลือด

ฮีโมโกลบินมีบทบาทในระบบภูมิคุ้มกันหรือไม่?

ฮีโมโกลบินมีบทบาทในการต่อต้านเชื้อโรคและการอักเสบในร่างกาย

วิธีป้องกันภาวะฮีโมโกลบินผิดปกติคืออะไร?

การป้องกันภาวะฮีโมโกลบินผิดปกติทำได้โดยการดูแลสุขภาพทั่วไปและการรับประทานอาหารที่เหมาะสม ดังนี้

วิธีดูแลสุขภาพให้ระดับฮีโมโกลบินอยู่ในเกณฑ์ปกติคืออะไร?

วิธีดูแลสุขภาพให้ระดับฮีโมโกลบินปกติ ได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และการออกกำลังกายสม่ำเสมอ

อาหารและไลฟ์สไตล์มีผลต่อฮีโมโกลบินอย่างไร?

อาหารที่มีธาตุเหล็กและวิตามินบี 12 ช่วยรักษาระดับฮีโมโกลบิน ส่วนการออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง

ปัจจัยใดช่วยลดความเสี่ยงของภาวะฮีโมโกลบินผิดปกติ?

ปัจจัยที่ช่วยลดความเสี่ยง ได้แก่ การไม่สูบบุหรี่ การจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ และการรักษาโรคเรื้อรังให้อยู่ในการควบคุม

เมื่อใดควรพบแพทย์เกี่ยวกับระดับฮีโมโกลบิน?

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระดับฮีโมโกลบิน ดังนี้

อาการแบบไหนบ่งบอกว่าควรตรวจระดับฮีโมโกลบิน?

อาการที่ควรตรวจระดับฮีโมโกลบิน ได้แก่ อ่อนเพลียผิดปกติ เวียนศีรษะ หายใจลำบาก และซีด

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีระดับฮีโมโกลบินผิดปกติคืออะไร?

ผู้ที่มีระดับฮีโมโกลบินผิดปกติควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รับประทานอาหารที่เหมาะสม และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ

ฮีโมโกลบินเป็นโปรตีนสำคัญที่มีบทบาทหลักในการลำเลียงออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย การรักษาระดับฮีโมโกลบินให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพโดยรวม อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าระดับฮีโมโกลบินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพ การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจสุขภาพอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจร่างกาย การตรวจเลือด และการตรวจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการประเมินสุขภาพโดยรวม

การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ และการตรวจสุขภาพประจำปี ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาระดับฮีโมโกลบินให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและส่งเสริมสุขภาพโดยรวม การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และการเฝ้าระวังอาการผิดปกติจะช่วยให้สามารถตรวจพบและรักษาปัญหาสุขภาพได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

A standard biochemistry text defines heme as the “iron-porphyrin prosthetic group of heme proteins”(Nelson, D. L.; Cox, M. M. “Lehninger, Principles of Biochemistry” 3rd Ed.

Paoli, M. (2002). “Structure-function relationships in heme-proteins”. DNA Cell Biol. 21 (4): 271–280.

ไขกระดูกผิดปกติ (Myeloproliferative Disease – MPD): ประเภท อาการ และแนวทางรักษา

0
ไขกระดูกมีความผิดปกติ Myeloproliferative disease ( MPD )
ไขกระดูกมีความผิดปกติ Myeloproliferative disease ( MPD ) คือ เกิดจากมีการผิดปกติในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากเกินไปของเซลล์ชนิดต่างๆของไขกระดูก
ไขกระดูกมีความผิดปกติ Myeloproliferative disease ( MPD )
ไขกระดูกมีความผิดปกติ ( MPD ) คือ เกิดจากมีการผิดปกติในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากเกินไปของเซลล์ชนิดต่างๆของไขกระดูก

ไขกระดูกผิดปกติ (Myeloproliferative Disease – MPD) คืออะไร?

ไขกระดูกผิดปกติ หรือ MPD เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูก ทำให้มีการผลิตเม็ดเลือดชนิดใดชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดมากเกินไป โดยเซลล์เหล่านี้มักมีรูปร่างผิดปกติและทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา

ไขกระดูกผิดปกติ (MPD) มีกี่ประเภท?

โรคไขกระดูกผิดปกติแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก แต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและการรักษาที่แตกต่างกัน ได้แก่ Polycythemia Vera (PV), Essential Thrombocythemia (ET), Primary Myelofibrosis (PMF) และ Chronic Myeloid Leukemia (CML) โดยมีรายละเอียดดังนี้

Polycythemia Vera (PV) คืออะไร?

Polycythemia Vera (PV) เป็นโรคที่มีการผลิตเม็ดเลือดแดงมากเกินไป ทำให้เลือดมีความหนืดสูงขึ้น เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด ผู้ป่วย PV มักมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ มองเห็นภาพซ้อน และคันตามผิวหนังโดยเฉพาะหลังอาบน้ำอุ่น

Essential Thrombocythemia (ET) คืออะไร?

Essential Thrombocythemia (ET) เป็นโรคที่มีการผลิตเกล็ดเลือดมากเกินไป ทำให้เลือดมีความเหนียวข้นและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดหรือเลือดออกผิดปกติ ผู้ป่วย ET อาจมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ชาตามปลายมือปลายเท่า และเลือดออกง่าย

Primary Myelofibrosis (PMF) คืออะไร?

Primary Myelofibrosis (PMF) เป็นโรคที่เกิดพังผืดในไขกระดูก ทำให้การผลิตเม็ดเลือดลดลงและมีการผลิตเม็ดเลือดนอกไขกระดูก เช่น ในตับและม้าม ผู้ป่วย PMF มักมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ม้ามโต และอาจมีภาวะซีดร่วมด้วย

Chronic Myeloid Leukemia (CML) คืออะไร?

Chronic Myeloid Leukemia (CML) เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังที่มีการผลิตเม็ดเลือดขาวมากเกินไป โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวชนิดกรานูโลไซต์ ผู้ป่วย CML มักมีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักลด มีไข้ และม้ามโต

MPD แต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไร?

แต่ละประเภทของ MPD มีความแตกต่างกันในแง่ของชนิดเม็ดเลือดที่ผลิตมากเกินไป อาการแสดง และการรักษา PV เน้นที่เม็ดเลือดแดง ET เน้นที่เกล็ดเลือด PMF เกี่ยวข้องกับพังผืดในไขกระดูก และ CML เกี่ยวข้องกับเม็ดเลือดขาว การวินิจฉัยที่แม่นยำจึงมีความสำคัญต่อการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

อะไรเป็นสาเหตุของโรคไขกระดูกผิดปกติ?

สาเหตุที่แน่ชัดของโรคไขกระดูกผิดปกติยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจเกี่ยวข้อง ทั้งปัจจัยทางพันธุกรรม การกลายพันธุ์ของยีน และปัจจัยแวดล้อม

ปัจจัยทางพันธุกรรมเกี่ยวข้องกับ MPD หรือไม่?

ปัจจัยทางพันธุกรรมมีบทบาทในการเกิด MPD แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก พบว่ามีบางครอบครัวที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิด MPD แต่ส่วนใหญ่เป็นการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นในภายหลัง ไม่ใช่การถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยตรง

การกลายพันธุ์ของยีน JAK2, CALR และ MPL มีผลต่อ MPD อย่างไร?

การกลายพันธุ์ของยีน JAK2, CALR และ MPL มีบทบาทสำคัญในการเกิด MPD โดยเฉพาะในโรค PV, ET และ PMF การกลายพันธุ์เหล่านี้ทำให้เซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดมากเกินไปและไม่ตอบสนองต่อกลไกควบคุมปกติของร่างกาย

ปัจจัยแวดล้อมมีบทบาทในการเกิด MPD หรือไม่?

ปัจจัยแวดล้อมอาจมีส่วนในการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิด MPD เช่น การสัมผัสสารเคมีบางชนิด เช่น เบนซีน หรือการได้รับรังสีในปริมาณสูง อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยแวดล้อมกับ MPD ยังไม่ชัดเจนนัก

อาการของโรคไขกระดูกผิดปกติมีอะไรบ้าง?

อาการของโรคไขกระดูกผิดปกติมีได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับประเภทของ MPD และระดับความรุนแรงของโรค

อาการทั่วไปของ MPD มีอะไรบ้าง?

อาการทั่วไปของ MPD ได้แก่ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด มีไข้ต่ำๆ เหงื่อออกตอนกลางคืน และอาจมีอาการปวดกระดูกหรือข้อ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจรู้สึกอิ่มเร็วเนื่องจากม้ามโต

อาการที่จำเพาะของแต่ละประเภทของ MPD เป็นอย่างไร?

แต่ละประเภทของ MPD มีอาการเฉพาะดังนี้:

  • PV: ผิวหน้าแดง คันตามตัวโดยเฉพาะหลังอาบน้ำอุ่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ
  • ET: ชาตามปลายมือปลายเท้า ปวดนิ้วมือนิ้วเท้า เลือดออกง่าย
  • PMF: ม้ามโต ปวดท้อง ภาวะซีด เลือดออกง่าย
  • CML: อ่อนเพลีย ไข้ เหงื่อออกตอนกลางคืน น้ำหนักลด

อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าควรพบแพทย์?

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้:

  • อ่อนเพลียมากผิดปกติ
  • มีไข้ไม่ทราบสาเหตุ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีจ้ำเลือดหรือเลือดออกง่ายผิดปกติ
  • ปวดท้องด้านซ้ายบน (อาจเกิดจากม้ามโต)
  • มีอาการคันตามตัวมากโดยเฉพาะหลังอาบน้ำอุ่น

โรคไขกระดูกผิดปกติวินิจฉัยได้อย่างไร?

การวินิจฉัยโรคไขกระดูกผิดปกติต้องอาศัยการตรวจร่างกาย การตรวจเลือด การตรวจไขกระดูก และการตรวจทางพันธุกรรม

วิธีการตรวจเลือดช่วยวินิจฉัย MPD ได้อย่างไร?

การตรวจนับเม็ดเลือดครบส่วน (CBC) เป็นการตรวจพื้นฐานที่สำคัญในการวินิจฉัย MPD โดยจะแสดงจำนวนเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ซึ่งมักจะสูงกว่าปกติในผู้ป่วย MPD นอกจากนี้ ยังมีการตรวจระดับฮอร์โมน erythropoietin ในเลือดซึ่งมักต่ำในผู้ป่วย PV

การตรวจไขกระดูกมีความสำคัญอย่างไรในการวินิจฉัย?

การตรวจไขกระดูกช่วยยืนยันการวินิจฉัยและประเมินความรุนแรงของโรค โดยจะพบการเพิ่มจำนวนของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด และอาจพบความผิดปกติของเซลล์ เช่น เมกะคาริโอไซต์ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติใน ET หรือพบพังผืดในไขกระดูกใน PMF

การตรวจทางพันธุกรรมมีบทบาทอย่างไรในการยืนยันการวินิจฉัย?

การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีน JAK2, CALR และ MPL มีความสำคัญในการยืนยันการวินิจฉัย MPD โดยเฉพาะในกรณีของ PV, ET และ PMF การพบการกลายพันธุ์เหล่านี้ช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคและอาจมีผลต่อการพยากรณ์โรคและการเลือกวิธีการรักษา

โรคไขกระดูกผิดปกติเป็นอันตรายแค่ไหน?

โรคไขกระดูกผิดปกติเป็นโรคเรื้อรังที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและอายุขัยของผู้ป่วย ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับประเภทของ MPD และการตอบสนองต่อการรักษา

ภาวะแทรกซ้อนของ MPD มีอะไรบ้าง?

ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของ MPD ได้แก่:

  • การเกิดลิ่มเลือด เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หัวใจขาดเลือด
  • ภาวะเลือดออกผิดปกติ
  • ม้ามโตจนแตก
  • ภาวะซีด
  • การติดเชื้อง่าย
  • ภาวะเกาต์
  • ความดันในหลอดเลือดปอดสูง

MPD สามารถกลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้หรือไม่?

MPD มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน (Acute Myeloid Leukemia – AML) ได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วย PMF และ PV ที่ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม โอกาสการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวในผู้ป่วย MPD ไม่สูงมากนัก และสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสม

ผลกระทบระยะยาวของ MPD ต่อสุขภาพเป็นอย่างไร?

ผลกระทบระยะยาวของ MPD ต่อสุขภาพขึ้นอยู่กับประเภทของโรคและการตอบสนองต่อการรักษา ผู้ป่วยอาจมีคุณภาพชีวิตที่ลดลงเนื่องจากอาการของโรคและผลข้างเคียงจากการรักษา นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด การติดเชื้อ และการเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว

วิธีรักษาโรคไขกระดูกผิดปกติคืออะไร?

การรักษาโรคไขกระดูกผิดปกติมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับประเภทของ MPD อาการ และความรุนแรงของโรค

การรักษาด้วยยาเพื่อลดจำนวนเซลล์เม็ดเลือดทำได้อย่างไร?

การรักษาด้วยยาเพื่อลดจำนวนเซลล์เม็ดเลือดมีดังนี้:

  • ยา Hydroxyurea: ใช้ลดการผลิตเม็ดเลือดในผู้ป่วย PV, ET และบางรายของ PMF
  • ยา Interferon: ช่วยควบคุมการผลิตเม็ดเลือดและอาจลดขนาดของม้าม
  • ยา Ruxolitinib: ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ JAK ช่วยลดอาการและขนาดของม้ามในผู้ป่วย PMF และ PV
  • การเจาะเลือด (Phlebotomy): ใช้ในผู้ป่วย PV เพื่อลดความเข้มข้นของเลือด

การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นทางเลือกในการรักษาหรือไม่?

การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นวิธีการรักษาที่อาจพิจารณาในผู้ป่วย MPD บางราย โดยเฉพาะในผู้ป่วย PMF ที่มีความเสี่ยงสูง หรือผู้ป่วยที่โรคลุกลามมาก การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นวิธีเดียวที่มีโอกาสรักษาโรคให้หายขาด แต่มีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนสูง จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

การรักษาแบบประคับประคองสามารถช่วยลดอาการของ MPD ได้อย่างไร?

การรักษาแบบประคับประคองช่วยบรรเทาอาการและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย MPD ได้ดังนี้:

  • ยาแก้ปวด เช่น Aspirin ช่วยลดอาการปวดและลดความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือด
  • ยาลดอาการคัน
  • การให้เลือดในกรณีที่มีภาวะซีดรุนแรง
  • การรักษาภาวะเกาต์
  • การให้คำปรึกษาด้านโภชนาการและการออกกำลังกายที่เหมาะสม

โรคไขกระดูกผิดปกติสามารถป้องกันได้หรือไม่?

โรคไขกระดูกผิดปกติไม่สามารถป้องกันได้โดยตรง เนื่องจากสาเหตุที่แน่ชัดยังไม่เป็นที่ทราบ อย่างไรก็ตาม มีวิธีการลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้

มีวิธีลดความเสี่ยงในการเกิด MPD หรือไม่?

แม้จะไม่สามารถป้องกัน MPD ได้โดยตรง แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ดังนี้:

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีอันตราย เช่น เบนซีน
  • หลีกเลี่ยงการได้รับรังสีที่ไม่จำเป็น
  • รักษาสุขภาพให้แข็งแรงด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายสม่ำเสมอ

อาหารและไลฟ์สไตล์มีผลต่อ MPD อย่างไร?

อาหารและไลฟ์สไตล์ไม่ได้มีผลโดยตรงต่อการเกิด MPD แต่มีส่วนช่วยในการจัดการอาการและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน:

  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
  • ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อควบคุมน้ำหนักและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
  • งดสูบบุหรี่และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์

การติดตามสุขภาพสามารถช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้อย่างไร?

การติดตามสุขภาพอย่างสม่ำเสมอช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนของ MPD ได้ดังนี้:

  • ตรวจเลือดตามกำหนดเพื่อติดตามจำนวนเม็ดเลือด
  • พบแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินอาการและปรับการรักษา
  • สังเกตอาการผิดปกติและรายงานแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการรุนแรง
  • ควบคุมปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน

เมื่อไรควรพบแพทย์หากสงสัยว่าเป็นโรคไขกระดูกผิดปกติ?

การพบแพทย์เมื่อสงสัยว่าเป็นโรคไขกระดูกผิดปกติเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ทันท่วงที

อาการแบบไหนที่ไม่ควรละเลย?

อาการที่ไม่ควรละเลยและควรปรึกษาแพทย์ทันที ได้แก่:

  • อ่อนเพลียมากผิดปกติ
  • มีไข้ไม่ทราบสาเหตุ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ
  • มีจ้ำเลือดหรือเลือดออกง่ายผิดปกติ
  • ปวดท้องด้านซ้ายบน (อาจเกิดจากม้ามโต)
  • มีอาการคันตามตัวมากโดยเฉพาะหลังอาบน้ำอุ่น
  • มีอาการปวดศีรษะรุนแรงหรือมีอาการทางระบบประสาทอื่นๆ

คำแนะนำสำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น MPD

สำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น MPD ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ
  • เข้ารับการตรวจติดตามอาการตามนัด
  • รายงานอาการผิดปกติหรือผลข้างเคียงจากการรักษาให้แพทย์ทราบทันที
  • ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
  • เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วยเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และได้รับกำลังใจ

โรคไขกระดูกผิดปกติเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง การวินิจฉัยที่รวดเร็วและการรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยควบคุมอาการและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ การติดตามอาการอย่างใกล้ชิดและการปรึกษาแพทย์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการโรคนี้

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Levine,R., and Gilliland,G. Blood.2018.
Myeloproliferative Disorders Signs and Symptoms (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.ucsfhealth.org [26 มีนาคม 2662].

ฮีมาโทคริตคือเซลล์เม็ดเลือดแดงส่วนที่แยกออกจากพลาสมา

0
ฮีมาโทคริต, packed cell volume , เปอร์เซนต์ของเม็ดเลือดแดงต่อปริมาณเลือดทั้งหมด
ฮีมาโทคริต, packed cell volume , เปอร์เซนต์ของเม็ดเลือดแดงต่อปริมาณเลือดทั้งหมด
ฮีมาโทคริต, packed cell volume , เปอร์เซนต์ของเม็ดเลือดแดงต่อปริมาณเลือดทั้งหมด
ฮีมาโทคริต, packed cell volume , เปอร์เซนต์ของเม็ดเลือดแดงต่อปริมาณเลือดทั้งหมด

ฮีมาโทคริต

ฮีมาโทคริต ( Hematocrit, Ht หรือ HCT ) คือเซลล์เม็ดเลือดแดงส่วนที่แยกออกจากพลาสมา หรือ ปริมาตรเซลล์อัดแน่น Packed cell volume ( PCV ) หรือ erythrocyte volume fraction ( EVF ) ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าค่าเปอร์เซนต์ของเม็ดเลือดแดงต่อปริมาณเลือดทั้งหมด ค่าปกติของฮีมาโทคริต ในเพศชายอยู่ที่ 45% และฮีมาโทคริตในเพศหญิงอยู่ที่ 40% ฮีมาโทคริต นับเป็นส่วนประกอบหนึ่งของผลการตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์ ร่วมกับ ความเข้มข้นของฮีโมโกลบิน จำนวนเม็ดเลือดขาว และจำนวนเกล็ดเลือดในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ค่า ฮีมาโทคริต จะขึ้นอยู่กับขนาดของร่างกาย

ค่า packed cell volume ( PCV ) สามารถหาได้โดยการปั่นตกของเลือดที่ใส่สารเฮพารินในหลอด capillary tube ( หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ microhematocrit tube ) ที่ความเร็ว 10,000 RPM เป็นเวลา 5 นาที เพื่อทำให้เลือดแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ปริมาณของเม็ดเลือดแดงนำมาหารด้วยปริมาณทั้งหมดของเลือด คือ ค่า PCV เนื่องจากเราทำการวิเคราะห์โดยใช้หลอดทดลอง ดังนั้น เราจึงสามารถคำนวณโดยอาศัยการวัดความยาวของชั้นได้

วัตถุประสงค์ในการตรวจฮีมาโตคริต

เพื่อตรวจหาค่าความเข้มข้นหรือความหนาแน่นของปริมาตรเม็ดเลือดที่มีอยู่ในน้ำเลือด และนิยมแสดงค่าเป็น %

ระดับฮีมาโทคริต

เป็นระดับฮีมาโตคริตเป็นเพียงเปอร์เซ็นต์ของเซลล์แดงในเลือดของคุณ ตัวอย่างเช่น ระดับ 38% ถือเป็นระดับต่ำสุดที่จำเป็นสำหรับการบริจาคโลหิต

ทำไมต้องตรวจหาค่าฮีมาโทคริต

การตรวจหาค่า ฮีมาโทคริต เป็นส่วนหนึ่งของการตรวจความสมบูรณ์ของเลือด ความผิดปกติที่พบมีได้ทั้งมากเกินไป และน้อยเกินไป ค่าเข้มข้นของเลือดไม่ได้บอกสาเหตุของโรคบอกเพียงแต่มีความผิดปกติของปริมาณเม็ดเลือดแดง ซึ่งรวมถึงอาการของโรคโลหิตจางได้ด้วย

ค่าปกติของ ฮีมาโทคริต ( Hct )

ให้ยึดถือตามค่าที่ระบุไว้ในใบแสดงผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) ระดับฮีมาโตคริตปกติจะแตกต่างกันไปตามช่วงอายุและเชื้อชาติ ซึ่งในผู้ใหญ่

  • เพศชายระดับฮีมาโตคริตปกติมีตั้งแต่ 41 – 50 เปอร์เซ็นต์
  • เพศหญิงระดับฮีมาโตคริตช่วงปกติจะต่ำกว่าชายเล็กน้อย 36 – 44 เปอร์เซ็นต์

ระดับฮีมาโตคริตต่ำกว่าช่วงปกติซึ่งหมายความว่าบุคคลนั้นมีเม็ดเลือดแดงน้อยเกินไปเรียกว่า โรคโลหิตจาง และระดับฮีมาโตคริตที่สูงกว่าปกติซึ่งหมายถึงเซลล์เม็ดเลือดแดงมากเกินไป อาจบ่งบอกถึงภาวะเลือดหนืด

ค่าปกติทั่วไปฮีมาโทคริต

  • ทารก = 44-64% ค่าวิกฤติHct คือ < 15% หรือ มากกว่า > 60%
  • เด็ก อายุ 6-12 ปี = 35 – 45% (ค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ 40%)
  • ผู้ชายอายุ 12-18 ปี = 37 – 49% (ค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ 43%)
  • ผู้ชายอายุ 18 ปีขึ้นไป = 41 – 50% (ค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ 47%)
  • ผู้หญิงอายุ 12-18 ปี = 36 – 46% (ค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ 41%)
  • ผู้หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไป = 36 – 44% (ค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ 41%)   

ฮีมาโทคริตต่ำเกินไป อาจจะทำให้เกิดโรค

ฮีมาโทคริตสูงเกินไป อาจจะทำให้เกิดโรค

  • โรคหัวใจพิการ แต่กำเนิด
  • การขาดน้ำ
  • เนื้องอกในไต
  • โรคปอด
  • เกิดภาวะเลือดหนืด และโรคเกล็ดเลือดสูง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Hematocrit http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003646.html.