ภาวะเลือดหนืด (Polycythemia): สาเหตุ ความเสี่ยง และวิธีป้องกัน

0
ภาวะเลือดหนืด
ภาวะเลือดหนืด - ภาวะเลือดหนืด (Polycythemia): สาเหตุ ความเสี่ยง และวิธีป้องกัน
ภาวะเลือดหนืด, โรคเลือดหนืด, วิธีรักษาโรคเลือดหนืด, อาการเลือดหนืด

ภาวะเลือดหนืด (Polycythemia) คืออะไร?

ภาวะเลือดหนืดคือภาวะที่ร่างกายมีจำนวนเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ ทำให้เลือดมีความหนืดและไหลเวียนได้ยากขึ้น โดยปกติคนเรามีเม็ดเลือดแดงประมาณ 4.5-5.5 ล้านเซลล์ต่อไมโครลิตร แต่ในผู้ที่มีภาวะเลือดหนืด จำนวนนี้จะสูงกว่าปกติมาก ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดและโรคแทรกซ้อนต่างๆ

อะไรเป็นสาเหตุของภาวะเลือดหนืด?

ภาวะเลือดหนืดเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากการผลิตเม็ดเลือดแดงมากเกินไป ปัจจัยทางพันธุกรรม โรคเรื้อรังบางชนิด และปัจจัยแวดล้อม โดยมีรายละเอียดดังนี้

การผลิตเม็ดเลือดแดงมากเกินไปเกิดจากอะไร?

การผลิตเม็ดเลือดแดงมากเกินไปอาจเกิดจากความผิดปกติของไขกระดูก เช่น ในโรค Polycythemia vera (PV) ซึ่งเป็นโรคเลือดชนิดหนึ่งที่ทำให้ไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดแดงมากเกินไป นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการที่ร่างกายผลิตฮอร์โมน erythropoietin มากเกินไป ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง

ปัจจัยทางพันธุกรรมเกี่ยวข้องกับภาวะเลือดหนืดหรือไม่?

ปัจจัยทางพันธุกรรมมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะเลือดหนืด โดยเฉพาะในกรณีของ Polycythemia vera พบว่าประมาณ 95% ของผู้ป่วยมีการกลายพันธุ์ของยีน JAK2 ซึ่งเป็นยีนที่ควบคุมการผลิตเม็ดเลือด อย่างไรก็ตาม การกลายพันธุ์นี้มักไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยตรง แต่เกิดขึ้นในภายหลัง

โรคเรื้อรังที่ส่งผลให้เลือดหนืดมีอะไรบ้าง?

โรคเรื้อรังบางชนิดสามารถทำให้เกิดภาวะเลือดหนืดได้ เช่น:

  • โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
  • โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea)
  • โรคไตเรื้อรัง
  • มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งไต มะเร็งตับ

ปัจจัยแวดล้อม เช่น ความสูงจากระดับน้ำทะเล มีผลต่อภาวะเลือดหนืดอย่างไร?

การอาศัยอยู่ในที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลมากๆ สามารถกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดแดงมากขึ้นเพื่อรับมือกับภาวะออกซิเจนต่ำ นอกจากนี้ การสัมผัสกับสารเคมีบางชนิด เช่น เบนซีน หรือการได้รับรังสีในปริมาณสูง ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดหนืดได้

ปัจจัยเสี่ยงของภาวะเลือดหนืดมีอะไรบ้าง?

ปัจจัยเสี่ยงของภาวะเลือดหนืดมีหลายประการ ทั้งปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น อายุและเพศ และปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ เช่น พฤติกรรมสุขภาพ โดยมีรายละเอียดดังนี้

อายุและเพศมีผลต่อโอกาสเกิดภาวะเลือดหนืดหรือไม่?

อายุและเพศมีผลต่อโอกาสเกิดภาวะเลือดหนืด โดยพบว่า Polycythemia vera มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง อย่างไรก็ตาม ภาวะเลือดหนืดสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเพศและทุกวัย

การสูบบุหรี่และพฤติกรรมสุขภาพมีบทบาทอย่างไร?

การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของภาวะเลือดหนืด เนื่องจากทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนเรื้อรัง นอกจากนี้ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก การมีน้ำหนักเกิน และการขาดการออกกำลังกาย ก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเลือดหนืดได้

ภาวะขาดออกซิเจน (Hypoxia) เกี่ยวข้องกับเลือดหนืดอย่างไร?

ภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรังกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดแดงมากขึ้นเพื่อพยายามนำออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อให้เพียงพอ สาเหตุของภาวะขาดออกซิเจนอาจเกิดจากโรคปอด โรคหัวใจ หรือการอาศัยอยู่ในที่สูง

ภาวะฮอร์โมนผิดปกติสามารถกระตุ้นให้เลือดหนืดขึ้นได้หรือไม่?

ภาวะฮอร์โมนผิดปกติสามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะเลือดหนืดได้ โดยเฉพาะการมีระดับฮอร์โมน erythropoietin สูงผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากโรคไต มะเร็งบางชนิด หรือการใช้ฮอร์โมนแอนโดรเจนในนักกีฬา

ภาวะเลือดหนืดมีผลต่อสุขภาพอย่างไร?

ภาวะเลือดหนืดส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายด้าน ทั้งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ผลต่อการแข็งตัวของเลือด และอาจนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดสมองตีบตัน

ภาวะเลือดหนืดเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจอย่างไร?

ภาวะเลือดหนืดทำให้เลือดไหลเวียนได้ยากขึ้น เพิ่มแรงต้านในหลอดเลือด ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว และความดันโลหิตสูง

ภาวะเลือดหนืดมีผลต่อการแข็งตัวของเลือดอย่างไร?

ภาวะเลือดหนืดเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด เนื่องจากเม็ดเลือดแดงที่มากเกินไปทำให้เลือดไหลช้าลงและมีโอกาสจับตัวกันเป็นลิ่มได้ง่าย ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดอุดตันในอวัยวะต่างๆ

ภาวะเลือดหนืดอาจนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดสมองตีบตันได้หรือไม่?

ภาวะเลือดหนืดเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดสมองตีบตัน เนื่องจากลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นอาจเดินทางไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง ทำให้เกิดอาการอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้

อาการที่พบบ่อยของผู้ที่มีภาวะเลือดหนืดคืออะไร?

อาการที่พบบ่อยในผู้ที่มีภาวะเลือดหนืด ได้แก่:

  • ปวดศีรษะ วิงเวียน
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
  • หน้าแดง มือเท้าแดง
  • คันตามตัว โดยเฉพาะหลังอาบน้ำอุ่น
  • ชาตามปลายมือปลายเท้า
  • ม้ามโต ปวดท้อง

วิธีวินิจฉัยภาวะเลือดหนืดทำอย่างไร?

การวินิจฉัยภาวะเลือดหนืดทำได้โดยการตรวจเลือด การตรวจค่าฮีมาโตคริตและฮีโมโกลบิน รวมถึงการตรวจทางพันธุกรรมในบางกรณี

การตรวจเลือดสามารถบอกได้อย่างไรว่าเลือดหนืดเกินไป?

การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เป็นการตรวจพื้นฐานที่สามารถบ่งชี้ภาวะเลือดหนืดได้ โดยจะแสดงจำนวนเม็ดเลือดแดง ค่าฮีมาโตคริต และระดับฮีโมโกลบิน หากค่าเหล่านี้สูงกว่าปกติ อาจบ่งชี้ถึงภาวะเลือดหนืด

ค่าฮีมาโตคริต (Hematocrit) และฮีโมโกลบินที่บ่งบอกถึงภาวะเลือดหนืดคือเท่าใด?

ค่าฮีมาโตคริตและฮีโมโกลบินที่บ่งบอกถึงภาวะเลือดหนืดมักสูงกว่าค่าปกติ โดยทั่วไป:

  • ค่าฮีมาโตคริตปกติในผู้ชายคือ 40-54% และในผู้หญิงคือ 36-48%
  • ระดับฮีโมโกลบินปกติในผู้ชายคือ 13.5-17.5 g/dL และในผู้หญิงคือ 12.0-15.5 g/dL
    หากค่าเหล่านี้สูงกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญ อาจบ่งชี้ถึงภาวะเลือดหนืด

การตรวจทางพันธุกรรมมีบทบาทอย่างไรในการวินิจฉัยภาวะเลือดหนืด?

การตรวจทางพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการวินิจฉัยภาวะเลือดหนืดที่เกิดจาก Polycythemia vera โดยเฉพาะการตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีน JAK2 ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยประมาณ 95% ของกรณี นอกจากนี้ ยังอาจมีการตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนอื่นๆ เช่น CALR หรือ MPL ในบางกรณี

วิธีรักษาภาวะเลือดหนืดคืออะไร?

การรักษาภาวะเลือดหนืดมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของภาวะ โดยมีทั้งการรักษาด้วยการปล่อยเลือด การใช้ยา และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

การลดความหนืดของเลือดด้วยการปล่อยเลือด (Phlebotomy) คืออะไร?

การปล่อยเลือด (Phlebotomy) เป็นวิธีการรักษาหลักสำหรับภาวะเลือดหนืด โดยเฉพาะใน Polycythemia vera วิธีนี้ทำโดยการเจาะเลือดออกจากร่างกายเพื่อลดจำนวนเม็ดเลือดแดงและความหนืดของเลือด โดยทั่วไปจะทำเป็นระยะตามความจำเป็นเพื่อควบคุมค่าฮีมาโตคริตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

ยาลดจำนวนเม็ดเลือดแดงและยาต้านการแข็งตัวของเลือดใช้ในกรณีใด?

ยาลดจำนวนเม็ดเลือดแดง เช่น Hydroxyurea ใช้ในกรณีที่การปล่อยเลือดไม่เพียงพอหรือไม่เหมาะสม โดยยาจะยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดแดงในไขกระดูก ส่วนยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Aspirin ขนาดต่ำ อาจใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมช่วยลดความหนืดของเลือดได้อย่างไร?

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสามารถช่วยลดความหนืดของเลือดได้ดังนี้:

  • งดสูบบุหรี่
  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด

ภาวะเลือดหนืดสามารถป้องกันได้หรือไม่?

แม้ว่าภาวะเลือดหนืดบางชนิดจะไม่สามารถป้องกันได้โดยตรง แต่การดูแลสุขภาพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสามารถช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้

อาหารประเภทใดช่วยลดความหนืดของเลือด?

อาหารที่ช่วยลดความหนืดของเลือด ได้แก่:

  • อาหารที่มีโอเมก้า-3 สูง เช่น ปลาทะเลน้ำลึก
  • ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง
  • อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบอร์รี่ต่างๆ
  • น้ำมันมะกอก
  • กระเทียมและหัวหอม
    ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงและอาหารแปรรูป

การออกกำลังกายส่งผลต่อระดับความหนืดของเลือดอย่างไร?

การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยลดความหนืดของเลือดได้โดย:

  • เพิ่มการไหลเวียนของเลือด
  • ช่วยควบคุมน้ำหนัก
  • ลดความเครียด
  • ปรับปรุงการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด
    ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์

วิธีลดปัจจัยเสี่ยงของภาวะเลือดหนืดมีอะไรบ้าง?

วิธีลดปัจจัยเสี่ยงของภาวะเลือดหนืด ได้แก่:

  • เลิกสูบบุหรี่
  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่สูงเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ

เมื่อไรควรพบแพทย์หากสงสัยว่ามีภาวะเลือดหนืด?

การพบแพทย์เมื่อสงสัยว่ามีภาวะเลือดหนืดเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ทันท่วงที

อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าควรรีบพบแพทย์?

ควรรีบพบแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้:

  • ปวดศีรษะรุนแรงหรือต่อเนื่อง
  • มองเห็นภาพซ้อนหรือมีปัญหาทางสายตา
  • หายใจลำบากหรือเจ็บหน้าอก
  • ชาหรืออ่อนแรงที่แขนหรือขา
  • มีอาการคันตามตัวรุนแรงโดยเฉพาะหลังอาบน้ำอุ่น
  • มีอาการบวมหรือปวดที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดหนืดหรือเสี่ยงต่อภาวะนี้

สำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดหนืดหรือเสี่ยงต่อภาวะนี้ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ติดตามการรักษาและพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล
  • พกบัตรประจำตัวผู้ป่วยที่ระบุว่ามีภาวะเลือดหนืดติดตัวเสมอ

ภาวะเลือดหนืดเป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง การตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยง อาการ และการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมสามารถช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ หากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีภาวะเลือดหนืด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Marchioli,R. et al (2013). N Engl J Med. 368, 22-33.
Sturt,B., and Viera, A. (2004). Am Fam Physician. 69, 2139-2144.
Landolfi, R. et al.(2004). N Engl J Med. 350,114-124
Spivak, J. et al. (2014). N Engl J Med. 371, 808-817.
http://emedicine.medscape.com/article/205114-overview#showall[2017,July8]

โลหิตจาง (Anemia): สาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษา

0
ภาวะเลือดจาง, โลหิตจาง, โรคเลือดจาง, วิธีรักษาโรคเลือดจาง
ภาวะเลือดจาง - โลหิตจาง (Anemia): สาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษา
ภาวะเลือดจาง, โลหิตจาง, โรคเลือดจาง, วิธีรักษาโรคเลือดจาง

โลหิตจาง (Anemia) คืออะไร?

โลหิตจางหรือภาวะซีด คือภาวะที่ร่างกายมีเม็ดเลือดแดงและฮีโมโกลบินในเลือดน้อยกว่าปกติ ฮีโมโกลบินเป็นโปรตีนในเม็ดเลือดแดงที่ทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ เมื่อมีภาวะโลหิตจาง อวัยวะต่างๆ จะได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา

อะไรเป็นสาเหตุของโลหิตจาง?

สาเหตุของโลหิตจางมีหลายประการ ทั้งจากการขาดสารอาหาร โรคเรื้อรัง การสูญเสียเลือด ความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง และปัจจัยทางพันธุกรรม

ภาวะขาดธาตุเหล็กมีผลต่อโลหิตจางอย่างไร?

การขาดธาตุเหล็กเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโลหิตจาง เนื่องจากธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบิน การขาดธาตุเหล็กทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงได้น้อยลง

โรคเรื้อรังเกี่ยวข้องกับภาวะโลหิตจางอย่างไร?

โรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคตับ โรคมะเร็ง สามารถส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ โดยอาจรบกวนการสร้างเม็ดเลือดแดงหรือทำให้อายุของเม็ดเลือดแดงสั้นลง

การสูญเสียเลือดมีผลต่อระดับฮีโมโกลบินอย่างไร?

การสูญเสียเลือดทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรังสามารถทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ เช่น การเสียเลือดจากแผลผ่าตัด อุบัติเหตุ หรือการมีประจำเดือนมากผิดปกติ

ภาวะเม็ดเลือดแดงผิดปกติเป็นสาเหตุของโลหิตจางได้หรือไม่?

ความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง เช่น โรคเม็ดเลือดแดงแตกง่าย สามารถทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ เนื่องจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายเร็วกว่าปกติ

ปัจจัยทางพันธุกรรมสามารถส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจางได้หรือไม่?

ปัจจัยทางพันธุกรรมสามารถทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ เช่น โรคธาลัสซีเมีย ซึ่งเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการสร้างฮีโมโกลบิน

ประเภทของภาวะโลหิตจางมีอะไรบ้าง?

ภาวะโลหิตจางแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามสาเหตุและกลไกการเกิดโรค ได้แก่ โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก โลหิตจางจากโรคเรื้อรัง โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก โลหิตจางจากภาวะไขกระดูกผิดปกติ และธาลัสซีเมีย

โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กคืออะไร?

โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กเกิดจากการที่ร่างกายมีธาตุเหล็กไม่เพียงพอสำหรับการสร้างฮีโมโกลบิน มักพบในผู้ที่รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กน้อย หรือมีการสูญเสียเลือดเรื้อรัง

โลหิตจางจากโรคเรื้อรังคืออะไร?

โลหิตจางจากโรคเรื้อรังเกิดในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคไต โรคตับ หรือโรคมะเร็ง ซึ่งส่งผลต่อการสร้างและการทำงานของเม็ดเลือดแดง

โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก (Hemolytic Anemia) คืออะไร?

โลหิตจางชนิดนี้เกิดจากการที่เม็ดเลือดแดงถูกทำลายเร็วกว่าปกติ อาจเกิดจากความผิดปกติของเม็ดเลือดแดงเอง หรือจากปัจจัยภายนอก เช่น การติดเชื้อบางชนิด

โลหิตจางจากภาวะไขกระดูกผิดปกติคืออะไร?

โลหิตจางชนิดนี้เกิดจากความผิดปกติของไขกระดูก ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเม็ดเลือด ทำให้การสร้างเม็ดเลือดแดงลดลงหรือผิดปกติ

ธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เป็นภาวะโลหิตจางชนิดใด?

ธาลัสซีเมียเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายสร้างฮีโมโกลบินผิดปกติ ส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจางเรื้อรัง

อาการของโลหิตจางมีอะไรบ้าง?

อาการของโลหิตจางมีได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุของภาวะ

อาการทั่วไปของโลหิตจางคืออะไร?

อาการทั่วไปของโลหิตจาง ได้แก่:

  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
  • หน้าซีด ผิวซีด
  • หายใจลำบากเมื่อออกแรง
  • ใจสั่น เจ็บหน้าอก
  • วิงเวียนศีรษะ
  • มือเท้าเย็น

โลหิตจางส่งผลต่อระดับพลังงานและความเหนื่อยล้าอย่างไร?

โลหิตจางทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ส่งผลให้รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย และมีพลังงานน้อยลงแม้ในการทำกิจกรรมปกติ

มีสัญญาณใดที่บ่งบอกว่าควรตรวจหาโลหิตจาง?

ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาภาวะโลหิตจางเมื่อมีอาการดังต่อไปนี้:

  • เหนื่อยง่ายผิดปกติ
  • หน้าซีดมาก
  • หายใจลำบากแม้ออกแรงเพียงเล็กน้อย
  • ใจสั่นรุนแรง
  • มีอาการวิงเวียนศีรษะบ่อยครั้ง

วิธีวินิจฉัยภาวะโลหิตจางทำได้อย่างไร?

การวินิจฉัยภาวะโลหิตจางทำได้โดยการตรวจเลือด การตรวจค่าเลือดที่เกี่ยวข้อง และในบางกรณีอาจต้องมีการตรวจทางพันธุกรรม

การตรวจเลือดสามารถวินิจฉัยภาวะโลหิตจางได้อย่างไร?

การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เป็นการตรวจพื้นฐานที่สามารถบ่งชี้ภาวะโลหิตจางได้ โดยจะแสดงจำนวนเม็ดเลือดแดง ค่าฮีมาโตคริต และระดับฮีโมโกลบิน

ค่าเลือดใดที่ใช้บ่งชี้ว่ามีภาวะโลหิตจาง?

ค่าเลือดที่ใช้บ่งชี้ภาวะโลหิตจาง ได้แก่:

  • ระดับฮีโมโกลบิน: ต่ำกว่า 13 g/dL ในผู้ชาย หรือต่ำกว่า 12 g/dL ในผู้หญิง
  • ค่าฮีมาโตคริต: ต่ำกว่า 39% ในผู้ชาย หรือต่ำกว่า 36% ในผู้หญิง

การตรวจทางพันธุกรรมสามารถใช้วินิจฉัยโลหิตจางชนิดใดได้บ้าง?

การตรวจทางพันธุกรรมมีประโยชน์ในการวินิจฉัยโลหิตจางที่มีสาเหตุจากความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย หรือโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว

โลหิตจางเป็นอันตรายหรือไม่?

โลหิตจางสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้หลายระดับ ตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงภาวะที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

โลหิตจางรุนแรงแค่ไหน และส่งผลต่อร่างกายอย่างไร?

ความรุนแรงของโลหิตจางขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของภาวะ โลหิตจางรุนแรงอาจส่งผลให้อวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจและสมอง ทำงานหนักขึ้นเพื่อชดเชยการขาดออกซิเจน

ภาวะแทรกซ้อนของโลหิตจางที่ควรระวังคืออะไร?

ภาวะแทรกซ้อนของโลหิตจางที่ควรระวัง ได้แก่:

  • ภาวะหัวใจล้มเหลว เนื่องจากหัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
  • ภาวะสมองขาดออกซิเจน ส่งผลต่อความจำและการรับรู้
  • ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้ติดเชื้อง่ายขึ้น
  • ภาวะแทรกซ้อนในหญิงตั้งครรภ์ เช่น การคลอดก่อนกำหนด

โลหิตจางสามารถนำไปสู่ภาวะสุขภาพอื่น ๆ ได้หรือไม่?

โลหิตจางสามารถนำไปสู่ภาวะสุขภาพอื่นๆ ได้ เช่น:

  • ความเครียดและภาวะซึมเศร้า เนื่องจากความอ่อนเพลียเรื้อรัง
  • ปัญหาการเรียนรู้และพัฒนาการในเด็ก
  • ภาวะกระดูกเปราะบางในผู้สูงอายุ
  • ปัญหาระบบประสาทในกรณีที่ขาดวิตามินบี 12 เรื้อรัง

วิธีรักษาโลหิตจางคืออะไร?

การรักษาโลหิตจางขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของภาวะ โดยมีวิธีการรักษาหลักๆ ดังนี้

การเสริมธาตุเหล็กช่วยแก้ไขภาวะโลหิตจางได้อย่างไร?

การเสริมธาตุเหล็กเป็นวิธีรักษาหลักสำหรับโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก โดย:

  • รับประทานยาเสริมธาตุเหล็กตามที่แพทย์สั่ง
  • เพิ่มอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อแดง ตับ ไข่แดง
  • รับประทานวิตามินซีร่วมด้วยเพื่อเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก

มีวิธีการรักษาโลหิตจางที่เกิดจากโรคเรื้อรังหรือไม่?

การรักษาโลหิตจางจากโรคเรื้อรังมุ่งเน้นที่การรักษาโรคต้นเหตุ และอาจรวมถึง:

  • การให้ยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง (Erythropoiesis-stimulating agents)
  • การให้วิตามินและแร่ธาตุเสริม
  • การรักษาภาวะการอักเสบที่เกี่ยวข้อง

โลหิตจางจากไขกระดูกผิดปกติสามารถรักษาได้หรือไม่?

การรักษาโลหิตจางจากไขกระดูกผิดปกติขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรง อาจรวมถึง:

  • การปลูกถ่ายไขกระดูกในกรณีที่รุนแรง
  • การให้ยากดภูมิคุ้มกันในบางกรณี
  • การให้เลือดเป็นระยะ

ภาวะโลหิตจางสามารถป้องกันได้หรือไม่?

แม้ว่าโลหิตจางบางชนิดจะไม่สามารถป้องกันได้ แต่มีหลายวิธีที่สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะโลหิตจางได้

วิธีการเลือกรับประทานอาหารเพื่อป้องกันโลหิตจางคืออะไร?

การเลือกรับประทานอาหารเพื่อป้องกันโลหิตจาง ควรคำนึงถึง:

  • รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อแดง ปลา ไข่ ถั่ว ผักใบเขียว
  • เพิ่มอาหารที่มีวิตามินบี 12 และโฟเลต เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ธัญพืช
  • รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีเพื่อช่วยการดูดซึมธาตุเหล็ก

การเสริมวิตามินและแร่ธาตุช่วยลดความเสี่ยงของโลหิตจางได้หรือไม่?

การเสริมวิตามินและแร่ธาตุสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโลหิตจางได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น:

  • หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการเสริมธาตุเหล็กและโฟเลต
  • ผู้สูงอายุอาจต้องเสริมวิตามินบี 12
  • ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติควรเสริมธาตุเหล็กและวิตามินบี 12

การตรวจสุขภาพเป็นประจำช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้อย่างไร?

การตรวจสุขภาพเป็นประจำช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้โดย:

  • ตรวจพบภาวะโลหิตจางในระยะเริ่มต้น
  • ติดตามระดับฮีโมโกลบินและธาตุเหล็กในเลือด
  • ค้นหาสาเหตุของโลหิตจาง เช่น การสูญเสียเลือดเรื้อรัง
  • ประเมินความเสี่ยงและให้คำแนะนำในการป้องกัน

เมื่อไรควรพบแพทย์หากสงสัยว่ามีภาวะโลหิตจาง?

การพบแพทย์เมื่อสงสัยว่ามีภาวะโลหิตจางเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ทันท่วงที

อาการแบบไหนที่ไม่ควรละเลย?

อาการที่ไม่ควรละเลยและควรพบแพทย์ทันที ได้แก่:

  • เหนื่อยง่ายผิดปกติ แม้ในการทำกิจวัตรประจำวัน
  • หน้าซีดมาก ริมฝีปากซีด
  • หายใจลำบาก หรือหายใจเร็วผิดปกติ
  • ใจสั่น เจ็บหน้าอก
  • วิงเวียนศีรษะรุนแรงหรือเป็นลม
  • มีเลือดออกผิดปกติ เช่น ประจำเดือนมามากผิดปกติ

คำแนะนำสำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโลหิตจาง

สำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโลหิตจาง ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
  • พักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงการออกแรงมากเกินไป
  • ติดตามอาการและพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
  • แจ้งแพทย์หากมีอาการผิดปกติหรือผลข้างเคียงจากการรักษา
  • พกบัตรประจำตัวผู้ป่วยโลหิตจางติดตัวเสมอ

โลหิตจางเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและสามารถรักษาได้ในหลายกรณี การตระหนักถึงอาการ การตรวจสุขภาพเป็นประจำ และการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับภาวะนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ร่วมตอบคำถามกับเรา

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Koller O. The clinical significance of hemodilution during pregnancy. Obstet Gynaecol Surv 1982; 37(11):649-652.
World Health Organization, Method of assessing iron status, Iron Deficiency Anemia Assessment, Prevention, and control A guide for program managers, 2001, 33-43.
สํานักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข,คูมือแนวทางการควบคุมและปองกันโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก, 2556, 2.
ACOG Practice Bulletin No. 95: Anemia in pregnancy. Obstetrics and gynecology. 2008;108(2):457-64.
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย. Clinical practice guidelines for diagnosis and management of thalassemia syndrome. 2006.
British Committee for Standards in Haematology: The Diagnosis and Mangement of Primary Autoimmune Haemolytic Anaemia.
Chakravarty,E.F., Murray,E.R., Kelman,A., & Farmer,P. (2011) Pregnancy outcomes after maternal exposure to rituximab. Blood, 117, 1499-1506.

ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร และส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไร

0
PM2.5
PM2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน เทียบอย่างง่ายว่ามีขนาดประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์ ขนจมูกของมนุษย์ไม่สามารถกรองได้
PM2.5
PM2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน เทียบอย่างง่ายว่ามีขนาดประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์ ขนจมูกของมนุษย์ไม่สามารถกรองได้

PM 2.5

ปัจจุบันฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานและเกิดฝุ่นพิษเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย แบ่งเป็น 5 ระดับ ตั้งแต่ 0 ถึง 201 ขึ้นไป ระดับค่ามาตราฐานและค่าเกินมาตราฐานคุณภาพอากาศในแต่ละวัน ดังนี้ 0-25 คือ ดีมาก, 26-50 คือ ดี, 51-100 คือ ปานกลาง,101-200 คือ เริ่มมีผลกระทบต่อร่างกาย, 201 ขึ้นไป คือ มีผลกระทบต่อร่างกาย เพื่อเป็นข้อมูลให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจง่ายขึ้น ได้รับทราบถึงสถานการณ์ระดับความรุนแรงของ PM2.5 ในแต่ละพื้นที่ว่าอยู่ในระดับใด เตรียมหาหน้ากากอนามัย สำหรับกันฝุ่นชนิด N95 เราจะมาทำความรู้จักกับฝุ่นละออง PM 2.5 ดังต่อไปนี้ ฝุ่น PM2.5 มาจากไหน
ฝุ่นพิษ PM2.5 อันตรายต่อร่างกายอย่างไร วิธีการใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง หน้ากากกันฝุ่น n95 ซื้อที่ไหน

ฝุ่น PM2.5 มาจากไหน

แน่นอนว่าปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นฝุ่นพิษที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน เกิดจากพฤติกรรมหรือกิจกรรมบางอย่างที่เราทำกันอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่น ควันจากท่อไอเสียของยานพาหนะรูปแบบต่างๆ การเผาขยะ การเผาป่า แม้แต่จุดเล็กๆ อย่างควันบุหรี่ก็ส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์นี้ด้วยเช่นกัน หากมองในภาพรวมที่กว้างขึ้นมาหน่อยก็จะพบว่าช่วงหลังๆ มานี้ มีโครงการโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นจำนวนมากทางภาคตะวันออก และยังมีการก่อสร้างระบบคมนาคมทั่วทุกมุมเมืองของกรุงเทพมหานคร เมื่อรวมกับรูปแบบผังเมืองและการวางตำแหน่งของอาคารในกรุงเทพมหานคร ซึ่งทำให้เมืองมีสภาพถูกโอบล้อมไปด้วยตึกสูง การหมุนเวียนของกระแสลมจึงไม่ได้ทำให้ฝุ่นที่มีนั้นกระจายตัวไป พอฝุ่นเดิมไม่ลดและฝุ่นใหม่ก็ยังมีมาเพิ่ม จึงทำให้มีปริมาณความหนาแน่นสูงจนสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ฝุ่นพิษ PM 2.5 อันตรายต่อสุขภาพร่างกายอย่างไร

ถึงแม้ว่าจะยังไม่พูดถึง PM 2.5 เอาแค่ฝุ่นเล็กๆ น้อยๆ ทั่วไปที่เราเจอกันเป็นเรื่องปกติ เช่น ฝุ่นจากถนน ฝุ่นภายในบ้าน ฝุ่นจากสนามดินตอนเล่นกีฬา เป็นต้น หากสูดดมเข้าไปก็เกิดความระคายเคืองได้เช่นเดียวกัน ทีนี้เมื่อ PM 2.5 มีขนาดที่เล็กและตอนนี้ก็มีปริมาณที่มากด้วย ยังไงก็มีผลกระทบต่อสุขภาพแน่นอน ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ลองดูรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • กระทบต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดความระคายเคือง อักเสบ หายใจไม่สะดวก เป็นต้น ในคนที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด โรคปอด เป็นต้น กลุ่มนี้ก็จะต้องระวังตัวมากเป็นพิเศษ เพราะฝุ่นที่มีละอองเล็กแบบนี้สามารถที่จะเล็ดลอดผ่านผนังถุงลมไปได้ อาจกระตุ้นให้อาการของโรคกำเริบขึ้นโดยไม่จำเป็น
  • กระทบต่อความสมดุลของร่างกาย ด้วยเหตุที่ฝุ่นเหล่านี้มีผลกระตุ้นต่อการสร้างอนุมูลอิสระ ทั้งยังลดแอนติออกซิแดนซ์ให้น้อยลงอีกด้วย เมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับฝุ่นนานๆ จึงทำให้ระบบต่างๆ ผิดเพี้ยนไป ผิวพรรณก็ไม่แข็งแรงเหมือนปกติ แพ้และระคายเคืองได้ง่าย ตลอดจนการหลั่งสารต่างๆ ในร่างกายก็อาจจะเพิ่มมากขึ้นหรือลดน้อยลงไปจากค่าที่ควรจะเป็น
  • กระทบต่อเยื่อเมือกต่างๆ ที่มีโอกาสสัมผัสกับฝุ่น เช่น เยื่อเมือกในลูกตา เยื่อเมือกในช่องปาก เป็นต้น อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองรุนแรงได้ สัญญาณแรกก็คืออาการแสบตา แสบช่องคอ มีอาการคันไปจนถึงอักเสบในที่สุด
  • กระทบต่อระบบเลือด เนื่องจากขนาดของฝุ่นที่มีขนาดเล็กจนสามารถแพร่กระจายจากทางเดินหายใจไปสู่กระแสเลือดได้ หมายความว่าฝุ่นละอองเหล่านี้สามารถแทรกซึมไปตามอวัยวะภายในต่างๆ ได้ และนั่นก็อาจเป็นสามารถที่ทำให้เกิดโรคอื่นๆตามมา

เมื่อดูตามข้อมูลนี้ก็คงจะเห็นว่าฝุ่น PM 2.5 ค่อนข้างอันตราย เพราะมันต่อยอดไปสู่โรคร้ายได้หลายอย่าง แถมยังมีข้อมูลการคาดคะเนทางระบาดวิทยาที่ชี้ว่า ฝุ่นเหล่านี้อาจทำให้คนเสียชีวิตได้มากถึง 50000 คนต่อปี แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลนี้ยังคงต้องศึกษาต่อไปอีกในระยะยาว และเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก กรุงเทพมหานครเคยมีปรากฏการณ์ฝุ่นหนาในปี พ.ศ.2554 มาแล้ว เพียงแค่ไม่มีสื่อที่มาประโคมข่าวให้ทุกคนได้รับรู้ในวงกว้างอย่างเช่นยุคดิจิตอลนี้ ตอนนั้นก็ไม่พบว่ามีอันตรายที่ร้ายแรงอะไร จึงไม่มีความจำเป็นต้องวิตกกังวลให้มากเกินไปนัก แค่ดูแลตัวเองให้เหมาะสมกับสถานการณ์ก็เพียงพอแล้ว

วิธีการใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้องเมื่อต้องเผชิญกับภาวะฝุ่น PM 2.5

1. สวมหน้ากากกันฝุ่นทุกครั้งที่ต้องเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง โดยต้องสวมใส่ให้ถูกวิธีตามคำแนะนำของหน้ากากแต่ละประเภทด้วย เพราะต่อให้หน้ากากคุณภาพดีแค่ไหน ถ้าใช้งานไม่ถูกก็จะไม่มีผลอะไรเลย

2. งดการออกกำลังกายกลางแจ้งในบริเวณพื้นที่เสี่ยง เวลาที่เราออกกำลังกาย ระบบหายใจจะทำงานมากขึ้น ช่วงจังหวะของการหายใจจะลึกขึ้น บ่อยขึ้น เพื่อเติมออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย แต่ถ้าเราไปอยู่ในจุดที่มีฝุ่นหนาก็หมายความว่าเราจะสูดเอาฝุ่นเหล่านั้นเข้าไปด้วย ถ้าต้องการออกกำลังกายในช่วงนี้ก็ให้เลือกใช้บริการของฟิตเนสหรือสถานที่ออกกำลังกายในร่มอื่นๆ ไปก่อน ไม่อย่างนั้นก็เลือกสถานที่ซึ่งอยู่ห่างจากพื้นที่เสี่ยงออกไป

3. ดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ น้ำสะอาดช่วยได้มากในสถานการณ์แบบนี้ อาการแสบคอจากการเผชิญมลภาวะจะบรรเทาลงได้มากเมื่อร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ ทั้งยังช่วยปรับสมดุลร่างกายให้กลับคืนสู่สภาวะปกติอีกด้วย

4. เน้นทานอาหารที่มีประโยชน์ให้มาก และเลือกทานวิตามินหรืออาหารเสริมเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานมากขึ้น ฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น ตัวอย่างของวิตามินที่น่าสนใจ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี เป็นต้น

5. นอนพักผ่อนให้เพียงพอเสมอ เมื่อไรที่นอนน้อยภูมิต้านทานในร่างกายก็จะลดต่ำลงโดยอัตโนมัติ รวมไปถึงระบบร่างกายก็มีโอกาสที่จะรวนได้ หากต้องพาตัวเองไปเจอกับฝุ่นในสภาพอดนอนก็จะส่งผลให้เจ็บป่วยได้ง่ายนั่นเอง

การเลือกหน้ากากกันฝุ่น PM2.5 ชนิด n95 ซื้อที่ไหน

ในเมื่อฝุ่นละอองมีขนาดเล็กกว่าปกติ การใช้หน้ากากอนามันธรรมดาก็อาจจะไม่ช่วยอะไร คงต้องเลือกใช้หน้ากากให้เหมาะสม ซึ่งหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าและร้านขายยาทั่วไป เพื่อป้องกันฝุ่นที่จะเป็นอันตรายได้ โดยแนวทางในการเลือกใช้หน้ากากอนามัยมีข้อกำหนดอยู่ 3 ประการ คือ

1. หน้ากากกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก ควรมีคุณสมบัติในการป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้จริง

2. หน้ากากอนามัยมีความกระชับรับกับใบหน้า ไม่มีจุดที่เปิดเผยอไม่แนบเนื้อ เพื่อจะได้กรองอากาศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 100 เปอร์เซ็นต์

3. หน้ากากอนามัยกันฝุ่น ควรมีมาตรฐานรองรับซึ่งบอกถึงคุณภาพของหน้ากากที่ใช้งานได้ เช่น NIOSH 42 CFR 84, EN 149, AS/NZS 1761, หน้ากาก3M เป็นต้น โดยหาดูได้จากตัวบรรจุภัณฑ์ของหน้ากากนั่นเอง แต่ถ้าไม่อยากจำอะไรให้วุ่นวายเพียงแค่มองหาว่าเป็นหน้ากากอนามัยชนิด N95 ก็เป็นอันใช้ได้

รูปแบบของหน้ากากอนามัยที่นำมาใช้ได้

หน้ากาก N95 : หน้าตาของหน้ากากก็จะดูคล้ายกับแบบที่เราเห็นคนใส่ในโรงงานอุตสาหกรรมนั่นเอง เป็นรูปทรงโค้งครอบบริเวณปากและจมูก สายรัดแน่นหนา สามารถกรองฝุ่นได้มากถึง 95 เปอร์เซ็นต์ เป็นหน้ากากที่ควรจะอยู่ในตัวเลือกอันดับแรกๆ เลยทีเดียว เพียงแต่อาจจะมีข้อเสียอยู่บ้างตรงที่รูปทรงไม่สวยงามนัก และหายใจไม่ค่อยสะดวกเมื่อสวมใส่ อย่างไรก็ตามเมื่อความต้องการหน้ากาก N95 เพิ่มมากขึ้น ก็เริ่มมีการออกแบบให้เอื้อต่อการใช้งานมากขึ้นด้วย ทั้งในเรื่องของการหมุนเวียนอากาศและรูปทรง เช่น ทำให้ดูสวยงามสามารถสวมใส่ได้ง่ายขึ้น มีพัดลมเล็กๆ ระบายอากาศเพื่อช่วยให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น เป็นต้น

หน้ากากพร้อมชั้นกรองคาร์บอน : สังเกตง่ายๆ ตรงที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับหน้ากากอนามัยทั่วไป แต่มีชั้นสีดำแทรกอยู่ตรงกลาง ตัวนี้มีขายอยู่หลายเกรด ต้องดูให้ดีว่าสามารถกรองได้มากกว่า 95% หรือไม่ ข้อดีคือหาซื้อง่าย ราคาถูก เน้นใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง แต่ข้อเสียก็คือจะมีส่วนที่ไม่ได้แนบกับใบหน้าค่อนข้างมาก ทำให้มีอากาศที่ไม่ได้ถูกกรองผ่านเข้าไปด้วย

หน้ากากผ้าฝ้ายที่มีชั้นกรอง : อันนี้จะมีความเป็นแฟชั่นมากกว่าตัวอื่นๆ ปกปิดครอบคลุมช่องปากและจมูก ไปจนถึงแนวกราม แต่ก็ไม่ใช่ว่าหน้ากากผ้าฝ้ายทุกอันจะใช้ได้ ต้องสังเกตให้ดีว่ามีชั้นกรองด้านใน ซึ่งมีมาตรฐานระบุว่าสามารถกรองฝุ่นได้มากกว่า 95% หรือไม่ หน้ากากแบบนี้สามารถซักทำความสะอาดแล้วนำมาใช้ซ้ำได้ แต่ต้องเปลี่ยนแผ่นกรองด้านในให้เป็นแผ่นใหม่เสมอ

ฝุ่น PM2.5 มาจากไหน

PM 2.5 ไม่ใช่ชื่อของกลุ่มฝุ่นหรือชื่อที่ถูกตั้งขึ้นมาสำหรับสถานการณ์นี้โดยเฉพาะแต่อย่างใด ในกลุ่มคนที่คลุกคลีอยู่กับงานในวงการอุตสาหกรรมจะคุ้นเคยกับศัพท์คำนี้ดี มันเป็นค่ามาตรฐานที่ใช้เพื่อวัดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM ย่อมาจาก Particulate Matters ซึ่งแปลตรงตัวว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับฝุ่นละออง ส่วนตัวเลขที่อยู่ด้านหลังเป็นค่าเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยของฝุ่นในหน่วยไมโครเมตรหรือไมครอน ดังนั้น PM 2.5 จึงหมายความว่าค่าอนุภาคของฝุ่นที่วัดได้มีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยน้อยกว่า 2.5 ไมโครเมตร ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของฝุ่นละเอียดตามคำจำกัดความของ US. EPA ( Environmental Protection Agency -EPA ) หรือหน่วยงานปกป้องสิ่งแวดล้อมระดับรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกานั่นเอง

PM 2.5 และ PM 10

ค่าวัดฝุ่นละอองที่มีความสำคัญจะมีอยู่ 2 ค่า ก็คือ PM 2.5 และ PM 10 เนื่องจากว่าปกติฝุ่นที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมอะไรก็ตาม จะลอยฟุ้งอยู่ในอากาศเพียงช่วงสั้นๆ ราวๆ 3-4 นาที จากนั้นก็ตกลงสู่พื้นโลกตามกฎแรงโน้มถ่วง แต่สำหรับฝุ่นขนาดเล็กในระดับ PM 2.5 ( ฝุ่นละอองที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ) และ PM 10 ( ฝุ่นละอองที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ในช่วง 2.5-10 ไมครอน ) นี้จะตกสู่พื้นโลกได้ช้ากว่าเพราะมีมวลที่น้อยกว่า และเมื่อเจอกับปัจจัยอื่นๆ เช่น กระแสลม การหมุนเวียนของมวลอากาศ เป็นต้น ก็ยิ่งทำให้ฝุ่นเหล่านั้นลอยฟุ้งอยู่ในอากาศได้นานมากขึ้นอีก และสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในบริเวณนั้นๆ ได้

นอกจากนี้หากเป็นเหตุฉุกเฉินที่ไม่สามารถหาหน้ากากเหล่านี้ได้จริงๆ ก็ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูกแทนได้ แต่ก็ช่วยได้ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ควรรีบพาตัวเองออกไปจากบริเวณที่มีฝุ่นหนาแน่นโดยเร็ว และในส่วนของหน้ากากอนามัยซ้อนด้วยกระดาษทิชชู 2 ชั้นที่เคยมีข่าวว่าใช้ทดแทนหน้ากาก N95 ได้นั้น ก็ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 ได้จริง จึงควรใช้หน้ากากที่มีมาตรฐานรองรับชัดเจนแล้วดีกว่า

ไม่ว่าจะเป็น PM 2.5 หรือค่าฝุ่นละอองระดับไหน ต่างก็มีผลกระทบกับร่างกายได้ไม่มากก็น้อย จึงต้องหาเครื่องป้องกันเพื่อดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม ร่วมกับการเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายเพื่อให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยดีได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องฝุ่น PM 2.5 นี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่หลายคนเข้าใจ และเป็นเพียงแค่สถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น ก็อย่าได้ตื่นตระหนกจนเกินเหตุ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

คัพ 75 A จะอัพไซส์ได้แค่ไหน

0
คัพ 75 A จะอัพไซต์ได้แค่ไหน
ปัญหาขนาดหน้าอกมีขนาดไม่พอดี ซึ่งนอกจากขนาดของหน้าอกที่เล็กเกินไป จะทำให้เกิดความไม่มั่นใจแล้ว บางคนที่หน้าอกมีขนาดใหญ่มากเกินไป ก็ก่อปัญหาเช่นกัน
คัพ 75 A จะอัพไซต์ได้แค่ไหน
ปัญหาขนาดหน้าอกมีขนาดไม่พอดี ซึ่งนอกจากขนาดของหน้าอกที่เล็กเกินไป จะทำให้เกิดความไม่มั่นใจแล้ว บางคนที่หน้าอกมีขนาดใหญ่มากเกินไป ก็ก่อปัญหาเช่นกัน

เสริมหน้าอก

สำหรับหลายๆคน การศัลยกรรม มีไว้เพื่อแก้จุดบกพร่องของร่างกาย เพื่อความสวยงาม และเพื่อเสริมหน้าอกเพิ่มความมั่นใจในตัวบุคคลที่ทำเท่านั้น แต่สำหรับผู้หญิง ที่ตัดสินใจทำศัลยกรรมหน้าอกนั้น พวกเธอคิดไปมากกว่าจุดนั้นมาก เพราะว่า หน้าอก เป็นเหมือนเครื่องแสดงความเป็นผู้หญิง และเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเธอดูแตกต่างจากผู้ชาย ซึ่งแน่นอนว่า นอกจากเรื่องของงบประมาณแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องให้ต้องตัดสินใจ ในการทำหน้าอกแต่ละครั้ง เพราะนั่นหมายความถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิตกันเลยทีเดียว

   [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

เสริมอกสวยอวบอิ่มแบบเซ็กส์ซิมโบล

ถ้าคุณชอบอ่านนิตยสารแฟชั่นต่างๆ จะเห็นว่า บรรดานางแบบเซ็กส์ซี่ หรือเซ็กส์ซิมโบลทั้งหลายนั้น นอกจากหน้าตา และกิริยาที่เย้ายวน อีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้พวกเธอเหล่านั้น เป็นที่จับตามองทั้งจากผู้ชาย และผู้หญิงคนอื่นๆ ก็คือ ขนาดของหน้าอกหน้าใจ ที่น่าอิจฉา และส่วนใหญ่แล้ว สาวๆ เหล่านี้ มักจะเลือกสร้างความโดดเด่น และแตกต่างให้กับตัวเองโดยการเสริมหน้าอก ด้วยเจลซิลิโคน ที่จะทำให้หน้าอกดูมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ยังให้สัมผัส และความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติอยู่ และสำหรับหลายคนที่ห่วงเรื่องของแผลเป็น บอกได้เลยว่า ไม่น่าเป็นห่วงอย่างที่คิด เนื่องจาก การผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกนั้น สามารถทำได้โดยการผ่าตัด และสอดซิลิโคน ผ่านรอยแผลบริเวณรักแร้ ซึ่งข้อดีของการผ่าตัดศัลยกรรมเต้านมด้วยวิธีการนี้ก็คือ รอยแผลที่เกิดขึ้น จะไม่เป็นที่สังเกตเห็น เพราะจะอยู่ใต้รอยย่นที่รักแร้นั่นเอง
นอกจากนี้แล้ว การใช้ซิลิโคนเจล ในการเสริมหน้าอก ยังเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับในสหรัฐอเมริกาในฐานะของอวัยวะเทียม และได้รับการรับรองโดย อย. ของทางสหรัฐอเมริกา ( FDA. ) และความโดดเด่นของซิลิโคนเจล นั้น ก็คือ เมื่อเกิดการชำรุดเสียหาย ที่ตัวถุงหุ้ม ซิลิโคนเจลที่อยู่ด้านในจะยังสามารถรักษารูปทรงเอาไว้ได้ ทำให้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง หรืออันตรายต่อร่างกาย นอกจากนี้แล้ว ยังให้รูปทรง และผิวสัมผัสที่เป็นธรรมชาติมากกว่าหน้าอกเทียม ที่ทำมาจากวัสดุอื่นๆ

ศัลยกรรมหน้าอก เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ได้จริงหรือ?

หลายคนอาจจะเคยเห็นคนที่เสริมหน้าอก แต่ไม่เน้นขนาดที่ใหญ่มาก อาจจะเนื่องด้วย เนื้อหน้าอกเดิมมีค่อนข้างน้อย ทำให้ไม่สามารถที่จะใส่ซิลิโคนขนาดใหญ่ได้ แต่ถึงแม้ว่าจะเสริมเพียงแค่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก ก็สามารถสร้างความแตกต่างทางสรีระ ไม่ต่างจากคนที่เสริมหน้าอกขนาดใหญ่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณเลือกที่จะใช้ซิลิโคน ทรงหยดน้ำ เพราะนอกจากจะให้รูปร่างที่คล้ายเต้านมธรรมชาติมากกว่าแล้ว คุณสมบัติพิเศษของซิลิโคนทรงหยดน้ำก็คือ เมื่อคุณขยับ หรือออกกำลังกาย ตัวซิลิโคนจะสามารถขยับได้เหมือนกับเต้านมธรรมชาติ ที่สำคัญคือ หลังจากการผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอก คุณไม่จำเป็นต้องไปนวด เพื่อให้หน้าอกนุ่ม และดูเป็นธรรมชาติ เหมือนกับการศัลยกรรมหน้าอกทรงกลมแต่อย่างใด
การทำหน้าอกทรงหยดน้ำ จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สำหรับผู้หญิงจากทั่วโลก แทบจะเรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกแรก หากต้องการทำศัลยกรรมหน้าอกเลยทีเดียว  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

ผ่าตัดแก้หัวนมบอด เสริมความมั่นใจให้ผู้หญิง

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าความกังวลของผู้หญิง ไม่ได้มีแค่เรื่องของขนาดหน้าอกเท่านั้น เพราะในบางครั้งหัวนม ก็สร้างปัญหาให้กับพวกเธอไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ต้องให้คนรักได้สัมผัส และยามที่ต้องให้ลูกดื่มน้ำนมจากอก ผู้หญิงหลายคนจะรู้สึกขาดความมั่นใจเป็นอย่างมาก เมื่อพบว่าตัวเองเป็นคนหัวนมบอด และสาเหตุที่หัวนมของพวกเธอไม่เหมือนกับคนอื่นนั้น อาจจะเป็นเพราะการเจริญเติบโตที่ไม่ปกติของร่างกาย และฮอร์โมน หรือแม้กระทั่งปัญหาหัวนมบอดหลังจากตั้งครรภ์ ก็มีให้เห็นอย่างมากมาย ซึ่งการแก้ปัญหาหัวนมบอด สามารถทำได้ โดยการผ่าตัด ซึ่งใช้เวลาไม่นานเหมือนกับการทำศัลยกรรมเต้านมอื่นๆ เพราะเพียงแค่ทำการผ่าตัดที่บริเวณหัวนม เพื่อดัน หรือดึงหัวนมที่บุ๋มลงไป ให้กลับขึ้นมา จากนั้นก็ทำการเย็บกลับ ก็เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน แต่ข้อเสียก็คือ อาจจะมีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดให้เห็นบ้างเล็กน้อย ในส่วนอาจจำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ ในการดูแลรักษาแผลกันต่อไป

สิ่งที่ต้องระวังในการศัลยกรรมแก้ไขหัวนมบอด มีดังนี้

1. การผ่าตัดแก้ไขหัวนมบอดอาจจะทำให้หัวนม และเต้านมสูญเสียความรู้สึกได้

2. ห้ามออกกำลังกายหนักในช่วง 1 เดือนแรก หลังการผ่าตัด

3. งดมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังการผ่าตัด

เรื่องที่ต้องรู้ก่อนที่จะทำการศัลยกรรมเสริมหน้าอก

ซิลิโคนที่ใช้ในการศัลยกรรม

ซิลิโคนแบบถุงน้ำเกลือ

ข้อดีของ เต้านมซิลิโคน แบบนี้ คือ สามารถที่จะควบคุมปริมาณได้ ว่าต้องการมากน้อยแค่ไหน เนื่องจาก สามารถที่จะเพิ่มน้ำเกลือเข้าไป หรือเอาน้ำเกลือที่อยู่ภายในออกมาได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อถุงน้ำเกลืออยู่ใต้ผิวหนังเป็นระยะเวลานานๆ จะเกิดการค่อยๆ รั่วซึม จนทำให้หน้าอกที่ทำมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ไม่สามารถอยู่ได้นาน นอกจากนี้แล้ว รูปทรง และความเป็นธรรมชาติยังค่อนข้างน้อยมาก ทำให้ดูออกทันทีว่าศัลยกรรมมา และถึงแม้ว่า การทำศัลยกรรมหน้าอกโดยใช้ซิลิโคนแบบถุงน้ำเกลือ จะราคาไม่แพงมาก แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมแล้วในปัจจุบัน เนื่องจากต้องผ่าตัดเอาออกเมื่อเวลาผ่านไป 5-10 ปี เพราะน้ำเกลือที่อยู่ภายในมักจะรั่วออกจนหมด    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

ซิลิโคนเจล

ความอ่อนนุ่มของซิลืโคนเจล ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติมากกว่า เมื่ออยู่บนหน้าอกของหญิงสาว และถึงแม้ว่าจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงมากกว่า แต่ในระยะยาว ซิลิโคนเจลจะสามารถเกาะตัวอยู่ได้นานกว่า ถึงแม้ว่าจะเกิดการฉีกขาดของถึงหุ้มภายนอก แต่เนื้อของซิลิโคนที่อยู่ภายในจะมีความเกาะตัวกันเป็นรูปทรงเหมือนเดิม ไม่แตกกระจายไปยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย

ประเภทของซิลิโคนที่แบ่งตามรูปทรง

ซิลิโคนทรงกลม

เป็นที่นิยมมาก สำหรับการศัลยกรรมสมัยก่อน แต่มักจะเหมาะกับคนที่มีเนื้อนมเดิม หรือมีฐานอกที่ค่อนข้างกว้างเนื่องจาก เมื่อใส่เข้าไป รูปทรงของซิลิโคน จะไม่เปลี่ยนจากเดิมมาก และจะอยู่ทรงเป็นหน้าอกทรงกลม ซึ่งนั่นอาจจะดูไม่เป็นธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป และจะต้องได้รับการดูแลหลังการผ่าตัดด้วยการนวด เพื่อให้ซิลิโคนมีความนิ่มมากขึ้น ข้อดีคือ หากคุณไม่มีเนินอก เมื่อใส่ซิลิโคนทรงนี้แล้ว จะเห็นเนินอกที่ชัดเจนมากขึ้น และไม่ต้องกังวลเรื่องอกห่าง

 

ซิลิโคนทรงหยดน้ำ

เป็นซิลิโคน ที่มีการออกแบบมาเพื่อเลียนแบบให้คล้ายกับรูปทรงของหน้าอกตามธรรมชาติให้มากที่สุด ซิลิโคนทรงนี้ จะเหมาะกับคนที่มีเนื้อนมน้อย และมีฐานนมที่ไม่กว้างมาก เมื่อใส่เสริมเข้าไปแล้ว จะให้ความรู้สึกเหมือนหน้าอกจริง ที่สำคัญคือ ด้วยรูปทรงที่แหลมคล้ายหยดน้ำ ทำให้คนที่มีหน้าอกเล็กมาๆ สามารถที่จะเสริมได้ ในขนาดที่ใหญ่มากขึ้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงฐานเดิม และเมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกาย หน้าอกก็จะมีการขยับตาม เหมือนหน้าอกธรรมชาติอีกด้วย

ประเภทของซิลิโคนแบ่งตามผิวสัมผัส ได้ 2 แบบ คือ แบบเนื้อเรียบ และแบบเนื้อทราย แต่เดิมมีความเชื่อว่า เมื่อศัลยกรรมหน้าอก ควรเลือกซิลิโคนเจล แบบที่เป็นผิวสัมผัสเนื้อทราย เพราะจะช่วยลดปัญหาพังผืด ที่จะมายึดหน้าอก หรือทำให้ขยับตัวลำบาก และหากเป็นซิลิโคนเนื้อทราย จะไม่จำเป็นต้องนวด หน้าอกก็จะฟู และนิ่มมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า แต่เมื่อศึกษาดีๆ จะพบว่า ผิวสัมผัสของซิลิโคน ไม่ได้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าหน้าอกที่ทำมาจะเป็นธรรมชาติหรือไม่ เพราะที่จริงแล้ว ขึ้นอยู่กับ การเลือกรูปทรง ขนาด และการดูแลหลังจากผ่าตัดต่างหาก ที่จะส่งผลให้หน้าอกดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นานมากขึ้น

การศัลยกรรม มีไว้เพื่อแก้จุดบกพร่องของร่างกาย เพื่อความสวยงาม และเพื่อเสริมความมั่นใจในตัวบุคคลที่ทำ

การศัลยกรรมหน้าอกที่ได้รับความนิยม

การศัลยกรรมหน้าอกแบบอิสระ    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

การศัลยกรรมหน้าอกแบบอิสระ เป็นวิธีการสร้างพื้นที่ว่างเพิ่มนอกจากพื้นที่สำหรับใส่ซิลิโคนเจล เหมาะสำหรับกรณีที่มีพื้นที่สำหรับการใส่ซิลิโคน มีน้อยจนก่อให้เกิดการรัดของกล้ามเนื้อหน้าอก และซิลิโคน จนแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ การผ่าตัดเพื่อเพิ่มพื้นที่จะช่วยให้หน้าอกที่ได้ออกมาเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเวลานอนที่หน้าอกจะราบลงไป ไม่มีซิลิโคนอยู่บนหน้าอก หรือเมื่อต้องออกกำลังกาย พื้นที่ดังกล่าว ก็จะช่วยให้หน้าอกสามารถกระเพื่อมตามแรงเคลื่อนไหวได้อย่างธรรมชาติ ต่างจากการผ่าตัดเสริมหน้าอกแบบอื่นๆ

การศัลยกรรมหน้าอกด้วยเต้านมเทียมทรงหยดน้ำ

การศัลยกรรมด้วยเต้านมเทียมทรงหยดน้ำ เป็นรูปทรงเต้านมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะสามารถเพิ่มขนาดได้มากกว่าการศัลยกรรมเต้านมเทียมแบบอื่นๆ แล้ว ยังให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติมากกว่าเวลาที่ต้องแต่งตัว ช่วยเสริมบุคลิก ของคนที่ทำหน้าอก ให้มั่นใจได้แม้ยามใส่เสื้อยืด โดยระยะเวลาในการผ่าตัดทำศัลยกรรมหน้าอกทรงหยดน้ำนั้น ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้น ผู้รับการผ่าตัดสามารถที่จะกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้เลย โดยที่ไม่ต้องนอนที่คลินิก หรือโรงพยาบาล และใช้เวลาอีกประมาณ 3-4 วันก่อนที่จะสามารถกลับไปทำงานได้ ในกรณีที่ทำงานไม่ต้องเคลื่อนไหวมากนัก จากนั้นรออีกประมาณ 2 สัปดาห์จึงทำการตัดไหมได้ แต่ระยะเวลากว่าที่หน้าอกจะเข้ารูป และแผลผ่าตัดจะหายดีใช้เวลาประมาณ 3 เดือนขึ้นไป

ข้อดีของการศัลยกรรมหน้าอกด้วยเต้านมเทียมทรงหยดน้ำ

1. ขนาด และรูปทรงที่สมดุลกับรูปร่าง

การเสริมหน้าอกให้ดูสวยงาม จำเป็นต้องคำนึงถึงความสมดุลของหน้าอก และรูปร่างทั้งก่อน และหลังการผ่าตัด ซึ่งหน้าอกทรงหยดน้ำเป็นหน้าอกที่มีความสมดุล และคล้ายคลึงกับหน้าอกธรรมชาติมากที่สุด ทั้งในเรื่องของขนาด และความรู้สึก ทำให้ผู้ทำศัลยกรรมมีความรู้สึกว่าตัวเองมีความเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น

2. ผลข้างเคียงน้อย

เนื่องจากซิลิโคนทรงหยดน้ำ จะมีรูปร่าง ที่ใกล้เคียงกับหน้าอกจริงมาก ทำให้เมื่อใส่เข้าไปใต้กล้ามเนื้อหน้าอกเดิมที่มีอยู่ จะสามารถแนบเข้าไปกับผิวจริง ทำให้เกิดช่องว่าง และพังผืดได้น้อยมาก ซึ่งนั่นก็เป็นผลดี เพราะจะทำให้หน้าอกที่ศัลยกรรมมาไม่เกิดการหดรัดจนเกิดปัญหาในภายหลัง เหมือนกับหน้าอกทรงกลม  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

กรณีใดบ้าง ที่เหมาะกับการศัลยกรรมหน้าอกด้วยเต้านมเทียมทรงหยดน้ำ

1. ระยะห่างของฐานเต้านม และหัวนมน้อย

สำหรับคนที่มีขนาดหน้าอกที่เล็กมาก และระยะระหว่างฐานนม และหัวนมน้อย จะไม่สามารถใช้ซิลิโคนแบบกลมได้ เพราจะทำให้หน้าอกที่ออกมามีการดันขึ้นสูงเกินไป และเห็นขอบหน้าอกเป็น 2 ชั้น นอกจากนี้การใช้เต้านมเทียมทรงหยดน้ำ ยังให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ และสามารถเพิ่มขนาดได้ตามต้องการโดยไม่ต้องคำนึงเรื่องของฐานหน้าอก ว่าจะใหญ่เพียงพอหรือไม่

2. หน้าอกสูง

โดยธรรมชาติระยะห่างระหว่างหัวนม และไหปลาร้าจะอยู่ที่ระหว่าง 18-22 เซนติเมตร ซึ่งหากทำการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนทรงกลม ตำแหน่งของหัวนมมักจะถูกดันให้สูงเกินกว่าปกติ แต่สำหรับซิลิโคนทรงหยดน้ำนั้น ตำแหน่งของหัวนมจะไม่ถูกเปลี่ยนไปจากเดิม ถึงแม้ว่าจะใส่ในขนาดที่ใหญ่ก็ตาม ทำให้ได้รูปทรงของหน้าอกที่ได้หลังจากทำการศัลยกรรม ไม่ผิดจากธรรมชาติ

3. กรณีแก้ไขเต้านมที่ผ่านการศัลยกรรมมาแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการศัลยกรรมเพื่อเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้น การแก้ปัญหาพังผืดที่เกิดจากการศัลยกรรมเต้านมเทียมโดยใช้ซิลิโคนแบบกลมมาก่อน การแก้ปัญหาหัวนมอยู่สูงจนผิดปกติ หรือต้องการที่จะเปลี่ยนประเภทของซิลิโคนจากแบบเรียบเป็นแบบผิวหยาบก็ตาม ล้วนแล้วแต่เหมาะกับการที่จะใช้เต้านมเทียมแบบซิลิโคนทรงหยดน้ำทั้งนั้น

ตำแหน่งแผลสำหรับการผ่าตัดทำนม

เพราะการผ่าตัดศัลยกรรมเต้านมแบบหยดน้ำ ตำแหน่งในการผ่าตัดมักจะไม่ตายตัว เนื่องจากแต่ละเคสมีปัจจัยที่แตกต่างกัน การเลือกตำแหน่งในการผ่าตัดเพื่อนำซิลิโคนเข้าสู่ร่างกายจึงต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ แต่โดยหลักๆ แล้ว ตำแหน่งที่เป็นที่นิยมในการผ่าตัดเพื่อนำซิลิโคนเข้าสู่ร่างกาย ในการเสริมเต้านมเทียมแบบหยดน้ำ มีดังนี้  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

ตำแหน่งใต้รักแร้

เป็นตำแหน่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะแทบจะไม่เห็นรอยแผลเป็นในการผ่าตัดเลย โดยแพทย์จะทำการกรีดรักแร้ยาวประมาณ 3 cm. จากนั้นก็จะพับซิลิโคนแล้วยัดเข้าไปใต้รอยกรีด ข้อดีคือ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการให้เห็นรอยแผลเป็นจากการศัลยกรรม เพราะเมื่อผ่าตัดเสร็จแล้ว จะเหลือรอยแผลเล็กน้อยที่รอยพับใต้รักแร้เท่านั้น และหากเป็นการศัลยกรรมโดยแพทย์ที่มีฝีมือสูง รอยแผลเป็นนั้นจะหายไปภายในเวลาแค่ 6 เดือนเท่านั้น

ตำแหน่งปานนม

ตำแหน่งนี้เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาปานนมใหญ่แต่กำเนิด หรือคนที่มีปานนมใหญ่ขึ้นเนื่องจากการตั้งครรภ์และให้นมบุตร นอกจากนี้แล้ว หากต้องการให้หน้าอกที่หย่อนคล้อยกลับมากระชับ การเลือกผ่าตัดและใส่ซิลิโคนในตำแหน่งปานนม ก็จะช่วยในเรื่องนี้ด้วย โดยแพทย์จะทำการกรีดบริเวณปานนมก่อนที่จะใส่ซิลิโคนเข้าไป แล้วเย็บปิด รอยแผลเป็นจะถูกสีของปานนมปิดเอาไว้ทำให้เห็นไม่ชัดเจน และช่วยให้ขนาดของปานนมเล็กลงได้อีกด้วย

ตำแหน่งใต้ฐานนม

แพทย์จะทำการกรีดบริเวณใต้ฐานหน้าอกเป็นรอยยาวประมาณ 3 cm. ก่อนที่จะทำการใส่ซิลิโคนเข้าไป วิธีนี้สามารถตรวจสอบตำแหน่งของถุงเต้านมเทียมได้ทันที จึงสามารถสร้างพื้นที่ว่างที่เหมาะสมสำหรับเต้านมเทียมลักษณะต่างๆ ได้ทันที

ปัญหาที่ทำให้มีขนาดหน้าอกใหญ่มากเกินไป

สำหรับผู้หญิง นอกจากขนาดของหน้าอกที่เล็กเกินไป จะทำให้เกิดความไม่มั่นใจแล้ว สำหรับบางคนที่หน้าอกมีขนาดใหญ่มากเกินไป ก็ก่อปัญหาให้กับพวกเธอได้ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น เลยไม่น่าแปลกใจที่การผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อลดขนาดหน้าอกจะได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้ โดยปกติปริมาตรเฉลี่ยของเต้านม 1 ข้างของผู้หญิงเกาหลีคือ 200-250 ซีซี หากมากกว่า 400 ซีซี ขึ้นไปอาจเกิดปัญหาทั้งต่อร่างกายและจิตใจ เพราะหน้าอกที่ใหญ่เกินไปไม่เพียงทำให้เกิดอาการปวดเต้านม คอ อะไหล่ และหลังเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้กระดูกสันหลังคดด้วย นอกจากนี้แล้วในกรณีที่รุนแรงหน้าอกจะยานลงมา ทำให้เกิดผื่นแดงที่ผิวหนังจากเหงื่อได้ จึงต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

แต่อย่างไรก็ตามการผ่าตัดลดขนาดหน้าอกเป็นเรื่องยากและซับซ้อนกว่าการผ่าตัดเสริมหน้าอก ต้องดำเนินการผ่าตัดจากศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การผ่าตัดจะต้องดมยาสลบ ใช้เวลาผ่าตัด 2-3 ชั่วโมง สามารถกลับบ้านได้ในวันเดียวกัน และสามารถตัดใหมได้ 10 วันหลังผ่าตัด

และสาเหตุที่ทำให้หน้าอกของผู้หญิงบางคนมีขนาดใหญ่ผิดปกติ มีดังนี้

ภาวะโรคอ้วน

เนื่องจากคนปัจจุบันหันมาใช้ชีวิต และกินอาหารแบบชาวตะวันตก ซึ่งเต็มไปด้วยแป้ง โปรตีน และไขมัน ในปริมาณที่มากขึ้น จึงทำให้เกิดภาวะอ้วน และเมื่อมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นขนาดของหน้าอก ก็มักจะใหญ่ขึ้นอีกด้วยเช่นเดียวกัน และในบางครั้งเมื่อน้ำหนักลดลงขนาดของหน้าอก ก็อาจจะไม่ได้ลดตามไป จนก่อให้เกิดปัญหาขนาดของหน้าอกไม่สัมพันธ์กับน้ำหนักตัว และขนาดของรูปร่างโดยรวม

ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง

หลายครั้งเราพบว่าผู้หญิงมักจะมีขนาดหน้าอกที่เพิ่มขึ้น จากการตั้งครรภ์ หรือภาวะก่อนประจำเดือนมา นั้นเป็นเพราะว่าฮอร์โมนเพศหญิง ที่มาจากต่อมไร้ท่อ แต่หากฮอร์โมนดังกล่าวมีมากเกินไป ก็อาจจะทำให้หน้าอกของคุณใหญ่เกินไปได้เช่นเดียวกัน

การผ่าตัดลดขนาดหน้าอก

การผ่าตัดเป็นแผลแนวตั้ง

เป็นวิธีผ่าตัดที่รวมเอาข้อดีของการผ่าตัดปานนม และการผ่าตัดเป็นรูปสมอเรือเข้าด้วยกัน วิธีนี้ช่วยลดผิวหนังส่วนเกิน และยกกระชับหน้าอกที่หย่อนคล้อยได้ ทำให้หน้าอกอวบอิ่มและกลมมากกว่าวิธีอื่น โดยแพทย์จะตัดปานนมออกแล้วกรีดแผลแนวตั้งยาว 4-5 เซนติเมตร จากนั้นเอาเนื้อเยื่อในเต้านมออก หลังผ่าตัดคนไข้สามารถให้นมบุตรได้ตามปกติ และไม่สูญเสียความรู้สึกที่หัวนมแต่อย่างใด

การผ่าตัดที่ปานนม

วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน และผู้ที่ขนาดหน้าอกไม่ใหญ่มากรวมไปถึงไม่มีปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อยรุนแรง ข้อดีคือ ใช้เวลาผ่าตัดน้อย ฟื้นตัวเร็ว เร็ว และช่วยแก้ไขหน้าอกหย่อนคล้อยได้อย่างรวดเร็ว และภายหลังการผ่าตัดยังคงสามารถให้นมบุตรได้ตามปกติ โดยไม่สูญเสียความรู้สึกที่หัวนม อีกทั้งยังเป็นวิธีการที่มีผลข้างเคียงน้อย  [adinserter name=”navtra”]

การผ่าตัดเป็นรูปสมอเรือ

ทำได้โดยการตัดปานนม และกรีดแผลเป็นแนวตรงลงข้างล่างเหมือนรูปสมอเรือ จากนั้นจึงเอาเนื้อเยื่อรวมทั้งผิวหนังออก และทำการปรับตำแหน่งปานนมที่อยู่ต่ำให้สูงขึ้น วิธีนี้ใช้ได้ผลดีในกรณีที่หน้าอกมีขนาดใหญ่ และหย่อนคล้อยมาก รวมทั้งกรณีที่ต้องการลดขนาดของเต้านมลงจากเดิมมาก แต่ก็มีข้อเสียคือ แผลจากการผ่าตัดจะยาวจนอาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้ แต่แผลเป็นนั้นจะค่อยๆจางลง และอยู่ที่ฐานเต้านม ทำให้มองเห็นไม่ชัดนัก

การดูดไขมัน

การดูดไขมันจะถูกนำมาใช้ในกรณี ที่เต้านมมีไขมันมาก สามารถใช้วิธีดูดไขมันเพื่อลดขนาดเต้านมได้ ใช้ได้ผลดีกับหน้าอกที่ไม่หย่อนคล้อย และผิวมีความยืดหยุ่นดี หน้าอกจะมีขนาดเล็กลงโดยไม่มีแผลเป็น อีกทั้งคนไข้มักจะพอใจกับผลที่ได้

ข้อควรระวังในการทำศัลยกรรมหน้าอก

1. งดดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัดและ 4 สัปดาห์หลังผ่าตัด

2. ปิดแผลไม่ให้โดนน้ำ 7 วันหลังผ่าตัด

3. หลีกเลี่ยงการเข้าซาวน่า1 เดือนหลังผ่าตัด

4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก 1 เดือนหลังผ่าตัด แต่สามารถออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเล่นโยคะ หรือจ๊อกกิ้งได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.

รักษาฝ้าด้วยหัวไชเท้า ( Radish Essentials )

0
หัวไชเท้าแก้ฝ้าได้
สบู่หัวไชเท้า มีคุณสมบัติแก้ฝ้า กระ บนใบหน้า
หัวไชเท้ารักษาฝ้า
หัวไชเท้า คุณสมบัติโดดเด่นด้านการรักษาฝ้า

รักษาฝ้าด้วยหัวไชเท้า

หัวไชเท้า

หัวไชเท้า ( Radish ) หรือ ผักกาดหัว เป็นพืชที่อยู่ใต้ดิน จริงๆ แล้วมีอยู่หลายสี เช่น สีขาว สีแดง สีม่วง เป็นต้น แต่ในบ้านเราจะเห็นกันแค่สีขาวเท่านั้น หัวไชเท้ามีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง เพราะมีฤทธิ์เย็น อุดมด้วยสารอาหารและเป็นยาปฏิชีวนะโดยธรรมชาติ ดีต่อระบบกระเพาะอาหารและลำไส้ รักษาฝ้าด้วยหัวไชเท้า ในด้านความงามก็ไม่น้อยหน้า ด้วยมีวิตามินสำคัญหลายตัว เช่น วิตามินซี วิตามินบี วิตามินเค เป็นต้น จึงมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระและช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนได้ด้วย นอกจากนี้ตามตำราจีน หัวไชเท้ายังสามารถใช้เพื่อล้างพิษในร่างกาย ส่งผลให้อาการอับเสบลดน้อยลง ลดเสมหะ และบรรเทาอาการไข้หวัด

การรักษาฝ้าด้วยหัวไชเท้า ประเด็นเรื่องของฝ้า กระ และจุดด่างดำ ถือเป็นปัญหาผิวหลักๆ ของผู้หญิงเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะพยายามเท่าไร พออายุเพิ่มมากขึ้น เผลอโดนแดดมากไปหน่อย หลงลืมการดูแลตัวเองไปบ้าง จุดกระก็เริ่มมาแล้ว ไม่นานฝ้าก็ตามมาอีก ทีนี้พอมีปัญหาก็ต้องมองหาตัวช่วย สำหรับคนที่ชื่นชอบวิถีธรรมชาติ อันดับแรกๆ ที่นิยมใช้เพื่อกำจัดรอยฝ้า กระ จุดด่างดำเหล่านี้ก็จะเป็น หัวไชเท้า พืชผักที่หาได้ง่าย ราคาไม่แพง รสชาติอร่อย ที่สำคัญเป็นหนึ่งวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องกับความงามมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ว่ากันว่าจัดการกับบรรดาฝ้า กระ ได้ผลชัดเจน แถมปลอดภัยไร้ผลข้างเคียงเพราะมาจากธรรมชาติ ดังนั้นเราจะมาเจาะลึกกันดูว่าหัวไชเท้าแก้ฝ้า ลดกระ ลดจุดด่างดำ ได้ผลดีจริงอย่างที่เคยได้ยินต่อๆ กันมาหรือไม่ โดยเฉพาะประเด็นปัญหาเรื่องฝ้าที่ได้รับความสนใจมากที่สุด

รู้จักฝ้า

หลายคนยังคงแยกไม่ออกระหว่างกระกับฝ้าอยู่ วิธีสังเกตง่ายๆ ก็คือ กระจะเป็นจุดเล็กๆ แต่ฝ้าจะเป็นปื้นสีคล้ำกว่าสีผิวปกติ เมื่อถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยสำคัญ 3 อย่าง คือ แสงแดด ความร้อน และฮอร์โมน ก็จะยิ่งมีสีเข้มขึ้น นานไปหากไม่แก้ไข ฝ้าก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความงามของผิวพรรณลดน้อยลง โยงไปถึงการสูญเสียความมั่นใจอีกด้วย เราสามารถแบ่งประเภทของฝ้าได้อีก 2 แบบ คือ ฝ้าตื้นและฝ้าลึก ซึ่งฝ้าตื้นสามารถพัฒนาเป็นฝ้าลึกได้เมื่อเวลาผ่านไป และการรักษาก็จะยากขึ้นตามไปด้วย

หัวไชเท้ากับการรักษาฝ้า

สารสำคัญในหัวไชเท้าก็คือ ไกลโคไซด์ ( Glycossides ) เป็นสารที่ประกอบด้วยส่วนของน้ำตาลและส่วนของ aglycone ซึ่งเป็นสารอินทรีย์ มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดี มีผลดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เป็นยาระบาย ย้อมสีก็ได้ ฆ่าเชื้อก็ดี เมื่อทำงานร่วมกับวิตามินต่างๆ ที่มีอยู่มากในหัวไชเท้า ก็พบว่าช่วยลดปริมาณฝ้าบนผิวหนังได้จริง รักษาฝ้าด้วยหัวไชเท้าจึงมีงานวิจัยชัดเจนว่า สารสกัดจากหัวไชเท้าเข้าไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินได้ ทั้งยังช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปได้อย่างดีเยี่ยม นี่จึงกลายเป็นสารสกัดที่ถูกหยิบมาใช้ประโยชน์ในวงการความงามอยู่เรื่อยๆ

สารสกัดจากหัวไชเท้าเข้าไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินได้ ทั้งยังช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปได้อย่างดีเยี่ยม หัวไชเท้าสารธรรมชาติที่ช่วยรักษาฝ้าบนใบหน้าอย่างยั่งยืน

แม้ว่าในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีด้านความงามเข้ามาช่วยแก้ปัญหาฝ้าได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์ ทรีทเม้นท์ หรือยาทาลดรอยฝ้า แต่วิธีทางธรรมชาติก็ยังได้รับความสนใจมากกว่าอยู่ดี ด้วยปัจจัยเรื่องความปลอดภัย ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ และค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป ทำให้หัวไชเท้ายังคงเป็นตัวเลือกที่ดีอยู่เสมอ

รูปแบบการใช้หัวไชเท้าเพื่อรักษาฝ้า

อันที่จริงเราสามารถใช้ประโยชน์จากหัวไชเท้าได้ดีตั้งแต่เป็นผลสดๆ แต่จะมีเงื่อนไขอยู่เล็กน้อย ด้วยฤทธิ์ที่ค่อนข้างแรงจึงไม่เหมาะกับผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่าย และผิวแห้ง จะต้องเปลี่ยนไปใช้หัวไชเท้าในรูปของสารสกัดแทน รูปแบบการใช้หัวไชเท้าที่น่าสนใจมีดังนี้   

1. ใช้ผลสดผสมสูตรพอกหน้า

โดยใช้หัวไชเท้าสด ปอกเปลือก แล้วบดละเอียด จากนั้นก็ผสมกับส่วนผสมที่ต้องการ เช่น นมสด ว่านหางจระเข้ แตงกวา น้ำผึ้ง เป็นต้น เพื่อลดอาการแสบผิวหนังขณะนำไปใช้ สูตรเหล่านี้ให้ผลในการรักษาฝ้าได้ดี แต่ต้องทำต่อเนื่องเป็นเวลานาน ต้องอาศัยวินัยในการดูแลเรื่องความงามของตัวเองพอสมควรถึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน

2. ใช้สารสกัดหัวไชเท้าผสมลงในครีมบำรุงผิว

สารสกัดที่ว่านี้ก็คือ ไกลโคไซด์ ซึ่งเป็นตัวเด่นในการรักษาฝ้า พร้อมกับเสริมวิตามินต่างๆ ที่ดีต่อผิวเข้าไป เพื่อให้ร่วมกันทำงานซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวได้อย่างสมบูรณ์ การใช้สารสกัดจากหัวไชเท้านี้ถือว่าดีต่อความงามของผิวพรรณมากกว่าการใช้เคมี อย่างเช่น สารไฮโดรคิวโนน เพราะไม่มีสารตกค้างที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวในระยะยาว

3. ใช้สารสกัดหัวไชเท้าผสมผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเซรั่มแก้ฝ้า

ข้อดีของผลิตภัณฑ์รูปแบบนี้ก็คือ จะมีอัตราส่วนของสารสกัดมากกว่าแบบครีม เน้นแก้ปัญหาฝ้าอย่างตรงจุด ที่สำคัญยังสามารถซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้ดีกว่าครีมหลายเท่าตัว เป็นอีกหนึ่งประเภทผลิตภัณฑ์ความงามที่คนเป็นฝ้าควรต้องมีติดเอาไว้

4. ใช้สารสกัดหัวไชเท้าผสมในสบู่หรือเจลล้างหน้า

เนื่องจากสบู่จะอยู่บนผิวในช่วงเวลาอันสั้น ดังนั้นหากอยากได้ผลก็ต้องใส่สารสกัดในปริมาณที่มากสักหน่อย ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ฟอกแล้วปล่อยทิ้งไว้ราวๆ 10-15 นาทีได้ ก่อนล้างออก เพื่อให้สารสกัดจากหัวไชเท้าและตัวช่วยอื่นๆ ได้ทำงาน แต่ก็ต้องระวังการใช้สำหรับผิวบอบบางแพ้ง่ายด้วย

นอกจากคุณสมบัติเด่นในเรื่องการรักษาฝ้าแล้ว หัวไชเท้าก็ยังถูกใช้ในด้านความงามอีกหลายอย่าง เช่น ใช้ในผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาวใส เนื่องจากมีวิตามินซีในปริมาณมาก ใช้ในผลิตภัณฑ์ลดสิว ลดการอับเสบ ไปจนถึงใช้ในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก เนื่องจากมีเส้นใยสูง แต่ให้พลังงานต่ำด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

เรียบเรียงโดย Amprohealth.com (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.springnews.co.th/news/[16 ธันวาคม 2561]

แป้งสมุนไพรประทินผิวทานาคาผิวสวยไร้สิวเหมือนสาวพม่า

0
แป้งสมุนไพรประทินผิว" ทานาคา " ผิวสวยไร้สิวเหมือนสาวพม่า
"ทานาคา " หรือแป้งพม่า เป็นแป้งสมุนไพรประทินผิว ที่จำแนกสาวมอญกับพม่าให้แตกต่างจากคนทั้งโลกอย่างแท้จริง ขนาดสาวออฟฟิศพม่าที่ว่าทันสมัย ใช้แป้งพัฟยี่ห้อหรูราคาแพงแค่ไหน แต่ก็ยังต้องรองพื้นแรกด้วย “ทานาคา” เพราะช่วยให้ผิวหน้านุ่มเนียน ไม่ทำหน้าพังเหมือนคอสเมติกทั้งหลาย
แป้งสมุนไพรประทินผิว " ทานาคา " ผิวสวยไร้สิวเหมือนสาวพม่า
ทานาคา (แป้งพม่า) ลักษณะเป็นผงสีเหลืองนวลๆ ซึ่งทำจากไม้ทานาคา เป็นไม้ที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ และเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์สารพัด

แป้งสมุนไพรประทินผิว ” ทานาคา ” ผิวสวยไร้สิวเหมือนสาวพม่า

สาว ๆ หลาย ๆ คนอาจจะคงเคยรู้จักเป็นอย่างดีกับ ” ทานาคา “ หรือแป้งพม่า ซึ่งเป็นแป้งสมุนไพรประทินผิว ที่ทำให้สาวพม่ามีผิวที่แตกต่างจากคนทั้งโลก ขนาดสาวออฟฟิศพม่าที่ว่าทันสมัยใช้แป้งพัฟยี่ห้อหรูราคาแพงแค่ไหน แต่ก็ยังต้องรองพื้นแรกด้วย “ทานาคา ” เพราะช่วยให้ผิวหน้านุ่มเนียน ไม่ทำหน้าพังเหมือนคอสเมติกทั้งหลาย

อย่างไรก็ตาม  ” ทานาคา “ ( แป้งพม่า ) ในภาษาพม่าจะเรียกว่า “ ตะนะคา ” ลักษณะเป็นผงสีเหลืองนวล ๆ ซึ่งทำจากไม้ทานาคา ซึ่งต้นทานาคาจะมีมากในแถบตอนกลางของประเทศพม่า เป็นไม้ที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ และเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์สารพัด วิธีทำผงทานาคาแบบดั่งเดิมของชาวพม่า จะเลือกใช้ต้นทานาคาที่มีอายุประมาณ 35 ปี นำมาตัดเป็นท่อนๆขนาดพอดีมือ แล้วใช้ส่วนเปลือกของไม้ทานาคาไปฝนหรือบดกับหินขัด พร้อมกับพรมน้ำเป็นระยะๆ จนออกมาได้เป็นผงสีขาวเหลืองนวล ชาวพม่าส่วนใหญ่มักจะใช้ผงทานาคาผัดหน้า ผัดตามแขนขาและลำตัว จนเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวพม่าไป

นอกจากนี้ ” ทานาคา “ ยังมีสรรพคุณที่ช่วยดูแลผิวหน้ามากมายคือ  

ปรับผิวหมองคล้ำ ให้ขาวผ่อง อย่างปลอดภัยเพราะเป็นสมุนไพรธรรมชาติ

หน้าเนียน นุ่ม ล้างออกมาหน้าไม่แห้งตึง ลูบแล้วสัมผัสได้ถึงความเนียนของผิว

สามารถนำมาแต้มหัวสิวได้ ช่วยลดการอักเสบของสิวสิวจะยุบและแห้งเร็ว ควบคุมความมัน สิวใหม่ไม่เกิด

ฝ้า กระ และจุดด่างดำ จางลง อย่างเห็นได้ชัด

ลดผดผื่น อาการคัน แดง แสบ จากการแพ้เครื่องสำอาง และสารเคมีหรืออื่นๆ

 มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ช่วยลดริ้วรอย ร่องลึกได้ดีผิวหน้าอ่อนเยาว์

ป้องกันแดดให้กับผิวได้เป็นอย่างดี 

รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว จางลงเพราะผิวได้รับการผลัดผิวที่เสื่อมสภาพอย่างอ่อนโยน

ระงับกลิ่นตามร่างกาย 

 ทานาคา ( แป้งพม่า ) ลักษณะเป็นผงสีเหลืองนวลๆ ซึ่งทำจากไม้ทานาคา เป็นไม้ที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ และเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์สารพัด ชาวพม่าส่วนใหญ่มักจะใช้ผงทานาคาผัดหน้า ผัดตามแขนขาและลำตัว จนเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวพม่าไป

ผงทานาคา ใช้ยังไง

ผงทานาคาจะมีด้วยกันอยู่ 2 รูปแบบ คือ แบบเป็นผงอัดแข็ง และแบบเป็นผงธรรมดา วิธีใช้จะมีดังนี้ 

• ทานาคาผงอัดแข็ง วิธีใช้ หลังอาบน้ำล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ให้ซับหน้าพอหมาดๆ ด้วยทาด้วยผงทานาคาให้ทั่วใบหน้า ยกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

• ทานาคาแบบผงธรรมดา วิธีใช้ นำผงทานาคามาผสมกับน้ำสะอาด คนให้เข้ากัน ถ้าจะเติมนมสด หรือน้ำผึ้ง หรือน้ำมะนาวลงไปด้วยก็ยิ่งดี แล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้า ยกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดหลังจากทาทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จะรู้สึกตึงที่ใบหน้าเพราะผงทานาคาจะเริ่มจับตัวเป็นก้อนในช่วงที่ผงทานาคากำลังจับตัวกัน ก็พยายามทำหน้าให้สบายๆ อย่าพูดหรือหัวเราะ เพราะอาจเกิดรอยย่นขึ้นได้ หลังจากพอกหน้าไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ล้างหน้าออกด้วยน้ำสะอาดและทา moisturizer ตามอีกครั้ง จะรู้สึกถึงผิวหน้าที่นุ่มเนียนมากขึ้นทันที  

ผงทานาคาของแท้ดูยังไง

เนื่องจากผงทานาคาได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมีสรรคุณที่โด่งดังในเรื่องการบำรุงผิวพรรณ จึงทำให้มีการผลิตผงทานาคาปลอมออกมาจำหน่ายในท้องตลาด สำหรับวิธีการสังเกตว่า ผงทานาคาเป็นของแท้หรือของปลอม ก็จะมีสังเกตดังนี้

ให้ลองบีบน้ำมะนาวลงในผงทานาคา หาเกิดเป็นฟองฟู่ๆ แสดงว่าเป็นของปลอม เพราะของปลอมจะผสมดินสอพอง เมื่อดินสองพองถูกน้ำมะนาวจะเกิดเป็นฟอง

ผงทานาคาของแท้จะมีความหยาบ เนื่องจากใช้เปลือกไม้ทานาคาไปฝนกับหินขัด หากไปเจอผงทานาคาที่มีเนื้อละเอียดมากๆ ก็สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของปลอม       

โดยปกติทานาคาของแท้จะไม่ค่อยมีกลิ่นหอมชัดเจนนัก หากดมดูแล้วมีกลิ่นหอมมากกว่าปกติ หรือหอมจนเตะจมูก ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นของปลอม ผงทานาคาของแท้ 100% จะต้องฝนมาจากไม้ทานาคาเท่านั้น ไม่มีส่วนผสมอะไรเลย และค่อนข้างหายากซักหน่อย สำหรับในท้องตลาดที่มีขายๆกันอยู่ มักนิยมเอาผงทานาคามาเป็นส่วนผสมกับเครื่องสำอางในรูปแบบอื่นๆ เช่น โลชั่นทานาคา สบู่ทานาคา ครีมบำรุงผิวทานาคา หรือแป้งทานาคา ฯลฯ ทำให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น ก็ลองดูที่ฉลากว่ามีส่วนผสมของผงทานาคามากน้อยแค่ไหน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม 

เอกสารอ้างอิง 

ThaiSabuy.ทานาคา สรรพคุณมากมายใช้แล้วผิวพรรณสวยงามหน้าเด็กขึ้นทันที. (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.thaisabuy.com[7มิถุนายน 2560 ]

งา ( sesame ) เมล็ดพืชที่ไม่ควรมองข้าม

0
งา ( sesame ) เมล็ดพืชที่ไม่ควรมองข้าม
งา ( sesame ) เป็นพืชเมล็ดที่สามารถใช้รับประทานทั้งเมล็ดผสมในอาหาร หรือแปรรูปเป็นน้ำมันเพื่อใช้ประกอบอาหาร หรือเป็นส่วนผสมทำอาหารได้ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
งา ( sesame ) กับคุณค่าที่ไม่ควรมองข้าม
งา เป็นพืชล้มลุก มีลักษณะเป็นฝักภายในเป็นเมล็ดเล็กๆ สีขาว สีดำ และสีแดง มีการเพาะปลูกมานาน นิยมใช้เป็นส่วนประกอบของอาหาร และเครื่องเทศ

งา ( sesame )

งา ( sesame ) เป็นหนึ่งในเมล็ดพืชที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์และใช้บริโภคในหลากหลายภูมิภาคทั่วโลกอย่างยาวนานตั้งแต่เอเชียถึงแอฟริกา จากยุโรปถึงอเมริกาเป็นพืชเมล็ดที่สามารถใช้รับประทานทั้งเมล็ดผสมในอาหาร หรือแปรรูปเป็นน้ำมันเพื่อใช้ประกอบอาหารหรือเป็นส่วนผสมทำอาหารได้ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีโปรตีน ประมาณ 21-27% มีน้ำมันที่มีคุณภาพดีและมีธาตุอาหารเกือบครบถ้วน เช่น ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมงกานีส และแมกนีเซียม และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระจึงมีการนำงาไปใช้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพและใช้ในการป้องกันและรักษาโรค การบริโภคเมล็ดและน้ำมันงาจะช่วยชะลอความแก่ ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลดความดันโลหิต ช่วยลดอัตราการเต้นและบีบตัวของหัวใจทั้งยังช่วยลดปฏิกิริยาทางเคมีที่จะชักนำให้เกิดโรคมะเร็งและลดการเสื่อมสภาพของสมองด้วย

การแยกงาตามสีของเมล็ด

งา เป็นพืชล้มลุก มีลักษณะเป็นฝักภายในเป็นเมล็ดเล็กๆ สีขาว สีดำ และสีแดง มีการเพาะปลูกมานาน นิยมใช้เป็นส่วนประกอบของอาหาร เครื่องเทศ และน้ำมันงา

1. งาดำ ( Black sesame seeds ) เป็นพืชที่มีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพสามารถรับประทานเป็นประจำอย่างต่อเนื่องได้ ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงและหากรับประทานเป็นประจำ ร่างกายก็จะแข็งแรงมากกว่าคนที่ไม่ได้รับประทาน ภายในงาดำเต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ มากมาย เช่น วิตามินบีรวม แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม โซเดียม ฟอสฟอรัสสังกะสี เหล็ก เป็นต้น งาดำยังช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายในทุกส่วนและยังช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงวัยทองได้อีกด้วย

ตาราง คุณค่าทางโภชนาการของงาดำ

 

งาดำปริมาณ 100 กรัม       ให้ พลังงาน 573 กิโลแคลอรี่           2397 กิโลจูล

คาร์โบไฮเดรต 23.45 กรัม กรดไขมันอิ่มตัว 6.957 กรัม
เส้นใยอาหาร 11.8 กรัม กรดกลูตามิก 3.955 กรัม
โปรตีน 17.73 กรัม กรดแอสพาร์ติก 1.646 กรัม
น้ำ 4.69 กรัม เมไธโอนิน 0.586 กรัม
น้ำตาล 0.30 กรัม ทรีโอนิน 0.736 กรัม
ไขมันรวม 49.67 กรัม ซิสทีอิน 0.358 กรัม
กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 18.759 กรัม ซีรีน 0.967 กรัม
กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 18.759 กรัม ฟีนิลอะลานิน 0.940 กรัม
กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 21.773 กรัม อะลานีน 0.927 กรัม
อาร์จินีน 2.630 กรัม โปรลีน 0.810 กรัม
ไกลซีน 1.215 กรัม ฮิสทิดีน 0.522 กรัม
ทริปโตเฟน 0.388 กรัม ไทโรซีน 0.743 กรัม
วาลีน 0.990 กรัม ไอโซลิวซีน 0.763 กรัม
ลิวซีน 1.358 กรัม ไลซีน 0.569 กรัม
ไฟโตสเตอรอล 714 มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน 5 ไมโครกรัม
วิตามินเอ 9 หน่วยสากล วิตามินอี 0.25 มิลลิกรัม
วิตามินบี 1 0.791 มิลลิกรัม วิตามินบี 2 0.247 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 4.515 มิลลิกรัม วิตามินบี 5 0.050 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.790 มิลลิกรัม วิตามินบี 9 97 ไมโครกรัม
แคลเซียม 975 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 14.55 มิลลิกรัม
ซีลีเนียม 5.7 ไมโครกรัม โซเดียม 11 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 629 มิลลิกรัม สังกะสี 7.75 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 468 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 351 มิลลิกรัม
แมงกานีส 2.460 มิลลิกรัม ทองแดง 4.082 มิลลิกรัม

สรรพคุณของงาดำ

งาดำ มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย และยังช่วยชะลอความแก่ให้ดูอ่อนกว่าวัย บำรุงผิวให้สดใสอยู่เสมอ

 

  • งาดำมีสารอาหารที่ช่วยซ่อมแซมและบำรุงผิว ทำให้ผิวไม่เหี่ยวแห้ง
  • ช่วยบำรุงเส้นผมให้ดำเงางามและแข็งแรง ป้องกันการเกิดผมหงอก
  • ช่วยให้ระบบเผาผลาญในร่างกายดีขึ้น
  • งาดำช่วยป้องกันเส้นเลือดแข็งตัว ช่วยขยายหลอดเลือด
  • ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ป้องกันลิ่มเลือด
  • งาดำมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้
  • ช่วยลดความเครียด บำรุงระบบประสาทและสมอง
  • งาดำมีธาตุเหล็กสูง จึงช่วยบำรุงเลือด ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวป้องกันเชื้อโรคภายในร่างกาย
  • ป้องกันโรคหวัด โรคเหน็บชา ตะคริว
  • งาดำมีโปรตีนบางชนิดซึ่งเป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้
  • ช่วยในเรื่องการนอนหลับ ทำให้หลับพักผ่อนสบาย ช่วยบำรุงกระดูก ป้องกันการเกิดโรคกระดูกเปราะ กระดูกพรุน ป้องกันการเกิดโรคท้องผูก บรรเทาอาการริดสีดวงทวาร ต้านทานอาการข้ออักเสบ โรคข้อเสื่อม

งา ( sesame ) เป็นพืชเมล็ดที่สามารถใช้รับประทานทั้งเมล็ดผสมในอาหาร หรือแปรรูปเป็นน้ำมันงา

ประโยชน์ของงาดำ

งาดำ เป็นเมล็ดธัญพืช ประกอบด้วยสารอาหารหลากหลายชนิด จึงอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ดังนี้

1. งาดำมีธาตุทองแดง ต้านอาการอักเสบ ช่วยลดอาการปวดจากโรครูมาตอยด์ อีกทั้งธาตุทองแดงยังมีส่วนช่วยสร้างคอลลาเจน ซึ่งสำคัญต่อการเสริมสร้างเนื้อเยื่อ ข้อต่อ กระดูกอ่อน และหลอดเลือดให้แข็งแรง

2. ช่วยบำรุงสายตา ในการแพทย์แผนจีนเชื่อว่าดวงตามีความสัมพันธ์กับตับ ถ้าตับมีปัญหาจะทำให้ดวงตาอ่อนล้า ตาแห้ง และมองเห็นไม่ชัด ในแพทย์แผนจีนจึงใช้งาดำเพื่อบำรุงสายตาและตับไปพร้อม ๆ กัน เมื่อตับมีสุขภาพดี ดวงตาจะชุ่มชื้นและสดใส หมดปัญหาสุขภาพตา

3. ช่วยบำรุงผิวพรรณและกระดูก งาดำอุดมไปด้วยแคลเซียมและสังกะสีที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก เพิ่มมวลกระดูก และยังมีวิตามินอีที่มีส่วนสำคัญในการบำรุงผิวพรรณให้นุ่มชุ่มชื้น เมื่อรับประทานงาดำเป็นประจำจะช่วยให้กระดูกแข็งแรง ผิวพรรณดี

 4. ช่วยบำรุงหัวใจ งาดำมีประโยชน์ทำให้สุขภาพหัวใจแข็งแรงขึ้น ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ส่งผลให้หลอดเลือดหัวใจสะอาดขึ้น ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงทั้งโรคหัวใจและหลอดเลือดหรือโรคความดันโลหิตสูง

 5. ช่วยป้องกันโรคมะเร็งด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอาหารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะโรคมะเร็งลำไส้ และในงาดำมีสารเซซามีน ช่วงป้องกันสารอนุมูลอิสระไปทำลายตับ   

รับประทานงาดำอย่างไรให้ได้ประโยชน์ที่สุด

วิธีการรับประทานงาดำให้ได้ประโยชน์มากที่สุดคือ เคี้ยวให้ละเอียด ให้เม็ดงาแตกออก ร่างกายจึงจะดูดซึมสารอาหารจากงาดำได้ดี สำหรับผู้สูงอายุควรรับประทานงาดำวันละ 10 ช้อน คนวัยทำงานควรรับประทานงาดำวันละ 3 – 4 ช้อนก็เพียงพอที่ร่างกายต้องการ จะรับประทานเปล่า ๆ หรือเอามาใส่กับอาหารอย่างอื่นก็ได้ เช่น ใส่ในขนมปัง โรยในจานข้าว เอาไปประกอบอาหารต่าง ๆ จะช่วยให้รับประทานได้ง่ายขึ้น และงาดำยังสามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันงาเพื่อใช้นวดทาบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายที่มีอาการปวด และยังช่วยรักษาอาการบาดเจ็บที่เส้นเอ็นได้

Tip.การรับประทานงาดำให้ได้ประโยชน์

1. งาดำ เป็นธัญพืชที่มีคุณประโยชน์หลายประการ การรับประทานงาดำให้ได้ประโยชน์ ต้องใส่ใจในการเลือกงาดำ โดยเลือกงาดำที่สดใหม่ ไม่ผ่านการคั่ว เนื่องจากการคั่วหรือการให้ความร้อนจะทำให้คุณค่าของงาดำลดลง และจะต้องเป็นงาดำไม่ผสมสารกันชื้น

วิธีการเลือกซื้อเมล็ดงาดำ

การเลือกซื้อเมล็ดงาดำมาเพื่อรับประทาน ควรเลือกซื้องาดำที่สะอาด ไม่มีสิ่งสกปรกเข้ามาเจือปน และไม่ควรซื้อตามร้านขายของชำ เนื่องจากอาจจะมีการเก็บรักษาที่ไม่สะอาด ทำให้มีสิ่งสกปรกจากแมลงเข้ามาเจือปน และไม่ควรซื้อแบบบดสำเร็จมารับประทานเช่นกัน เพราะอาจจะมีเชื้อราติดมาด้วย เมื่อซื้องาดำมาแล้ว การเก็บรักษาให้เก็บในขวดที่สะอาด มีฝาปิดมิดชิด เก็บเอาไว้ในที่แห้งเพื่อไม่ให้เสียก่อนเวลาอันควร

ข้อควรระวัง

การรับประทานงาดำแบบป่นดีต่อระบบย่อยอาหารที่สุด แต่งาแบบป่นมักจะเป็นเชื้อราได้ง่ายกว่างาชนิดอื่น ๆ จึงต้องเก็บรักษาดี ๆ ต้องเก็บไว้ให้พ้นความชื้น อากาศ ความร้อนและแสงแดด เพราะเชื้อราทำให้เกิดอาการติดเชื้ออื่น ๆ ได้ และควรหลีกเลี่ยงการซื้องาดำแบบที่บดสำเร็จแล้ว เพราะอาจมีเชื้อราหรือสิ่งสกปรกปนเปื้อน นอกจากนี้ตำราอายุรเวทยังระบุด้วยว่า สตรีมีครรภ์ในช่วง 3 เดือนแรกไม่ควรรับประทานงาดำ เพราะงาดำมีฤทธิ์เป็นยาขับประจำเดือน อาจทำให้แท้งได้

แม้งาดำจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่อาหารทุกชนิดล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย จึงควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ และรับประทานงาดำอย่างพอเหมาะและถูกวิธี เพื่อให้ได้ประโยชน์จากงาดำมากที่สุด ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพได้อย่างเต็มที่

งามีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลดความดันโลหิต ช่วยลดอัตราการเต้นและบีบตัวของหัวใจ ลดการเสื่อมสภาพของสมอง และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง

2. งาขาว ( Whitesesame seeds ) งาขาว มีรสสัมผัสนุ่มและหวาน นิยมนำมาใช้ในอาหารต่าง ๆ อุดมด้วยสารอาหารมากมายที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ และยังมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย งาขาวมีลักษณะเป็นเมล็ดงาสีขาว สายพันธุ์ที่นิยมปลูกมากทั่วไป ได้แก่ พันธุ์เมืองเลย พันธุ์เชียงใหม่ และพันธุ์ชัยบาดาลหรือสมอทอด เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรงจรดยอด สูงประมาณ 50-150 เซนติเมตร มีลักษณะอวบน้ำ เป็นสี่เหลี่ยม มีขนสั้น ๆ ปกคลุมหนา ลำต้นมีร่องยาวตามความสูงของต้น เปลือกลำต้นบาง สีเขียวเข้มหรือมีสีอมม่วง สามารถดึงลอกเป็นเส้นได้  

คุณค่าทางโภชนาการของงาขาว

งาขาว เป็นพืชที่ดีต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยพบว่าในงาขาวมีคุณค่าทางโภชนาการที่สำคัญ ได้แก่ พลังงาน 697 กิโลแคลอรี่ น้ำ 3.0 กรัม โปรตีน 26.1 กรัม ไขมัน 64.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 64.2 กรัม และแคลเซียม 90 มิลลิกรัม ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ล้วนดีต่อสุขภาพร่างกายทั้งสิ้น

ประโยชน์ของงาขาว

งาขาว มักถูกนำมาใช้สำหรับประกอบอาหาร ใช้เป็นส่วนผสมของขนมหวาน และงาขาวอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ จึงถูกนำมาใช้ในด้านสุขภาพและความงาม ซึ่งประโยชน์ของงาขาวก็มีหลากหลาย ได้แก่

1. งาขาวอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน โดยข้อมูลทางโภชนาการระบุว่า งาขาวมีปริมาณของแคลเซียมมากกว่านมวัวถึง 6 เท่า และมีมากกว่าผักหลาย ๆ ชนิดถึง 20 เท่า การรับประทานงาขาวเป็นประจำจึงช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน อีกทั้งยังช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงขึ้นอีกด้วย

2. น้ำมันงาที่ได้จากงาขาวช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ช่วยปรับสมดุลของระบบฮอร์โมน คลายอาการปวดเมื่อย ลดอาการปวดตามข้อและป้องกันโรคเหน็บชา

3. งาขาวมีโปรตีนที่ช่วยบำรุงเส้นผม จึงช่วยฟื้นฟูเส้นผมที่แห้งกร้านให้กลับมามีชีวิตชีวา ช่วยให้ผมดกดำ และช่วยลดผมแตกปลายได้เป็นอย่างดี

4. งาขาวมีวิตามินอี ซึ่งเป็นตัวช่วยคงความอ่อนเยาว์ให้กับผิวพรรณ โดยวิตามินอีจะเป็นตัวกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนภายในร่างกาย ช่วยลดรอยย่นและร่องลึก และช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นไม่แห้งกร้าน

5. งาขาวมีวิตามินบี ซึ่งช่วยบำรุงระบบประสาท ทำให้ระบบประสาททำงานดีขึ้น และยังลดอาการตึงเครียดของสมอง จึงช่วยให้หลับสบาย

6. งาขาวจะมีน้ำมันค่อนข้างมากนิยมนำมาสกัดเป็นน้ำมันงา ในกระบวนการสกัดจะได้ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดดี ทั้งโอเมกา 3 และโอเมกา 6 ที่สามารถลดคอเลสเตอรอลและไขมันที่เกาะตามหลอดเลือด ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ

Tip.การรับประทานงาขาวให้ได้ประโยชน์

ตามหลักโภชนาการงาขาวจะให้สารอาหารที่น้อยงาดำ แต่งาขาวก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่ไม่น้อย ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และการใช้งาขาวเพื่อสุขภาพ สามารถใช้ได้อย่างหลากหลาย ทั้งนำมาประกอบอาหารคาวและใช้เป็นส่วนผสมของขนมหวานได้

ข้อควรระวัง

งา มีคุณสมบัติเป็นยาระบายได้ดี การรับประทานงาปริมาณมากกว่าที่แนะนำต่อวันอาจทำให้เกิดอาการถ่ายท้องมากหรืออาการท้องร่วง ดังนั้นจึงควรจำกัดการใช้งาขาวในแต่ละมื้ออาหาร นอกจากนี้ในการใช้งาขาวเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ ควรสังเกตว่างาขาวผลิตมานานหรือยัง มีสารปนเปื้อนจำพวกราหรือเศษผงต่าง ๆ หรือไม่ โดยอาจเลือกซื้องาขาวกับร้านที่เพิ่งคั่วใหม่ ๆ หรือนำมาคั่วเองที่บ้าน เพื่อให้ได้งาที่สะอาด ปราศจากเชื้อโรค

3.งาแดง ( Red sesame seeds ) ปกติคงรู้จักงาเพียงแค่ 2 ชนิด คือ งาขาว และงาดำ แต่ยังมีงาอีกชนิดที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์นั่นคือ งาแดง ซึ่งความจริงเกษตรกรในบ้านเรานิยมปลูกงาแดงถึงร้อยละ 80 เนื่องจากทนต่อความแปรปรวนต่อสภาพอากาศได้ดีกว่าชนิดอื่น ทั้งยังให้ผลผลิตสูง ปลูกงาแดงขายจึงเป็นอีกอาชีพทำเงินที่น่าสนใจ เป็นงาที่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมันค่อนข้างมาก โดยผ่านกระบวนการเอาเปลือกหุ้มเมล็ดออกทำเป็นงาขัด เพื่อให้เมล็ดเป็นสีขาวทดแทนงาขาวที่มีผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ ซึ่งถือเป็นพืชที่มีศักยภาพด้านการตลาด ปัจจุบันนักวิจัย กรมวิชาการเกษตร คัดเลือกเมล็ดพันธุ์และปรับปรุงจนได้ งาแดงพันธุ์ใหม่ ที่มีความโดดเด่นทางด้านการให้ผลผลิต ที่สำคัญอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสูง ( antioxidants ) ในการต้านมะเร็ง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

วิกิพีเดีย. งา (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://th.wikipedia.org [13 ธันวาคม 2561].

กาแฟอาราบิก้า ( Arabica )

0
กาแฟอาราบิก้า-(Arabica)
กาแฟอาราบิก้าเมล็ดสดสีแดง
กาแฟอาราบิก้ารสเข้มข้น นิยมปลูกเหนือกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,300 เมตรขึ้นไป
กาแฟอาราบิก้ารสเข้มข้น นิยมปลูกเหนือกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,300 เมตรขึ้นไป

กาแฟ อาราบิก้า 

กาแฟอาราบิก้า ชื่อสามัญ Coffee, kofi, koffie, Arabian coffee, Brazillian coffe
กาแฟอาราบิก้า ชื่อวิทยาศาสตร์ Coffea Arabica L. จัดอยู่ในวงค์ ( RUBIACEAE )
กาแฟอาราบิก้า ราคาดีจริงไหม
กาแฟอาราบิก้า ( Arabica ) เป็นสายพันธุ์ที่หาได้ยาก ลักษณะลำต้นจะสูงกว่าเป็นพุ่มไม้ขนาดกลาง ถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณที่ราบสูงของเอธิโอเปียเช่นกัน และสัดส่วนของสายพันธุ์กาแฟอาราบิก้านี้ยังมีมากถึง 70 เปอร์เซ็นของพื้นที่เพาะปลูกเมื่อเทียบกับโรบัสต้าแล้วว่าผลลิตที่ได้ให้ปริมาณน้อย เติบโตช้า ต้องปลูกในเขตพื้นที่สูง ซึ่งเหนือกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,300 เมตรขึ้นไป และกาแฟอาราบิก้ามักจะอาศัยอยู่ใต้ร่มเงาของไม้ใหญ่เป็นหลัก  
ลักษณะของกาแฟอาราบิก้า
• ต้นกาแฟอาราบิก้า เป็นไม้พุ่ม มีขนาดเล็ก ความสูงประมาณ 2 ถึง 4 เมตร ต้นกาแฟนั้นจะสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
• ใบกาแฟอาราบิก้า ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้าม ใบรูปไข่ ปลายแหลม โคนแหลมเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 8-12 เซนติเมตร และยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบเป็นมัน
• ดอกกาแฟอาราบิก้า ออกดอกเป็นช่อ ซึ่งออกดอกตามซอกใบ กลีบดอกสีขาว ดอกมีกลิ่นหอม
• ผลกาแฟอาราบิก้า ผลกาแฟ ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงรี ก้านผลสั้น ผลดิบเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีส้ม และสีแดง ผลกาแฟจะประกอบด้วยเปลือก เนื้อที่มีสีเหลือง ( เมื่อสุกมีรสหวาน ) และกะลาที่ห่อหุ้มเมล็ด ช่วงระหว่างกะลากับเมล็ดจะมีเยื่อบางๆ ที่หุ้มเมล็ดกาแฟอยู่ ซึ่งเราเรียกว่า “เยื่อหุ้มเมล็ด” ในแต่ละผลจะมี 2 เมล็ดประกับกันอยู่ ก้านที่ประกบกันจะอยู่ด้านในมีลักษณะแบน มีร่องตรงกลางเมล็ด 1 ร่อง ส่วนด้านนอกโค้ง ลักษณะของเมล็ดจะเป็นเมล็ดเดี่ยวหรือเมล็ดโทน ในบางครั้งหากการผสมเกสรของกาแฟอาราบิก้าไม่สมบูรณ์ จะทำให้ผลติดเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว ( คิดเป็นประมาณ 5-10% ) ซึ่งจะมีลักษณะเป็นรูปกลมรีทั้งเมล็ด มีร่องตรงกลาง 1 ร่อง
จุดเด่นของกาแฟอาราบิก้า
สำหรับกาแฟอาราบิกา มีจุดเด่นที่กลิ่นหอม มีสารกาแฟสูง ทำให้กระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวา กาแฟชนิดนี้มีคาเฟอีนต่ำ มีคุณภาพสูง ในประเทศไทยมีการปลูกกาแฟอาราบิก้ามากบนดอยสูงทางภาคเหนือ

กาแฟอาราบิก้าปลูกเหนือกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,300 เมตรขึ้นไป

  

สรรพคุณของกาแฟอาราบิก้า
สำหรับกาแฟนั้นมีสรรพคุณในการเป็นยารักษาโรคและบำรุงร่างกายได้ หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม โดยสรรพคุณของกาแฟ มีดังนี้
• กาแฟมีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจและกระตุ้นประสาทส่วนกลาง ทำให้ตาแข็ง นอนไม่หลับ
• ช่วยลดความอ่อนล้า
กาแฟช่วยลดความเครียด
• ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์
• ช่วยชูกำลังได้
• ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ เพราะกาแฟอาราบิก้ามีกลิ่นที่เป็นจุดเด่น
• ช่วยขยายหลอดเลือดแดง
• ช่วยลดอาการปวดศีรษะจากไมเกรนเพียงแค่ดื่มกาแฟอาราบิก้า
• ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง เช่น โรคมะเร็งในช่องปาก มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก และ มะเร็งตับ ได้
กาแฟอาราบิก้าที่ไม่ผสมนม ช่วยลดน้ำระดับตาลในเลือด
• ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
• ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด กาแฟอาราบิก้าช่วยป้องกันโรคหัวใจ
• ลดความเสี่ยงของการเกิดการอุดตันในเส้นเลือด
• ช่วยลดน้ำหนัก กาแฟละลายไขมัน ทำให้ไขมันเกิดการแตกตัว ช่วยเพิ่มไขมันดี ( HDL )
• ช่วยป้องกันการเกิดโรคหอบ ช่วยบรรเทาอาการหอบหืด
• ช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี
• ช่วยขับปัสสาวะ
• ช่วยลดโอกาสการเป็นโรคเกาต์ ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของข้อ
• ช่วยป้องกันโรคหนังตากระตุก ช่วยลดอัตราการกระตุกของกล้ามเนื้อ
ผลข้างเคียงของกาแฟ
กาแฟ มีคาเฟอีน คุณสมบัติคล้ายยาเสพติดแบบอ่อนๆ หากดื่มกาแฟเป็นประจำ ทำให้ติดกาแฟได้ หากไม่ได้ดื่มอาจจะรู้สึกมีความทุกข์มากขึ้น เมื่อร่างกายขาดกาเฟอีน การหยุดดื่มกาแฟอย่างกะทันหัน จะทำให้มีอาการปวดศีรษะ กระสับกระส่าย ร่างกายอ่อนเพลีย และ ง่วงนอนได้
• การดื่มเครื่องดื่มกาแฟอาราบิก้าที่มีน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น สำหรับผู้ป่วยเบาหวานต้องหลีกเลี่ยงกาแฟใส่น้ำตาล  
• การดื่มกาแฟ ทำให้หลับไม่สนิท ทำให้ช่วงเวลาที่หลับนั้นสั้นลง อาจทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ
• การดื่มกาแฟ ทำให้หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ กาแฟมีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจควรหลีกเลี่ยง
กาแฟ มีฤทธิ์ลดการดูดซึมของธาตุเหล็ก การดื่มกาแฟควรระมัดระวังในการดื่มกาแฟในขณะท้องว่าง เพราะจะเร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะได้
• กาแฟ มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ และ ลดการดูดโซเดียม โพแทสเซียม และ แคลเซียมออกจากไต อาจเป็นการเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนสำหรับผู้หญิงได้
• การดื่มกาแฟอาราบิก้าในปริมาณมากๆ เป็นเวลานาน มีโอกาสเกิดการเป็นหมันได้
• การดื่มกาแฟในระหว่างการตั้งครรภ์ ส่งผลทำให้อัตราเสี่ยงของการตายของทารกหลังคลอดเพิ่มมากขึ้น สตรีตั้งครรภ์ควรเพิ่มความระมัดระวังในการดื่มกาแฟ

ดื่มกาแฟอาราบิก้าที่ถูกต้องเพื่อสุขภาพที่ดี และให้ได้ประโยชน์สูงสุดแนะนำว่าควรดื่มกาแฟดำ แทนพวกกาแฟสำเร็จรูป หรือกาแฟที่ใส่นม

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

มูลนิธิโครงการหลวง. กาแฟอาราบิก้า (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://www.royalprojectthailand.com [15 ธันวาคม 2561].

[/vc_column]

อาการร่างกายเคลื่อนไหวผิดปกติ ( Movement Disorder )

0
อาการร่างกายเคลื่อนไหวผิดปกติ ( Movement Disorder )
อาการร่างกายเคลื่อนไหวผิดปกติ ( Movement Disorder ) คือ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นขณะเคลื่อนไหวร่างกาย อาจเกิดจากอาการของโรคเองหรือเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท
อาการร่างกายเคลื่อนไหวผิดปกติ ( Movement Disorder )
อาการร่างกายเคลื่อนไหวผิดปกติ ( Movement Disorder ) คือ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นขณะเคลื่อนไหวร่างกาย อาจเกิดจากอาการของโรคเองหรือเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท

อาการร่างกายเคลื่อนไหวผิดปกติ ( Movement Disorder )

ในชั่วชีวิตของคนเราการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่เป็นไปอย่างปกติมาตลอดอาจจะมีบางช่วงเวลาที่พบได้ว่าเกิด อาการร่างกายเคลื่อนไหวผิดปกติ ( Movement Disorder ) เกิดขึ้นได้ โรคการเคลื่อนไหวผิดปกติเกิดขึ้นได้กับทุกคนและมีทั้งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวและเกิดขึ้นในระยะยาว ซึ่งกรณีและสาเหตุการเกิดโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป เรามารู้จักโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติให้ดียิ่งขึ้น เพื่อการป้องกันการเกิดโรคและการรักษาด้วยกัน

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

  [adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

อาการร่างกายเคลื่อนไหวผิดปกติ ก็คือ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นขณะเคลื่อนไหวร่างกาย โดยเป็นความผิดปกติที่ความเร็วในการเคลื่อนไหว ซึ่งอาจเกิดจากอาการของโรคเองหรือเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทก็เป็นได้ ความผิดปกตินี้ส่งผลต่อจังหวะความเร็วในการเคลื่อนไหว ความคล่องตัวและความยืดหยุ่นขณะเคลื่อนไหว ทำให้การเคลื่อนไหวร่างกายผิดไปจากปกติ แพทย์จะวินิจฉัยได้ว่าคนไข้เกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติได้ก็จากการทำการซักประวัติของคนไข้และการตรวจร่างกายคนไข้อย่างละเอียด เมื่อแพทย์ได้มีการตรวจเบื้องต้นและวินิจฉัยว่าคนไข้เกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติ ขั้นตอนต่อมาแพทย์จะใช้วิธีการสังเกตและบันทึกลักษณะการเคลื่อนไหว การสังเกตและบันทึกข้อมูลไว้นั้นมีวิธีการที่ทำให้การบันทึกและวินิจฉัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและวินิจฉัยรักษาได้ดีที่สุดก็คือ การบันทึกและสังเกตการณ์จากการถ่ายภาพวีดีโอของคนไข้ในขณะเคลื่อนไหว โดยจะบันทึกหลายครั้งแล้วเปรียบเทียบความแตกต่างในการเคลื่อนไหวของคนไข้แต่ละครั้ง

ลักษณะการเคลื่อนไหวที่ควรสังเกตและจดบันทึก

1.สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวขณะนั้นได้หรือไม่ โดยทั่วไปแล้วเมื่อมี อาการร่างกายเคลื่อนไหวผิดปกติ คนไข้ก็มักจะไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้ และไม่สามารถตั้งใจทำให้การเคลื่อนไหวเกิดขึ้นและไม่สามารถบังคับให้การเคลื่อนไหวหยุดได้ตามต้องการ อาจจะสามารถควบคุมอาการได้ชั่วคราวในบางครั้งเท่านั้น

2.การเคลื่อนไหวนั้นเป็นการเคลื่อนไหวแบบที่น้อยหรือมากกว่าปกติที่เคยเป็น

3.ในการเคลื่อนไหวที่ผิดปกตินั้น ให้สังเกตตำแหน่ง การกระจาย ความสมมาตร รวมถึงรูปแบบ ความเร็วและความสม่ำเสมอของการเคลื่อนไหวว่าเป็นอย่างไร ยิ่งลงรายละเอียดมากเท่าไรก็ยิ่งดี

4.ประวัติโดยทั่วไปของการเคลื่อนไหวครั้งก่อน ๆ หน้าจะมีสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหว เช่น ความผิดปกตินั้นเริ่มขึ้นในตอนไหน มีสิ่งใดเป็นปัจจัยเร่งเร้าหรือไม่ ระยะเวลาที่เกิดของความผิดปกตินั้นกินเวลานานเท่าไรในแต่ละครั้ง ความสัมพันธ์กับท่าทางสมเหตุสมผลหรือผิดไปจากธรรมชาติอย่างไร กิจกรรมและตำแหน่งของร่างกาย ความสัมพันธ์กับการนอนหลับ มีปัจจัยกระตุ้น และมีปัจจัยที่ช่วยทำให้อาการเป็นน้อยลงอย่างไร บันทึกข้อมูลประวัติของครอบครัวประกอบการวินิจฉัยด้วย

5.ลักษณะอื่นๆ ที่อาจมีผลสอดคล้องกับอาการป่วย อย่างเช่น พบโรคประจําตัวชนิดใดหรือไม่ ระดับสติปัญญาครบถ้วนสมบูรณ์ดีหรือไม่ และมีความผิดปกติทางระบบประสาทอื่นๆ ด้วยหรือไม่ ตลอดจนลักษณะความผิดปกติในทางกายภาพหรือร่างกายส่วนต่าง ๆ ที่สามารถสังเกตเห็นได้

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

ประเภทของการเคลื่อนไหวผิดปกติ

อาการร่างกายเคลื่อนไหวผิดปกติ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

1.การเคลื่อนไหวที่มากกว่าปกติ

2.การเคลื่อนไหวที่น้อยกว่าปกติ

และยังพบว่าผู้ป่วยจำนวนมากมีโอกาสที่จะมีความผิดปกติทั้ง 2 ลักษณะร่วมกันได้ด้วย

การเคลื่อนไหวมากผิดปกติ ( Hyperkinetic Movement )

อาการร่างกายเคลื่อนไหวผิดปกติ เช่นนี้จะเกิดขึ้นในลักษณะการเคลื่อนไหวที่มากเกินกว่าปกติและออกมาในรูปของการสั่น โดยที่กล้ามเนื้อจะเคลื่อนไหวในลักษณะสม่ำเสมอเป็นจังหวะ ส่วนความถี่ของการสั่นและบริเวณกว้างของพื้นที่การสั่นมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับท่าทางของผู้ป่วยและตำแหน่งการเคลื่อนไหวของอวัยวะแต่ละส่วนด้วย ลักษณะการสั่นแบบต่าง ๆ มีดังนี้

1.การเคลื่อนไหวในขณะที่อยู่นิ่งหรือพักอยู่ ( Resting Tremor )

อาการสั่นจะเกิดในขณะที่ร่างกายนิ่งอยู่ แต่เมื่อมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนอิริยาบถการสั่นจะลดลงหรือหยุดลง อาการสั่นเช่นนี้พบมากในผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันและอาจพบในผู้ป่วยโรคอื่นด้วยหากอาการสั่นมีมากขึ้น

2.การสั่นในขณะที่ร่างกายส่วนนั้นเคลื่อนไหว ( Action Tremor )

เมื่อมีการเคลื่อนไหวส่วนของร่างกายส่วนนั้นจะสั่นและอาการสั่นจะลดลงเมื่อหยุดการเคลื่อนไหว อาการสั่นในลักษณะนี้ยังแบ่งย่อยออกได้เป็น

2.1 อาการสั่นที่เกิดมากขึ้นเมื่อร่างกายส่วนนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ต้านแรงโน้มถ่วงอยู่ ( Postural Tremor )

ตัวอย่างเช่น ในอาการสั่นของผู้ป่วยที่เป็นไทรอยด์เป็นพิษ อาการอยากยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์ และอาการสั่นจากโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

2.2 อาการสั่นที่เกิดมากขึ้นเมื่อร่างกายส่วนนั้นเคลื่อนไหว ( Simple Kinetic Tremor )

ผู้ป่วยจะสั่นเมื่อแสดงอิริยาบถต่าง ๆ เช่น การเขียนหนังสือ การยกแก้วน้ำ เป็นต้น

2.3 อาการสั่นที่เกิดมากขึ้นเมื่อเคลื่อนไหวร่างกายส่วนนั้นเข้าใกล้เป้าหมาย ( Intention Trem )

ส่วนใหญ่แล้วอาการสั่นที่เกิดขึ้นเมื่อเคลื่อนไหวร่างกายในลักษณะนี้ มักมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของการทำงานของสมองส่วน Cerebellum

2.4 อาการสั่นที่เกิดขึ้นเมื่อทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น ผู้ป่วยจะเกิดการสั่นต่อเมื่อเขียนหนังสือ เล่นดนตรี เล่นกีฬา เป็นต้น

2.5 อาการสั่นที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยที่ร่างกายไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เช่น เมื่อยกมือ หรือดันกำแพงก็มีอาการสั่นเกิดขึ้น

3.อาการสั่นที่น้อยมากจนบางครั้งอาจไม่สามารถสังเกตเห็นจากการมองด้วยตาเปล่าธรรมดา

อาการสั่นน้อยเช่นนี้จะเพิ่มมากขึ้นจนสังเกตเห็นได้ก็ต่อเมื่อ มีปัจจัยไปกระตุ้นเร้า เช่น ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกตกใจ ตื่นเต้น หวาดกลัวหรือวิตกกังวล เป็นต้น อาการสั่นน้อยในลักษณะนี้มักพบได้กับผู้ป่วยที่มีภาวะไทรอยด์ ผู้ป่วยภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ขาดเหล้า หรือผู้ที่รับยาตัวที่เข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น คาเฟอีนและยาบ้า เป็นต้น

4.อาการสั่นที่ไม่ทราบสาเหตุ ( Essential tremor )

เป็นอาการสั่นที่ยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้ เป็นได้กับผู้ป่วยที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป แต่จะพบมากในผู้สูงอายุ ในผู้ป่วยที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปจะเรียกอาการนี้ว่า Senile tremor อาการที่เกิดขึ้นมักเป็นการสั่นที่มือทั้งสองข้างพร้อมกัน มีความถี่การสั่นวัดได้ 8-12 เฮิร์ต และยังมีอาการริมฝีปากสั่น เสียงสั่น และสั่นทั้งศีรษะร่วมด้วย อาการสั่นเหล่านี้พบว่าจะลดลงเมื่อดื่มแอลกอฮอล์ ถ้าอาการโรคเพิ่มมากขึ้น การสั่นก็เพิ่มขึ้น ถ้าอาการสั่นเป็นมากจะมีอาการสั่นในตอนพักด้วย คล้ายกับอาการโรคพากินสัน อาการสั่นลักษณะนี้พบว่า 50% ของผู้ป่วยมาจากกรรมพันธุ์

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

5.อาการสั่นที่พบในผู้ป่วยพากินสันโดยตรง ( Parkinsonian Tremor )

จะเป็นอาการสั่นในขณะพัก เริ่มด้วยการสั่นข้างใดข้างหนึ่งของแขนและมือ เริ่มจากหัวแม่มือ แขน ขา และกรามร่วมด้วย สังเกตได้ชัดเมื่อผู้ป่วยกางแขนยกเหยียดออกจะมีอาการสั่นชัด เรียกว่า re-emergent

6. อาการสั่นที่บริเวณต้นขาทั้งสองข้าง ( Orthostatic tremor )

เป็นอาการที่พบได้น้อยมาก เกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยยืนขึ้น ยืนเป็นเวลานาน และอาการสั่นจะลดลงเมื่อเดินหรือนั่ง

7.อาการสั่นในลักษณะไม่ถี่ ( Cerbella Tremor )

เกิดจากการทำงานของสมองส่วน Cerebellar pathway ถูกรบกวน

8. สั่นในลักษณะช้า ๆ ( Holmes Tremor )

เป็นอาการสั่นที่พบได้ทั้งในช่วงเคลื่อนไหวและช่วงพัก สังเกตเห็นได้ชัดเจนบริเวณต้นแขนดูแล้วคล้ายนกกระพือปีก พบมากในผู้ป่วยโรค Wilson’s disease และผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในส่วน red nucleu

9.การสั่นจากผลข้างเคียงในการใช้ยา ( Drug-induced tremor )

ผู้ป่วยสั่นเพราะได้รับยา เช่น Sodium Valproate , Lithium , Beta-adrenergicagonists

ตัวอย่างการเคลื่อนไหวผิดปกติที่พบได้บ่อย

1. Chorea

แปลว่าการเต้ารำ เป็นภาษากรีก ซึ่งหมายถึงการเคลื่อนไหวร่างกายในแบบไม่สม่ำเสมอเหมือนการเต้นรำที่เคลื่อนไหวร่างกายไปแบบไม่มีแบบแผนที่แน่นอน พบมากในส่วนปลายแขนปลายขา แต่สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย เช่น ลำตัว คอ ปาก ลิ้น ใบหน้า ผู้ป่วยไม่สามารถเกร็งกล้ามเนื้อท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ ได้ ( Motor impersistence )

2. Athetosis

Athetosis นั้นมีการเคลื่อนไหวคล้าย Chorea ต่างกันที่มักพบที่ส่วนปลายของร่างกาย แต่อาการจะช้ากว่าทำให้สังเกตเห็นการบิดเบี้ยวได้ชัดเจน และมักพบทั้งสองอาการนี้ร่วมกัน เช่น บริเวณปลายนิ้วเท้า นิ้วมือ เรียกอาการรวมนี้ว่า Choreoathetosis สาเหตุอาการเกิดจากความผิดปกติของ Indirect pathway ผู้ป่วยจึงควบคุมการเคลื่อนไหวไม่ได้ และมีความผิดปกติในด้านการรับความรู้สึกประเภท proprioception ในบริเวณปลายแขนขาทำให้เคลื่อนไหวผิดปกติ เรียกว่า pseudoathetosis

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

3. balism

การเคลื่อนไหวผิดปกติลักษณะนี้คล้องกับ Chorea แต่ความรุนแรงและความกว้างมีมากว่าเพราะพบในบริเวณต้นแขนต้นขา ทำให้มีอาการเหวี่ยงพบได้ร่วมกับ Chorea อาการปรากฏชัดขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวและจะไม่สงบหรือหายไปเมื่อหลับ Balism ที่พบข้างใดข้างหนึ่งของร่างกายเรียกว่า Hemibalism สาเหตุของอาการนี้เกิดจากผิดปกติของสมองส่วนSubthalamic Nucleus ด้านตรงกันข้ามแต่ก็พบได้ในส่วนอื่นๆ ของBasal Ganglia ด้วยเช่นกัน และพบในผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงในแบบ Nonketotic Hyperglycemia

4. Dystomia

อาการเกิดจากกล้ามเนื้อหดเกร็งอาจตลอดเวลาหรือหดเกร็ง พัก ๆ ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวดังกล่าวซ้ำ ๆ อวัยวะส่วนนั้นจึงผิดรูปหรือบิดไป แล้วบางครั้งก็มีอาการสั่นเกิดร่วมด้วยเรียกว่า Dystonic Tremor ภาวะนี้เกิดได้ทั้งในขณะที่เคลื่อนไหวและพัก ถ้าผู้ป่วยมีภาวะนี้ขณะเคลื่อนไหวทำกิจกรรมจะเรียกว่าอากร Task-Specific dystonia เป็นลักษณะเฉพาะ sensory trick อย่างเช่น ขณะเล่นดนตรีหรือเขียนหนังสือ มักพบว่าอาการหายไปเมื่อนอนหลับ ในบางครั้งอาการจะดีขึ้นด้วยการกระตุ้นสมองบริเวณใดบริเวณหนึ่ง

อาการร่างกายเคลื่อนไหวผิดปกติ ( Movement Disorder ) คือ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นขณะเคลื่อนไหวร่างกาย อาจเกิดจากอาการของโรคเองหรือความผิดปกติของระบบประสาท

อาการร่างกายเคลื่อนไหวผิดปกติจำแนกตามสาเหตุได้ ดังนี้

1.ภาวะ Dystonia ที่มีสาเหตุความผิดปกติทางพันธุกรรม ( Primary Dystonia )

โดยผู้ป่วยจะมีอาการของ Dystonia เป็นหลักและอาจพบความผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย

2.ภาวะ Dystonia ที่เกิดจากความผิดปกติอื่นๆ ( Secondary Dystonia )

เช่น จากยาและสารพิษ จากโรคหลอดเลือดสมอง โรคติดเชื้อเนื้องอก เกิดจากสมองมีการบาดเจ็บแรกคลอด เป็นต้น

จำแนกตามตำแหน่งของร่างกายที่มีอาการ

1.อาการ Dystonia ที่เกิดขึ้นเฉพาะตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อรอบดวงตาเกร็งและหด กล้ามเนื้อคอบิดเกร็ง ข้อมือบิดเกร็งจากการเขียนหนังสือ เป็นต้น

2.มีอาการภาวะ Dystonia ในตำแหน่งของร่างกายที่อยู่ติดกัน ( Sesmental Dystonia )

เช่น เกิดภาวะตรงใบหน้ากับรอบดวงตา เกิดที่ปากและคอ ตรงนี้ถูกเรียกว่า Cranial Dystonia หรือ Meigs’s syndrome

3.ภาวะ Dystonia เกิดกับร่างกายซีกใดซีกหนึ่ง ( Hemidy stonia dystonia )

4.ภาวะ Dystonia ที่เกิดกับสองส่วนในร่างกายขึ้นไป โดยที่สองส่วนนั้นไม่ติดกัน

5.ภาวะ Dystonia ที่เกิดขึ้นทั่วตัวหรือเกิดที่ลำตัวและส่วนใดส่วนหนึ่งอย่างน้อยสองส่วนขึ้นไป ( Generalized Dystonia )

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

5. Myoclonus

เป็นอาการที่ร่างกายจะเคลื่อนไหวกระตุกเป็นพัก ๆ ไม่สม่ำเสมอไม่สามารถจะควบคุมได้ สาเหตุจากการที่กล้ามเนื้อหดตัวไม่เป็นจังหวะ ช่วงหดตัวของกล้ามเนื้อเรียกว่า Positive Myociocnus และช่วงที่หยุดการหดตัวคือ Negative Myocionus

ร่างกายจะกระตุกในส่วนต่างๆ อาจจะทั่วทั้งร่างกายหรือส่วนต่างๆบางส่วน เป็นได้ทั้งแบบที่เกิดขึ้นเองและถูกกระตุ้นจากสิ่งอื่น เช่น การกระตุกขณะหลับ การสะอึก Myocionus สามารถจำแนกได้ตามตำแหน่งที่เป็นสาเหตุของการกระตุก ดังนี้

1.ความผิดปกติของสมอง ที่เรียกว่า Coryay สัมพันธ์กับโรคลมชัก เช่น กลุ่มของอาการ Progressive Myoclonus’juvenile myocloonus epilepsy และยังมีสาเหตุอื่นเช่น ภาวะสมองขาดอากาศ ( Lance-adams syndrome ) ภาวะตับหรือไตวายเรื้อรัง ภาวะ Metabolicencepha lopathy จากสารพิษและยา การกระตุ้นจะพบมากที่ใบหน้าแขนและขา

2.สาเหตุจากความผิดปกติของไขสันหลัง ( spinal Myocionus ) ก้อนเนื้องอกจากการบาดเจ็บ การอักเสบ Syrigomyelia ร่างกายกระตุกเป็นส่วนนอนหลับก็ไม่หาย

3.สาเหตุจากระบบประสาทส่วนปลายผิดปกติ ( Peripheral Myocionus ) และมักถูกกระตุ้นด้วยการเคลื่อนไหวอวัยวะที่กระตุก เช่น ใบหน้ากระตุกครึ่งซีก เป็นต้น ยังจำแนกตามสาเหตุได้อีกดังนี้

  • Myocioonusในคนปกติ ( Physiological Myocionus ) เช่น กระตุกขณะหลับ สะอึกเป็นต้น
  • Myoclonus ที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ( Essential Myocionus ) เป็นอาการที่ไม่พบสาเหตุหรือมีเหตุจากกรรมพมธุ์ เช่น Hereeditary essential myocionus
  • เกิด Myoclonus จาการชักเรื้อรัง ( Epileptic Myocionus ) เช่น Progresiive Myoclonic epilepsies (PME ), Juvenile Myoclonic epilepsy ( JME )
  • เกิดจากเหตุชัดเจนที่ทราบได้ เช่น จากโรคทางระบบประสาท หรือ นอก ระบบประสาท เช่น การใช้ยาภาวะ Hypxic encephthy, metab lic, ceutzfeldt jakob disease ( CJD )

[adinserter name=”oralimpact”]

6. Dyskinesia

คือ อาการร่างกายเคลื่อนไหวผิดปกติ ( Movement Disorder ) ที่มีอาการซับซ้อน เป็นการเคลื่อนไหวผิดปกติหลายชนิดรวมกัน ซึ่งเกิดจากผลข้างเคียงการรักษา และที่พบบ่อยมีรายละเอียดดังนี้

  • เป็นการเคลื่อนไหวผิดปกติ เกิดหลังจากการใช้ยาที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งทำงานของ D2 Receptor เช่น ยา Neuroleptic ใช้เป็นเวลาต่อเนื่องอย่างน้อยสามเดือน ซึ่งหาสาเหตุชัดเจนอื่นไม่ได้ มีการเคลื่อนไหวในลักษณะ Chorea และ Dystonis ในบริเวณกระพุ้งแก้ม ลิ้นและปาก จังหวะการเคลื่อนจะซ้ำไปซ้ำมา เหมือนกำลังบดเคี้ยวอาหาร แม้จะหยุดยานานแล้วอาการก็ยังเป็นอยู่
  • การเคลื่อนผิดปกติจากการรักษาด้วยยา Levodopar พบได้ในผู้ป่วยพาร์กินสัน การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะ Chorea บริเวณคอ ลำตัว ใบหน้าแขนขา ผู้ป่วยจะดูมีอาการอยู่ไม่นิ่ง ยิ่งยามีระดับสูงขึ้นก็พบมากขึ้น การลดปริมาณยาลงจะช่วยลดอาการได้บ้าง

การเคลื่อนไหวน้อยกว่าปกติ ( Hypokinetic Movement )

1. Parkinsonsonism

เป็นอาการรวมของกล้ามเนื้อเคลื่อนไหวช้า จะมีอาการของกล้ามเนื้อเกร็งแข็ง ทรงตัวลำบาก ถ้าทั้งเคลื่อนไหวช้าและมีอาการอื่นร่วมด้วยก็สามารถวินิจฉัยได้ว่ามีภาวะ Parkinsonsonism โดยเกิดจากโรคพาร์กินสัน 80%

2. Bradykinesia

กลุ่มอาการนี้จะมีลักษณะสำคัญคือความกว้างในการเคลื่อนไหวลดลงหรือหยุดนิ่ง อาจเป็นการแสดงสีหน้าอารมณ์ที่ลดน้อยลง เขียนหนังสือเล็กลงเรื่อยๆ พูดเบาลงเรื่อยๆ น้ำเสียงราบเรียบลง กะพริบตาช้าลงเรื่อยๆ กลัดกระดุมได้ยากขึ้น หยิบจับของยากขึ้น เดินช้าลง ก้าวขายากลำบาก แกว่งแขนช้า เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เป็นอาการกลุ่ม Parkinsonism ที่สำคัญที่สุด

3. Rigidity

เป็นอาการที่เกร็งกล้ามเนื้อขณะเคลื่อนไหว เมื่อกล้ามเนื้อหดขยายโดยไม่เกี่ยวกับความเร็ว มีลักษณะสม่ำเสมอเท่ากันตลอด จะพบลักษณะแข็งเกร็งเป็นช่วงเหมือนล้อเกวียนเมื่อเคลื่อนไหวแบบ Positive movement เรียกว่า Cogeheel rigidity เกิดได้ทั้งที่บริเวณแขน ลำตัว และขา ผู้ป่วยจะเคลื่อนไหวลำบาก ก้าวเดินช้า เดินไม่ออก พลิกตัวขณะนอนลำบาก หยิบสิ่งของลำบาก ต่างจากอาการเกร็งในแบบ Spasticity พบได้ในโรคสมองส่วน Pyramidal tract มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับความเร็วในการเคลื่อนไหว

4. Postural instability

เป็นปัญหาในการทรงตัวลำบากที่พบได้ในผู้ป่วย Pakinsonism มีวิธีที่เรียกว่า Pull test คือ ให้ใช้มือสองข้างดึงผู้ป่วยให้ถอยหลังมีคนพยุงอยู่ข้างหลัง ผู้ป่วยที่มีปัญหานี้จะถอยหลังเซหลายก้าวก่อนที่จะทรงตัวได้ หรือบางรายอาจหกล้มไม่สามารถทรงตัวได้เลย ซึ่งอาการนี้ในผู้ป่วยพาร์กินสันเป็นอาการที่จะตามมาจากอาการอื่น ๆ ในช่วง ปีที่ 3-5 แต่ถ้ามีอาการในระยะแรกมักมาจากสาเหตุอื่น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลัลธธิมา ภู่พัฒน์ : อาการวิทยา ฉบับพกพา : ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2560.

ธนกร ลักาณ์สมยา และคณะ : อาการทางอายุรศาสตร์ Medical ymptomatology ฉบับปรับปรุง : พิษณุโลก : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยนเรศวร,2559.

Kurlan R. clinical practice, Tourette’s syndrome. NEJM 2010, 363 : 2332-2338.

อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร

0
อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ( Gastrointestinal Bleeding )
อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ( GASTROINTESTINAL BLEEDING ) เกิดจากความเครียด อาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ การขับถ่ายที่ไม่เป็นเวลา หรือเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง
อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ( Gastrointestinal Bleeding )
อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ( GASTROINTESTINAL BLEEDING ) เกิดจากความเครียด อาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ การขับถ่ายที่ไม่เป็นเวลา หรือเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง

อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ( Gastrointestinal Bleeding )

อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ( Gastrointestinal Bleeding ) เป็นภาวะอาการของโรคที่พบบ่อย มีต้นตอและร่องรอยของอาการมาจากหลายสาเหตุ เช่น จากความเครียด จากอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ การขับถ่ายที่ไม่เป็นเวลา ที่สำคัญอาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงได้

อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร คือ

Ligament of Treiz คือ ภาวะที่มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนนบ โดยใช้กายวิภาค

Obscure Overt Gastrointestinal Bleeding คือ การแสดงอาการว่ามีเลือดออกในทางเดินอาหาร เช่น การถ่ายดำ การถ่ายเป็นเลือดสด ๆ แต่เมื่อมีการส่องกล้องทางกระเพาะและทางลำไส้ใหญ่แล้วไม่พบร่องรอยของโรค

Obscure Occult Gastrointestinal Bleeding คือ การที่ผู้ป่วยมาพบนายแพทย์เนื่องจากตรวจพบว่ามี stool occult blood หรือภาวการณ์มีโลหิตจางแบบขาดธาตุเหล็ก

จากผลของการวิจัยได้พบว่า อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร จะมีอาการที่รุนแรงและแตกต่างกันขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เลือดออกว่าจะอยู่ส่วนใดของลำไส้ หรือช่องท้อง ไว้ดังนี้

อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ส่วนต้น อาจมีอาการเริ่มต้นด้วยการอาเจียนเป็นเลือด หรือเป็นสีน้ำกาแฟใส่นม สำหรับกลุ่มที่มีการอาเจียนเป็นเลือด สาเหตุสำคัญที่มักพบได้บ่อยมักเกิดจากการเป็นแผลในกระเพาะอาหาร ส่วนสาเหตุรองเกิดจากเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น โดยเฉพาะอาจพบว่าหลอดอาหารมีความผิดปกติ เช่น มีเส้นเลือดดำที่หลอดอาหารโป่งพอง หรือปริแตกออก จึงเป็นสาเหตุของอาการเลือดออกได้ ส่วนอาการอื่น ๆ ที่อาจพบและบ่งบอกว่ามีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น เช่น การถ่ายเป็นสีดำ มีลักษณะเหลวคล้ายกับยางมะตอย มีกลิ่นเหม็นมาก เป็นต้น

อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ส่วนล่าง มีอาการเริ่มต้นจากการถ่ายเป็นเลือดสด ๆ หรืออาจไม่มีอาการที่ชัดเจนมากนัก แต่มาพบแพทย์ด้วยอาการอื่น เช่น มีอาการที่อ่อนเพลีย คล้ายกับหน้ามืด หรือเป็นลมเป็นลม และเหนื่อยง่าย เป็นต้น ทางเดินอาหารส่วนล่างก็คือส่วนที่เป็นตอนปลายของลำไส้ใหญ่ มักจะเกิดกับกลุ่มคนที่มีอายุมาก สาเหตุส่วนใหญ่อาจมาจากภาวะของถุงลำไส้โป่งพอง ซึ่งทำให้เกิดเลือดออกได้ง่าย และสิ่งที่เป็นอันตรายมากคืออาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

สาเหตุหลักของการมีเลือดออกในทางเดินอาหาร

การเกิด อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ส่วนบนและล่างอาจมีสาเหตุมาจาก มะเร็งลำไส้ใหญ่  ( diverticultitis colon cancer ) หรือ เกี่ยวกับถุงลมอัมพาต ( diverticultitis polyps ), อาการที่ลำไส้ใหญ่บวม ( colitis ), โรคเลือกคั่งในช่องท้อง ( ischemic colitis ), ติดเชื้อ IBO, และ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบที่ไม่ติดเชื้อ ( non-infectious colitis, angioectasia, postpolypectomy ), เกิดจากแผลพุพอง ( rectal ulcer ), รีดสีดวงทวาร ( hemorrhoids ), เกิดจากแหล่งที่ไม่ระบุรายละเอียด ( unspecified anorectal source ), เกิดจากการฉายแสง หรือรัศมี ( radiation colitis ) และอื่น ๆ
ส่วนสาเหตุของการปิดบังการไหลเวียนของเลือดในทางเดินอาหาร ( obscure overt gastrointestinal bleeding ) ได้แก่

1. ระบบทางเดินอาหารส่วนบน ( Upper gastrointestinal tract ) ซึ่งอาจเกิดจากการเกิดบาดแผลของคาเมรอน ( Cameron’s lesions ), บาดแผลของ dieulafoy ( Dieulafoy’s lesions ), กระเพาะอาหาร antral และหลอดเลือด ectasia ( gastric antral vascular ectasia )

2. ลำไส้เล็ก ( small intestina ) อาจเกิดได้จาก angioectasias, หลอดเลือดบริเวณช่องทวาร ( aortoenteric fistula ), บาดแผลของ dieutifoy’s ( dieutlfoy’s lesion ), diverticulosis, Meckel’s diverticulum, เนื้องอก ( neoplasm ), โรคตับอ่อนหรือทางเดินน้ำดี ( pancreatic or biliary disease ), แผลในกระเพาะอาหาร ( ulceration )

3. ลำไส้ใหญ่ ( Cooon ) อาจเกิดจาก angioectasias, diverticulosis, รีดสีดวงทวาร ( hemorrhoids ), และ varices

สาเหตุที่ไม่แน่ชัดของเลือดออกในทางเดินอาหาร ( obscure occult gastrointestinal bleeding ) ได้แก่

1. ภาวะอุจจาระบวกเลือดเข้าโดยปราศจากภาวะโลหิตจางที่ขาดธาตุเหล็ก ( positive stoolovvult blood without iron deficiency anemia ) อาจแบ่งได้เป็นบริเวณทางเดินอาหารส่วนบน ( upper GI tract ) ซึ่งอาจเกิดได้จาก esophagitis, โรคกระเพาะอาหาร ( gastritis ), แผล ( ulcers ) และที่บริเวณปลายลำไส้ใหญ่ ( colon ) ซึ่งอาจเป็นสาเหตุใหญ่ของโรคมะเร็ง ( large ad enom cancer ) ได้

2. ภาวะโลหิตจางเนื่องจากการขาดธาตุเหล็ก ( iron deficiency anemia ) ซึ่งอาจเกิดได้จากภาวะของโรคมะเร็ง ( GL malignancues ), การติดเชื้อ H. pylori infection, โรค Celiac disease, การผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหาร

การซักประวัติผู้ป่วย อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร

1. ตรวจซักอาการของเลือดออกด้วยลักษณะต่าง ๆ

2. ตรวจหาปัจจัยการเกิดแผลในการเพาะอาหารทั้งหมด ทั้งด้านพฤติกรรม การใช้ยา และกิจกรรมสุ่มเสี่ยงต่างๆ

3. ตรวจวัดความถี่ของการอาเจียนก่อนที่จะอาเจียนออกมาเป็นเลือดสด ๆ อาจบอกถึงอาการของอวัยวะฉีกขาดภายใน ซึ่งต้องเข้าสู่การตรวจอย่างละเอียดต่อไป

4. ตรวจสอบว่าเคยมีประวัติผ่าตัดเส้นเลือดใหญ่บริเวณช่องท้องมาก่อนหรือไม่ ซึ่งอาจเกิดผลข้างเคียงทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันได้

5. ตรวจสอบประวัติเกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบ หรือโรคตับเรื้อรัง

6. ตรวจสอบประวัติการเกิดภาวะรังไข่อักเสบ ( radintion enteritis หรือ proctocolitis ) การเกิดมะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก หรือการได้รับรังสีเพื่อการรักษาบริเวณช่องท้อง

7. ตรวจสอบประวัติอาการปวดท้องที่เคยเป็น ตลอดจนการเจ็บช่องอกต่างๆ

การตรวจและวินิจฉัยอาการ

1. ให้พิจารณาจากประวัติโดยรวมของผู้ป่วย และรายละเอียดเชื่อมโยงที่คาดว่าเกี่ยวข้องทั้งหมด

2. ตรวจอุจจาระ ให้ทำในกรณีเลือดออกเวลาขับถ่าย หรือสงสัยว่าอาจมีเลือดออกจากทางเดินอาหารส่วนล่าง อาจต้องตรวจอุจจาระเพื่อดูว่ามีเลือดออกในลำไส้จริงหรือไม่ การตรวจอุจจาระส่วนใหญ่จะให้ตรวจในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เพื่อหาความเสี่ยงของโรคมะเร็วลำไส้ใหญ่

3. การส่องกล้องดูทางเดินอาหาร ในกรณีมี อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ส่วนบน จะส่องกล้องผ่านเข้าทางปาก ซึ่งสามารถตรวจสอบได้หลายอวัยวะ ตั้งแต่หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น หากพบว่ามีเลือดออกทางเดินอาหารส่วนล่าง จะต้องส่องกล้องเข้าทางทวารหนักเพื่อตรวจสอบลำไส้ใหญ่ เพื่อดูว่ามีร่อยรอยของโรคที่เป็นสาเหตุทำให้เลือดออกหรือไม่ ถ้ามีจะอยู่ที่ใด และสามารถรักษาได้ทันทีหรือไม่

4. การตรวจลักษณะของอุจจาระที่ขับถ่ายตามปกติ อีกวิธีหนึ่งในการตรวจเพื่อช่วยให้รู้เท่าทันได้ว่า มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับทางเดินอาหารหรือไม่ ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง นั่นก็คือการสังเกตสีของอุจจาระ ซึ่งจะบอกถึงสุขภาพของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี เช่น สีเหลืองอมเขียว ซึ่งเป็นสีของกากอาหารและน้ำดี ผู้ที่มีสุขภาพปกติส่วนใหญ่จะมีอุจจาระเป็นสีนี้ แต่สีของอุจจาระก็จะสามารถเปลี่ยนไปได้ตามอาหารที่เรากินเข้าไป เช่น ถ้ากินอาหารที่มีสีดำ เช่น น้ำอัดลมที่มีสีดำ หรือเนื้อสัตว์ เลือดสัตว์ที่ผสมอยู่ในเนื้อ ก็มักจะส่งผลให้อุจจาระมีสีคล้ำขึ้น หรือค่อนข้างเป็นสีดำได้เช่นกัน

อุจจาระเป็นสีเขียวกว่าปกติ : อาจสันนิษฐานไว้ก่อนได้ว่าอาจมีอาการท้องเสีย ทำให้ลำไส้ต้องบีบตัวมากกว่าธรรมดา และทำให้อาหารที่กินเข้าไปไหลลงสู่ลำไส้ใหญ่เร็วขึ้น ทำให้ร่างกายผลิตน้ำดีไม่ทัน เนื่องจากอาหารเหล่านั้นไหลได้เร็วกว่าน้ำดี ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้การย่อยอาหารไม่สมบูรณ์ เช่น อาหารประเภทไฟเบอร์ หรือเส้นใย ที่เป็นอาหารย่อยง่ายและไหลผ่านลำไส้ได้อย่างรวดเร็วโดยอาจไม่ผ่านการย่อยจากน้ำดี จึงทำให้อุจจาระมีสีเขียวกว่าปกติก็ได้

อุจจาระมีสีดำ : ลักษณะเหลว มีส่วนคล้ายยางมะตอย มีกลิ่นคาวมาก อาจสันนิษฐานไว้ก่อนได้ว่าจะมีแผลในกระเพาะอาหารส่วนต้น ซึ่งอาจพบได้ในผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออก และมีอาการเลือดออกที่กระเพาะอาหาร หรือรวมถึงผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารก็มีโอกาสถ่ายออกมาเป็นลักษณะนี้ได้เช่นกัน สีดำของอุจจาระเช่นนี้มักเกิดจากอาการเลือดออกและถูกร่างกายย่อยก่อนที่จะถ่ายออกมาเป็นอุจจาระจึงทำให้อุจจาระมีสีดำได้

อุจจาระเป็นสีดำแดง : อาจสันนิษฐานได้ว่าอาจมีบาดแผล หรือมี อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ส่วนล่าง ทำให้เลือดยังไม่ถูกย่อย จึงทำให้มีสีแดงของเลือดปนออกมาให้อุจจาระ

อุจาจาระเป็นสีซีด : อาจเกิดจากภาวการณ์อุดตันของท่อน้ำดี ซึ่งมักพบมากในผู้ที่เป็นมะเร็งบริเวณตับอ่อน หรือมะเร็วที่ท่อน้ำดี สีของอุจจาระที่ว่าซีด ต้องสังเกตว่าซีดคล้ายสีของเผือก คือต้องซีดอย่างมาก

อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ( Gastrointestinal Bleeding ) เกิดจากความเครียด อาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ การขับถ่ายที่ไม่เป็นเวลา หรือเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง

กระบวนการรักษา

หากพบร่องรอยของโรคมีแนวโน้มว่าจะทำให้เลือดออกได้อีก และสามารถให้การรักษาทันทีจากการส่องกล้อง ซึ่งมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับรอยของโรคที่เป็น ถ้าเป็นแผลและมีลักษณะที่เป็นเส้นเลือด อาจทำการรักษาด้วยการฉีดยา ใช้ความร้อนจี้ หรืออาจใช้คลิปหนีบบริเวณที่อาจมีเลือดออกไว้ จะอย่างไรก็ตามโอกาสส่องกล้องอาจไม่สำเร็จก็มีบ้าง แต่เป็นไปได้น้อยเพียงร้อยละ 10 แต่ก็ยังมีทางเลือกอื่น ๆ ที่ปลอดภัยให้เลือกอีก คือ ใช้วิธีเอกซเรย์เพื่อดูตำแหน่ง เพื่อจะได้เข้าไปทำการอุดรอยที่ทำให้เลือดออกให้หยุดได้ ส่วนเรื่องการผ่าตัดแพทย์จะทำการพิจารณาให้เป็นขั้นตอนสุดท้าย หรือจากกรณีที่ให้การรักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล และโรคที่เป็นอาจรุนแรงมาก

จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้มีเลือดออกในลำไส้

1. ห้ามซื้อยาแก้ปวดมากินเองเมื่อมีอาการ ปวด เช่น ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ เนื่องจากอาจส่งผลไปทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารได้

2. สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ขอแนะนำให้ทำการส่องกล้องเพื่อหามะเร็งลำไส้ใหญ่เสียแต่เนิ่น ๆ ทุกปี

3. ควรดื่มน้ำสะอาดไห้ได้วันละ 1-1.5 ลิตร จะช่วยไม่ให้ท้องผูก และถ่ายอุจจาระได้ง่าย หากไม่สามารถดื่มน้ำได้เพียงพอ ร่างกายจะดึงน้ำจากอุจจาระกลับคืน ทำให้อุจจาระแข็งถ่ายลำบาก

4. เลือกทานอาหารที่มีกากใย หรืออาหารประเภทเส้นใย และฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลาทุกเช้า ควรทานอาหารเช้าหรืออาหารรองท้องเล็กน้อยก่อนที่จะเข้าห้องน้ำเพื่อการถ่ายสักประมาณ 5-10 นาที ซึ่งจะทำให้การถ่ายได้ง่ายขึ้น เพราะทำให้การบีบตัวของลำไส้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ช่วยให้การขับถ่ายง่ายและเป็นปกติดี

รูปแบบการตรวจร่างกายแบบเฉพาะเจาะจง

1. การตรวจสัญญาณชีพ ต้องทำการประเมินว่ามีการสูญเสียเลือดในร่างกายเป็นจำนวนเท่าใด จากการวัดสัญญาณชีพด้วยการตรวจชีพจรที่เต้นเร็ว และอาจตามมาด้วยอาการความดันต่ำ

2. การตรวจพบอาการซีดจนเป็นสีเหลืองอ่อน ( pale conj unctiva ) ที่บอกถึงภาวะซีดจากอาการไอกรน ( icteric sclera ) ซึ่งบอกถึงภาวะความเหลืองของร่างกาย โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคตับ อาจเกี่ยวเนื่องกับการเกิดภาวะเลือดออก ( variceal bleeding )

3. ตรวจในช่องท้องโดยเฉพาะรอยแผลเป็นที่เคยผ่าตัดมาก่อน อาจมีตำแหน่งที่กดแล้วเจ็บ ตรวจตับ ม้ามโต น้ำในช่องท้อง และก้อนในช่องท้องว่าผิดปกติหรือไม่

4. ตรวจอาการของโรคตับเรื้อรัง ( Stigmata of chronic liver disease ), โรคตาแดง ( palmar erythema ), ต่อม parotid ขยาย ( parotid gland enlargement ), การทำสัญญาของ Dupuytren ( Dupuytren’s contracture )

5. การตรวจพบลักษณะของภาวะความดันโลหิตสูง ( portal hypertension ), ได้แก่ น้ำในช่องท้อง ( ascites ), และมีอาการขาบวม

6. การตรวจเพื่อดูกรรมพันธุ์ของการตกเลือด ( hereditary hem orrhagic telangiectasia ), ตรวจผิวหนัง ริมฝีปาก และบริเวณกระพุงแก้ม เพื่อดู telangiectasia

7. การตรวจพบผิวหนังที่มีปื้นดำ หรือที่เรียกว่า acanthosis nigricans ที่มักพบได้บ่อยในมะเร็งกระเพาะอาหาร

8. การตรวจทางทวารหนักเพื่อดูสีชองอุจจาระ และบริเวณชั้นของทวารหนัก ( rectal mass หรือ rectal shelf )

9. การใส่สายเพื่อการสวนทางจมูก เป็นการประเมินเลือดที่ออกในกระเพาะอาหารว่าเป็นสีอะไร แดงสด หรือน้ำตาล หรืออาจตรวจไม่พบรอยเลือดออก นอกจากนี้ยังเป็นการระบายสิ่งที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร เพื่อเตรียมตรวจการส่องกล้องทางเดินอาหารต่อไป

อาการที่แสดงออกของภาวะแผลในทางเดินอาหาร

มีคนจำนวนมากที่ไม่แสดงอาการของการมีแผลในกระเพาะอาหาร แต่จะอย่างไรก็ดีอาการแสดงที่พบได้บ่อย ได้แก่ อาการปวดท้องส่วนบน โดยอาการปวดนี้จะจะร้าวบริเวณสะดือขึ้นมาถึงใต้ลิ้นปี่และอาการจะปวดเพิ่มขึ้นเมื่อท้องว่าง แต่กลับมีอาการดีขึ้นเมื่อได้ทานอาหารบางชนิด หรือการทานยาเคลือบกระเพาะ หรือยาลดกรด อาการจะเป็นมากขึ้นในเวลากลางคืนอาการจะเป็น ๆ หาย ๆ นานเป็นวัน หรือเป็นสัปดาห์ นอกจากนี้อาจมีอาการอื่น ๆ ที่แสดงร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาจถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด โดยเลือดเป็นสีแดงคล้ำ แน่นท้องหรือมีอาการท้องอืด ถ่ายเป็นเลือด มีสีดำ หรือเป็นยางมะตอย น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ เบื่ออาหาร

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

เป็นลักษณะของแผลที่อาจทำให้เกิดเลือดออกอย่างช้า ๆ หรือเร็วมากจนทำให้เกิดอาการช็อกที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ บางครั้งผู้ป่วยอาจไม่ทันได้สังเกต อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ( Gastrointestinal Bleeding ) ที่เกิดขึ้นจนกระทั่งร่างกายเกิดอาหารซีด ซึ่งเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก และนำไปสู่การขาดเม็ดเลือดแดง โดยภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อมีอาการเสียเลือดครั้งละน้อย และเป็นระยะเวลานาน เมื่อผู้ป่วยเริ่มมีภาวะซีด ซึ่งอาจทำให้เกิดความอ่อนเพลีย หายใจลำบาก และมีสีผิดที่ซีดลงอย่างมาก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลัลธธิมา ภู่พัฒน์ : อาการวิทยา ฉบับพกพา : ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2560.

ธนกร ลักาณ์สมยา และคณะ : อาการทางอายุรศาสตร์ Medical ymptomatology ฉบับปรับปรุง : พิษณุโลก : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยนเรศวร,2559.

Strate LL, Ayanian JZ, Kotler G, Syngal S. Risk factors for mortality in lower intestinal bleeding. Clin Gastroenterol Hepatol 2008.