งาขี้ม่อน หรือ งาขี้ม้อน มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร

0
งาขี้ม่อน หรือ งาขี้ม้อน มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร
งาขี้ม่อน หรืองาขี้ม้อน ( Perilla seed ) เป็น ธัญพืชที่สามารถรับประทานได้ทั้งเมล็ดและใบ นิยมนำไปเป็นส่วนประกอบอาหารกินเล่น มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
งาขี้ม่อน หรือ งาขี้ม้อน มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร
งาขี้ม่อน หรืองาขี้ม้อน ( Perilla seed ) เป็น ธัญพืชที่สามารถรับประทานได้ทั้งเมล็ดและใบ นิยมนำไปเป็นส่วนประกอบอาหารกินเล่น มีคุณค่าทางโภชนาการสูง

งาขี้ม่อน หรือ งาขี้ม้อน คือ

งาขี้ม่อน หรืองาขี้ม้อน ( Perilla seed ) เป็น ธัญพืชที่สามารถรับประทานได้ทั้งเมล็ดและใบ พบได้มากในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นพืชตระกูลเดียวกับกะเพรา โหระพา ลักษณะของเมล็ดจะคล้ายงา คือเล็กประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ทรงกลม มีสีน้ำตาลหรือสีเทา นิยมนำไปเป็นส่วนประกอบอาหารกินเล่น เช่น คุกกี้ หรือข้าวหนุกงา ส่วนใบของงาขี้ม่อน เป็นที่รู้จักกันในภาษาญี่ปุ่นว่า ใบชิโสะ งาขี้ม่อนสามารถนำมาใช้เพื่อสุขภาพและนำมารับประทาน มีคุณค่าทางโภชนาการสูง

ชนิดของงาขี้ม่อน

พันธุ์งาขี้ม่อน มีพันธุ์ใบสีเขียวและพันธุ์ใบสีม่วง ใบสีเขียวเป็นพันธุ์ที่พบมากในประเทศไทย จากการสำรวจการปลูกงาขี้ม่อนในภาคเหนือตอนบนพบว่า มีการปลูกกระจายทั่วไปบนพื้นที่ดอนตามไหล่เขาเชิงเขา งาขี้ม่อนทั้งหมด 130 สายพันธุ์ แบ่งออกเป็น 3 พันธุ์ ได้แก่
1. งาดอ เป็นงาขี้ม่อนอายุสั้น ( เก็บเกี่ยวช่วงเดือนตุลาคม )
2. งากลาง อายุอยู่ระหว่างงาดอกับงาปี
3. งาปี มีอายุมากกว่า ( เก็บเกี่ยวช่วงปลายเดือนธันวาคม )

คุณค่าทางอาหารของงาขี้ม่อน

งาขี้ม่อน 104 กรัม ( 8 ช้อนโต๊ะ ) ให้พลังงาน 568 แคลอรี

คาร์โบไฮเดรต 25.6 กรัม
โปรตีน 16.8 กรัม
ไขมัน 48 กรัม
ใยอาหาร 14.4 กรัม
แคลเซียม 760 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 10.44 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 472 มิลลิกรัม
โซเดียม 11.2 มิลลิกรัม

ประโยชน์ของเมล็ดงาขี้ม่อน

1. มีโอเมก้า 3 ช่วยรักษาอาการร้อนใน
2. ช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้อากาศ
3. ช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
4. ช่วยปกป้องตับจากการถูกทำลาย และยับยั้งการเจริญของมะเร็งตับ
5. ช่วยบำรุงผิว และยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน
6. ช่วยลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ที่เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ
7. ทำให้เกิดความผ่อนคลาย และลดความวิตกกังวลที่เป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า
8. บรรเทาอาการหอบหืด
9. มีสารเซซามอล ( Sesamol ) ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และชะลอความแก่

https://www.youtube.com/watch?v=a3UiPeMCC-g

น้ำมันงาขี้ม่อน

น้ำมันสกัดจากเมล็ดงาขี้ม่อน มีน้ำมันสูง ประมาณ 31-51% เป็นแหล่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ( PUFA ) น้ำมันจากเมล็ดงาขี้ม่อนมีประโยชน์หลายอย่าง งาขี้ม่อนเป็นพืชน้ำมันชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติที่ดีเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มีคุณค่าทางโภชนาการสูง น้ำมันสกัดจากเมล็ดงาขี้ม่อนนำมาใช้เป็นอาหารและใช้ทำยาได้ ช่วยป้องกันโรคได้หลายโรค เมล็ดงาขี้ม่อนมีโปรตีน 18-25 เปอร์เซ็นต์ วิตามินบีและแคลเซียมสูงกว่าพืชผัก 40 เท่า โดยมีปริมาณแคลเซียมประมาณ 410-485 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม และฟอสฟอรัสมากกว่าพืชผักทั่วไป 20 เท่า งาขี้ม่อนเป็นพืชชนิดเดียวที่มีโอเมก้า 3, 6 และ 9 ซึ่งมีมากกว่าน้ำมันปลา 2 เท่า เนยเทียมที่ผลิตจากน้ำมันงาขี้ม่อนเป็นผลิตภัณฑ์อาหารใหม่สุดที่มีความปลอดภัยสูง เพราะปราศจากไขมันทรานส์

ข้อควรระวัง

1. ควรใช้น้ำมันเมล็ดงาขี้ม่อนชนิดเจือจาง เนื่องจากการใช้ในรูปแบบที่เข้มข้น อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังหรือทำให้ผิวหนังอักเสบ
2. สตรีที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงรับประทานงาขี้ม่อนชั่วคราว เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยถึงความปลอดภัยในสตรีขณะตั้งครรภ์ และสตรีขณะให้นมทารกและเด็ก
3. ควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีอาการแพ้งาขี้ม่อน หากบริโภคแล้วมีอาการผิดปกติ เช่น ผื่นขึ้น แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ควรรีบไปพบแพทย์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

งาขี้ม้อน (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://library.cmu.ac.th [25 มกราคม 2563].

งาขี้ม้อน’อุดมด้วยโอเมก้ายิ่งกว่าปลาทะเล! มีสารป้องกันโรคมะเร็งและชะลอวัย (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.matichonweekly.com [25 มกราคม 2563].

งาขี้ม่อน (Perilla seed) (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.honestdocs.co [25 มกราคม 2563].

ขอบคุณคลิปดี ๆ มีสาระจาก หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ.

โควิด 2019 ( COVID19 )

0
อู่ฮั่น ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019
ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ( coronavirus2019 - nCoV ) คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบ ( pneumonia ) ชนิดหนึ่งสามารถแพร่กระจายติดเชื้อได้ทั้งมนุษย์ และสัตว์
อู่ฮั่น ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019
ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ( coronavirus2019 – nCoV ) คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบ ( pneumonia ) ชนิดหนึ่งสามารถแพร่กระจายติดเชื้อได้ทั้งมนุษย์ และสัตว์

โควิด 2019

โควิด 2019 ( เดิมชื่อ ไวรัสอู่ฮั่น ) คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบ ( pneumonia ) ชนิดหนึ่งสามารถแพร่กระจายติดเชื้อได้ทั้งมนุษย์ และสัตว์ โดยประเทศจีนได้พบผู้ติดเชื้อกลุ่มแรกจากคนงานและลูกค้าที่ซื้ออาหารทะเลจากตลาดฮั่วหนาน ซึ่งตลาดสดแห่งนี้ชำแหละสัตว์ป่าขายเพื่อนำมาประกอบอาหารทั้งมีชีวิตและตายแล้ว เช่น ค้างคาว งูเห่า นกยูง จระเข้ หมีโคอาล่า ซาลาแมนเดอร์ แบดเจอร์ สุนัขจิ้งจอก เฮดจ์ฮอก และอูฐ เป็นสาเหตุที่เกิดไวรัสจากการผสมสารพันธุกรรมระหว่างไวรัสโคโรน่าของงูเห่ากับไวรัสโคโรน่าของค้างคาว จึงทำให้ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 นี้แพร่เชื้อข้ามสปีชีส์จากงูเห่ามายังคนได้ซึ่งกำลังระบาดในประเทศจีนและทั่วโลก โดยติดเชื้อจากการไอ จาม และสัมผัสโดยตรงกับคนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019

ไวรัสโคโรน่าเกิดขึ้นเมื่อใด

โรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรน่า เริ่มระบาดในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2019 ในเมืองอู่ฮั่น เริ่มมีผู้ป่วยโรคปอดอักเสบเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจำนวนหลายราย โดยมีอาการไข้สูง ไอแห้ง ๆ อ่อนเพลีย ขณะนี้ตลาดดังกล่าวได้มีการจัดการด้านสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม และถูกปิดแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563

ระยะฟักตัวของไวรัสโคโรน่า

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสCOVID-19 สามารถติดต่อได้แม้จะอยู่ในระยะฟักตัว ซึ่งกินเวลา 14 วัน และความสามารถในการแพร่กระจายของไวรัสตัวนี้กำลังรุนแรงขึ้น

อู่ฮั่น ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019
อาการทั่วไปของไวรัสโคโรน่า ส่วนใหญ่จะคล้ายกับการติดเชื้อทางเดินหายใจรุนแรงเฉียบพลัน

อาการของโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรน่า

อาการทั่วไปของไวรัสโควิด ส่วนใหญ่จะคล้ายกับการติดเชื้อทางเดินหายใจรุนแรงเฉียบพลันส่วนบนอาการที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ เบื่ออาหาร ปวดท้อง ท้องเสีย ร่วมด้วย ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าบางรายมีภาวะไตวายรุนแรงเฉียบพลัน ซึ่งในจำนวนครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยทั้งหมดจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา อาจมีระบบหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ อาการของไวรัสCOVID-19 ที่พบในผู้ติดเชื้อ คือ

  • มีไข้
  • ไอ
  • เจ็บคอ
  • น้ำมูกไหล
  • หายใจถี่ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก
  • มีอาการผิดปกติที่จมูก หรือโพรงจมูกและช่องคอส่วนบน
  • มีอาการในระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ท้องร่วง

โควิด-19 (COVID 19)  คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบสามารถแพร่กระจายติดเชื้อได้ทั้งมนุษย์ และสัตว์

วิธีการกระจายของโควิด-19

การติดต่อของเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้สามารถติดต่อจากคนสู่คนโดยผ่านทางฝอยละออง ได้แก่ น้ำมูก น้ำลายจากผู้ป่วยที่มีเชื้อไปยังบุคคลอื่น โดยการไอ หรือจาม และการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจของผู้ป่วยเป็นหลัก ส่วนการแพร่กระจายทางอากาศ มีโอกาสติดเชื้อผ่านทางดวงตาได้

ใครที่เสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สุด

  • ไวรัสโควิด-19 เป็นอันตรายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันต่ำ คนที่เป็นโรคปอดอักเสบ คนเป็นโรคหัวใจ เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ
  • ผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 โดยตรง
  • สัตว์เลี้ยงก็มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคโคโรน่า อาจทำให้ติดเชื้อและตายได้
  • ผู้ขาย และ ผู้ซื้อในตลาดที่สัมผัสกับอาหารทะเล สัตว์ป่า และเนื้อสัตว์สดๆ

การป้องกันและการดูแลตนเองจากเชื้อโควิด-19

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในประเทศจีนและต่างประเทศอยู่ในตอนนี้แพทย์แนะนำวิธีการดูแลตนเองดังนี้

  • สวมหน้ากากอนามัย ป้องกันไวรัสโคโรน่าขณะออกนอกบ้าน หรือมีอาการไอ จาม
  • หลีกเลี่ยงการการใกล้ชิด การสัมผัสตา จมูก และปาก ของผู้ป่วย
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด ไอ จาม หรือมีน้ำมูกไหล
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่ซื้อจากตลาดโดยตรงทั้งเป็นและตาย รวมถึงเนื้อดิบ ( ควรใส่ถุงมือหากจำเป็นต้องจับ เพื่อป้องกัน )
  • ล้างมือด้วยสบู่ เจลทำความสะอาด แอลกอฮอล์ หากไม่มีสบู่ให้ล้างมือด้วยน้ำเปล่าอย่างน้อย 20 วินาที ก่อนนำอาหารเข้าปากทุกครั้ง
  • งดเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ในขณะที่ป่วย
  • ทำความสะอาด และฆ่าเชื้อของใช้ส่วนตัวที่สัมผัสบ่อย ภาวะชนะที่ใช้เป็นประจำ เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ เสื้อผ้า
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทไข่ เนื้อสัตว์ โดยการนำไปทำให้สุกด้วยความร้อน
  • หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เช่น วัด สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติอยู่เป็นจำนวนมาก สถานบันเทิง เป็นต้น
    เพียงเท่านี้สามารถช่วยป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 และไวรัสหลายชนิดที่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้

การรักษาเชื้อโควิด-19

ในปัจจุบันองค์การอนามัยโลกยังไม่มีการรักษาทำได้เพียงรักษาตามอาการเบื้องต้นเพื่อช่วยบรรเทาอาการเท่านั้น โรคปอดอักเสบชนิดที่รุนแรง หรือไวรัสโคโรน่าเป็นเชื้อสายพันธุ์ใหม่ 2019 ส่งผงให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศจีนมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและผู้ป่วยในประเทศแถบเอเชีย เช่น ฮ่องกง มาเก๊า ไตหวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ เวียดนาม รวมทั้งในประเทศไทย

อย่างไรก็ตามทุกคนควรดูแลและป้องกันตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่2019 ถึงแม้ในประเทศไทยจะพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสนี้ไม่มากก็ตาม หากคุณหรือคนใกล้ชิดรู้สึกป่วยด้วยอาการเป็นไข้ ไอหรือหายใจลำบากให้รีบไปพบแพทย์ทันที

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

เชื้อไวรัสโคโรนาคืออะไร คนไทยควรรับมือและป้องกันอย่างไร (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://thestandard.co [24 มกราคม 2563].

ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (novel coronavirus 2019, 2019-nCoV) (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://thestandard.co [27 มกราคม 2563].

มารู้จักโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2012 (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://www.healthymax.co.th [27 มกราคม 2563].

ขอบคุณคลิปดี ๆ มีสาระจาก หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ.

คอลลาเจนไทพ์ทู ( Collagen Type II ) มีประโยชน์อย่างไร

0
คอลลาเจนไทพ์ทู ( Collagen Type II ) มีประโยชน์อย่างไร
คอลลาเจนไทพ์ 2 ( Collagen Type II ) เป็นคอลลาเจนชนิดเดียวที่พบในกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อและหมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกของข้อ
คอลลาเจนไทพ์ทู ( Collagen Type II ) มีประโยชน์อย่างไร
คอลลาเจนไทพ์ 2 ( Collagen Type II ) เป็นคอลลาเจนชนิดเดียวที่พบในกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อและหมอนรองกระดูกสันหลัง ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกของข้อ

คอลลาเจนชนิดที่ 2 ( Collagen Type II ) คืออะไร

คอลลาเจนชนิดที่ 2 หรือ คอลลาเจนไทพ์ทู ( collagen type II ) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ส่วนใหญ่พบในกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ยืดหยุ่นและแข็งแรง กระดูกอ่อนส่วนใหญ่จะถูกเปลี่ยนเป็นกระดูกในภายหลังยกเว้นกระดูกอ่อนที่ยังคงปกคลุมและปกป้องส่วนปลายของกระดูก เช่น จมูก หู คอลลาเจนชนิดที่ 2 ผลิตจากระดูกอ่อนของไก่มีความสำคัญต่อสุขภาพและการทำงานของข้อต่อ ใช้ในการรักษาอาการปวดข้อที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบหลายประเภทสามารถช่วยทำให้กระดูกอ่อนมีความต้านทานแรงดึงและความยืดหยุ่น ช่วยทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่น ช่วยให้กระดูกที่เชื่อมต่อเคลื่อนไหวโดยไม่มีแรงเสียดทาน ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้เนื้อเยื่อที่รองรับกล้ามเนื้อข้อต่อ อวัยวะ และผิวหนังของร่างกาย คอลลาเจนชนิดที่ 2 ยังเป็นส่วนหนึ่งของเจลใสที่เติมลูกตา (น้ำวุ้นตา) ประกอบด้วยน้ำหนักแห้งและคอลลาเจน คอลลาเจน Type II ช่วยในกระบวนการจับด้วยความช่วยเหลือของไฟโบรเนคตินและคอลลาเจนอื่น ๆ เนื่องจากคอลลาเจน Type II คือ คอลลาเจนที่เป็นเส้นใย fibrillar collagen และยังเป็นส่วนประกอบหลักของกระดูกอ่อนไฮยาลิน Hyaline Cartilage เป็นโปรตีนที่พบได้ไม่เพียงแต่ในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน แต่ยังอยูในผิวหนัง กระดูกและช่วยยึดร่างกายไว้ด้วย คอลลาเจนไทพ์ทูมีประโยชน์อย่างมากในเซลล์ที่ส่งเสริมรวมทั้งช่วยกระตุ้นและเพิ่มการผลิตการเพิ่มจำนวนเซลล์ใหม่ที่เกิดขึ้นจากการสังเคราะห์กรดไฮยาลูโรนิก และโปรตีนที่เพิ่มขึ้นช่วยลดระดับการไหลเวียนของการอักเสบของข้อต่อ ลักษณะของคอลลาเจนชนิดที่ 2 หรือคอลลาเจนไทพ์ทูเป็นสีเหลืองอ่อน ๆ

คอลลาเจน Type II เหมาะสำหรับใคร

  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาข้อเสื่อม
  • ผู้ที่ต้องการบรรเทาอาการปวดข้อ
  • ผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกระดูก และดูแลกระดูก

คอลลาเจนมีกี่ชนิด

1. คอลลาเจนไทพ์ 1 ( Collagen Type I ) หรือ คอลลาเจนชนิดที่ 1
คือคอลลาเจนที่ประกอบไปด้วยกรดอะโนไกลซีนประมาณ 1 ใน 3 ของทั้งหมด พบในส่วนของหนังแท้ เอ็น พังผืด เนื้อกระดูกแข็ง ของสัตว์ชั้นสูง
2. คอลลาเจนไทพ์ 2 ( Collagen Type II ) หรือ คอลลาเจนชนิดที่ 2
คือคอลลาเจนชนิดเดียวที่พบในกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของข้อ ด้วยการกระตุ้นให้เกิดการสังเคราะห์ดซลล์ใหม่เพิ่มขึ้น ช่วยเพิ่มระดับกรดไฮยาลูโรนิค ( Hyaluronic Acid ) และยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ย่อยสลายน้ำหล่อเลี้ยงข้อ สามารถช่วยลดอาการปวดข้อและข้อยึด ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
3. คอลลาเจนไทพ์ 3 ( Collagen Type III ) หรือ คอลลาเจนชนิดที่ 3
เป็นคอลลาเจนที่มักพบในผิวหนังที่มีการสร้างใหม่ ส่วนมากพบในผิวของเด็ก เช่น ผิวหนังบริเวณที่เป็นแผล หลอดเลือด
4. คอลลาเจนไทพ์ 4 ( Collagen Type IIII ) หรือ คอลลาเจนชนิดที่ 4
พบได้เฉพาะบริเวณเส้นใยฝอยของเยื่อบุผิวแผ่นบางๆ บริเวณนอกเซลล์

คอลลาเจนไทพ์ 2 ( Collagen Type II ) คือ คอลลาเจนชนิดเดียวที่พบในกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ และหมอนรองกระดูกสันหลัง

เมื่อร่างกายขาดคอลลาเจนคอลลาเจนไทพ์ 2 จะเกิดอะไรขึ้น

1. กระดูกและข้อต่อเสื่อม
2. มีอาการปวดหลัง ปวดเอว เจ็บเข่า
3. ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดเสื่อม
4. ระบบการเผาผลาญไขมันลดลง
5. ทำให้แผลหายช้า
6. สุขภาพผมไม่แข็งแรง ขาดหลุดร่วงง่าย

คอลลาเจนไทพ์ 2 หาได้จากที่ไหนบ้าง

1. ปกติร่างกายสามารถสร้างคอลลาเจนได้เอง
2. อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ผักผลไม้บางชนิดปลาทะเลน้ำลึกเช่นปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาทู สาหร่ายทะเล เห็ดบางชนิด ผักใบเขียวเช่น ผักโขม ผักปวยเล้ง คะน้า บร็อคโคลี เป็นต้น
3. ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจน ที่พบตามท้องตลาด จากหนังปลา เกล็ดปลา หนังวัว หนังหมู กระดูกวัว กระดูกอ่อนบริเวณหน้าอกของไก่ เป็นต้น

ประโยชน์ของคอลลาเจนคอลลาเจนไทพ์ 2

1. ช่วยรักษาอาการข้อเข่าเสื่อม ปวดข้อ ข้อเข่าติด
2. สามารถลดอาการอักเสบได้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไขข้อรูมาตอยด์และอาการข้อเข่าเสื่อมได้
3. ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของส่วนประกอบที่อยู่ในข้อ
4. ทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้างเพิ่มมากขึ้น
5. ช่วยเพิ่มระดับของกรดไฮยาลูโรนิค ( Hyaluronic acid )
6. ช่วยลดเลือนริ้วรอย ช่วยป้องกันฝ้า กระ จุดด่างดำ
7. ช่วยทำให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีขึ้น สว่างใส แลดูอ่อนเยาว์
8. ช่วยเติมเต็มผิวที่หย่อนคล้อย หย่อนยานให้กลับมาเรียบตึง

วิธีการรักษาคอลลาเจนในร่างกาย

1. หลีกเลี่ยงแสงแดด
2. อย่าเครียดหรือเครียดให้น้อยลง
3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
4. กินอาหารที่มีประโยชน์ หรือกินให้ครบ 5 หมู่
5. ดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว

คำแนะนำในการใช้คอลลาเจนไทพ์ 2

1. การใช้ปริมาณมากอาจมีผลข้างเคียง ได้แก่ คลื่นไส้ ท้องผูก ท้องเสีย แสบร้อนกลางอก ง่วงซึม ปวดศีรษะ และอาการแพ้ที่ผิวหนัง
2. หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรไม่ควรใช้ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลยืนยันความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือเพียงพอ
3. ผู้ที่มีอาการแพ้ไก่หรือไข่ควรหลีกเลี่ยงการใช้คอลลาเจนชนิดที่ 2 เพราะอาจไปสู่อาการแพ้ได้เช่นเดียวกัน

ไฮโดรไลซ์คอลลาเจน Type II คืออะไร ?

ไฮโดรไลซ์คอลลาเจน Type II เป็นคอลลาเจนก่อนที่ถูกย่อยสลาย ( ผ่านการไฮโดรไลซิสของเอนไซม์ ) เป็นเปปไทด์ซึ่งเป็นโปรตีนที่ย่อยได้ง่ายและมีประโยชน์ทางชีวภาพ ไฮโดรไลซ์คอลลาเจน type II ผลิตจากกระดูกอ่อนสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ เนื่องจากมันมาจากกระดูกอ่อนจึงมีเมทริกซ์ของคอลลาเจน Type II และไกลโคซามิโนไกลแคน ( GAGs ) ตามธรรมชาติ

ประโยชน์ของคอลลาเจนไฮโดรไลซ์ไทป์ II

ผู้คนจำนวนมากทั่วโลกต้องทนทุกข์ทรมานกับภาวะข้อต่อบางประเภทที่พบบ่อยที่สุดคือโรคข้อเข่าเสื่อม (OA) ผู้ที่เป็นโรคข้อต่อมักมีอาการไม่สบายตัวและความคล่องตัวลดลงในข้อต่อที่ได้รับผลกระทบ งานวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่า OA เกิดจากการอักเสบในข้อ การอักเสบนี้มีผลต่อการเรียงซ้อนซึ่งนำไปสู่การสลายของเมทริกซ์กระดูกอ่อนในที่สุด การทานคอลลาเจนเปปไทด์ประเภท II เป็นอาหารเสริมสามารถช่วยปกป้องข้อต่อได้ ลดการอักเสบและช่วยยืดอายุข้อต่อ

ประสิทธิภาพที่ได้รับการสนับสนุนโดยวิทยาศาสตร์ :

การศึกษาในร่างกายเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของคอลลาเจนไฮโดรไลซ์ไทป์ II ที่สัมพันธ์กับสภาวะข้อต่อ คอลลาเจนเปปไทด์ Type II แสดงให้เห็นว่าในปริมาณที่ต่ำต่อวันของมนุษย์เท่ากับ 1 – 3 g / วัน
1. กระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีโอไกลแคนใน chondrocytes ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการหล่อลื่นภายในข้อต่อ และปกป้องกระดูกอ่อนจากการย่อยสลาย
2. ลดการอักเสบในข้อต่อ – เห็นได้จากการลดเครื่องหมายที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบที่สังเกตได้และสม่ำเสมอ
3. ดำเนินการอย่างรวดเร็วนั่นคือผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์
เมื่อพูดถึง OA ที่เกิดจากโรคอ้วนการศึกษาเดียวกันพบว่าการเสริมคอลลาเจนชนิดที่ 2 ช่วยลดการอักเสบของไขข้อในข้อเข่าได้อย่างมีนัยสำคัญ

การเสริมคอลลาเจนเปปไทด์ Type II

คอลลาเจน Hydrolyzed type II ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารเสริมระดับแนวหน้าเพื่อสุขภาพข้อต่อ

  • ร่างกายดูดซึมไฮโดรไลซ์ได้
  • มีฤทธิ์ทางชีวภาพสูงและมีคุณสมบัติทางชีวภาพ
  • สามารถปกป้องกระดูกจากการเสื่อมสภาพจากการสึกหรอ
  • ช่วยในการหล่อลื่นของกระดูกอ่อน
  • ลดการอักเสบในน้ำไขข้อ
  • ป้องกันกระดูกที่ข้อต่อ

บทความที่เกี่ยวข้อง

เอกสารอ้างอิง

คอลลาเจน ใช้บำรุงผิวและรักษาโรคข้อเสื่อม (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://med.mahidol.ac.th [18 มกราคม 2563].

คอลลาเจน คืออะไร Collagen Type 2 มีประโยชน์อะไร มาดูกัน (ออนไลน์).สืบค้นจาก : Original Content By ParryThailand.com [18 มกราคม 2563].

คอลลาเจน ไทพ์ ทู คืออะไร (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.boncaltype2.com [21 มกราคม 2563].

L-Arginine แอลอาร์จินิน ตัวช่วยส่งเสริมการไหลเวียนเลือด

0
L-Arginine แอลอาร์จินิน ตัวช่วยส่งเสริมการไหลเวียนเลือด
L-Arginine ( แอล-อาร์จินิน ) มีประโยชน์อย่างไร
แอลอาร์จินิน ( L-Arginine ) ช่วยในการคลายตัวและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับหลอดเลือด ทำให้โลหิตหมุนเวียนดีเเละลดความดันโลหิต

แอลอาร์จินิน คือ

แอลอาร์จินิน (L-Arginine) คือ กรดอะมิโน (amino acid) ที่มีบทบาทในการสร้างโปรตีน และส่งเสริมสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยสามารถแปรสภาพเป็นแก๊สไนตริกออกไซด์ (Nitric oxide, NO) ซึ่งช่วยคลายตัวและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับหลอดเลือด ส่งผลให้การหมุนเวียนเลือดดีขึ้นและลดความดันโลหิต ร่างกายสามารถได้รับแอลอาร์จินินจากอาหาร โดยเป็นสารเคมีสำคัญในการผลิตโปรตีนของร่างกาย และพบได้ในเนื้อสัตว์

แอลอาร์จินินมีหน้าที่อย่างไร

แอลอาร์จินินมีหน้าที่อย่างไรแอลอาร์จินินในร่างกายจะถูกเปลี่ยนให้เป็นสารเคมีที่เรียกว่า nitric oxide ซึ่งสารเคมีนี้เองที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัวกว้างขึ้น เพิ่มการไหลเวียนโลหิต และกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่ใช้ในการเจริญเติบโต อินซูลิน และสาระสำคัญอื่น ๆ ของร่างกาย

แอลอาร์จินินหาได้จากที่ไหน

  • อาหารโปรตีนสูงทุกชนิด เช่น เนื้อแดง เนื้อจากสัตว์ปีก และอาหารทะเล เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน กุ้ง ปู
  • ถั่ว เมล็ดงา ลูกเกด
  • ข้าวโพดคั่ว
  • ช็อกโกแลต
  • ขนมปังโอลวีต
  • ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต
  • ไข่แดง

แอลอาร์จินิน มีบทบาทในการช่วยส่งเสริมระบบหัวใจเเละหลอดเลือด ซึ่งช่วยในการคลายตัวและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับหลอดเลือด ทำให้โลหิตหมุนเวียนดีเเละลดความดันโลหิต

ประโยชน์ของแอลอาร์จินิน

  • ประโยชน์ของแอลอาร์จินินช่วยลดอาการและเพิ่มความทนทานต่อการออกกำลังกายและคุณภาพชิวิตของผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอกได้
  • การรับประทานแอลอาร์จินิน 5 กรัมต่อวันอาจช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายที่เป็น ED ได้
  • การรับประทานแอลอาร์จินินสามารถลดความดันโลหิตของผู้ที่มีสุขภาพดี ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง และผู้ที่มีความดันสูงเล็กน้อยที่เป็นและไม่เป็นเบาหวานได้
  • แอลอาร์จินินผสมในนมชงช่วยป้องกันการอักเสบของระบบย่อยอาหารของทารกที่คลอดก่อนกำหนดได้
  • ทานแอลอาร์จินิน 700 mg 4 ครั้งต่อวันช่วยป้องกันการดื้อยาไนเตรตของผู้ที่กำลังรักษาอาการเจ็บหน้าอกได้
  • ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตของผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายได้
  • การทาน L-Arginine ร่วมกับ ribonucleic acid ( RNA ) และ eicosapentaenoic acid ( EPA ) ก่อนหรือหลังจากเข้ารับการผ่าตัดจะช่วยฟื้นร่างกายหลังการผ่าตัด
  • ช่วยลดความดันโลหิตสูงของสตรีระหว่างตั้งครรภ์ได้
  • ช่วยในการเผาผลาญไขมันที่สะสมตามร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ ควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดีเมื่อรับประทานร่วมกับ แอล-ออร์นิทีน
  • ช่วยในการทำงานของระบบประสาท ทำให้ความจำดีขึ้น
  • L-Arginine มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคหัวใจโรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง และ โรคเบาหวาน
  • L-Arginine ช่วยเพิ่มฮอร์โมนการเจริญเติบโต ( Growth Hormone ) ของมนุษย์
  • L-Arginine ช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกันโดยกระตุ้นการทำงานของต่อมไทมัส และช่วยเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดขาวในการต่อต้านมะเร็ง

ผลข้างเคียงจากแอลอาร์จินิน

แอลอาร์จินินอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบางอย่าง เช่น ปวดท้อง ท้องอืด ท้องร่วง เก๊าท์ เลือดผิดปกติ ภูมิแพ้ หลอดลมอักเสบ หอบหืดทรุด และความดันโลหิตต่ำได้

คำแนะนำในการทานแอลอาร์จินิน

1. ไม่ควรให้เด็กที่อยู่ในวัยกำลังเติบโต และผู้ที่ป่วยด้วยโรคจิตเภทรับประทาน
2. ห้ามสำหรับผู้ที่เป็นโรคเริม หรือกำลังรับประทานยาในกลุ่ม ACE inhibitors หนึ่งในกลุ่มยาลดความดัน อาร์จีนีนอาจขยายขนาดยาลดความดันโลหิต เช่นเดียวกับยากลุ่มไนเทรต และ เอมิลไนเทรต ( ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้ในเรื่องโภชนาการก่อนเริ่มรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดนี้ ) ทานอาร์จีนีนเสริม หรืออาหารที่มีอาร์จีนีนในปริมาณสูง
3. ห้ามรับประทานอาร์จีนีนในขนาดที่เกินกว่า 20–30 กรัมต่อวัน อาจทำให้ข้อบวม และเกิดความผิดปกติของกระดูกได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ประโยชน์ของ L-Arginine สุดยอดอาหารเสริมมาแรง ช่วยกระตุ้นทุกระบบในร่างกายให้กลับมาฟิตปั๋งแม้อายุ 30+ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.omgthailand.net [17 มกราคม 2563].

L-arginine (แอล-อาร์จินิน) (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.honestdocs.co/supplement-l-arginine [17 มกราคม 2563].

L-Arginine คืออะไร แอล อาร์จินีน ดีไหม (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://xn--12cgh7eh9anaf7djxg2dfb1b7pwbwi.com [22 มกราคม 2563].

หญ้าหวาน หรือ สตีเวีย ประโยชน์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

0
สตีเวีย
หญ้าหวาน หรือ สตีเวีย ประโยชน์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ ใช้ทดแทนน้ำตาลทรายได้ มีประโยชน์ต่อร่างกาย เหมาะสำหรับการควบคุมโรคเบาหวานหรือการลดน้ำหนัก
หญ้าหวาน ประโยชน์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ
หญ้าหวาน ( Stevia ) คือ พืชสมุนไพรสำหรับใช้แทนความหวานของน้ำตาล ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ ไม่มีแคลอรี่

หญ้าหวาน

หญ้าหวาน หรือสตีเวีย ( Stevia ) คือ พืชมีรสหวานเกิดขึ้นตามธรรมชาติไม่มีแคลอรีเป็นศูนย์สามารถใช้ทดแทนน้ำตาลทรายทั่วไปได้ จึงเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์ต่อร่างกายสำหรับการควบคุมโรคเบาหวานหรือการลดน้ำหนัก มีความหวานมากกว่าน้ำตาลอื่นๆ ประมาณ 250 ถึง 300 เท่า มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Stevia rebaudiana ซึ่งประกอบด้วย สตีวิโอไซด์ (stevioside) และรีบาวดิโอไซด์ เอ (Rebaudioside A) คือสารที่สกัดได้และยังเป็นสารให้ความหวาน (sweetener) ใช้ทดแทนน้ำตาล (sugar substitute)

ประโยชน์หญ้าหวาน

  • ช่วยเพิ่มความหวานให้อาหาร
  • แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น นำใบมาอบแห้ง แล้วใช้ทั้งใบหรือนำมาบดสำหรับใช้ชงชา หรือนำใบมาอบแห้งบดใช้แทนน้ำตาล เหมาะสำหรับใส่น้ำอัดลม ชาเขียว ขนม แยม ไอศกรีม หมากฝรั่ง หรือซอสปรุงรส
  • สามารถทนความร้อนได้ดี ไม่เน่าเสียง่าย ถูกความร้อนนาน ๆ ไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
  • สารสตีวิโอไซด์ที่สกัดได้ใช้เป็นส่วนผสมในยาสีฟันแทนน้ำตาล

การปลูกและแปรรูป สร้างรายได้หลังแสนจริงหรือไหม

เป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศบราซิลและปารากวัย มีลักษณะเป็นต้มพุ่มเตี้ยคล้ายโหระพา สูง 30 – 90 เซนติเมตร ดอกเป็นช่อสีขาว ใบให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 10 – 15 เท่า นิยมปลูกในภาคเหนือของประเทศไทย เพราะมีสภาพอาการที่เย็นเหมาะแก่การเจริญเติบโต ปัจจุบันถูกใช้เป็นสารให้ความหวานมานานหลายศตวรรษและใช้ในอาหารในหลายประเทศ เช่น บราซิล แคนาดา จีน และญี่ปุ่น มีรสชาติที่แตกต่างจากน้ำตาลเล็กน้อย สารสตีวิโอไซด์มีประโยชน์ต่อสุขภาพจึงถูกนำมาใช้แทนความหวานของน้ำตาลในอาหารบางชนิด ได้แก่ กาแฟ ลูกอม หมากฝรั่ง ยาสีฟัน อาหารกระป๋อง โยเกิร์ต ไวน์ข้าว น้ำอัดลม และซีอิ๊วเป็นต้น สามารถช่วยลดความรู้สึกหิวและความอยากกินของหวาน ช่วยลดการสะสมของคราบจุลินทรีย์ โรคเหงือก ฟันผุ ช่วยลดน้ำหนักเนื่องจากไม่มีแคลอรี่ กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

สรรพคุณหญ้าหวาน

  • ช่วยเพิ่มการผลิตอินซูลินและกระตุ้นการทำงานของอินซูลินให้ดีขึ้น ลดน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยลดไขมันในเลือดและลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
  • บำรุงตับและบำรุงกำลัง โดยใช้ทดแทนเกลือแร่ในผู้ที่มีภาวะขาดน้ำ
  • ใบมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • ช่วยลดแบคทีเรียในช่องปาก
  • ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
  • ป้องกันฟันผุ

หญ้าหวาน หรือ สตีเวีย เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้แทนความหวานของน้ำตาล ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่คนรักสุขภาพ ไม่มีแคลอรี่เหมาะสำหรับผู้ที่คุมน้ำหนัก

โทษของหญ้าหวาน

เนื่องจากเป็นสารให้ความหวานจากธรรมชาติจึงมีความปลอดภัยอย่างไรก็ตาม อาจมีผลข้างเคียงที่เป็นไปได้สำหรับผู้แพ้สารบางชนิด ได้แก่
– อาการวิงเวียนศีรษะมึนงง
– เป็นลม
– เกิดลมพิษ
– อาการบวมที่ริมฝีปาก ใบหน้า ลิ้น และลำคอ
– หายใจลำบาก
– ปวดท้อง
– ท้องเสีย
– คลื่นไส้หรืออาเจียน

วิธีชงชาหญ้าหวาน

แบบที่ 1 ตั้งน้ำโดยไม่ให้เดือดจัด หรือใช้น้ำร้อนจากกระติกน้ำร้อน 100 องศาเซลเซียส ใส่หญ้าหวาน 1-2 ใบ แช่ทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วรินดื่ม หรือแช่น้ำทิ้งไว้นานกว่านั้น รสชาติของน้ำชาก็จะยิ่งหวานขึ้น

แบบที่ 2 ชงใส่เครื่องดื่มที่ชอบ เช่น กาแฟ ชา หรือน้ำสมุนไพรอื่น ๆ แล้วใส่ใบหญ้าหวาน 1-2 ใบลงในแก้วเครื่องดื่ม แช่ทิ้งไว้ 1-2 นาที จากนั้นกรองใบออกแล้วดื่ม

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“หญ้าหวาน” สมุนไพรทางเลือกใหม่แทนน้ำตาล (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.wongnai.com [15 มกราคม 2563].

What Is Stevia? (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.livescience.com [15 มกราคม 2563].

ช็อกโกแลต หรือดาร์กช็อกโกแลต

0
ช็อกโกแลต ( chocolate ) กินดีมีประโยชน์
ช็อกโกแลต ( chocolate ) คือ การนำเมล็ดโกโก้มากะเทาะเปลือกจากนั้นไปบดเป็นผงโกโก้เติมไขมันโกโก้ และแต่งกลิ่น น้ำตาล น้ำนม สารให้กลิ่นรส และ ส่วนประกอบอื่น ๆ
ช็อกโกแลต ( chocolate ) กินดีมีประโยชน์
ช็อกโกแลต ( chocolate ) คือ การนำเมล็ดโกโก้มากะเทาะเปลือกจากนั้นไปบดเป็นผงโกโก้เติมไขมันโกโก้ และแต่งกลิ่น น้ำตาล น้ำนม สารให้กลิ่นรส และ ส่วนประกอบอื่น ๆ

ช็อกโกแลต

ช็อกโกแลต ( chocolate ) คือ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโกโก้ ( cocoa ) โดยการนำเมล็ดโกโก้กะเทาะเปลือก ( cocoa nib ) แล้วนำเนื้อโกโก้ไปบด ( cocoa mass ) เป็นผงโกโก้ ( cocoa powder ) จากนั้นใส่ไขมันโกโก้ ( cocoa butter ) จนได้โกโก้ที่หนืด ( ช็อกโกแลตลิเคอร์ ) และเติมแต่งกลิ่นด้วย น้ำตาล น้ำนม สารให้กลิ่นรส และ ส่วนประกอบอื่น เช่น ผลไม้แห้ง ถั่วลิสง นัท ตามชอบ นอกจากนี้ช็อกโกแลต หรือดาร์กช็อกโกแลต สัญลักษณ์แห่งความรักและมิตรภาพจึงถูกใช้เป็นของขวัญในเทศกาลต่างๆ เช่น วันวาเลนไทน์ วันปีใหม่ วันคริสต์มาส วันเกิด วันครบรอบ วันรับปริญญา ของขวัญแต่งงาน และใช้ประดับต้นคริสต์มาส

ช็อกโกแลตมีกี่ชนิด

1. ช็อคโกแลตขมนำ ( unsweetened chocolate หรือ bitter chocolate ) เป็นช็อกโกแลตที่ประกอบด้วยประกอบด้วยโกโก้ลิเคอร์ ( Cocoa Liquor ) หรือโกโก้เค้ก ( Cocoa Cake ) เนยโกโก้ และน้ำตาล แต่จะมีน้ำตาลเพียงเล็กน้อย มีรสขมมากกว่ารสหวาน
2. ช็อคโกแลตดำ ( Dark chocolate ) เป็นช็อกโกแลตที่ประกอบด้วยประกอบด้วยโกโก้ลิเคอร์ ( Cocoa Liquor ) หรือโกโก้เค้ก ( Cocoa Cake ) เนยโกโก้ และน้ำตาล
3. ช็อคโกแลตนม ( milk chocolate ) ประกอบด้วยโกโก้ลิเคอร์ ( Cocoa Liquor ) หรือโกโก้เค้ก ( Cocoa Cake ) เนยโกโก้ นมผง และน้ำตาล
4. ช็อคโกแลตขาว ( White chocolate ) เป็นช็อกโกแลตที่ไม่มีส่วนประกอบของโกโก้ลิเคอร์ ( Cocoa Liquor ) หรือโกโก้เค้ก ( Cocoa Cake ) แต่จะประกอบด้วยเนยโกโก้ นม และน้ำตาล เนื้อช็อกโกแลตมีสีขาวล้วน
5. ช็อคโกแลตเนยโกโก้ ( Coating nass ) เป็นช็อกโกแลตที่มีส่วนประกอบของเนยโกโก้สูงหรือใช้สารทดแทนเนยโกโก้ชนิด non-lauric CBR ทำให้เนื้อช็อกโกแลตแข็งตัวเร็ว เหมาะสำหรับใช้เคลือบหรือชุบขนมให้ด้านนอกขนมมีแลดูสวยงาม ผิวมีความเนียนเรียบ และแลดูมันวาว อีกทั้งยังเพื่อเพิ่มรสช็อกโกแลตให้แก่ขนมเพียงเล็กน้อย โดยไม่ทำให้รสชาติขนมเปลี่ยนไปมาก
6. ช็อคโกแลตคอมพาวด์โคทติง ( Compound coatings chocolate ) เป็นช็อกโกแลตผสมที่มีการเติมไขมันพืชทดแทนเนยโกโก้ และใช้ผงโกโก้ ( Cocoa Power ) แทนโกโก้ลิเคอร์ ( Cocoa Liquor ) ทำให้เติมเครื่องแต่งสีหรือรสได้ตามต้องการ
7. คูเวอร์เจอร์ช็อคโกแลต ( Couverture chocolate ) หมายถึง ช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของเนยโกโก้มาก มีไขมันมากกว่า 30 เปอเซ็นต์ และมีส่วนผสมของ น้ำตาล น้ำนม เหมาะสำหรับใช้เคลือบอาหาร
8. ช็อคโกแลตชนิดครีม หมายถึง ช็อกโกแลตที่ใส่น้ำตาล ครีม
9. ช็อคโกแลตชนิดเส้น ช็อกโกแลตชนิดเกร็ด ( chocolate chip ) หมายถึง ช็อกโกแลตที่ทำเป็น เส้น หรือ เม็ดขนาดเล็ก ใช้เป็นส่วนผสมในเบเกอรี่ ( bakery )

การกินช็อกโกแลต ทำให้สุขภาพดี เพราะอุดมด้วยสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยบำรุงหลอดเลือดให้แข็งแรง ช็อกโกแลตยิ่งมีสีดำเข้มยิ่งดีต่อสุขภาพ

กรรมวิธีการผลิตช็อกโกแลต

1. การผสม ( blending ) เพื่อผสมส่วนผสมต่าง ๆ ให้เข้ากัน โดยมีส่วนผสมตามสูตรและชนิดของผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตที่ต้องการ เช่น ช็อกโกแลตดำ ( dark chocolate ) มีส่วนผสมหลัก คือ เนยโกโก้ ( cocoa liquor) ผงโกโก้ น้ำตาล ส่วนช็อกโกแลตนมจะมีส่วนผสมของนมหรือนมผงเพิ่ม อาจมีการใช้อิมัลซิไฟเออร์ ( emulsifier ) เช่น เลซิติน ( lecithin ) เพื่อปรับปรุงเนื้อสัมผัส
2. conching
3. tempering
4. ขึ้นรูปในพิมพ์ ( molding )

ช็อกโกแลตดีต่อสุขภาพหรือไม่

ช็อกโกแลตทำให้สุขภาพดี เพราะอุดมด้วยสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยบำรุงหลอดเลือดให้แข็งแรง แต่ช็อกโกแลตที่มีปริมาณโกโก้แท้น้อย เช่น ไวท์ช็อกโกแลต และช็อกโกแลตนม เป็นช็อกโกแลตที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะเป็นช็อกโกแลตที่มีปริมาณน้ำตาล ไขมัน และมีสีผสมอาหารสังเคราะห์ปนอยู่สูง ซึ่งมีปริมาณสารฟลาโวนอยด์น้อย ดังนั้นช็อกโกแลตที่เลือกควรมีโกโก้แท้ผสมอย่างน้อยร้อยละ 70 และสีของช็อกโกแลตก็ควรออกไปทางดำเข้ม เพราะช็อกโกแลตยิ่งมีสีดำเข้มยิ่งดีต่อสุขภาพ

คุณค่าทางโภชนาการ

ช็อกโกแลต 100 กรัม ( โกโก้ 70-85% )  ให้พลังงาน 647.33 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
ไขมัน 42.63 กรัม
โปรตีน 7.79 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 45.90 กรัม
น้ำตาล 23.99 กรัม
ใยอาหาร 10.9 กรัม
วิตามินเอ 2 ไมโครกรัม
ไทอามีน (บี1) 0.034 มิลลิกรัม
ไรโบเฟลวิน (บี2) 0.078 มิลลิกรัม
ไนอาซิน (บี3) 1.076 มิลลิกรัม
วิตามินบี6 0.38 มิลลิกรัม
วิตามินอี 0.38 มิลลิกรัม
วิตามินอี 0.59 มิลลิกรัม
วิตามินเค 7.3 ไมโครกรัม
แคลเซียม 73 มิลลิกรัม
เหล็ก 11.90 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 228 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 308 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 715 มิลลิกรัม
โซเดียม 20 มิลลิกรัม
สังกะสี 3.31 มิลลิกรัม
คาเฟอีน 80 มิลลิกรัม
น้ำ 1.37 กรัม

 

ประโยชน์ของช็อกโกแลต

  • การกินช็อกโกแลตอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งช่วยลดความเสี่ยงเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจได้สูงถึงร้อยละ 44
  • ช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว
  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำของสมองให้นานมากขึ้นถึง 2-3 ชั่วโมง
  • ช่วยปรับสมดุลความดันโลหิตลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2
  • ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็ง
  • ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก
  • การกินช็อกโกแลตขนาดแค่เหรียญบาทเป็นประจำทุกวัน ก็สามารถช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้
  • คนท้องที่กินช็อกโกแลตเป็นประจำมีแนวโน้มว่าลูกน้อยในครรภ์เป็นเด็กอารมณ์ดี ลดความเสี่ยงต่อครรภ์เป็นพิษ
  • ช่วยป้องกันเซลล์ผิวถูกทำลายจากแสงแดดได้
  • ช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟินออกมาปรับสมดุลอารมณ์ ทำให้อารมณ์ดีขึ้น

คุณค่าทางโภชนาการของดาร์กช็อกโกแลต

ดาร์กช็อกโกแลตปริมาณ 100 กรัมให้พลังงาน 590 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
เส้นใยอาหาร 20 กรัม
ไขมัน 51 กรัม
โปรตีน 15 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 8 กรัม
น้ำตาล 1 กรัม
โพแทสเซียม 1,650 มิลลิกรัม
โซเดียม 25 มิลลิกรัม
เหล็ก 5 มิลลิกรัม
แคลเซียม 120 มิลลิกรัม

 

วิธีเลือกดาร์กช็อกโกแลตที่ดีต่อสุขภาพ

  • ผงดาร์กช็อกโกแลตเข้มข้น
  • ปริมาณน้ำตาลน้อย
  • ไม่มีสารเติมแต่ง
  • ไม่มีสารกันบูด
  • ไม่มีการเติมแต่งรสชาติ

สารสำคัญที่ออกฤทธิ์ต่อร่างกาย

  • ในช็อคโกแลต 100 กรัม มีสารฟีนิลเอทิลามีน ( Phenylethylamine ) อยู่มากถึง 660 มิลลิกรัม ทำหน้าที่กระตุ้นการหลั่งสารโดพามีน ( Dopamine ) และอะดรีนาลีน ( Adrenaline ) ให้หลั่งออกมาแล้วทำให้เกิดความสุขร่างกายกระฉับกระเฉง และเพิ่มน้ำตาลกลูโคสหลั่งเพิ่มขึ้นในกระแสเลือด ช่วยเร่งกายใช้พลังงานในร่างกาย เพิ่มความดันเลือดให้สูงขึ้น หัวใจเต้นแรง
  • ช็อคโกแลตยังมีสารฟีนิลอะลานีน ( Phenylalanine ) ช่วยให้มีอารมณ์รื่นเริงสนุกสนาน อารมณ์รื่นเริงแจ่มใส
  • ช็อคโกแลตมีสารทีโอโบรไมน์ ( Theobromine ) เป็นสารรสขมที่มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ( Endorphin ) ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุขที่ทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉง มีความสุข
  • ในช็อคโกแลตมีกรดอะมิโนชื่อ ทริปโตเฟน ทำหน้าที่ควบคุมซีโรโทนิน ( Serotonin ) สารสื่อประสาทที่ควบคุมอารมณ์ ช่วยให้ผ่อนคลายความกังวล บรรเทาอาการเมื่อยล้า
  • ช็อคโกแลตมีกาเฟอีน ( Caffeine ) เล็กน้อย ช่วยให้รู้สึกตื่นตัว มีสมาธิ และมีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะอย่างอ่อนๆ
  • ช็อคโกแลตดำประมาณครึ่งออนซ์สามารถต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย และค่าของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ( LDL ) ในเลือดจะลดลง ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
  • สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ในช็อคโกแลต สามารถป้องกันเซลล์ของร่างกายไม่ให้ทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการในการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็ง
  • สารพอลีฟีนอล ( polyphenol ) สามารถต้านฤทธิ์ของอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบและการก่อตัวของลิ่มเลือดในเซลล์ต่าง ๆ ช่วยเสริมให้หลอดเลือดแข็งแรง มีส่วนช่วยเพิ่มไขมันคอเลสเตอรอลชนิด HDL และ ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง พบมาก ได้แก่ ในพืชตระกูลถั่ว พืชผักและผลไม้ นอกจากนี้ยังพบในไวน์แดง องุ่น ช็อกโกแลต โกโก้ ชาเขียว น้ำมันมะกอก และธัญพืช

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ขอบคุณ คลิปสาระความรู้ดี ๆ : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้

Chocolate / ช็อกโกแลต (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://www.foodnetworksolution.com [17 มกราคม 2563]

ช็อกโกแลต สรรพคุณ และวิธีทำช็อกโกแลต (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://puechkaset.com [17 มกราคม 2563]

โกโก้ ( Cocoa ) เมล็ดจากต้นคาเคา ( Cacao )

0
โกโก้ ( Cocoa ) เมล็ดจากต้นคาเคา ( Cacao )
โกโก้ หรือ ช็อกโกแลต มีแหล่งกำเนิดโกโก้นั้น มาจาก ต้นโกโก้ ( Cocoa tree )
โกโก้ ( Cocoa ) เมล็ดจากต้นคาเคา ( Cacao )
โกโก้ หรือ ช็อกโกแลต มีแหล่งกำเนิดโกโก้นั้น มาจาก ต้นโกโก้ ( Cocoa tree )

โกโก้ คือ

โกโก้ ( cocoa ) คือ เมล็ดโกโก้ที่ได้จากต้นคาเคา ( Cacao ) ซึ่งนำมาผ่านกระบวนการคั่วด้วยความร้อน และนำเมล็ดโกโก้มาบดจนละเอียดกลายเป็นผงที่เรียกว่า โกโก้ มีส่วนประกอบที่เป็นไขมันจากเมล็ดโกโก้นำไปบดละเอียด ซึ่งเมล็ดโกโก้จะมีไขมันที่ได้จากธรรมชาติประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์ ลักษณะของต้นโกโก้ ต้นโกโก้เป็นพืชยืนต้นสูงประมาณ 12-25 ฟุต และเติบโตตามธรรมชาติในภูมิอากาศเขตร้อน ผลของต้นโกโก้เป็นฝักที่เต็มไปด้วยเยื่อกระดาษหุ้มกลุ่มของเมล็ดโกโก้ประมาณ 20-40 เมล็ด และการนำเอาเมล็ดของผลโกโก้มาบดแบบเย็นเพื่อรีดน้ำมันออก ซึ่งจะทำให้ได้เม็ดขนาดเล็ก มีสีน้ำตาลเข้ม ที่เต็มไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ไขมัน รวมทั้งไฟเบอร์และสารอาหาร เรียกว่า คาเคานิบส์ ( Cacao Nib ) ซึ่งสามารถนำมารับประทานได้ทันที เช่น ใช้โรยหน้าขนมและเครื่องดื่ม หรือจะนำไปแปรรูปเป็นผงโกโก้ เครื่องดื่มสำเร็จรูป หรือช็อกโกแลตแท่ง

ประโยชน์ของโกโก้

โกโก้ หรือ เมล็ดโกโก้ที่ทราบกันดีว่ามีประโยชน์ด้านสุขภาพรวมถึงการบรรเทาความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอล โรคอ้วน อาการท้องผูก โรคเบาหวาน โรคหอบหืด ขยายหลอดลม ลดความเหนื่อยล้าเรื้อรัง และลดความเสี่ยงของโรคสมอง ระบบประสาทต่าง ๆ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ช่วยป้องกันหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันฝันผุยับยั้งการอักเสบของเหงือกนอกจากนี้ยังช่วยในการรักษาอาการขาดทองแดง รักษาแผลให้หายเร็วขึ้น บำรุงผิว และยังช่วยให้อารมณ์ดี

โกโก้ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ป้องกันหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันฝันผุ การอักเสบของเหงือก ช่วยในการรักษาอาการขาดทองแดง รักษาแผล บำรุงผิว และช่วยให้อารมณ์ดี

1. มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก

โกโก้ อุดมไปด้วยโพลีฟีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่พบในอาหาร การศึกษาวิจัยพบต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าชาดำ ชาเขียว และไวน์แดง เช่น ผลไม้ ผัก ชา

2. มีฟลาโวนอยด์

โกโก้ มีฟลาโวนอยด์จะช่วยเพิ่มระดับไนตริกออกไซด์ในเลือด ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหลอดเลือดและลดความดันโลหิตที่สูงกว่าปกติได้ ขยายหลอดเลือดแดงเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น

3. ช่วยทำให้อารมณ์ดี

โกโก้ มีคาเฟอีนที่ได้จากธรรมชาติ ช่วยทำให้อารมณ์ดี ลดภาวะซึมเศร้า ลดความเครียด

4. ลดความเสี่ยงของอาการหัวใจวาย

โกโก้ ช่วยลดความเสี่ยงของอาการหัวใจวาย และยังช่วยปกป้องการเกิดโรคหัวใจอีกด้วย

5. บำรุงสมองและบำรุงระบบประสาท

ผงโกโก้ มีฟลาโวนอยด์เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ระบบประสาท เซลล์ประสาทของคุณ ช่วยป้องกันโรคที่เกิดกับสมอง ฟลาโวนอยด์มีฤทธิ์ต้านการจัดตัวของลิ่มเลือดช่วยป้องกันหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดสมองตีบตัน โรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์และพาร์กินสัน

6. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

โกโก้ มีฤทธิ์ต้านเบาหวานชนิดที่ 2 ช่วยชะลอการย่อยคาร์โบไฮเดรตและการดูดซึมในลำไส้ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอักเสบในผู้ป่วยเบาหวานและผู้ที่ยังไม่เป็นเบาหวาน อีกทั้งกระตุ้นการดูดซึมของน้ำตาลออกจากเลือดเข้าสู่กล้ามเนื้อ

7. ช่วยลดน้ำหนักได้

ผงโกโก้ สามารถป้องกันโรคอ้วนที่เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ช่วยต้านอินซูลิน เร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ลดความอยากอาหาร ทำให้อิ่มนาน

8. ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง

โกโก้ มีฟลาโวนอลที่มีความเข้มข้นสูงสุดเมื่อเทียบจากอาหารทุกชนิด ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเม็ดเลือดขาว

9. ช่วยลดอาการหอบหืด

โกโก้มีประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นโรคหอบหืด เนื่องจากมีสารโอโบรมีน และทีโอฟิลลีน ช่วยลดอาการหอบหืด ช่วยขยายหลอดลมปอดทำให้การหายใจดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรัง และรักษาโรคภูมิแพ้ต่างๆ

10. ช่วยป้องกันโรคเหงือกและสุขภาพช่องปาก

โกโก้ มีสารมากมายที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเอนไซม์ ช่วยป้องกันฟันผุ โรคเหงือก

11. ช่วยซ่อมแซม และสมานแผล

ช่วยรักษาและสมานแผลให้หายเร็วขึ้น สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียภายในร่างกาย

12. ช่วยอาการท้องผูก

ผงโกโก้ อุดมไปด้วยเส้นใยช่วยรักษาอาการท้องผูกเรื้อรัง ช่วยเพิ่มการทำงานของลำไส้

13. ช่วยลดอาการอ่อนเพลีย

ผงโกโก้ ช่วยลดอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ลดอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง ลดความตึงเครียด

14. ช่วยดูแลผิว

โกโก้ ช่วยลดการเกิดผื่นแดงที่เกิดจากรังสี UV และลดความหยาบกร้านของผิว ช่วยในการเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง

โกโก้ผงมี 3 ประเภท แบ่งตามปริมาณไขมัน ดังนี้

1. โกโก้ผงชนิดไขมันสูง มีปริมาณไขมัน ไม่น้อยกว่า 20% โดยน้ำหนักที่ปราศจากความชื้น
2. โกโก้ผงชนิดไขมันปานกลาง มีปริมาณไขมันระหว่าง 10-20% โดยน้ำหนักที่ปราศจากความชื้น
3. โกโก้ผงชนิดไขมันต่ำ มีปริมาณไขมันน้อยกว่า 10% โดยน้ำหนักที่ปราศจากความชื้น

คุณค่าทางโภชนาการของโกโก้

ในโกโก้ 100 กรัม พลังงาน 228 แคลอรี่

โปรตีน           19.6 กรัม
ไขมันรวม        13.7 กรัม
น้ำ                  3 กรัม
คาร์โบไฮเดรต   57.9 กรัม
ใยอาหาร         37 กรัม
น้ำตาล           1.75 กรัม
แคลเซียม       128 มิลลิกรัม
เหล็ก            13.86 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม     499 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส      734 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม   1524 มิลลิกรัม
โซเดียม         21 มิลลิกรัม
สังกะสี          6.81 มิลลิกรัม
วิตามินบี        0.08 มิลลิกรัม
วิตามินบี2      0.24 มิลลิกรัม
วิตามินบีหก    0.12 มิลลิกรัม
วิตามินอี        0.1 มิลลิกรัม
วิตามินเค       2.5 ไมโครกรัม
ไนอาซิน        2.19 มิลลิกรัม
โฟเลต          32 ไมโครกรัม
กรดไขมันอิ่มตัวทั้งหมด 8.07 กรัม
กรดไขมันรวมไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 4.57 กรัม
กรดไขมันไม่อิ่มตัวรวม 0.44 กรัม
คาเฟอีน        230 กรัม

โกโก้ต่างจากช็อคโกแลตอย่างไร

แตกต่างกันที่ขั้นตอนการผลิต โดยโกโก้นั้นจะถูกนำไปผ่านการกระบวนการรีดไขมันออกก่อน แล้วนำไปทำให้เป็นผงจนละเอียด ส่วนช็อคโกแลตก็ทำมาจากโกโก้ โดยที่ไม่ต้องรีดไขมันออกแล้วนำไปบดให้เป็นผงได้เลย

ผลข้างเคียงของการบริโภคโกโก้ในปริมาณที่มากเกินไป

1. มีคาเฟอีนสูง อาจทำให้นอนไม่หลับ ปวดหัวไมเกรน กังวลใจ ใจสั่น
2. หญิงตั้งครรภ์ ห้ามดื่มโกโก้ในปริมาณครั้งละมากๆ อาจทำให้คลอดก่อนกำหนดได้
3. ความดันโลหิตสูงกว่าปกติ คลื่นไส้ หรืออาจทำให้ท้องเสียได้
4. อาจเป็นโรคกระดูกพรุน โรคต้อหินได้
อย่างไรก็ตามหากมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นควรปรึกษาแพทย์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ขอบคุณ คลิปสาระความรู้ดี ๆ : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้

11 Health and Nutrition Benefits of Cocoa Powder (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.healthline.com [20 มกราคม 2563]

18 Impressive Cocoa Benefits (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.healthline.com [20 มกราคม 2563]

Food Network Solution ศูนย์เครือข่ายข้อมูลอาหารครบวงจร (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.healthline.com [20 มกราคม 2563]

เพศสัมพันธ์ ( Sex ) สายใยแห่งรัก

0
เพศสัมพันธ์ ( Sex ) สายใยแห่งรัก
เพศสัมพันธ์ของชายและหญิงเป็นกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญของชีวิตคู่ ซึ่งก่อให้เกิดความรักและความผูกพันกันและเป็นต้นกำเนิดของครอบครัว
เพศสัมพันธ์ ( Sex ) สายใยแห่งรัก
เพศสัมพันธ์ของชายและหญิงเป็นกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญของชีวิตคู่ ซึ่งก่อให้เกิดความรักและความผูกพันกันและเป็นต้นกำเนิดของครอบครัว

เพศสัมพันธ์ หรือ เซ็กส์ สำคัญไฉน

เพศสัมพันธ์ ( Sex ) ของชายและหญิงเป็นกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญของชีวิตคู่ ซึ่งก่อให้เกิดความรักและความผูกพันกันและเป็นต้นกำเนิดของครอบครัว และในความเป็นจริงเซ็กส์ก็ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เสริมสร้างคุณภาพชีวิตไปจนถึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ด้วย

เพศสัมพันธ์หรือเซ็กส์มักใช้เป็นคำย่อ ซึ่งก็คือกิจกรรมเพศสัมพันธ์นั่นเอง มี 2 รูปแบบคือ

  • เพศสัมพันธ์แบบสอดใส่ ( Sexual Intercourse ) หมายถึง กิจกรรมเพื่อความสุขทางเพศหรือเพื่อสืบพันธุ์หรือทั้งสองอย่าง โดยขณะการมีเพศสัมพันธ์อวัยวะเพศชายจะแข็งตัวและสอดใส่องคชาตเข้าไปยังช่องคลอดของเพศหญิงและมีโอกาสที่จะสร้างบุตร ร่วมถึงการมีเพศสัมพันธ์ที่สอดใส่เข้าทางช่องปาก ทางทวารหนัก การใช้นิ้วสอดใส่ ( Fingering ) เข้าไปยังช่องคลอดของเพศหญิง หรือการใช้ดิลโดและการใช้ไวเบรเตอร์สอดใส่ด้วย ( Dildo,Vibrator คือ องคชาตเทียมและอุปกรณ์เทียมในรูปแบบต่าง ๆ ใช้สอดใส่ขณะมีเพศสัมพันธ์ )
  • เพศสัมพันธ์แบบไม่สอดใส่ ( Sexual Outercourse ) หมายถึง กิจกรรมเพศสัมพันธ์ภายนอก เช่น การเล้าโลม ( Foreplay ) การสำเร็จความใคร่ให้กันและกัน ( Mutual Masturbation ) และการทำออรัลเซ็กส์ ( Oral Sex ) โดยใช้ปากเล้าโลมที่อวัยวะเพศ ส่วนการเล้าโลมด้วยปากกับส่วนอื่นของร่างกายโดยการจูบหรือเลียนั้นไม่ถือว่าเป็นออรัลเซ็กส์

ประโยชน์ที่ดีของเพศสัมพันธ์ต่อร่างกาย

  • ลดความเครียดและลดความดันโลหิตสูง ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ( Endorphins ) และฮอร์โมนต่าง ๆ ที่ช่วยทำให้มีความสุขในขณะมีเพศสัมพันธ์ เซ็กส์จะช่วยลดความเครียดลงจึงสามารถป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงได้
  • นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์ถึงจุดสุดยอดร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินและสารออกซิโทซิน ( Oxytocin ) หรือฮอร์โมนแห่งความรักและความผูกพันออกมา ทำให้จิตใจสงบและนอนหลับได้ดีขึ้น ซึ่งการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และมีพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างวันได้ดีขึ้น
  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง การมีเพศสัมพันธ์จะช่วยเพิ่มระดับภูมิต้านทานโรคหรือแอนติบอดี้ ( Antibody ) จึงป้องกันเชื้อโรค ไวรัส และสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ ได้ดีขึ้น จากงานวิจัยพบว่า ผู้ที่มีเซ็กส์สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งจะมีระดับแอนติบอดี้บางชนิดสูงกว่าผู้ที่มีเซ็กส์น้อยครั้ง
  • บรรเทาอาการปวดศีรษะ การมีเพศสัมพันธ์ช่วยลดอาการปวดศีรษะบางชนิดได้ดีกว่าการใช้ยาแก้ปวด เนื่องจากเซ็กส์จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟินออกมา ซึ่งเป็นสารระงับความเจ็บปวดที่ร่างกายผลิตขึ้นตามธรรมชาติ จากงานวิจัยพบว่า จำนวนผู้ที่มีเซ็กส์ขณะปวดศีรษะมีอาการทุเลาลงมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด
  • บำรุงสุขภาพหัวใจ การมีเพศสัมพันธ์ส่งผลดีต่อหัวใจเช่นเดียวกับการออกกำลังกาย จากการวิจัยพบว่าชายที่มีเซ็กส์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้งจะลดโอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ และยังพบว่า ระหว่างที่มีเซ็กส์เป็นเวลาประมาณ 25 นาทีนั้นผู้ชายสามารถเผาผลาญพลังงานได้ประมาณ 4 แคลอรี่ / นาที ส่วนผู้หญิงก็เผาผลาญพลังงานได้ประมาณ 3 แคลอรี่ / นาที     
  • ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก จากงานวิจัยพบว่า ชายที่ถึงจุดสุดยอดมากกว่า 21 ครั้ง / เดือน มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าชายที่ถึงจุดสุดยอดเพียง 4-7 ครั้ง / เดือน
  • ช่วยให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ขึ้น เซ็กส์ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดและช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟินจนส่งผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งกระจ่างใส นอกจากนี้ ยังทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโตออกมาด้วย ซึ่งช่วยให้ผิวหนังยืดหยุ่นและป้องกันการเกิดริ้วรอยได้

เพศสัมพันธ์สมบูรณ์แบบ 5 ขั้น

1. สร้างบรรยากาศ ( Desire Phase )

จุดเริ่มต้นของอารมณ์ทางเพศ เกิดจากการร่วมมือกันระหว่างฮอร์โมนเพศและปัจจัยสิ่งเร้าทางสายตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง ปรุงแต่งเป็นอารมณ์ทางเพศขึ้นมา อุปสรรค์ที่ขัดขวาง คือภาวะตรึงเครียด ( Sympathetic nervous system ) ทำให้การตื่นตัวเกิดขึ้นได้ยาก เช่น การที่ทั้งสองฝ่ายกำลังตกอยู่ในสภาพเครียด หงุดหงิด หวาดผวา อดนอน หรือป่วย แต่หากร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ( Parasympathetic nervous system ) ก็ไม่เป็นการยากสำหรับการตื่นตัวของอารมณ์ ดังนั้นหากต้องฝืนมีเซ็กส์ในวันที่เหน็ดเหนื่อย เราอาจเลือกที่จะพักผ่อนเต็มที่ก่อน และตื่นขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นเวลาที่ดีกว่า

2. เล้าโลม ( Excitement Phase )

เพศหญิงและเพศชายมีอารมณ์ทางเพศเร็วช้าต่างกัน เพศชายตื่นตัวง่ายเหมือนเตาแก๊ส ส่วนเพศหญิงตื่นตัวช้าเหมือนเตาถ่าน เมื่อเพศชายตื่นตัวแล้วก็มิได้แปลว่าเพศหญิงจะพร้อมเสมอไป เพศหญิงอาจต้องการเวลาอีกสักเล็กน้อยเพื่อให้มีอารมณ์ทางเพศทัดเทียมกับเพศชาย
การเล้าโลมของฝ่ายชายจึงเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศให้กับฝ่ายหญิง ซึ่งรองจากสิ่งเร้าทางตาก็จะเป็นทางผิวหนังตามส่วนที่ไวต่อการกระตุ้น ( Emgenous zone ) โดยเฉพาะบริเวณริมฝีปาก ติ่งหู ซอกคอ สีข้าง และแผ่นหลัง

3. ท่วงท่าลีลา ( Plateau Phase )

ความสำคัญของเพศสัมพันธ์ในขั้นตอนนี้คือ ท่วงท่าลีลารัก ( Sexual position ) ซึ่งมีหลากหลาย ความสำคัญของท่วงท่าในการมีเพศสัมพันธ์ ก็เพื่อความเหมาะสมกับภาวะสุขภาพ ยังเป็นการช่วยเพิ่มรสชาติของเพศสัมพันธ์ และช่วยลดความเบื่อหน่ายจำเจในการมีเพศสัมพันธ์ในระยะยาว 

4. จุดสุดยอด ( Orgasmic Phase )

จุดสุดยอดของเพศชาย คือ การหลั่งน้ำอสุจิ ส่วนจุดสุดยอดของเพศหญิงจะเป็นการบีบรัดตัวของช่องคลอดเป็นจังหวะ ๆ รวมทั้งการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อทั้งตัว ช่วงถึงจุดสุดยอดนั้นสมองจะมีการหลั่งสารแห่งความสุข คือ เอนดอร์ฟิน ซึ่งทำให้ลดความเครียด เป็นช่วงที่ความเครียดจางหายไปได้ชั่วขณะที่มีเซ็กส์
ความแตกต่างของชายหญิงในเรื่องจุดสุดยอด คือ เพศชายถึงจุดสุดยอดได้เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นก็เป็นระยะตื้อ ( Refractory period ) ต้องใช้เวลาพักระยะหนึ่งจึงสามารถมีการทำกิจกรรมรักได้อีกซึ่งขึ้นอยู่กับอายุของชายแต่ละคน ในขณะที่เพศหญิงสามารถึงจุดสุดยอดได้หลาย ๆ ครั้ง ( Multiple orgasm ) ซึ่งต่างจากเพศชาย

5. ผ่อนคลาย ( Resolution Phase )

หลังจุดสุดยอด คือ การผ่อนคลายทั้งชายและหญิง ร่างกายเข้าสู่ภาวะสมดุลย์อีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นเกิดความสุขกายสุขใจร่วมกันระหว่างสามีภรรยา เพศสัมพันธ์ก็เหมือนการปรับความเข้าใจกันด้วยภาษากาย เกิดความสุขทางจิตใจ สัมผัสกันด้วยความทะนุถนอม ใส่ใจกันและกัน นำไปสู่ความปรองดองของชีวิตคู่

ถึงอย่างไรเซ็กส์ ก็เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างชีวิตคู่ให้มีความสุขและสมดุล แต่ความรักความเข้าใจความเอาใจใส่ซึ่งกันและกันอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ต้องมีควบคู่กันไปหากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งความสุขก็จะไม่เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์

ปัญหาเพศสัมพันธ์ในชีวิตคู่

ปัญหาเพศสัมพันธ์ หรือ ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ( โรคเซ็กส์เสื่อม ) คือภาวะที่ร่างกายและจิตใจไม่สามารถตอบสนองต่อการกระตุ้นทางเพศได้ตามปกติ มีผลกระทบมากในชีวิตคู่ เสียสุขภาพจิต ไม่มีความสุข ครอบครัวมีปัญหา และกระทบต่อการทำงานได้ ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศไม่ได้เกิดเฉพาะในเพศชายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในเพศหญิงที่ยังไม่ถึงวัยทองจำนวนไม่น้อยก็เกิดภาวะนี้เช่นกัน

ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย ( Impotence )

ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายเกิดได้ 3 ลักษณะ คือ 

  • ไม่มีความรู้สึกหรือความต้องการทางเพศ
  • ภาวะที่อวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว หรือไม่สามารถคงสภาพการแข็งตัวเป็น เวลานานพอ ( Erectile Dysfunction หรือ ED ) ที่จะมีเพศสัมพันธ์ตามปกติได้
  • ภาวะหลั่งเร็ว ปวดเวลาหลั่ง ทำให้มีเซ็กส์ไม่สำเร็จในบางครั้งจนถึงไม่สามารถที่จะมีเซ็กส์ได้เลย

สาเหตุของการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายมี 2 สาเหตุใหญ่ คือ

  • ทางกาย เกิดจากโรค หรือภาวะทางกายที่มีผลต่อระบบประสาท หรือระบบหลอดเลือดของอวัยวะเพศ หรือเกิดจากความผิดปกติของอวัยวะเพศเอง สาเหตุต่าง ๆ ที่กล่าวมา เช่น เกิดจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ปอด ไต โรคตับ โรคมะเร็ง ภาวะฮอร์โมนเพศชายบกพร่อง เนื้องอกสมอง โรคลมชัก อัมพาต สาเหตุทางกายมักพบในคนอายุมาก และยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ อีก เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย อุบัติเหตุ การฉายแสง และยาบางชนิดที่ทำให้เกิดกามตายด้าน บางชนิดทำให้ความสนใจทางเพศลดลง แต่โปรดจำไว้ว่ามีเพียงส่วนน้อยที่มีผลข้างเคียงจากยา
  • ทางจิตใจ เกิดจากโรค หรือภาวะทางจิตที่มีผลกระทบต่อการกระตุ้นทางเพศจากสมอง หรือประสาทสัมผัสเป็นสำคัญ เช่น เกิดจากโรคซึมเศร้า มีภาวะความเครียด ความวิตกกังวลเกี่ยวกับงาน ครอบครัว ความกลัวความล้มเหลวทางเพศสัมพันธ์ หรือถูกตำหนิจากคู่รักทำให้หมดความมั่นใจ มักพบในคนหนุ่ม แต่อย่างไรก็ตามเหตุทางกายและใจมักเกิดร่วมกันได้เสมอ
ตาราง ยาที่ทำให้เกิดกามตายด้าน หรือทำให้ความสนใจทางเพศลดลง
ชื่อยา ใช้รักษาโรค ผลข้างเคียง
nifedipine ยาลดความดันโลหิต กามตายด้าน
doxepin ความต้องการทางเพศลดลงและมีปัญหาในการหลั่ง
spironolactone ยาขับปัสสาวะชนิดหนึ่ง ความต้องการทางเพศลดลงและมีปัญหาในการแข็งตัว
methyldopa ยาลดความดันโลหิตสูง มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัว (พบน้อย)
ramipril ยาลดความดันโลหิตสูง ป้องกันโรคไตจากโรคเบาหวาน มีการเปลี่ยนแปลงความต้องการทางเพศ มีปัญหาเกี่ยวกับการถึงจุดสุดยอดและการหลั่ง อวัยวะเพศไม่แข็งตัว (20%)
clomipramine ยารักษา อวัยวะเพศไม่แข็งตัว
naproxen ยาแก้ปวดลดการอักเสบของข้อ อวัยวะเพศไม่แข็งตัว (พบน้อย)
hydralazine ยาลดความดันโลหิต อวัยวะเพศไม่แข็งตัว
trihexyphenidyl ยารักษาโรคพาร์กินสัน อวัยวะเพศไม่แข็งตัว
amoxapine อวัยวะเพศไม่แข็งตัว ความต้องการทางเพศลดลง
lorazepam ยาคลายเครียด ความต้องการทางเพศลดลง
nortriptyline ยารักษาโรคซึมเศร้า อวัยวะเพศไม่แข็งตัว ความต้องการทางเพศลดลง
nizatadine อวัยวะเพศไม่แข็งตัว
dicyclorriine อวัยวะเพศไม่แข็งตัว
timolol อวัยวะเพศไม่แข็งตัว (พบน้อย) ความต้องการทางเพศลดลง
bumetanide หลั่งเร็ว
buspirone ผลข้างเคียงไม่มาก พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงความต้องการทางเพศ อวัยวะเพศไม่แข็งตัว
verapamil ยาลดความดันโลหิต อวัยวะเพศไม่แข็งตัว (พบน้อย)
captopril ยาลดความดันโลหิต อวัยวะเพศไม่แข็งตัว (พบน้อย)
nicardipine ยาลดความดันโลหิต อวัยวะเพศไม่แข็งตัว (พบน้อย)
diltiazem ยาลดความดันโลหิต อวัยวะเพศไม่แข็งตัว (พบน้อย) ความต้องการทางเพศลดลง
doxazosin ยาลดความดันโลหิต sexual difficulty

การรักษาภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย

  • การรักษาเบื้องต้น คือเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น รับประทานอาหารที่มีกากอาหาร อาหารที่มีไขมันต่ำ ลดเกลือ งดดื่มสุรา งดสูบบุหรี่
  • การรักษาทางด้านจิตใจ ( Psychotherapy ) หากปัญหาเกิดจากทางด้านจิตใจแพทย์จะช่วยลดความกังวล
  • การใช้ยาในการรักษา ( Drug Therapy ) มีทั้งยารับประทาน ยาฉีด หรือยาสอด
    1. Sildenafil citrate หรือ Viagra เป็นยาที่ใช้รักษาภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โดยต้องรับประทานก่อนมีเพศสัมพันธ์ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ยาจะออกฤทธิ์นาน 4-5 ชั่วโมง ยานี้จะได้ผลก็ต่อเมื่อผู้ใช้ต้องมีความต้อง การทางเพศ ยาจะเพิ่มเลือดให้ไปเลี้ยงอวัยวะเพศมากขึ้น ปริมาณที่ใช้ ต้องเหมาะสมตามที่แพทย์สั่ง ข้อห้าม ผู้ที่เป็นโรคหัวใจได้รับยาNitrateไม่ควรใช้ยานี้เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ เป็นลมและเกิดอันตราย
    2. ยาในกลุ่ม Alpha Blocker แต่เดิมเป็นยากระตุ้นความต้องการทางเพศ ปัจจุบันยานี้ออกฤทธิ์ที่สมองและขยายหลอดเลือดที่ส่วนปลายรวมทั้งองคชาตทำให้แข็งตัวได้ ปริมาณที่ใช้ต้องเหมาะสมตามที่แพทย์สั่ง แต่ต้องระวังโรคแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูง ใจสั่น ปัสสาวะบ่อย
    3. Apomorphine ใช้อมใต้ลิ้นออกฤทธิ์ใน 10-25 นาที ผลข้างเคียงของยาต่ำมีเพียงคลื่นไส้อาเจียน
    4. ยาฮอร์โมน Testosterone เหมาะสำหรับผู้ที่มีระดับฮอร์โมน Testosterone ในเลือดต่ำ
    5. การฉีดยาเข้าอวัยวะเพศ ยาที่นิยมใช้ คือ Papaverine Hydrochloride, Phentolamine และ Alprostadil ยาเหล่านี้จะทำให้หลอดเลือดขยาย เริ่มออกฤทธิ์หลังจากฉีดไปแล้ว 5-20 นาที และออกฤทธิ์ได้นาน 1 ชั่วโมง ผลข้างเคียงของยาอาจจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “ โด่ไม่รู้ล้ม ” จะทำให้เกิดอาการปวดบริเวณที่ฉีดและเลือดออก
    6. การใส่ยาเข้าทางท่อปัสสาวะ จะเริ่มออกฤทธิ์ในเวลา 8-10 นาที และอยู่ได้นาน 30-60 นาทีและต้องใช้ยางรัดไว้เพื่อให้อวัยวะเพศแข็งตัวนาน ผลข้างเคียงมีการระคายเคืองต่อท่อปัสสาวะ อัณฑะ และอาจมีเลือดออกจากท่อปัสสาวะ
  • การใช้เครื่องสูญญากาศ ( Vacuum Devices ) ครอบที่อวัยวะเพศ หลังจากนั้นก็สูบอากาศให้ออกจากท่อทำให้เลือดเข้าไปในอวัยวะเพศจนอวัยวะเพศแข็งตัวได้ดีจึงใช้ยางรัด
  • การผ่าตัด ( Surgery )

ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้หญิง ( Female Sexual Dysfunction หรือ FSD )

ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้หญิงมีลักษณะ คือ 

  • ไม่มีความต้องการทางเพศ ไม่มีอารมณ์ทางเพศ เบื่อและไม่สนใจในการมีเพศสัมพันธ์
  • ได้รับการกระตุ้นก็ไม่สามารถมีความตื่นเต้นทางเพศได้
  • รังเกียจ หรือ หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์

สาเหตุของการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้หญิงสรุปได้ 6 สาเหตุ คือ

  • ความผิดปกติเกี่ยวกับการต้องการทางเพศ ( Disorders of Desire ) ไม่มีความต้องการทางเพศ ไม่สนใจในการมีเพศสัมพันธ์ ปัจจัยหลายอย่างที่อาจจะทำให้เกิดภาวะนี้ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา ความเครียด โรคซึมเศร้า ความวิตกกังวล อุบัติเหตุที่ไขสันหลัง และโรคประจำตัว เช่นโรคเบาหวาน โรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ การผ่าตัดในช่องเชิงกราน วัยทอง หรือโรคทางระบบประสาท
  • ความผิดปกติเกี่ยวกับอารมณ์เมื่อถูกกระตุ้น ( Arousal Disorders ) ไม่มีอารมณ์ตื่นตัวเวลาถูกกระตุ้นทางเพศ ปุ่มคลิตอรีสไม่ไวต่อการถูกกระตุ้น ช่องคลอดฝ่อเนื่องจากหมดประจำเดือน วัยทองขาดฮอร์โมนทำให้ความต้องการทางเพศลดลง
  • ความผิดปกติเกี่ยวกับการถึงจุดสุดยอด ( Orgasmic Disorders ) เกิดจากการที่ไม่ได้รับการกระตุ้นอย่างเพียงพอ ฝ่ายชายไม่มีความรู้หรือประสบการณ์มากพอที่จะกระตุ้นให้ฝ่ายหญิงมีอารมณ์ทางเพศ ซึ่งทำให้ฝ่ายหญิงผิดหวัง และอาจจะรุนแรงถึงขั้นกลัวการมีเพศสัมพันธ์
  • เกิดอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ( Sex Pain Disorders ) หลอดเลือดแดงแข็ง ทำให้ช่องคลอดแห้ง กล้ามเนื้อช่องคลอดมีอาการหดเกร็งเวลามีเพศสัมพันธ์ ทำให้การมีเซ็กส์เต็มไปด้วยความลำบาก
  • ภาวะรังเกียจ หรือ หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ ( Aversion Disorders ) มักจะเกิดจากเหตุการณ์รุนแรงทางเพศ เช่นถูกทำร้าย หรือถูกกระทำชำเรา
  • ยาบางชนิด
ตาราง ยาที่ทำให้ความต้องการทางเพศลดลง
ยาจิตเวช ฮอร์โมน
ยารักษาโรคจิต Danazol
ยากลุ่ม phenobarb Oral contraceptives ยาคุมกำเนิด
ยาคลายเครียด bezodiazepine ยาอื่น ๆ
ยาต้านซึมเศร้ากลุ่ม Selective serotonin reuptake inhibitors Indomethacin ยาแก้อักเสบ
Lithium Ketoconazole ยารักษาเชื้อรา
Tricyclic antidepressants Phenytoin sodium ยากันชัก
ยารักษาโรคความดันและโรคหัวใจ Histamine H2-receptor blockers ยารักษากระเพาะ
ยาลดไขมัน
ยาลดความดันกลุ่ม betablock
clonidine ( ยาลดความดันโลหิต )
digoxin ( ยารักษาโรคหัวใจ )
Spironolactone ( ยาขับปัสสาวะ )
ยาที่ลดการตื่นตัวทางเพศ ยาที่มีผลต่อการถึงจุดสุดยอด
Anticholinergics Methyldopa ( Aldomet ) ยาลดความดันโลหิต
Antihistamines Amphetamines and related anorexic drugs ยาบ้าและยาลดน้ำหนัก
Antihypertensives Antipsychotics ยารักษาจิตเวช
ยาจิตเวช ยาต้านซึมเศร้ากลุ่ม Selective serotonin reuptake inhibitors
ยาต้านซึมเศร้ากลุ่ม Selective serotonin reuptake inhibitors ยาคลายเครียด bezodiazepine
ยาคลายเครียด bezodiazepine Narcotics
Tricyclic antidepressants
ยาคลายความซึมเศร้า
Tricyclic antidepressants

การรักษาภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้หญิง

  • การรักษาทางจิตใจ ( Psychotherapy ) เป็นการประคับประคองจิตใจของทั้งสามีภรรยา พูดคุย สื่อสารต่อกัน ให้กำลังใจกันและกัน มองโลกในแง่ดีการรักษาโรคเซ็กส์เสื่อมในผู้หญิงที่ดีที่สุดต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างสามีภรรยาเป็นสำคัญ จัดระเบียบชีวิตในแต่ละวันใหม่ พักผ่อนให้เพียงพอเข้านอนแต่หัวค่ำ ทำอารมณ์ให้แจ่มใส ที่สำคัญต้องหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดทำให้มีการตอบสนองทางเพศได้ดีขึ้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะแร่ธาตุจำพวกสังกะสี ( Zinc ) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนทางเพศให้มากขึ้น
  • การรักษาโดยใช้ยา ( Drug Therapy ) ปัจจุบันที่ใช้อยู่มี 2 ตัว คือ
    1. ฮอร์โมนเพศหญิง ( Estrogen ) ทดแทนในกรณีที่ระดับฮอร์โมนเพศหญิงลดต่ำลง เนื่องจากใกล้หมดหรือหมดประจำเดือนแล้ว ฮอร์โมนเพศหญิงนี้จะทำให้ช่องคลอดและอวัยวะเพศไม่แห้ง
    2. ฮอร์โมนเพศชาย ( Testosterone ) ชนิดแปะผิวหนัง จะทำให้ความต้องการทางเพศของผู้หญิงมากขึ้น

สมุนไพรช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

สมุนไพรมากมายเชื่อกันว่ามีสรรพคุณช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ ซึ่งก็มีงานวิจัยบางส่วนที่ศึกษาว่าสมุนไพรบางชนิดรักษาภาวะนี้ได้จริง โดยสมุนไพรที่ได้รับความสนใจและนิยมรับประทานกันอย่างกว้างขวาง มีดังนี้
1. ตังถั่งเช่า หรือถั่งเช่า ( Cordyceps )
2. กระชายดำ ( Black galingale )
3. เห็ดหลินจือ ( Lingzhi หรือ Reishi )
4. โสม ( Ginseng )
5. เมล็ดองุ่นสกัด ( Grape seed extract )
6. เปลือกสน มาริไทม์ฝรั่งเศส ( French Maritime Pine Bark Extract )
7. โกจิเบอร์รี่ ( Goji berry )

บริโภคสมุนไพรอย่างไรให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ ?

แม้ผลการค้นคว้ามากมายจะแสดงถึงสรรพคุณของสมุนไพรต่าง ๆ ที่ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ แต่เพื่อความปลอดภัยในการบริโภคผู้ที่ต้องการใช้ยาหรืออาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของสมุนไพร ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ( อย. ) เพื่อป้องกันส่วนประกอบหรือสารแปลกปลอมที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ รวมถึงควรศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ในด้านส่วนประกอบต่าง ๆ และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ให้ดีก่อน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ขอบคุณคลิปความรู้จาก : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ รศ. นพ. อนุพันธ์ ตันติวงศ์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.

โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.siamhealth.net

สตรีเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.siamhealth.net

โรคฉี่หนู ( Leptospirosis ) ภัยเงียบที่มากับหน้าฝนและน้ำท่วม

0
โรคฉี่หนู ( Leptospirosis ) อันตรายที่มากับหน้าฝน
โรคฉี่หนู ( Leptospirosis ) หรือเรียกอีกอย่างว่าโรคเล็ปโตสไปโรซิส คือ การติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้งกับคนและสัตว์
โรคฉี่หนู ( Leptospirosis ) อันตรายที่มากับหน้าฝน
โรคฉี่หนู ( Leptospirosis ) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อกลุ่ม Leptospira

โรคฉี่หนู

โรคฉี่หนู ( Leptospirosis ) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ กลุ่ม Leptospira มักพบการระบาดในหน้าฝน หรือช่วงที่มีน้ำท่วมขัง ที่เกิดขึ้นได้ทั้งกับคนและสัตว์ สัตว์ฟันแทะจำพวกหนูเป็นพาหะนำโรค   การสัมผัสดิน น้ำ อาหารที่ปนเปื้อนปัสสาวะ เลือด และเนื้อเยื่อของสัตว์ที่ติดเชื้อชนิดนี้  โดยเชื้อโรคติดต่อเข้าสู่ร่างกายได้ทางสัมผัสแผลที่ผิวหนังหรือเยื่อเมือก เชื้อจะเข้าไปทำลาย ตับ ไต กล้ามเนื้อ ผิวหนัง และหลอดเลือด ทำให้มีเลือดออกเป็นจุดเล็กๆ ทั่วไป

อาการโรคฉี่หนู

อาการโรคฉี่หนู จะแสดงอาการหลังจากได้ติดเชื้อแล้ว ในช่วงเวลา 2 – 30 วัน ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อจะมีอาการในช่วงประมาณ 7 – 14 วัน ซึ่งอาการของโรคฉี่หนูนั้นนี้มีอาการตั้งแต่ขั้นอ่อนไปจนถึงขั้นรุนแรงจนถึงชีวิต โรคฉี่หนูส่วนมากมักไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรง มีเพียงอาการทั่ว ๆ ไปคล้ายโรคหวัดใหญ่ ดังนี้

  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดศีรษะ มีไข้สูง หนาวสั่น
  • ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ
  • เจ็บช่องท้อง
  • รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
  • ตาแดงหรือระคายเคืองที่ตา
  • มีผื่นขึ้น
  • ไม่อยากอาหาร
  • ท้องเสีย
  • ครั่นเนื้อครั่นตัว
  • ปวดกล้ามเนื้อ
  • ปัสสาวะมีความผิดปกติ

การรักษาโรคฉี่หนู

เมื่อเป็นโรคฉี่หนูแล้ว จะเป็นอันตรายมาก ไม่สามารถปล่อยให้หายเองได้ ดังนั้นเมื่อเกิดอาการ จึงควรรีบไปหาหมอโดยเร็ว   

1. การรักาษาโรคฉี่หนู สามารถใช้ ยาปฏิชีวนะอย่างยาเพนิซิลลิน ( Penicillin ) หรือดอกซีไซคลิน ( Doxycycline ) เป็นระยะเวลา 5 – 7 วัน ซึ่งควรต้องรับประทานตามกำหนดให้ครบถ้วนแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อแบคทีเรียถูกกำจัดจนหมด และป้องกันการกลับไปติดเชื้ออีกครั้ง
2. รับประทานยาแก้ปวด ไอบูโพรเฟน ( Ibuprofen ) หรือพาราเซตามอล ( Paracetamol ) เพื่อลดอาการปวดศีรษะ มีไข้ และปวดกล้ามเนื้อได้เช่นกัน
3. ถ้าผู้ป่วยโรคฉี่หนูแบบรุนแรงจะต้องนอกพักที่โรงพยาบาล และรักษาอาการติดเชื้อด้วยการฉีดยาปฏิชีวนะเข้าไปในกระแสเลือดโดยตรง และหากมีอวัยวะใด ๆ ที่เสียหายจากการติดเชื้อ ทำให้ไม่สามารถใช้หรือทำหน้าที่ตามปกติได้ก็อาจจำเป็นต้องใช้เครื่องมือต่าง ๆ เข้าช่วย เช่น ผู้ป่วยอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือหากติดเชื้อที่ไตทำให้ไตเสียหายจนทำงานไม่ได้ก็ต้องใช้การล้างไตเข้าช่วย เป็นต้น
4. ผู้ป่วยบางรายอาจออกจากโรงพยาบาลได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่บางรายอาจต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะของผู้ป่วย รวมถึงความเสียหายต่ออวัยวะที่ติดเชื้อ
5. กรณีหญิงตั้งครรภ์ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเชื้ออาจแพร่ไปสู่ทารกในครรภ์และส่งผลให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการของโรคฉี่หนูจึงอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด

การป้องกันโรคฉี่หนู

  • ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการติดต่อของโรคฉี่หนูแก่ประชาชน โดยให้หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำหรือการเดินลุยในน้ำที่อาจปนเปื้อนเชื้อปัสสาวะจากสัตว์นำโรค
  • ควรสวมใส่รองเท้าบู๊ตป้องกันทุกครั้งหากมีความจำเป็น
  • หมั่นตรวจตราแหล่งน้ำและดินทรายที่อาจมีเชื้อปนเปื้อน ควรระบายน้ำตามท่อระบายออกแล้วล้างเพื่อกำจัดน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคฉี่หนู
  • ส่งเสริมการป้องกันโรคฉี่หนูแก่ผู้ที่ทำอาชีพที่มีความเสี่ยงทั้งหลาย โดยให้สวมถุงมือยางหรือรองเท้าบู๊ต
  • กำจัดหนูตามบริเวณที่อยู่อาศัย สถานที่ทำงาน รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
  • แยกสัตว์ที่ติดเชื้อโรคฉี่หนูออกจากสัตว์ชนิดอื่น ๆ และบริเวณที่อยู่อาศัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  • ปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคฉี่หนู โดยเลือกฉีดวัคซีนซีโรวาร์ ( Serovars ) สำหรับป้องกันเชื้อฉี่หนูชนิดที่พบได้บ่อยตามท้องถิ่นนั้น ๆ ทั้งนี้การฉีดวัคซีนแม้จะสามารถป้องกันโรคฉี่หนู แต่ไม่อาจป้องกันการติดเชื้อหรือแพร่เชื้อทางปัสสาวะได้   

กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อการติดโรคฉี่หนู

  • คนที่ทำงานฟาร์มปศุสัตว์หรือทำงานใกล้ชิดกับสัตว์ สัมผัสเนื้อหรือมูลของสัตว์
  • คนแล่เนื้อหรือคนที่ทำงานกับสัตว์ที่ตายแล้ว
  • ชาวประมงที่หาสัตว์ตามแหล่งน้ำจืด
  • ผู้ที่อาบน้ำตามแม่น้ำ ลำคลอง ที่เป็นแหล่งน้ำจืดทั้งหลาย
  • คนที่ทำกิจกรรมหรือเล่นกีฬาทางน้ำ เช่น ว่ายน้ำ พายเรือ แล่นเรือ ล่องแก่ง เป็นต้น
  • สัตวแพทย์
  • พนักงานกำจัดหนู
  • พนักงานลอกท่อ
  • คนงานเหมือง
  • ทหาร
  • ผู้มีอาชีพสัมผัสน้ำหรือคนที่ย่ำน้ำในที่น้ำท่วมขังนาน ๆ

ปัจจุบันในบางประเทศมีวัคซีนโรคฉี่หนูสำหรับคน โดยใช้ฉีดป้องกันให้คนงานหรือผู้มีอาชีพเสี่ยงติดเชื้อ ได้แก่ประเทศฝรั่งเศส เสปน อิตาลี จีน ญี่ปุ่น และอิสราเอล ส่วนในประเทศไทยยังไม่มีวัคซีนสำหรับคน นอกจากนี้โรคฉี่หนูยังสามารถติดต่อให้สุนัข แมว ที่เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน  เมื่อสัตว์เลี้ยงเกิดอาการป่วยควรนำไปพบสัตวแพทย์ทำการรักษา เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปยังคน และสัตว์อื่นๆด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

โรคฉี่หนู (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://www.sikarin.com [6 กันยายน 2562].

ฉี่หนู อันตรายแค่ไหนถามใจดู (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.thaihealth.or.th [6 กันยายน 2562].

โรคฉี่หนู ภัยร้ายที่มากับหน้าฝน (Leptospirosis) (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://www.siphhospital.com

สบู่สมุนไพร ปลอดภัย และดีต่อสุขภาพผิวจริงไหม

0
สบู่สมุนไพร เพื่อสุขภาพ
สบู่ คือ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดร่างกายที่ได้จากปฏิกิริยาของด่างกับน้ำมันจากพืชหรือไขมันจากสัตว์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการขจัดสิ่งสกปรกอกจากร่างกาย
สบู่สมุนไพร เพื่อสุขภาพ
สบู่ คือ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดร่างกายที่ได้จากปฏิกิริยาของด่างกับน้ำมันจากพืชหรือไขมันจากสัตว์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการขจัดสิ่งสกปรกอกจากร่างกาย

 

>>> สั่งซื้อสบู่สมุนไพรกับเรา <<<

สบู่สมุนไพร คืออะไร ทำจากกลีเซอรีนธรรมชาติดีอย่างไร

สบู่สมุนไพร คือ สบู่จากกลีเซอรีนธรรมชาติมีส่วนผสมทำมาจากธรรมชาติทั้งสิ้นคือ ทั้งสมุนไพร ทั้งสบู่ และทั้งกลีเซอรีน ไม่มีสารเคมีปนเปื้อนทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างในร่างกายในระยะยาวและปลอดภัย สบู่สมุนไพรที่เน้นคุณภาพจะใช้น้ำมันจากพืชเกรดพรีเมี่ยม ซึ่งจะมีกลีเซอรีนเต็มทุกก้อน กลีเซอรีนธรรมชาติเมื่อนำมาผสมกับสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ก็จะได้สบู่สมุนไพรที่หลากหลายสูตรที่ให้คุณประโยชน์สูงซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับผิวของแต่ละคน สบู่สมุนไพรจากกลีเซอรีนนอกจากจะทำความสะอาดผิวได้ดีแล้ว ยังสามารถบำรุงผิวได้ดีอีกด้วย

สบู่ คืออะไร

สบู่ ( Soap ) ผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดร่างกายที่ได้จากปฏิกิริยาของด่างกับน้ำมันจากพืชหรือไขมันจากสัตว์ ( Saponification )

ด่าง + น้ำมันพืช/ไขมันสัตว์ = เกล็ดสบู่ ( soap ) + กลีเซอรีน/กลีเซอรอล

กลีเซอรีน ( Glycerin ) หรือ กลีเซอรอล ( Glycerol ) เกิดจากกระบวนการไฮโดรไลซีส ( Hydrolysis ) ของน้ำมันจากพืชหรือไขมันจากสัตว์ โดยมีด่างเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาซึ่งเกิดพร้อมกันกับกระบวนการการเกิดเกล็ดสบู่ กลีเซอรีนเป็นสารที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น มีความหนืด และมีรสหวาน มีการศึกษาพบว่ากลีเซอรีนมีคุณประโยชน์ต่อผิว เพราะมีคุณสมบัติเหมือนมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ช่วยให้ผิวนุ่มลื่น เมื่อนำมาผลิตเป็นสบู่กลีเซอรีน นอกจากจะสามารถช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ฝังแน่นออกจากร่างกายแล้ว สบู่กลีเซอรีน ยังมีคุณสมบัติช่วยคงความชุ่มชื้นให้กับผิวทำให้ผิวไม่แห้ง อ่อนโยนต่อผิวทำให้ผิวเนียนและดูอ่อนเยาว์สามารถลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ชำระล้างออกง่ายจึงไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน อีกทั้งยังปลอดภัยต่อผิวหนังด้วยเพราะเป็นกลีเซอรีนจากธรรมชาติไม่ใช่สารเคมี

สบู่ที่ขายตามท้องตลาดจำนวนมากมีการใช้สารเคมีจนไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดกับผิวหนัง แฝงไปด้วยสารเคมีที่เป็นอันตราย เกิดอาการแพ้ อาการระคายเคืองและมีสารพิษตกค้าง ปัจจุบันจึงนิยมใช้พืชสมุนไพรที่มีอยู่ในธรรมชาติมาเป็นส่วนผสมเพิ่มเติมในสบู่แทนการใช้สารเคมีสังเคราะห์ พืชสมุนไพรที่ใช้มีสรรพคุณทางยาและมีความปลอดภัยสูงจึงเกิดเป็นสบู่สมุนไพรขึ้น มีคุณลักษณะเฉพาะที่หลากหลายจึงเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของสบู่สมุนไพรที่มีคุณค่ายิ่งของภูมิปัญญาไทย

สบู่สมุนไพร เพื่อสุขภาพที่ดีควรเป็นอย่างไร

1. สบู่สมุนไพรที่ผลิตจากน้ำมันจากพืชจะมีคุณภาพดีกว่าที่ผลิตจากไขมันจากสัตว์ และจะได้กลีเซอรีนที่ดีมีคุณภาพสูงด้วย
2. ใช้สมุนไพรแท้จากธรรมชาติ 100% และมีกลิ่นหอมของสบู่สมุนไพรแท้ ๆ
3. ไม่ควรมีส่วนผสมน้ำหอมในสบู่สมุนไพร ซึ่งน้ำหอมเป็นสารเคมีอันตรายที่จะซึมซับเข้าไปสะสมอยู่ใต้ชั้นผิวหนังของเราได้ ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวพรรณ และเมื่อเวลาผ่านไปนานวันก็จะทำลายต่อมน้ำมันใต้ผิวทำให้ผิวแห้ง หรือหากสารเคมีสะสมอาจทำให้เกิดอันตรายต่อระบบโลหิตได้
4. สบู่สมุนไพรไม่ควรมีสาร SLS ( Sodium Lauryl Sulfate ) และ SLES ( Sodium Laureth Sulfate ) แม้จะทำให้เกิดฟองมากและสามารถขจัดสิ่งสกปรกได้ แต่ก็เป็นอันตรายต่อผิวหนังอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองและหากสะสมเข้าสู่ร่างกายเป็นระยะเวลานานก็เป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้
5. ไม่ควรมีพาราเบน ( Paraben ) คือ สารกันบูด หรือ สารกันเสีย เป็นส่วนผสมในสบู่สมุนไพร ซึ่งพาราเบนจัดเป็นสารอันตรายชนิดหนึ่งที่เพิ่มอัตราความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เพราะร่างกายของเราสามารถดูดซึมสารชนิดนี้เข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว
6. สบู่สมุนไพรแท้จะมีฟองในระดับที่เหมาะสม มีความอ่อนโยนต่อผิว สามารถทำความสะอาดผิวหน้าและผิวกายได้อย่างสะอาดหมดจดและล้างออกง่ายไม่ตกค้างบนผิวและใช้ได้กับทุกสภาพผิวหรือแม้แต่ผิวบอบบางแพ้ง่าย

สบู่สมุนไพร ที่ดีควรมีค่า pH เท่าไหร่

ค่า pH ( Potentia hydrogenii ) ภาษาละตินแปลว่า “ ความเข้มข้นของไอออนไฮโดรเจน ” คือค่าที่ช่วยให้เราสามารถแยกความแตกต่างของกรดและด่างจากกันได้โดยค่า pH ของสบู่สมุนไพรที่ดีควรมีค่า pH ประมาณ 8 มีความเป็นด่างอ่อนๆในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหรือทำลายชั้นไขมันของผิวและสามารถทำความสะอาดได้ดี ทั้งนี้ อย. ของไทยกำหนดค่า pH ของสบู่สมุนไพรว่าควรอยู่ระหว่าง 8-11 เท่านั้น

สบู่สมุนไพรอะไร ที่ปลอดภัยและนิยมใช้กันในปัจจุบัน

สบู่สมุนไพรแท้จากธรรมชาติ 100% เป็นสบู่ที่มีความปลอดภัยสูง ไม่มีสารที่เป็นอันตรายจึงไม่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายและเมื่อใช้อย่างต่อเนื่องสุขภาพผิวจะดีขึ้นและมีผิวพรรณที่สวยงามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สบู่สมุนไพรให้ประโยชน์กับผิว 3 อย่างใน 1 เดียว นั่นคือ ทำความสะอาดผิว แก้ไขปัญหาผิว และบำรุงผิวพรรณ
สบู่สมุนไพรได้รับคุณค่าโดยตรงจากธรรมชาติ มีองค์ประกอบของสมุนไพรในเนื้อสบู่อยู่หลายสูตรด้วยกัน และแต่ละสูตรก็มีสรรพคุณที่แตกต่างกันออกไป ล้วนแล้วแต่มาจากตำรับการบำรุงผิวที่ใช้กันมาแต่โบราณ เมื่อนำสมุนไพรแท้เหล่านั้นมาผลิตในรูปแบบของสบู่สมุนไพรก็เท่ากับว่าเราสามารถบำรุงผิวด้วยตำรับและวิธีโบราณดั้งเดิมอย่างไม่ยุ่งยากมีความปลอดภัยสูง

สบู่ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดร่างกายที่ได้จากปฏิกิริยาของด่างกับน้ำมันจากพืชหรือไขมันจากสัตว์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการขจัดสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย

สบู่สมุนไพรสูตรที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน

  • สบู่สมุนไพรสูตรหัวไชเท้าแท้ 100 % เป็นสบู่ผิวขาว สบู่หน้าใส สบู่รักษาสิวและสบู่รักษาฝ้า มีสารไกลโคไซด์ ( Glycosides ) ในกลุ่มที่มีชื่อว่า สารไอโซไทโอไซยาเนต ( Isothiocyanates ) พบในสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน อุดมด้วยกรดแอสคอบิก ( Ascorbic Acid ) และ วิตามินเอ ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดเมลานินจึงช่วยลดฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ และปรับผิวให้ขาวใสขึ้น ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง ทำให้ผิวแข็งแรง ลดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี รูขุมขนละเอียดเนียนขึ้น นอกจากนี้ยังมีสารซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และมีฤทธิ์ลดการอักเสบ จึงช่วยลดสิวและลดผดผื่นได้ดีอีกด้วย
  • สบู่สมุนไพรสูตรกาแฟ Arabica แท้ 100 % เป็นสบู่ผิวขาว สบู่หน้าใส สบู่รักษาสิว สบู่รักษาฝ้า สบู่ขัดผิว และสบู่ระงับกลิ่นกาย อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีส่วนสำคัญในการช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลายโดยมลภาวะต่างๆ ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวจากการถูกรังสียูวีในแสงแดดทำลาย ช่วยลดริ้วรอยต่างๆ และ ลดปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ ช่วยให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น อุดมไปด้วยคาเฟอีน มีคุณสมบัติสำคัญในการลดการอักเสบ รอยแดง และรอยหมองคล้ำบนผิวหนังได้อย่างดีเยี่ยม คาเฟอีนยังช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ดูเปล่งปลั่งและยืดหยุ่นขึ้น ช่วยลดเซลลูไลท์ ลดการสะสมของเหลวใต้ผิวหนัง ช่วยกระตุ้นการแตกตัวของเซลล์ไขมัน ทำให้ผิวส่วนที่มีปัญหาเซลลูไลท์ดูเรียบเนียนและกระชับขึ้น ช่วยดีท็อกซ์สารพิษที่สะสมอยู่ใต้ผิว ผิวก็จะดูกระจ่างใส เรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และขจัดกลิ่นกาย
  • สบู่สมุนไพรสูตรมะขามน้ำผึ้งป่าแท้ 100% เป็นสบู่ผิวขาว สบู่หน้าใส สบู่รักษาสิว สบู่รักษาฝ้า สบู่ขัดผิว และสบู่ระงับกลิ่นกาย
    มะขามแท้ มีกรดผลไม้ชนิด AHA ( Alpha hydroxyl acids ) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออก เนื้อมะขามเปรี้ยวสุกในสภาพที่พอดีกับผิว จึงช่วยขัดผิวและผลัดเซลล์ผิว นอกจากนี้ ยังมีวิตามินซีสูง กรดทาริทาริก กรดซิตริก และกรดมาลิก บำรุงผิวพรรณให้ผ่องใสขาวเนียน ลบรอยฝ้า กระ จุดด่างดำ ลดความหมองคล้ำ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว กำจัดรอยเหี่ยวย่น ขจัดกลิ่นตัวได้สะอาดล้ำลึก
    น้ำผึ้งป่าแท้ ช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณมากกว่าน้ำผึ้งปกติถึง10เท่า มีคุณสมบัติต่อต้านและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย รวมทั้งมีเอนไซม์ที่ผลิตไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ซึ่งเปรียบเสมือนยาฆ่าเชื้อโรค นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ที่มีคุณสมบัติในการบำรุงรักษาผิว มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งสดใส เนียนนุ่มชุ่มชื่น ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ และช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวหนัง เร่งกระบวนการผลัดผิว ช่วยให้ผิวสวยกระจ่างใส ช่วยรอยแผลเป็นจางลง รักษาผิวที่แห้ง แตกลอกเป็นขุย ช่วยลดสิวเสี้ยนและสิวอุดตัน
  • สบู่สมุนไพรสูตรขมิ้นน้ำผึ้งป่าแท้ 100% เป็นสบู่ผิวขาว สบู่หน้าใส สบู่รักษาสิวและสบู่รักษาฝ้า
    ผงขมิ้นชันแท้ อุดมไปด้วยวิตามินอี ช่วยยกกระชับผิว ปรับผิวให้ดูขาวสว่างกระจ่างใสแบบธรรมชาติ มีสารเคอร์คูมินอยด์ ( Curcuminoids ) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดอาการแพ้ การอักเสบของผิวหนัง บรรเทาอาการคัน ชะลอการเกิดริ้วรอย ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียอันก่อให้เกิดสิวผด สิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือ ผื่น
    น้ำผึ้งป่าแท้ ช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณมากกว่าน้ำผึ้งปกติถึง10เท่า มีคุณสมบัติต่อต้านและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย รวมทั้งมีเอนไซม์ที่ผลิตไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ซึ่งเปรียบเสมือนยาฆ่าเชื้อโรค นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ที่มีคุณสมบัติในการบำรุงรักษาผิว มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งสดใส เนียนนุ่มชุ่มชื่น ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ และช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวหนัง เร่งกระบวนการผลัดผิว ช่วยให้ผิวสวยกระจ่างใส ช่วยรอยแผลเป็นจางลง รักษาผิวที่แห้ง แตกลอกเป็นขุย ช่วยลดสิวเสี้ยนและสิวอุดตัน
  • สบู่สมุนไพรสูตรทานาคาขมิ้นแท้ 100% เป็นสบู่ผิวขาว สบู่หน้าใส สบู่รักษาสิว สบู่รักษาฝ้า และสบู่ระงับกลิ่นกาย
    ผงทานาคาแท้ มาจากไม้ทานาคาที่ตากแห้งตามธรรมชาติ เปลือกของไม้ทานาคา มีสารโอลิโกเมริค โปรแอนโธไซยานิดีน ( Oligomeric Proanthrocyanidin ) หรือ OPC เช่นเดียวกับที่พบในเปลือกสนฝรั่งเศส และเนื้อในของไม้ทานาคา มีสารเคอร์คูมินอยด์ ( Curcuminoid ) ที่พบในขมิ้นชันเช่นกัน
    สาร 0PC มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ต้านความเสื่อมของเซลล์ ลดริ้วรอย ต้านแบคทีเรียช่วยป้องกันการเกิดสิว ลดการอักเสบและลดอาการแพ้ของผิวหนัง ลดการสร้างเม็ดสีเมลานินทำให้ผิวขาวกระจ่างใส ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV และลดการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ 
    สารเคอร์คูมินอยด์ ( Curcuminoids ) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดอาการแพ้และ การอักเสบของผิวหนัง บรรเทาอาการคัน ชะลอการเกิดริ้วรอย ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียอันก่อให้เกิดสิวผด สิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือ ผื่น
    ผงขมิ้นชันแท้ อุดมไปด้วยวิตามินอี ช่วยยกกระชับผิว ปรับผิวให้ดูขาวสว่าง กระจ่างใสแบบธรรมชาติ มีสารเคอร์คูมินอยด์ ( Curcuminoids ) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดอาการแพ้และการอักเสบของผิวหนัง บรรเทาอาการคัน ชะลอการเกิดริ้วรอย ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียอันก่อให้เกิดสิวผด สิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือ ผื่น

สบู่สมุนไพรสระผม คืออะไร

สบู่สมุนไพรสระผม ( SHAMPOO BAR ) เป็นผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายจึงมีความปลอดภัยสูง ถูกออกแบบมาสำหรับเส้นผมและหนังศีรษะโดยเฉพาะ เพื่อรักษาสุขภาพเส้นผมและหนังศีรษะ ทำความสะอาดและกำจัดไขมัน เหงื่อ ฝุ่น สิ่งสกปรก มลภาวะ รวมถึงสารตกค้างจากผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมต่างๆ อยู่ในรูปแบบก้อนเหมือนก้อนสบู่ วิธีใช้คือใช้ถูและทาบนเส้นผมที่เปียก นวดเข้ากับเส้นผมและล้างออก สามารถใช้ร่วมกับครีมนวดผมหรือครีมบำรุงทรีทเม้นท์ได้

แชมพูสระผมทั่วไปมีส่วนผสมของอะไรบ้าง
ส่วนประกอบหลักของแชมพูสระผมทั่วไป คือ สารซักฟอก ( Detergent ) ซึ่งเป็นสารเคมีสังเคราะห์ เช่น สาร SLS ( Sodium Lauryl Sulfate ) และ สาร SLES ( Sodium Laureth Sulfate ) สารทั้ง 2 ชนิดนี้มีโมเลกุลขนาดเล็กมาก สามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายและกระแสเลือดได้ ซึ่งสารเคมีเหล่านี้หากเข้าสู่ร่างกายของเรา และไม่สามารถขับถ่ายออกได้หมดจะเกิดการตกค้างสะสมอยู่ในอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ไต และกระแสเลือด และอาจก่อให้เกิดโรคร้ายเช่น มะเร็งได้
สารซักฟอกนี้ จะไปล้างไขมันธรรมชาติที่ช่วยเคลือบผมและหนังศีรษะจนหมด เมื่อไขมันที่เคลือบเส้นผมและหนังศีรษะถูกล้างไปจนหมด ต่อมน้ำมันธรรมชาติจะสร้างน้ำมันมาโชลมเส้นผมมากขึ้น ยิ่งสระผมบ่อย ต่อมน้ำมันก็จะผลิตน้ำมันออกมามากจนผมมันเยิ้ม เราก็ยิ่งสระผมบ่อยขึ้น จนนานเข้าหนังศีรษะและตุ่มรากผมก็เสียสมดุล รากผมไม่แข็งแรง และหลุดร่วงได้ง่าย หนังศีรษะแห้งเป็นเกล็ด เกิดเป็นรังแค

ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงสารซักฟอกเหล่านี้ในการสระผม โดยใช้สมุนไพรธรรมชาติทำความสะอาดเส้นผมแทนการใช้สารเคมีทำความสะอาด สมุนไพรธรรมชาติที่คนโบราณนำมาใช้ในการดูแลเส้นผมและหนังศีรษะนั้น เป็นสมุนไพรใกล้ตัว ปลูกไว้ริมรั้วบ้าน หาได้ง่าย มีความปลอดภัยสูง

สบู่สมุนไพรสระผม นิยมใช้สูตรใดกันมากที่สุด

สบู่สมุนไพรสระผมสูตรมะกรูดแท้ 100 % เป็นที่นิยมกันมากเนื่องจากช่วยเร่งผมยาว ขจัดรังแค ผมมีน้ำหนัก ผมนุ่มลื่น ผมเงางาม และป้องกันผมร่วง
ผิวมะกรูด จะมีสารซิโตรเนลลา ( Citronellal ) จะอยู่ในส่วนของน้ำมันจากผิวมะกรูด มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา จึงสามารถลดอาการคันหนังศีรษะ ขจัดรังแค น้ำมันมะกรูดที่มีในผิวมะกรูดจะไปซ่อมชั้นเคอราตินให้ผมเงางาม ผมนุ่มลื่น ผมมีน้ำหนัก แก้ผมแตกปลายและช่วยบำรุงให้เส้นผมดกดำ เร่งผมยาว ทำให้ผมหงอกช้าและลดความมันบนหนังศรีษะ บำรุงหนังศรีษะและรากผม ป้องกันผมร่วงได้

ทำไมสบู่สมุนไพรจึงเป็นที่นิยมในยุคปัจจุบัน

  • สบู่สมุนไพรแท้จากธรรมชาติ จะผลิตจากสมุนไพรแท้ 100% ไม่ใช้สารสกัดทำให้ได้คุณค่าจากสมุนไพรเห็นผลชัดในการดูแลผิว ไม่พึ่งสารเคมีจึงทำให้มีความปลอดภัยต่อผิวมาก ไม่เกิดอาการแพ้หรืออาการระคายเคืองที่รุนแรงเหมือนการใช้สารเคมี
  • สบู่สมุนไพร สะดวกต่อการใช้ คนโบราณนำสมุนไพรมาขัดถูบำรุงผิวโดยตรงซึ่งในปัจจุบันจะไม่สะดวก จึงมาผลิตในรูปแบบของสบู่สมุนไพรก็สามารถบำรุงผิวได้ทำให้ได้รับคุณค่าโดยตรงจากธรรมชาติเหมือนกับการบำรุงผิวที่ใช้กันมาแต่โบราณ
  • สบู่สมุนไพรไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียง สบู่สมุนไพรแท้ส่วนใหญ่จะมีกระบวนการผลิตที่ละเอียดอ่อนและเป็นสบู่ทำมือ ( Handmade ) มีส่วนผสมมาจากวัตถุดิบธรรมชาติที่ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ มักจะไม่มีสารเคมีรุนแรงเป็นส่วนผสม เช่น ไม่มีน้ำหอม,ไม่มีสารกันบูด ( Paraben ) และไม่มีสารซักฟอก ( Detergent ) เช่น สาร SLS ( Sodium Lauryl Sulfate ) หรือ สาร SLES ( Sodium Laureth Sulfate ) เพราะอาจทำให้มีการตกค้างของสารเคมีจนส่งผลต่อผิวให้เกิดการระคายเคือง และหากสะสมนานๆจะก่อให้เกิดโรคร้ายแรงได้เช่น มะเร็ง
  • สบู่ทั่วๆไปที่ขายกันในแบบยี่ห้อต่าง ๆ ทั้งของไทยและของต่างประเทศจะผลิตเป็นจำนวนมากจากโรงงาน ดังนั้นเราต้องคำนึงถึงเรื่องของกระบวนการผลิตที่ลดทอนความยุ่งยากของส่วนผสมลง ส่วนผสมที่อยู่ในสบู่เหล่านั้นจึงมักเป็นส่วนผสมที่สังเคราะห์มาทั้งสิ้น เนื่องจากส่วนผสมจากสมุนไพรธรรมชาติและวัตถุดิบจากธรรมชาติเมื่อนำมาเข้ากระบวนการผลิตสบู่ในโรงงานจะทำให้เกิดความยุ่งยากของขั้นตอนต่างๆมาก เพิ่มต้นทุนในการผลิตและเสียเวลา การผลิตสบู่โดยทั่วไปจึงตัดทอนขั้นตอนเหล่านี้และใช้สารเคมีต่างๆเข้ามาแทน สิ่งที่ผู้ใช้ต้องรับโดยไม่รู้ตัวก็คือ สารปนเปื้อนทางเคมีมากมาย บางชนิดที่กล่าวข้างต้นมาแล้วเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้หากใช้บ่อยๆนานๆ บางชนิดแม้จะไม่ร้ายแรงแต่ก็มีผลต่อสุขภาพผิวทำให้สภาพของผิวไม่สมดุลย์ตามธรรมชาติได้ กลิ่นสบู่ที่มาจากกลิ่นสังเคราะห์ปรุงแต่งที่มีกลิ่นหอมแรงๆแต่ไม่ใช่กลิ่นหอมอ่อนๆที่มาจากธรรมชาติแท้ๆส่งผลต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่าย และสีสังเคราะห์ที่ไม่ได้เกิดจากสีจริงของตัวสบู่แท้ธรรมชาติ เป็นสีที่ใส่ลงไปให้เกิดความสวยงามและน่าใช้ก็เป็นสารเคมีที่มีผลต่อสุขภาพในระยะยาวเช่นกัน สบู่ทั่วไปที่ขายอาจมีการใส่สารให้ความชุ่มชื้นทดแทนกลีเซอรีนที่ถูกสกัดออกไปตอนกระบวนการการทำสบู่ได้ เพราะกลีเซอร์รีนที่ได้จากกระบวนการทำสบู่เป็นสารราคาแพงและมีประโยชน์มาก ทำให้เกิดความชุ่มชื้นต่อผิว ผู้ผลิตอาจแยกกลีเซอรีนนี้ออกมาเพื่อใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆเพื่อเพิ่มมูลค่า สบู่ทั่วไปจึงถูกนำกลีเซอรีนเหล่านั้นออกมาเพื่อไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางต่างๆ แล้วนำสารให้ความชุ่มชื้นอื่นมาใส่ในสบู่แทนกลีเซอรีน สารที่ถูกนำมาใส่จะทำให้ผิวชุ่มชื้นเพียงชั่วคราว ในระยะยาวผิวอาจแห้งและขาดสมดุลย์ได้ แต่สบู่สมุนไพรกลีเซอรีนยังคงมีความชุ่มชื้นอยู่อย่างสมบูรณ์ใน จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดผลข้างเคียงดังกล่าว 
  • สบู่สมุนไพรได้รับการผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ มีกลิ่นหอมจากธรรมชาติที่มีความแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมจากกาแฟ กลิ่นหอมจากขมิ้น กลิ่นหอมจากน้ำผึ้ง กลิ่นหอมจากทานาคา กลิ่นหอมจากมะกรูด ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นกลิ่นสมุนไพรบำบัดเพื่อช่วยผ่อนคลายขณะอาบน้ำ ให้กลิ่นหอมสดชื่น และลดความตึงเครียดรวมทั้งความอ่อนเพลียได้ และยังใช้กลิ่นหอมอ่อนๆ สร้างบรรยากาศที่ดีในการอาบน้ำ ซึ่งจะสามารถช่วยให้การอาบน้ำมีความอบอุ่นและมีความสุข
  • สบู่สมุนไพรมีหลากหลายสูตรให้เลือก ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกสบู่สมุนไพรได้ตามความต้องการและตรงกับลักษณะผิวของแต่ละคนได้โดยง่าย
  • สบู่สมุนไพรมีราคาย่อมเยา ราคาไม่แพง หากต้องการใช้สบู่เพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวหน้า และผิวกาย การเลือกใช้สบู่สมุนไพรเป็นทางเลือกหนึ่งที่เรียกได้ว่าสามารถหาซื้อได้ง่ายในหลากหลายแหล่ง บางคนจำเป็นต้องใช้สบู่สมุนไพรเพื่อรักษาอาการผิวหน้าและผิวกายในระยะยาว ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูง
  • สบู่สมุนไพรเหมาะกับทุกสภาพผิว เพราะเป็นสบู่ที่ทำมาจากสมุนไพรธรรมชาติ ดังนั้นผู้ที่มีผิวที่บอบบางและแพ้ง่าย ก็จะไม่ต้องกังวลกับอาการแพ้จากการใช้ จึงมั่นใจได้ว่าใช้ได้กับทุกสภาพผิว และใช้ชำระล้างผิวหน้าและผิวกายได้อย่างปลอดภัย
  • สบู่สมุนไพร มีคุณประโยชน์มากมายและปลอดภัยในการใช้ สามารถใช้ได้ทุกวันโดยไม่ต้องกังวลผลข้างเคียงเพราะเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติแท้ๆ เหมาะกับผิวของทุกคน กลิ่นที่ได้จากสบู่สมุนไพรอาจจะไม่หอมแรงเหมือนสบู่หอมสังเคราะห์ทั่วไป แต่เป็นกลิ่นที่บริสุทธิ์และให้ผลดีต่อสุขภาพ สีของสบู่สมุนไพรก็เป็นสีที่เกิดจากธรรมชาติแท้ของสมุนไพร ดังนั้นทุกองค์ประกอบจึงมีประโยชน์ต่อผิวและไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ จึงไม่แปลกใจที่คนมากมายหันมานิยมใช้สบู่สมุนไพรกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

    Content by Amprohealth

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม