ตังถั่งเช่า หรือถั่งเช่า สรรพคุณและประโยชน์

0
ตังถั่งเช่า หรือถั่งเช่า สรรพคุณและประโยชน์
ถั่งเช่าหรือเห็ดถั่งเช่า ( Cordyceps ) เป็น พืชตระกูลเห็ด เปรียบเสมือนยาอายุวัฒนะเป็นโอสถชั้นเลิศของจักรพรรดิและชนชั้นสูงชาวจีน มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย
ตังถั่งเช่า หรือถั่งเช่า สรรพคุณและประโยชน์
ถั่งเช่าหรือเห็ดถั่งเช่า ( Cordyceps ) เป็นพืชตระกูลเห็ด เปรียบเสมือนยาอายุวัฒนะเป็นโอสถชั้นเลิศของจักรพรรดิและชนชั้นสูงชาวจีน มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย

ตังถั่งเช่า หรือถั่งเช่า คือ

ถั่งเช่าหรือเห็ดถั่งเช่า ( Cordyceps ) คือ พืชตระกูลเห็ดชนิดหนึ่ง ถั่งเช่าเปรียบเสมือนยาอายุวัฒนะ เป็นโอสถชั้นเลิศของจักรพรรดิและชนชั้นสูงชาวจีนมานานนับพันปี ด้วยสรรพคุณของถั่งเช่าที่ให้คุณประโยชน์อย่างอเนกอนันต์กับร่างกาย หมอจีนในวังหลวงของจักรพรรดิและชนชั้นสูงชาวจีน จึงถวายถั่งเช่าที่หมอจีนวังหลวงเรียกว่า สมุนไพรสวรรค์ แด่องค์จักรพรรดิ

สายพันธ์ตังถั่งเช่าที่นิยมบริโภค

1. ถั่งเช่าทิเบต ( Cordyceps Sinensis ) มีถิ่นกำเนิดในที่ราบสูงบริเวณเทือกเขาหิมาลัยแถบทิเบต จีน เนปาลและอินเดีย การเก็บหรือหาถั่งเช่าค่อนข้างหายากและลำบาก มีจำนวนน้อยลงทุกที ด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ ทั้งสภาพสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทั้งจากภาวะโลกร้อนและการทำลายธรรมชาติของมนุษย์ จึงทำให้ถั่งเช่าที่ได้จากธรรมชาตินั้นมีน้อย ราคาจึงสูงมากถึงกิโลกรัมละ 800,000 – 5,000,000 บาทเลยทีเดียว

2. ถั่งเช่าสีทอง ( Cordyceps Militaris ) เป็นถั่งเช่าที่เพาะเลี้ยงด้วยไบโอเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวล้ำ ทำให้สามารถเพาะเลี้ยงถั่งเช่าได้ และได้สายพันธ์ที่ให้สารออกฤทธิ์ทางยาไม่น้อยไปกว่าถั่งเช่าที่เกิดตามธรรมชาติ โดยมีการเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการที่ควบคุมปัจจัยต่าง ๆ เช่น ควบคุมอุณหภูมิ ควบคุมความชื้น การกระตุ้นแสง อาหารและที่สำคัญที่สุดต้องสะอาดและปลอดเชื้อ ผลผลิตที่ได้จากการเพาะเลี้ยงถั่งเช่าในห้องปฏิบัติการ ซึ่งถั่งเช่าสีทองนี้มีราคาซื้อขายกันถูกกว่าตังถั่งเช่าทิเบต ถั่งเช่าสีทองมีราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 100,000 – 300,000 บาท ด้วยเหตุผลที่มีสรรพคุณเทียบเท่ากับตังถั่งเช่าและราคาที่ถูกกว่า จึงส่งผลให้ถั่งเช่าสีทองนี้เป็นถั่งเช่าที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายมากในปัจจุบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ

3. ถั่งเช่าหิมะ หรือ ถั่งเช่าเกาหลี ( Isaria Tenuipes ) เป็นการเพาะจากหนอนไหม ( Silkworm ) โดยพ่นเชื้อราให้กับหนอนไหมในช่วงกำลังลอกคราบ หลังจากนั้นเชื้อราก็จะเจริญเติบโตในตัวหนอนไหมและเจริญเต็มที่ตอนที่หนอนไหมเปลี่ยนเป็นดักแด้ ดักแด้ก็จะตายลงพอดีจากนั้นทำการตัดดักแด้ออกจากรังไหม นำไปเรียงในถาดเพาะ เชื้อราก็จะงอกออกมาจากตัวหนอนไหมที่เป็นดักแด้เป็นเห็ดขึ้นมา นิยมนำไปใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอาง

4. ถั่งเช่าจักจั่น ( Isaria Sinclairii ) เกิดขึ้นจากจักจั่นตามชื่อของมัน ซึ่งภายในตัวจักจั่นนั้นมีเชื่อรา Isaria Sinclairii อยู่และแตกหน่อในที่สุด ซึ่งความพิเศษของถั่งเช่าประเภทนี้ก็คือไม่จำเป็นต้องเพาะในห้องที่มีอากาศเย็น พบในป่าแถบภาคเหนือของไทย ซึ่งถั่งเช่าชนิดนี้ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างศึกษาค้นคว้า จึงยังไม่มีงานวิจัยออกมารองรับ

จากงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ นักวิจัยพบว่าถั่งเช่ามีส่วนประกอบของสาระสำคัญที่มีฤทธิ์เป็นยา วิตามินและสารอาหารต่าง ๆ หลายชนิด ปัจจุบันจึงเป็นที่ยอมรับนำมาบริโภคและนำมาทำเป็นส่วนประกอบของยารักษาโรคต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย เนื่องจากสารออกฤทธิ์ที่สำคัญ ได้แก่ สารคอร์ไดโซปิน ( Cordycepin หรือ Cordycepic Acid ) สารอะดีโนซีน ( Adenosine ) และเบต้ากลูแคน ( Beta Glucan ) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในถั่งเช่าสีทองเช่นเดียวกับตังถั่งเช่า จากธิเบต อันมีคุณสมบัติเป็นยาและมีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้ร่างกายดึงออกซิเจนออกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ป้องกันโรคติดเชื้อ มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidant ) ป้องกันการเสื่อมของเซลล์และเข้าไปปรับสภาพและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติต่าง ๆ ได้ เช่น มะเร็ง และยังมีวิตามิน แร่ธาตุอีกหลายชนิด เช่น ไบโอติน กรดโฟลิค ไนอาซิน กรดแพนโทอิก ซีลีเนียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แมกนีเซียม แคลเซียม สังกะสี แมงกานีส รวมถึงนิวคลีโอไซด์อีกกว่า 10 ชนิด ถั่งเช่ามีรสหวาน ฤทธิ์ไม่ร้อน เข้าเส้นลมปราณไต บำรุงไต เสริมภูมิคุ้มกัน และพลังชีวิต แก้อาการอ่อนเพลีย ภูมิแพ้ หอบหืด ไอเรื้อรัง อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เข่าอ่อน เอวอ่อน ชะลอวัย และเป็นยาบำรุงสำหรับผู้ป่วยฟื้นไข้ การทดลองทางการแพทย์ยังพบอีกว่า ถั่งเช่ามีฤทธิ์ช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยกระตุ้นสมรรถภาพการทำงานของต่อมหมวกไต เพิ่มภูมิต้านทานให้กับผู้ป่วยโรคไต ช่วยลดจำนวนครั้งของการฟอกไต สมานแผลจากเบาหวาน ช่วยลดการโตของเนื้องอกเซลล์มะเร็ง

สรรพคุณของสารสำคัญในถั่งเช่า

  • Cordycepins มีงานวิจัยจากทั่วโลกพบว่าสามารถช่วย บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย เสริมภูมิคุ้มกัน เพิ่มการไหลเวียนเลือด บำรุงโลหิต ต้านแบคทีเรีย รักษาไตอักเสบ บำรุงไต ต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจ บำรุงระบบสืบพันธุ์ปรับสมดุลร่างกาย เข้าไปสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรค รักษาอาการอักเสบ ในทุกส่วนของร่างกาย
  • Adenosine ช่วยไปทำ Mitochondria ให้พลังงาน ออกมาทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น ต้านการจับตัวกันของลิ่มเลือด
  • Cordycepic acid พบว่า Cordycepic acid สามารถช่วยไปเพิ่ม metabolism ปลดปล่อยพลังงานสะสมออกมาจากเซลล์อย่างต่อเนื่องพบว่าสามารถช่วย รักษาหอบหืด เพิ่มการเผาผลาญ ช่วยให้ไม่เหนื่อยง่าย ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด ป้องกันเลือดออกในสมอง
  • Amino acid ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ฟื้นฟูพลังงาน ลดอาการเมื่อยล้า
  • Polysaccharide พบว่าสามารถช่วย แก้อาการภูมิแพ้ ลด คลอเรสเตอรอล แก้อักเสบ ต้านมะเร็ง และ กระตุ้นวงจรการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ลดน้ำตาล ลดคอเลสเตอรอล ลดไขมันในเลือด ต้านอนุมูลอิสระ ทำให้แก่ช้า เพิ่มภูมิคุ้มกัน ยับยั้งมะเร็ง ยืดอายุและชะลอความเสื่อมของเซลล์ ซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย
  • Beta glucan เข้าไปบำรุงเซลล์เม็ดเลือดขาว ( macrophage ) ให้กระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉง สามารถ กำจัดเชื้อมะเร็ง หรือจุลินทรีแปลกปลอม ที่เข้าสู่ร่างกาย โดยไม่ผิดพลาด เพื่อไม่ให้เกิดภาวะภูมิเพี้ยน ( autoimmune )
  • Sterol ช่วยปรับสมดุลของ คอเลสเตอรอล ในกระแสโลหิต ลดไขมันเลว ลดความหนืดข้น ลดลิ่มเลือด
  • Glutathione peroxide ป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย ทำให้อวัยวะต่างๆไม่โทรมเร็ว ดูอ่อนเยาว์ ร่างกายแข็งแรง และมีสุขภาพที่ดี
  • Thiobarbituric acid ช่วยกระตุ้นปฏิกิริยา oxidation ในเซลล์ ให้เกิดอย่างสมบูรณ์ เกิดการคายพลังงาน ได้อย่างต่อเนื่อง

กรณีศึกษาและรายงานการวิจัยในคนกับสารออกฤทธิ์ของถั่งเช่าทางเภสัชวิทยา

กรณีศึกษาการออกฤทธิ์ต่อการกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ

ศึกษาในเพศชาย 22 คน จากการให้รับประทานถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมในปริมาณวันละ 1 กรัม ติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยว่า 45 วัน พบว่าถั่งเช่าช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้อสุจิแข็งแรง เพิ่มโอกาสในการมีบุตร ระบบการไหลเวียนของเลือดมีประสิทธิภาพดีขึ้น มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศมากขึ้น ส่งผลให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น 64 เปอร์เซ็นต์ ช่วยเพิ่มจำนวนของสเปิร์ม ( Sperm ) ในอสุจิ 33 เปอร์เซ็นต์ มีผลลดปริมาณของสเปิร์มที่ผิดปกติ 29 เปอร์เซ็นต์

อีกกรณีศึกษาในผู้ชายและผู้หญิงที่มีความต้องการทางเพศลดลง พบว่าถั่งเช่าสามารถช่วยทำให้อาการและความต้องการทางเพศสูงขึ้น 66 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยสนับสนุนว่าการรับประทานถั่งเช่าเป็นอาหารเสริม จะช่วยปกป้องและช่วยให้การทำงานของต่อมหมวกไต ฮอร์โมนจากต่อมไทมัส ( thymus gland ) และจำนวนของสเปิร์ม ( Sperm ) ที่สามารถปฏิสนธิได้เพิ่มขึ้น 300 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มความต้องการทางเพศของผู้หญิงได้ 86 เปอร์เซ็นต์

กรณีศึกษาฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

จากการศึกษาผู้ชายอายุเฉลี่ย 35 ปี ที่ถุงลมถูกกระตุ้นให้อักเสบโดย Lipopolysaccharide ( LPS ) พบว่าถั่งเช่ามีฤทธิ์ลดการสร้างสารที่ทำให้เกิดการอักเสบได้ จึงส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม

กรณีศึกษาฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ไขมันและเบาหวาน

การให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานรับประทานถั่งเช่าในปริมาณ 3 กรัมต่อวันติดต่อกัน นักวิจัยพบว่าสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ 95 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่กลุ่มผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ 54 เปอร์เซ็นต์ งานวิจัยที่อเมริกาพบว่าถั่งเช่ามีฤทธิ์ทำให้ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินได้ดีขึ้น และงานวิจัยที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา นักวิจัยพบ ว่าถั่งเช่าสามารถปรับสมดุลความดันเลือดได้ด้วยหลายกลไก โดยมีทั้งกลไกทางตรงและกลไกทางอ้อม ส่วนที่ สถาบันวิจัย NEL Biotech ประเทศเกาหลี นักวิจัยพบว่าถั่งเช่าสกัดสามารถลดปริมาณของคอเลสเตอรอล ( Cholesterrol ) ในเลือดของหนูทดลองได้

กรณีศึกษาฤทธิ์ต่อการฟื้นฟูระบบการทำงานของไต

การให้ผู้ป่วยภาวะไตวายเรื้อรังรับประทานถั่งเช่าปริมาณ 3 – 5 กรัมต่อวันเป็นเวลาติดต่อกันระยะเวลาหนึ่งเดือน นักวิจัยพบว่าหลังจากที่ผู้ป่วยรับประทานถั่งเช่า อาการต่าง ๆ ที่เกิดจากภาวะไตวายลดลง เช่น ลดความดันโลหิต ลดระดับโปรตีนในปัสสาวะ ลดการเกิดภาวะโลหิตจางและช่วยเพิ่มเอนไซม์ superoxide dismutase ( SOD ) ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และมีรายงานอีกว่าการให้ผู้ป่วยที่การทำงานของไตบกพร่องจากการใช้ยา gentamicin รับประทานถั่งเช่าในปริมาณ 4.5 กรัมต่อวันเป็นเวลาติดต่อกันมีผลทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของไตดีขึ้นถึง 89 เปอร์เซนต์

งานวิจัยและบทความเกี่ยวกับถั่งเช่า

กรณีศึกษาวิจัยถั่งเช่ากับเนื้องอกและมะเร็ง

  • ในปี 2011 นักวิจัยได้มีการทดสอบโดยนำสาร cordycepin จากถั่งเช่ามาทดสอบกับเซลล์มะเร็งเต้านมของมนุษย์ ผลคือสาร cordycepin สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งเต้านมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • นักวิจัยในประเทศเกาหลีใต้ได้ทำการทดลองกระตุ้นหนูทดลองให้เกิดมะเร็ง หลังจากนั้นให้หนูกลุ่มหนึ่งทานสารสกัดถั่งเช่า ส่วนอีกกลุ่มไม่ได้รับสารสกัดถั่งเช่า เมื่อผ่านไป 21 วัน พบว่ามะเร็งในกลุ่มหนูทดลองที่ได้รับสารสกัดถั่งเช่ามีขนาดเล็กกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับสารสกัดถั่งเช่า

กรณีศึกษาวิจัยถั่งเช่ากับการแก้พิษจากรังสี และการทำคีโม

  • การทดลองของนักวิจัยจาก University of Louisville ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าสารเบต้ากลูแคน ( Beta Glucan ) ซึ่งพบได้ในถั่งเช่า ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการฉายเคมีหรือเคมีบำบัดฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เพราะ Beta Glucan ในถั่งเช่าเข้าไปกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวให้มีปริมาณเพิ่มสู่สภาวะปกติได้รวดเร็วขึ้น

กรณีศึกษาวิจัยถั่งเช่ากับผู้ป่วยโรคหัวใจ

  • นักวิจัยได้มีการทดลองให้ผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวเรื้อรังรับประทานถั่งเช่าควบคู่ไปกับยาแผนปัจจุบันปริมาณ 3 – 4 กรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 23 – 29 เดือน นักวิจัยพบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับถั่งเช่าควบคู่ไปด้วยมีอาการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เทียบกับกลุ่มที่ได้รับแต่ยาแผนปัจจุบันอย่างเดียว โดยกลุ่มที่ได้รับถั่งเช่ามีอาการหายใจถี่ลดลง ไม่เหนื่อยง่าย สภาพร่างกายและจิตใจสมบูรณ์แข็งแรงขึ้น รวมถึงยังส่งผลให้ผู้ป่วยมีสมรรถภาพทางเพศดีขึ้นอีกด้วย

กรณีศึกษาวิจัยถั่งเช่ากับระบบสืบพันธุ์

  • นักวิจัยในประเทศจีน ได้ทำการทดสอบกับผู้ป่วยที่ประสบปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศจำนวน 189 คน โดยให้รับประทานถั่งเช่าปริมาณ 3 กรัมต่อวัน เป็นเวลาติดต่อกัน 40 วัน นักวิจัยพบว่าสารสำคัญต่าง ๆ ในถั่งเช่าสามารถฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศให้แก่ผู้รับเข้าทำการทดสอบได้ถึง 66% ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน นักวิจัยในประเทศจีนพบว่าถั่งเช่าให้ผลการรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้รวดเร็วกว่าและปลอดภัยกว่ายาแผนปัจจุบัน อีกทั้งยังไม่ส่งผลข้างเคียงเหมือนยาแผนปัจจุบันที่ทำให้เกิดอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันหรือไตวาย

กรณีศึกษาวิจัยถั่งเช่ากับโรคไตเรื้อรัง

  • นักวิจัยได้ทดสอบให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 37 คน รับประทาน ถั่งเช่าปริมาณ 5 กรัมต่อวันติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน ผลการทดสอบนักวิจัยพบว่า ค่าของไตในผู้ป่วยดีขึ้นมาก สารสำคัญในถั่งเช่าเช่น creatinine , urinary proteins เข้าไปช่วยบำรุงไตและฟื้นฟูการทำงานของไตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ส่วนในการปลูกถ่ายไต นักวิจัยได้ทำการทดสอบเปรียบเทียบในผู้ป่วยที่ทำการปลูกถ่ายไต โดยแบ่งผู้ป่วยเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก นักวิจัยให้ผู้ป่วยที่ทำการปลูกถ่ายไตรับประทานถั่งเช่าในปริมาณ 3 กรัม ต่อวันควบคู่ไปกับยาแผนปัจจุบัน ส่วนกลุ่มที่สอง นักวิจัยให้รับเพียงแต่ยาแผนปัจจุบันเท่านั้น ผลการทดสอบนักวิจัยพบว่า สารสำคัญในถั่งเช่าคือสาร cyclosporine ช่วยให้ร่างกายผู้ป่วยยอมรับการปลูกถ่ายไตได้ดีขึ้นมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับประทานถั่งเช่า
  • นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าการให้ผู้ป่วยที่การทำงานของไตบกพร่องจากการใช้ยา gentamicin รับประทานถั่งเช่าปริมาณ 4.5 กรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นระยะเวลาเพียง 6 วัน มีผลทำให้ระบบการทำงานของไตดีขึ้นเป็นปกติ 89 % เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม

กรณีศึกษาวิจัยถั่งเช่ากับอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ช่วยให้สดชื่นและทำงานได้นานขึ้น

  • ได้มีการทดสอบในกลุ่มผู้ที่มีอาการอ่อนล้าได้ง่าย 53 คน โดยแบ่งกลุ่มเป็นสองกลุ่มให้กลุ่มแรกจำนวน 26 คนรับประทานถั่งเช่า 3 กรัมต่อวัน กลุ่มที่สองอีก 27 คนทานยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ ( กลุ่มควบคุม ) ในระยะเวลา 3 เดือน ผลปรากฏว่ากลุ่มแรกที่รับประทานถั่งเช่าหายจากอาการอ่อนล้าง่ายได้ถึง 92% ส่วนกลุ่มที่สอง กลุ่มควบคุมหายเพียง 14% กรณีศึกษาวิจัยถั่งเช่ากับการหลับ ช่วยให้หลับได้นานขึ้น
  • จากการทดลองให้หนูกินสาร cordycepin ที่พบในถั่งเช่า 4 ชม. ก่อนนอน และทำการตรวจวัดคลื่นสมอง ทำให้รู้ว่าหนูหลับลึกขึ้น และเป็นหลักฐานขั้นพื้นฐานว่า cordycepin สามารถช่วยคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนได้

กรณีศึกษาวิจัยถั่งเช่ากับอาการภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัสอักเสบ

  • ถั่งเช่าช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยหอบหืดเรื้อรังและโรคปอด จากการทดสอบจากกลุ่มผู้ป่วย 120 คน โดยแบ่งเป็นสองกลุ่ม ๆ ละเท่า ๆ ให้กลุ่มแรก 60 คนรับประทานถั่งเช่าติดต่อกันทุกวันเป็นระยะเวลา 3 เดือน อีกกลุ่มได้ทานยาหลอก นักวิจัยพบว่ากลุ่มที่รับประทานถั่งเช่ามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากการทดสอบ AQLQ อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก นักวิจัยสรุปผลการทดสอบว่า ถั่งเช่าช่วยบรรเทาโรคหอบหืด และลดการอักเสบในกลุ่มผู้ป่วยโรคหอบหืดระดับกลางถึงรุนแรงได้จริง ส่วนในกลุ่มผู้ป่วยโรคปอดลดการอักเสบในกลุ่มผู้ป่วยโรคปอดลดลง
  • จากการทดลองในหนู นักวิจัยพบว่าถั่งเช่าสกัดนั้น ยังช่วยลดอาการอักเสบในระบบทางเดินหายใจได้อีกด้วย

กรณีศึกษาวิจัยถั่งเช่ากับภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

  • การทดลองของนักวิจัยในประเทศแคนนาดา นักวิจัยพบว่าถั่งเช่าช่วยเสริมการทำงานของเม็ดเลือดขาวและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในหนูได้จริง

กรณีศึกษาวิจัยถั่งเช่ากับการชะลอวัย

  • นักวิจัยได้มีการนำสาร cordycepin ที่พบในถั่งเช่า มาทดสอบการยับยั้งผลกระทบจากแสงแดดที่มีต่อผิว ผลการทดสอบปรากฏว่าสาร cordycepin สามารถป้องกันการเหนี่ยวนำการสร้าง MMP เมื่อผิวโดนรังสี UVB ได้ ซึ่งก็คือสามารถป้องกันการเสื่อมของผิวหนังเมื่อโดนแสงแดดได้ ให้แก่ช้าลง ผิวพรรณสดใส ไม่ให้ผิวหนังเสื่อมเร็ว
    กรณีศึกษาวิจัยถั่งเช่ากับอัมพฤกษ์ อัมพาต การป้องกันการแข็งตัวของเกล็ดเลือด
  • จากการทดลองในหลอดทดลอง นักวิจัยพบว่าสารโพลีแซคคาไรด์ ( Polysaccharides ) ในถั่งเช่ามีประสิทธิภาพในการช่วยป้องกันการจับตัวของเกล็ดเลือดได้เป็นอย่างดี ซึ่งผลก็คือสารโพลีแซคคาไรด์ ( Polysaccharides ) เข้าไปแก้ปัญหาป้องกันการแข็งตัวของเกล็ดเลือดของผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาตได้เป็นอย่างดี

กรณีศึกษาวิจัยถั่งเช่ากับอาการความจำเสื่อม

  • นักวิจัยค้นพบว่าสาระสำคัญในถั่งเช่านั้น ช่วยลดการตายของเซลล์สมอง อันเป็นต้นเหตุของอาการความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ได้เป็นอย่างดี

ถั่งเช่า จึงจัดเป็นเห็ดทางการแพทย์ที่มีผลมากมายในเชิงการรักษาและมีความปลอดภัยสูง ถึงขนาดจัดได้ว่าเป็นเห็ดที่ไม่มีความเป็นพิษเลย ไม่เคยมีงานวิจัยหรือรายงานทางการแพทย์ระบุว่าพบความเป็นพิษในคนเลย แม้แต่การทดลองของนักวิจัยในหนูเพื่อหาค่า LD50 ก็ไม่สามารถหาค่าได้ เพราะไม่มีความเป็นพิษ ถึงขนาดทดสอบให้ถั่งเช่ากับหนูทดลองใน dose ที่สูงมาก ๆ ขนาด 80 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เทียบได้กับคนวัยผู้ใหญ่น้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม รับถั่งเช่าวันละ 4 กิโลกรัมต่อวัน ติดต่อกัน 7 วัน ผลการทดลองของนักวิจัยปรากฏว่าไม่มีหนูทดลองตัวไหนตายเลย นอกจากนี้ นายแพทย์จากศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้กล่าวไว้ใน www.bankkokhospital.com ว่า ” กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีการค้นพบผลข้างเคียงหรือผลทางด้านลบที่เป็นอันตรายของถั่งเช่าเลย ”

อีกการศึกษาของนักวิจัยที่ให้กระต่ายกินถั่งเช่าใน dose ที่สูงมาก ๆ ขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เทียบได้กับคนวัยผู้ใหญ่น้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม รับประทานถั่งเช่าวันละประมาณ 1,000 แคปซูล ติดต่อกันระยะเวลา 3 เดือน ผลการวิจัยคือตรวจไม่พบความผิดปกติใด ๆ ในกระต่ายเลยทั้งในระบบเลือด ไต หรือตับ จากการศึกษานักวิจัยยังพบอีกว่าถั่งเช่าที่สกัดเป็นของเหลว ไม่มีความเป็นพิษหรือส่งผลกระทบต่อเซลล์เม็ดเลือดขาว

เมนูเพื่อสุขภาพจากเห็ดถั่งเช่าสีทอง

  • ซี่โครงหมูตุ๋นเห็ดถั่งเช่าสีทอง
  • ข้าวต้มเห็ดถั่งเช่าสีทอง
  • เห็ดถั่งเช่าสีทองชุบแป้งทอดกรอบ
  • ผัดผักรวมมิตรเห็ดถั่งเช่าสีทอง
  • ไก่ดำตุ๋นยาจีนเห็ดถั่งเช่าสีทอง
  • ยำทะเลรวมใส่เห็ดถั่งเช่าสีทอง
  • ต้มยำทะเลน้ำข้นใส่เห็ดถั่งเช่าสีทอง
  • น้ำเห็ดถั่งเช่าสีทอง
  • ชาถั่งเช่า

สูตรชงชาถั่งเช่า

ส่วนผสม
1. เห็ดถั่งเช่า 7 กรัม หรือผงถั่วเช่า 1 ช้อนโต๊ะ
2. มะนาว 1/2 ลูก หรือน้ำมะนาว 2 ช้อนชา
3. ขิงสดหั่นแว่น 4 ชิ้น
4. น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย

วิธีการชงชาถั่งเช่าสีทอง

1. ต้มน้ำจนเดือด
2. ใส่เห็ดถั่งเช่าสีทองลงไปต้ม ประมาณ 10 นาที
3. ลดไฟลงเหลือปานกลาง แล้วใส่ขิงและน้ำมะนาวลงไป แช่ไว้อีกประมาณ 5 นาที
4. หลังจากนั้นตักเอาเฉพาะน้ำใส่ถ้วย หรือแก้วพร้อมเสิร์ฟ

สรรพคุณจากสารทางยาของถั่งเช่าสีทอง

1. Polysaccharide ช่วยป้องกัน และรักษามะเร็ง ต่อต้านเซลล์มะเร็ง และ ลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ บำรุงปอด ลดอาการไอ บรรเทาอาการเจ็บแน่น หน้าอก
2. Adenosine ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน บำรุงร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่น แก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยบำรุงผนังเส้นเลือด เพิ่มความยืดหยุ่น ควบคุมการไหลเวียนของเลือดให้มีความสมดุล ช่วยป้องกันไขมันเลว ( LDL ) ไม่ให้เกาะผนังหลอดเลือด กระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด ช่วยขยายหลอดเลือดและเพิ่มปริมาณ oxygen ในเม็ดเลือดแดงให้สามารถนำพาออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงปอดและหัวใจได้มากขึ้น Adenosine ในถั่งเช่ายังมีสรรพคุณช่วยลดความหนืดข้น ของเลือด อันเป็นต้นเหตุของโรคความดันโลหิตสูงอีกด้วย
3. Glutathione peroxide ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ชราและ ความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
4. cordycepin ช่วยในการนอนหลับ บำรุงประสาท ช่วยในเรื่องระบบทางเดินหายใจ แก้อาการไอเรื้อรัง อันเนื่องมาจาก ถุงลมโป่งพอง และรักษาอาการของ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ช่วยละลายเสมหะ ลดน้ำมูก หยุดอาการเลือดออกทางเสมหะ
5. Amino acid ป้องกันโรคความจำเสื่อม อัลไซเมอร์ ช่วยลดการตายของเซลล์สมอง
6. Cordycepic acid ช่วยบรรเทา และ รักษาอาการของโรคหอบหืด ภูมิแพ้ แพ้อากาศ
7. Beta glucan มีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบอวัยวะภายใน อาการผิดปกติในระบบปอด และหัวใจ มีฤทธิ์ในการช่วยยับยั้งพิษ จากแบคทีเรีย ไวรัสและเชื้อราแกรม (ลบ) รวมไปถึงอาการของวัณโรคด้วย
8. Sterol ช่วยลดความดันโลหิต อาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ช่วยต่อต้านไม่ให้เกิดไขมันเกาะตัวในหลอดเลือดและผนังหลอดเลือดจากการถูกออกซิไดซ์โดยอนุมูลอิสระ
9. Ergosterol ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้ร่างกาย ของผู้ป่วยเบาหวาน มีความไวต่ออินซูลินมากขึ้น ช่วยจัดการน้ำตาลในร่างกายได้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อตับ
10. Beta-sitosterol ช่วยลดระดับ คอเลสเตอรอลในเลือด และรักษาสมดุลของ คอเลสเตอรอลในหลอดเลือด
11. Polysaccharide ช่วยบำรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของตับและไตให้ทำงานได้ดีขึ้น รวมทั้งวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ในถั่งเช่าสีทองยังช่วยผู้ที่มีอาการหยางพร่องในไตหรืออาการปวดหลัง กลัวหนาว หัวเข่าเย็น หรือปัสสาวะบ่อย ทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น
12. Beta glucan , adenosine จากงานวิจัยพบว่าช่วยให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้อรังมีอาการดีขึ้นมากถึง 51% หลังจากรับประทานถั่งเช่าเพียง 1 เดือน
13. Cordycepic acid + Thiobarbituric acid ช่วยเพิ่มสมรรถนะในการออกกำลังกาย เล่นกีฬาหรือการวิ่งมาราธอนของนักวิ่งให้ดียิ่งขึ้น
14. Nitric Oxide , adenosine , amino acid ประโยชน์ถั่งเช่าสำหรับสตรี ใช้เป็นยาบำรุง ช่วยทำให้มีบุตรง่ายขึ้น ช่วยปรับประจำเดือน ทำให้เลือดลมเดินดีขึ้น
15. Zn-SOD , Nitric Oxide , Sodiumcitrate มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนต่าง ๆ จากต่อมไร้ท่อ ต่อมใต้สมอง และต่อม pituatary ที่ช่วยในด้านการเจริญเติบโต ความสูง และ ฮอร์โมนเอสโตรเจน  เทสโตสเทอโรน ที่ดูแลด้านพัฒนาการทางเพศในวัยเจริญพันธุ์ ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น สามารถช่วยบำรุงกำลัง ช่วยเพิ่มจำนวนสเปิร์มและเสริมให้สเปิร์มมีความแข็งแรง ช่วยลดปัญหาด้านการมีบุตรยาก ช่วยบำรุงและฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศทั้งในเพศหญิงและเพศชาย

บุคคลที่ไม่แนะนำให้รับประทานถั่งเช่า

  • ผู้ที่แพ้เห็ด
  • ผู้ที่ทานยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด เพราะถั่งเช่ามีฤทธิ์ลดการเกาะตัวกันของลิ่มเลือด ทำให้เกิดการเสริมฤทธิ์กันได้
  • ผู้ที่กำลังรับยาลดน้ำตาลในเลือด เพราะถั่งเช่าลดน้ำตาลในเลือดได้ดีมาก ถ้าทานคู่กับยาลดน้ำตาลอีก อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงมากเกินไป
  • ผู้ที่กำลังรับยากดภูมิคุ้มกัน หรือผู้ที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันต้านตนเอง เพราะถั่งเช่ามีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
  • เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ผู้ให้นมบุตร และสตรีมีครรภ์

เคล็ดลับคำแนะนำสำหรับการปลูกถั่งเช่าเป็นอาชีพเสริม

การเพาะถั่งเช่า หรือเห็ดถั่งเช่า ( Cordyceps militaris ) เป็นอาชีพเสริมซึ่งสามารถสร้างรายได้
ให้กับหลายๆ ท่านที่กำลังสนใจ เนื่องจากสรรพคุณด้านบำรุงสุขภาพทำให้ถั่งเช่าเป็นที่ต้องการจำนวนมาก โดยเฉพาะนำไปแปรรูปเป็นชา เครื่องดื่มบำรุงร่างกาย และอาหารเสริมทำให้ถั่งเช่ามีราคาแพงตามไปด้วย และสิ่งที่สำคัญควรศึกษาสายพันธุ์ที่กำลังได้รับความนิยม

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.bankkokhospital.com

ข้อมูลงานวิจัยและผลงานวิจัย (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.pharmacy.mahidol.ac.th

Zhu JS, Halpern GM, Jones K. The scientific rediscovery of a precious ancient Chinese herbal regimen: Cordyceps sinensis: part II. J Altern Complem Med. 1998;4:429–457.

Koh JH, Kim JM, Chang UJ, Suh HJ. Hypocholesterolemic effect of hot-water extract from mycelia of Cordyceps sinensis. Biol Pharm Bull. 2003;26:4–87.

Cordycepin Increases Nonrapid Eye Movement Sleep via Adenosine Receptors in Rats. Hu Z1, Lee CI, Shah VK, Oh EH, Han JY, Bae JR, Lee K, Chong MS, Hong JT, Oh KW.

The extract of Cordyceps sinensis inhibited airway inflammation by blocking NF-κB activity. Chiou YL1, Lin CY.

Immune activation by a sterile aqueous extract of Cordyceps sinensis: mechanism of action. Jordan JL1, Sullivan AM, Lee TD.

Wan F, Guo Y, Deng X. (1998). Chinese Traditional Patented Med. 9: 29-31.

Jiang JC. Gao YF. Summary of treatment of 37 chronic renal dysfunction patients with Jin Shui Bao. J Admin Traditional Chin Med. 1995;5:23–24.

มะกอกป่า (Hog plum) สมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

0
มะกอกป่า (Hog plum) สมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
ผลมะกอกป่า ( Hog plum )
มะกอกป่า ( Hog plum ) ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ยอดอ่อนมีรสเปรี้ยวกินเป็นผักสด ผลรูปไข่ เมล็ดแข็ง รอบเมล็ดมีเสี้ยนแข็ง เนื้อในเมื่อสุกสีเหลือง รสเปรี้ยว กลิ่นหอม ใช้ปรุงอาหารและใช้ทำยา

มะกอกป่า คือ

มะกอกป่า หรือที่นิยมเรียกว่า “มะกอก” (Hog Plum) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Spondias pinnata (L. f.) Kurz จัดอยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับมะม่วง มะกอกป่าเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่ อายุหลายปี พบได้ทั่วไปในป่าดิบชื้นแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยต้นมะกอกจะเริ่มออกดอกช่วงต้นฤดูฝนประมาณเดือนเมษายนถึงมิถุนายน และทยอยบานจนถึงฤดูหนาว ส่วนใหญ่จะออกดอกและติดผลมากในช่วงปลายฤดูหนาว

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ลำต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ประเภทผลัดใบ แตกกิ่งน้อย ทรงพุ่มมีลักษณะทรงกลม ทรงพุ่มหนาลำต้นมีลักษณะทรงกลม และตั้งตรง สูงประมาณ 15 – 25 เมตร หรือมากกว่า เปลือกลำต้นหนา มีสีเทาอมน้ำตาลหรือสีเทาอมดำ
ใบ ประกอบแบบขนนกชั้นเดียว มีก้านใบหลักออกเรียงสลับกันยาวประมาณ 5 – 25 เซนติเมตร มีลักษณะ
ทรงรีเรียว โคนใบแหลม ปลายใบเรียวแหลม ใบเรียบลื่น จะมีใบอ่อนและยอดอ่อนสีน้ำตาลแดง ใบแก่มีสี
เขียว
ดอก ออกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่ง เป็นดอกแยกเพศบนช่อดอกเดียวกัน ดอกอ่อนมีลักษณะกลมสีเขียวสด
เมื่อบานจะมีสีขาวอมครีม ฐานดกมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เป็นรูปถ้วย ส่วนกลีบดอกถัดมามี 5 กลีบ แต่ละกลีบ
มีลักษณะทรงรี ปลายกลีบแหลม ตรงกลางมีเกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย แต่แยกดอกกัน
ผล ออกเป็นช่อลักษณะทรงรูปไข่หรือกลมรี ขนาดผล 2.5 – 3.5 เซนติเมตร ยาว 3 – 5 เซนติเมตร เปลือกผลบาง เป็นมัน ผลอ่อนมีสีเขียวสด ผลแก่หรือผลสุกมีสีเขียวอมเหลือง และมีจุดประสีน้ำตาลอบผล
เมล็ด มีลักษณะรูปทรงยาวรี อยู่ข้างในเนื้อ เปลือกเมล็ดใหญ่แข็ง มีสีน้ำตาลอ่อน
ราก เป็นระบบรากแก้ว มีลักษณะกลม แทงลึกลงในดิน มีรากแขนงและรากฝอยเล็กๆ ออกตามแนวราบ มีสีน้ำตาล

สรรพคุณของมะกอก

  • สรรพคุณของมะกอกช่วยแก้อาเจียน
  • ช่วยบำรุงสายตา
  • ช่วยเจริญอาหาร
  • ช่วยแก้โรคผิวหนัง
  • ช่วยแก้อาการปวดหู
  • ช่วยแก้อาการร้อนใน
  • ช่วยแก้อาการท้องเสีย
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระ
  • ช่วยแก้อาการปวดท้อง
  • ช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน
  • ช่วยบำรุงธาตุ บำรุงร่างกาย
  • ช่วยดับกระหายน้ำ ทำให้ชุ่มคอ
  • ช่วยแก้น้ำเหลือง ช่วยสมานแผล
  • ช่วยบรรเทาอาการหวัดได้ทุกชนิด
  • ช่วยป้องกันความเสื่อมของดวงตา
  • ช่วยแก้โรคปวดตามข้อ ปวดตามกระดูก
  • ช่วยรักษาและป้องกันโรคที่ขาดแคลเซียม
  • ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มในร่างกายให้ดีขึ้น

การใช้ประโยชน์

ยอดอ่อนและใบอ่อน ใช้รับประทานเป็นผักสด กินกับส้มตำ ลาบ ยำ อาหารที่มีรสจัด ผลสด มีรสเปรี้ยว
ใช้ตำน้ำพริก ส้มตำ และปรุงอาหารอื่นๆ ที่ต้องการรสเปรี้ยว
การใช้ประโยชน์ด้านสมุนไพร ใช้ใบเคี้ยวกินแก้ท้องเสีย ผล เปลือก ใบ กินเป็นยาบำรุงตา ช่วยให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำเลือดออกตามไรฟัน เนื้อในผลแก้ธาตุพิการ เปลือกดับพิษกาฬแก้ร้อนใน

คุณค่าทางสารอาหารของมะกอก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

มะกอก/มะกอกป่า (Hog plum) สรรพคุณ และการปลูกมะกอก (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://puechkaset.com. [22 กรกฎาคม 2562]

มะกอกป่า (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.thai-thaifood.com. [22 กรกฎาคม 2562]

ผักติ้ว ผักพื้นบ้าน ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ

0
ผักติ้ว ผักพื้นบ้าน ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ
ผักติ้ว ( Tio Vegetables ) คือ ผักพื้นบ้านที่คนส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้บริโภค มีรสเปรี้ยวใช้แทนใบมะขามหรือมะนาว ยอดอ่อนมารับประทานเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก มีฤทธิ์สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ และไม่ทำลายเซลล์ดีในร่างกาย
ผักติ้ว ผักพื้นบ้าน ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ
ผักติ้ว ( Tio Vegetables ) คือ ผักพื้นบ้านที่คนส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้บริโภค มีฤทธิ์สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ และไม่ทำลายเซลล์ดีในร่างกาย

ผักติ้ว

ผักติ้ว ( Tio Vegetables ) คือ ผักพื้นบ้านที่คนส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้บริโภค ถิ่นกำเนิดของผักติ้วพบแพร่กระจายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย ลาว พม่า และเวียดนาม ในประเทศไทยพบได้ในทุกภาค แต่พบมากในภาคเหนือ และอีสาน เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ นิยมนำเอาส่วนของใบอ่อน ยอดอ่อน และดอกอ่อนมาปรุงอาหารให้มีรสเปรี้ยวใช้แทนใบมะขามหรือมะนาวได้ เช่น แกงเห็ด หรือต้มยำต่างๆ เช่น ต้มยำปลาต้มยำกบ ต้มยำไก่บ้าน ดอกอ่อนของผักติ้วนิยมนำมาทำซุบหรือยำ หรืออาจนำยอดอ่อนมารับประทานเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก มีงานวิจัยพบว่าผักติ้วมีฤทธิ์สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ และไม่ทำลายเซลล์ดีในร่างกาย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cratoxylum formosum ( Jack ) Dyer ssp.
อยู่ในวงศ์ตระกลู Guttiferae
ฤดูการผลัดใบแตกยอดอ่อน และออกดอก
ฤดูฝน : เริ่มต้นประมาณกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม
ฤดูหนาว : เริ่มต้นประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ลำต้น ผักติ้ว จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง มีลำต้นสูงประมาณ 2 – 15 เมตร หรือมากกว่า ลำต้นตั้งตรง มีหนามแหลมเป็นแทงยื่นออกมาจากลำต้น เปลือกลำต้นแตกสะเก็ดเป็นแผ่น สีน้ำตาลอมดำ ส่วนกิ่งแขนงมีขนาดเล็ก กิ่งแขนงอ่อนหรือกิ่งบริเวณปลายยอดอ่อนมีสีม่วง ส่วนกิ่งแขนงแก่จะมีสีน้ำตาลอมเทาหรือสีเทา ถ้ากระเทาะเปลือกออกจะพบยางสีแดงซึมออกมาจากลำต้น
ใบ เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ แตกออกเป็นใบเดี่ยวๆเรียงเยื้องสลับข้างกันบนกิ่ง ใบมีมีรูปหอกหรือขอบขนาน มีก้านใบสีม่วงอมแดง ยาวประมาณ 1 – 2 เซนติเมตร แผ่น และขอบใบเรียบ ใบอ่อนมีสีแดงอมม่วง และเป็นมัน ปลายใบมน
ดอก ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุกตามกิ่งเหนือรอยแผลของใบ กลีบดอกเป็นสีขาวอมสีชมพูอ่อนถึงสีแดง กลีบดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกตามซากใบ หลุดร่วงได้ง่าย ดอกมีอยู่ 5 กลีบ เมื่อดอกบานจะขยายออกประมาณ 1.2 เซนติเมตร ก้านดอกเรียวเล็กและมีกาบเล็กๆ ที่ฐานกลีบด้านใน ดอกมีเกสรตัวผู้สีเหลืองสั้นๆ อยู่จำนวนมาก ก้านเกสรเชื่อมติดกันเป็นกลุ่ม 3 กลุ่ม ส่วนเกสรตัวเมีย ก้านเกสรเป็นสีเขียวอ่อนมี 3 อัน และมีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ ดอกมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวอ่อนปนสีแดง โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม
ผล ผักติ้วจะติด 1 ผล ใน 1 ดอก ผลมีรูปกระสวย ท้ายผลแหลมเล็ก ขนาดผลประมาณ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5 – 2 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีม่วงอมแดง ผลแก่มีสีดำหรือน้ำตาลอมดำ ขั้วผลมีกลีบเลี้ยงหุ้มผล และเมื่อแห้งจะปริแตกออกเป็น 3 ร่อง ภายในมีเมล็ดสีน้ำตาลอมดำ เมล็ดมีลักษณะโค้ง และมีปีก เรียงอัดกันแน่นหลายเมล็ด

สรรพคุณทางตำรับยาสมุนไพร

การใช้ประโยชน์จาก แก่นและลำต้น ใบ ดอก ราก และน้ำยางจากลำต้น

แก่นและลำต้น

  • ใช้แก่นไม้แช่น้ำดื่ม ช่วยแก้ปะดงเลือด ( เลือดไหลไม่หยุด )

ใบ

  • ช่วยขับลม
  • แก้อาการปวดท้อง
  • แก้ปวดเมื่อยตามข้อ
  • ป้องกันโรคในหลอดเลือด
  • ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะ
  • ช่วยต้านโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • ช่วยบำรุงตา ป้องกันโรคตาบอดตอนกลางคืน
  • ใบนำมาขยำ และใช้ทาแผล ช่วยรักษาบาดแผล
  • ใบนำมาตำผสมกับน้ำมันมะพร้าว ก่อนใช้ทารักษาโรคผิวหนังต่างๆ

ดอก

  • ช่วยต้านโรคมะเร็ง
  • แก้ปวดเมื่อยตามข้อ
  • ดอกใช้ทารักษาบาดแผล
  • ช่วยบำรุงเลือด ช่วยฟอกเลือด

ราก

น้ำยาง

  • ใช้น้ำยางช่วยสมานแผล
  • ใช้น้ำยางจากเปลือกไม้ทารักษาส้นเท้าแตก

ประโยชน์ของผักติ้ว

  • ช่วยบำรุงโลหิต ฟอกโลหิต
  • ช่วยแก้อาการปวดตามข้อ
  • ช่วยแก้เลือดไหลไม่หยุด
  • ช่วยต้านเซลล์มะเร็งตับ
  • ช่วยแก้ปัสสาวะขัด
  • ช่วยแก้ธาตุพิการ
  • ช่วยแก้อาการคัน
  • ช่วยแก้ปวดท้อง
  • ช่วยขับปัสสาวะ
  • ช่วยแก้ประดง   
  • ช่วยขับลม
  • ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอภายในร่างกาย
  • ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย และช่วยในการดูดซึมวิตามิน A, D, E, K
  • ช่วยป้องกันอาการท้องผูก
  • ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี
  • ช่วยบำรุงประสาท กล้ามเนื้อ และหัวใจให้ทำงานเป็นปกติ
  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของสายตา
  • ช่วยให้แผลหายเร็ว
  • ช่วยป้องกันอาการกระดูกหักง่ายในวัยสูงอายุ
  • ช่วยป้องกันและรักษาภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
  • ช่วยส่งเสริมสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรง

คุณค่าทางโภชนาการของผักติ้ว 100 กรัม ให้พลังงาน 58 กิโลแคลอรี

โปรตีน 2.4 กรัม
ไขมัน 1.7 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 8.2 กรัม
เส้นใยอาหาร 1.4 กรัม
น้ำ 85.7 กรัม
วิตามินเอ 7,500 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.67 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 3.1 มิลลิกรัม
วิตามินซี 56 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 67 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 2.5 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 19 มิลลิกรัม

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ผักติ้ว กับ 5 คุณประโยชน์และการรักษามะเร็ง (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://webdb.dmsc.moph.go.th [19 กรกฎาคม 2562].

ผักติ้ว/ติ้วขาว/ติ้วขน ประโยชน์ และสรรพคุณผักติ้ว (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://puechkaset.com [19 กรกฎาคม 2562].

ติ้ว (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://mablumbidherbs.blogspot.com [19 กรกฎาคม 2562].

พืชสกุลติ้ว คุณค่าที่มากกว่าผักพื้นบ้าน (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.tci-thaijo.org [19 กรกฎาคม 2562].

ติ้วขาว สำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.wisdomking.or.th [19 กรกฎาคม 2562].

มะแว้ง สมุนไพรรักษาอาการไอ

0
ต้นมะแว้ง สมุนไพรรักษาอาการไอ
มะแว้ง ( Brinjal ) นิยมนำมารับประทาน เพราะเชื่อว่ามีสรรพคุณทางยา เช่น มีฤทธิ์บรรเทาอาการไอ ทั้งในรูปแบบยาเม็ดและยาอม มะแว้งอุดมไปด้วยสารให้คุณประโยชน์
มะแว้ง สมุนไพรรักษาอาการไอ
ผลสดมีฤทธิ์บรรเทาอาการไอ ทั้งในรูปแบบยาเม็ดและยาอม อุดมไปด้วยสารให้คุณประโยชน์

มะแว้ง คือ

มะแว้ง ( Brinjal ) หรือ มะแว้งต้น ( Solanum Indicum ) มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า ( Solanum sanitwongsei Craib. ) เป็นพืชที่พบได้ตามท้องไร่ท้องนา หรือชาวบ้านนำมาปลูกไว้ตามบ้านเรือน และพบขึ้นเองตามธรรมชาติน้อย ซึ่งมีอายุ 2-5 ปี สูงประมาณ 1 เมตร ลำต้นมีขนาดเล็ก กลม เนื้อแข็ง สีเขียวอมเทา แตกกิ่งก้าน ทั้งต้นมีขนนุ่มสีเทาปกคลุม และมีหนามแหลม ขึ้นกระจายอยู่ทั่วต้นจะมีลูกสีเขียว และเวลาสุกจะมีสีแดง ยอดอ่อนและลูกสามารถนำมารับประทานได้ เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้กันมาแต่โบราณ โดยนำยอดอ่อนมาลวกจิ้มน้ำพริก หรือนำลูกสด 5-6 ผล มาโขลกให้ละเอียดแล้วคั้นน้ำ เติมเกลือลงไปเล็กน้อย ใช้จิบบ่อยเมื่อมีอาการไอ เพื่อบรรเทาอาการไอ ช่วยขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอผลรสขมขื่นเปรี้ยว นอกจากนี้ยังมีอีกชนิด คือ

มะแว้งเครือ ( Solanum Trilobatum ) มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า ( Solanum indicum Linn. ) เป็นไม้เลือยขนาดเล็ก อาศัยเลือยพาดไปตามพื้นดิน หรือค้างต่างๆ เช่น รั้ว และต้นไม้อื่นๆ แต่ไม่มีมือเกาะ ( มีลักษณะเป็นเส้นเล็กๆ คล้ายหนวด แตกออกบริเวณข้อของลำต้น ) เหมือนกับไม้เลื้อยบางชนิดเป็นพืชตระกูลเดียวกับมะเขือ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ผลทรงกลม ผิวเรียบเกลี้ยงเป็นมัน เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ภายในผลมีเมล็ดทรงกลมแบน สีน้ำตาลอ่อน ขนาดเล็กอยู่เป็นจำนวนมาก

สรรรพคุณตำรายาไทย

ผลสุก : รสขื่นขม กัดเสมหะในลำคอ แก้ไอ
ผลสด : รสขื่น ขม บำรุงน้ำดี

  • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยบำรุงเลือด
  • ช่วยบำรุงน้ำดี
  • ช่วยทำให้เจริญอาหาร
  • ช่วยขับปัสสาวะ
  • ช่วยแก้พาร์กินสัน
  • ช่วยแก้วัณโรค
  • ช่วยบรรเทาอาการคัน
  • ช่วยแก้กระหายน้ำ
  • ช่วยบำรุงน้ำดี
  • ช่วยแก้ไอได้ละลายเสมหะ
  • ช่วยให้ชุ่มคอ
  • ช่วยแก้น้ำลายเหนียว
  • ช่วยขับลม
  • ช่วยแก้โรคเบาหวาน
  • ช่วยละลายก้อนนิ่ว
  • ช่วยแก้ไข้สารพัดพิษ
  • ช่วยแก้แน่นท้อง จุกเสียด
  • ช่วยแก้ท้องอืดเฟ้อ
  • ช่วยขับพยาธิ

การศึกษาทางเภสัชวิทยา

มะแว้ง มีฤทธิ์ช่วยลดอาการปวด ลดไข้ ต้านการอักเสบ และกดระบบประสาทส่วนกลาง พบสารสกัดเมทานอลจากผลโดยใช้หนูทดลองทั้งเพศผู้และเพศเมีย แบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ตัว ทำการทดสอบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา 4 วิธี ได้แก่ ฤทธิ์ลดปวด ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฤทธิ์ลดไข้ และฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง

การทดสอบฤทธิ์ลดปวดในหนูทดลอง ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยสกัดผลด้วยตัวทำละลายชนิดต่างๆ ได้แก่ น้ำ เมทานอล เอทานอล แล้วนำสารที่สกัดได้มาทดสอบฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลอง ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดน้ำ สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดกระต่ายได้หลังจากกระต่ายได้รับสารสกัดสมุนไพร 2 ชั่วโมง โดยสารสกัดสมุนไพรที่สกัดด้วยเอทานอล ลดระดับน้ำตาลได้หลังจากกระต่ายได้รับ 2  3 และ 4 ชั่วโมง จากผลการทดลองนี้แสดงว่าสารสกัดจาผล สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้

คุณค่าทางโภชนาการ

ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต เส้นใย โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอาซิน วิตามินซี มีสารประกอบประเภทสเตียรอยดฅ์ เช่น เบต้า-ซิโตสเตอรอล ( Beta-sitosterol )ไดออสเจนิน ( diosgenin ) สารอัลลาลอยด์โซลานีน ( solnine ) และโซลานิดีน ( solanidine )

วิธีการรับประทาน

สูตรที่ 1
ส่วนผสม และขั้นตอนการทำ
1. เตรียมผล 2 กรัม ล้างให้สะอาด
2. นําผลที่ได้ไปตากแดดจนแห้ง
3. นําผลที่ได้เด็ดขัว แล้วบดให้ละเอียด ชั่งใส่ถุงชา 2 – 2.5 กรัม หรือที่กรองชา

สูตรที่ 2
ส่วนผสม และขั้นตอนการทำ
1. เตรียมผล 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ถ้วย น้ำปูนใส 1 ถ้วย โดยนําผลแก่เด็ดขัวออกให้หมด ล้างให้สะอาด
2. นําผลที่ได้ไปแช่นําปูนใสประมาณ 3 ชั่วโมง แล้วผึ่งให้แห้ง
3. นําผลใส่ขวด เทนําผึ้งให้ท่วมผล ปิดฝาให้สนิท

สูตรที่ 3
ส่วนผสม และขั้นตอนการทำ
1. เตรียมผล 2 กรัม ล้างให้สะอาด และดอกเก็กฮวยแห้ง
2. นําผลที่ได้ไปตากแดดจนแห้ง
3. นําผลที่ได้เด็ดขัว บดให้ละเอียด ชั่งใส่ถุงชา 2 – 2.5 กรัม และดอกเก๊กฮวย หรือที่กรองชา

สั่งซื้อ อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

มะ แว้ง ต้น (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://www.thaicrudedrug.com [27 มิถุนายน 2562].

มะ แว้ง ต้น (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://www.phargarden.com [27 มิถุนายน 2562].

มะ แว้ง (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://natres.psu.ac.th [27 มิถุนายน 2562].

สาบเสือ วัชพืชมหัศจรรย์ ช่วยบำรุงหัวใจ

0
สาบเสือ ( Bitter Bush, Siam Weed ) เป็นวัชพืชที่พบได้ทั่วไป ซึ่งสารสกัดในใบสาบเสือมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ ต้านอนุมูลอิสระ ลดความดันโลหิต ลดเบาหวาน และฤทธิ์ในการสมานแผล
สาบเสือ วัชพืชมหัศจรรย์ ช่วยบำรุงหัวใจ
สาบเสือ เป็นวัชพืชที่พบได้ทั่วไป มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ ต้านอนุมูลอิสระ ลดความดันโลหิต ลดเบาหวาน และฤทธิ์ในการสมานแผล

ต้นสาบเสือ คุณประโยชน์ สมุนไพรพื้นบ้าน

สาบเสือ ( Bitter Bush , Siam Weed ) คือ วัชพืชที่พบได้ทั่วไปในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยของเราด้วยเป็นพรรณไม้ล้มลุก ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขามากมายจนดูเป็นทรงพุ่ม มีขนนุ่มประปรายขึ้นตามลำต้นและกิ่งก้านสาขา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eupatorium odoratum L.
ชื่อพ้อง : E. odoratum (L.f.) Koster ; Chromolaena odorata (L.) King & Robins.
วงศ์ : Compositae หรือ Asteraceae
ชื่อสามัญ : Siam weed, Bitter bush, Devil weed

ลักษณะต้นสาบเสือ

ลำต้นสูงประมาณ 3-5 ฟุต ใบ สาบเสือเป็นไม้ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ มีดอกสีขาวเด่นสะดุดตา มีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรค สมานแผลมาแต่โบราณ ปัจจุบันมีงานวิจัยพบว่ามีสารสกัดที่สำคัญในใบสาบเสือมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ ต้านอนุมูลอิสระ ลดความดันโลหิต ลดเบาหวาน และฤทธิ์ในการสมานแผล

สารสำคัญที่พบในใบสาบเสือมีอะไรบ้าง

จากการศึกษาทางด้านเคมีพบสารสำคัญหลายชนิด เช่น cadiene, alphapinene, alpha-camphor, limonene, cadinol ซึ่งสารที่พบในลำต้นสาบเสือประกอบด้วย eupatol, coumarin, eupatene, lupeol, flavone, salvigenin รวมถึงในใบยังพบสาร ceryl alcohol, trihydric alcohol, tannin, isosa kulanetin, odoratin, myrecene, calamenen
geijerene, pinene เป็นตัน

สรรพคุณทางยาต้นสาบเสือ ใบสาบเสือ ดอกสาบเสือสาระพัดประโยชน์

  • ใช้ปิดแผล
  • ใช้สมานแผล
  • แก้อักเสบ
  • แก้ตาแฉะ
  • แก้ตาฟาง
  • ช่วยแก้ไข้
  • ช่วยแก้ร้อนใน
  • แก้พิษน้ำเหลือง
  • ช่วยบำรุงหัวใจ
  • ช่วยแก้กระหายน้ำ
  • แก้ริดสีดวงทวาร
  • รักษาโรคลำไส
  • ขยี้ใส่แผลช่วยห้ามเลือด
  • ช่วยชูกำลัง แก้อาการอ่อนเพลีย
  • รักษาแผลไฟไหม้และแผลเปื่อยพุพอง

ประโยชน์ใบสาบเสือ

สมุนไพรที่มีคุณค่าทางยาช่วยรักษาโรคได้มากมาย ใช้ได้ทั้งภายนอกและภายใน ลำต้น ใบ ดอก ราก ล้วน ชาวบ้านใช้ใบอ่อนขยี้ปิดแผล ห้ามเลือด แก้ไข้ป่า มีกลิ่นฉุน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

มหัศจรรย์ต้นสาบเสือ! สมุนไพรไทยที่มากด้วยสรรพคุณ ที่คุณควรรู้ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.winnews.tv [20 สิงหาคม 2562].

วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม, 2548. พจนานุกรมสมุนไพรไทย. ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 6. รวมสาส์น (1977) จำกัด. กรุงเทพมหานคร.

น้ำนมราชสีห์ สมุนไพรแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง

0
น้ำนมราชสีห์ สมุนไพรแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง
น้ำนมราชสีห์ ( Garden spurge )เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้น เช่น ต้น ใบ ราก เก็บในฤดูร้อนล้างให้สะอาดตากแห้งเก็บเอาไว้ใช้ หรือใช้สด หรือใช้ยางจากลำต้น
น้ำนมราชสีห์ สมุนไพรแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง
น้ำนมราชสีห์ ( Garden spurge )เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้น

น้ำนมราชสีห์ คือ

น้ำนมราชสีห์ ( Garden spurge ) เป็น พืชล้มลุกขนาดเล็ก มีอายุ1ปี เป็นวัชพืชที่ขึ้นอยู่ทั่วไป ลักษณะลำต้นมีขนสีน้ำตาลปนเหลืองสูงประมาณ 15 – 40 ซม. ใบเรียงตรงข้าม ใบเดี่ยวออกทางซ้าย และขวา รูปรีปลายใบแหลมกว้าง 0.3 – 2.5 ซม. ยาวประมาณ 1 – 4 ซม. โคนใบสอบเบี้ยวเล็กน้อย ขอบใบหยักฟันเลื่อย ผิวใบมีขนทั้งสองด้าน ดอก ดอกช่อออกตามซอกใบ ดอกแยกเพศ ไม่มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยง ใบประดับเป็นรูปถ้วยสีเขียว เกสรตัวผู้มี 5 อัน เกสรตัวเมียมี 1 อัน รังไข่รูปกลมแกมสามเหลี่ยม มีท่อรังไข่ 3 อัน ผล ผลแห้งแตกได้ 3 พู ผลกลม

ชื่อพื้นเมือง Local name : น้ำนมราชสีห์ Nam nom raatchasee, นมราชสีห์ Nom raatchasee, ผักโขมแดง Phak khom daeng (Central); หญ้าน้ำหมึก Yaa nam muek (Northern); หญ้าหลังอึ่ง Yaa-lang-ueng (Shan-Mae Hong Son)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Euphorbia hirta L.
ชื่อสามัญ : Garden Spurge
วงศ์ : EUPHORBIACEAE
นิเวศวิทยา : พบขึ้นทั่วไปตามที่รกร้าง ริมทาง พื้นที่ทำการเกษตร
ออกดอก : ออกดอกได้ตลอดทั้งปี
การขยายพันธุ์ : ใช้เมล็ด

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของน้ำนมราชสีห์

  • ต้นน้ำนมราชสีห์ จัดเป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กมีอายุเพียงปีเดียว ลำต้นมีความยาวประมาณ 15-40 เซนติเมตร
  • ใบน้ำนมราชสีห์ ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงเป็นคู่ตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปรี รูปไข่ รูปขอบขนาน
    หรือรูปรีแกมข้าวหลามตัดเบี้ยวเล็กน้อย ใบมีความกว้างประมาณ 0.25-2.5 เซนติเมตร
  • ดอกน้ำนมราชสีห์ ออกดอกเป็นช่อบริเวณง่ามใบ มี 1-6 ช่อ มีดอกจำนวนมากออกชิดกันแน่นเป็นกระจุก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร
  • ผลน้ำนมราชสีห์ ผลมีลักษณะกลมแกมรูปสามเหลี่ยมหรือแบบแคปซูล มี 3 พู ยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตร
  • รากน้ำนมราชสีห์ รากมีลักษณะเป็นแขนงฝอยเล็กๆหงิกงอ มีประมาณ 30-50 ราก รากสีน้ำตาลแดงส่วนที่ใช้

ประโยชน์ของต้นน้ำนมราชสีห์

ต้นน้ำนมราชสีห์สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้น เช่น ต้น ใบ ราก เก็บในฤดูร้อนล้างให้สะอาดตากแห้งเก็บเอาไว้ใช้ หรือใช้สด หรือใช้ยางจากลำต้น

สรรพคุณทางยาของน้ำนมราชสีห์

  • ยางใช้กัดหูด ตาปลา
  • ช่วยขับน้ำนม
  • แก้ไข้มาลาเรีย
  • แก้โรคซางในเด็กเล็ก
  • แก้บิดมูกเลือด
  • แก้ขาเน่าเปื่อย
  • เป็นยาบำรุงกำลัง
  • ขับปัสสาวะ
  • แก้หอบหืด
  • แก้ไอหืด
  • ช่วยแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง
  • แก้เบาขัด หนองใน ปัสสาวะเป็นเลือด
  • แก้บาดแผลมีเลือดออก 
  • ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ
  • แก้ฝีมีหนองลึกๆ
  • แก้ฝีในปอด
  • แก้ฝีที่เต้านม

หากอยากใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรชนิดใดก็ตาม ควรอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของผู้รู้จริงที่สามารถให้คำปรึกษาวิธีการใช้ที่ถูกต้อง หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพและร่างกายของท่านด้วย

บทความที่เกี่ยวข้อง

เอกสารอ้างอิง

น้ำนมราชสีห์ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://www.rspg.or.th [26 มิถุนายน 2562].

น้ำนมราชสีห์ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://prayod.com/ [26 มิถุนายน 2562].

ส้มกบ พืชสมุนไพรรักษาโรคดีซ่านตัวเหลือง

0
ส้มกบ พืชสมุนไพรรักษาโรคดีซ่านตัวเหลือง
ส้มกบ เป็น วัชพืชชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุยและชุ่มชื้น มีสรรพคุณทางยามากมาย
ส้มกบ พืชสมุนไพรรักษาโรคดีซ่านตัวเหลือง
ส้มกบ เป็น วัชพืชชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุยและชุ่มชื้น มีสรรพคุณทางยามากมาย

ส้มกบ คือ

ส้มกบ ( Indian sorrel , Yellow wood sorrel , Creeping lady’s sorrel ) คือ วัชพืชชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ทั่วไป เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุยและชุ่มชื้น มีความสูง 2-3 นิ้ว เป็นพืชขนาดเล็กชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะ ขึ้นปกคลุมผิวดินเป็นกลุ่ม มีอายุหลายปี มีสรรพคุณทางยามากมาย

ชื่อสมุนไพร : ส้มกบ หรือ ผักแว่นเมืองจีน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oxalis corniculata L.
ชื่อวงศ์ : Oxalidaceae
การขยายพันธุ์ : ขยายพันธุ์โดยเมล็ด และลำต้นเลื้อยไปตามผิวดินบริเวณที่มีความชื้นสูงพบได้ทั่วไปตามสนามหญ้าทุ่งหญ้า ไร่ นา เรือนเพาะชำ มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนในแถบเอเชีย พบในประเทศอินเดีย จีน อินโดนีเซีย ปากีสถาน อัฟกานิสถาน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และไทย ในอินเดียมักพบตามทุ่งโล่ง ทุ่งหญ้า ริมแม่น้ำ ภูเขา และริมถนน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้น : เป็นพรรณไม้ขนาดเล็ก หรือเป็นหญ้าคล้ายผักแว่น ลำต้นจะเลื้อยแผ่ไปตามพื้นดิน แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ตามลำต้นจะมีขนอ่อน ๆ นุ่ม ๆ สีขาวปกคลุมอยู่ทั่วทั้งต้นและใบ ลำต้นยาวประมาณ 20 นิ้ว
ใบ : เป็นไม้ใบกระกอบ ก้านหนึ่งจะมีใบอยู่ 3 ใบ ซึ่งแต่ละใบนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับรูปหัวใจสีเขียว ก้านใบจะชูใบตั้งขึ้นยาวประมาณ 1-2 นิ้ว มีสีเขียวเช่นกัน
ดอก : ออกเป็นช่อ หรือบางทีก็ออกดอกเดี่ยว มีสีเหลือง และมีกลีบอยู่ 5 กลีบ ลักษณะของกลีบเป็นรูปหัวใจ หรือบางทีก็ปลายมน กลีบเลี้ยงสีเขียวมีอยู่ 5 กลีบ ก้านดอกยาวเท่ากับก้านใบได้ เกสรมี 10 อันอยู่กลางดอก
ผล : เป็นรูปแท่งทรงกระบอก ปลายแหลม และมีอยู่ 5 เหลี่ยม ยาวประมาณ 0.5-1 นิ้วตามผลจะมีขนอ่อน ๆ ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งผล มีสีเขียวอ่อน ๆ ออกขาว ๆ ภายในผลจะมีเมล็ดอยู่จำนวนมากเป็นรูปแบนรีสีน้ำตาล เมื่อผลแก่จะแตกออกและดีดเมล็ดกระเด็นไปได้ไกล ๆ
รสชาติ : เปรี้ยว

สรรพคุณในตำรายาของส้มกบ

  • ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย
  • ช่วยในการย่อยอาหารอีกด้วย
  • ใช้เป็นยาเย็นช่วยทำให้เจริญอาหาร
  • ช่วยแก้อาการปวดท้อง
  • ช่วยแก้อาการบิด
  • ช่วยรักษาอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือกระอักเลือด
  • ช่วยรักษาโรคนอนไม่หลับ ช่วยทำให้นอนหลับได้
  • ช่วยแก้อาการหวัด
  • ช่วยแก้ฝีในลำคอ
  • ช่วยดับพิษร้อนภายใน ช่วยถอนพิษ
  • ช่วยรักษาโรคดีซ่านตัวเหลือง
  • ช่วยแก้อาการร้อนใน แผลในปาก เพดาน และลิ้น
  • ช่วยแก้อาการเจ็บคอ
  • ช่วยขับเสมหะ

คุณค่าทางโภชนาการของส้มกบ

สมุนไพรส้มกบ หรือที่รู้จักในชื่ออินเดียนซอร์เรลถูกใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคมากมาย แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคไขข้อ โรคเกาต์ และนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ควรหลีกเลี่ยงการใช้สมุนไพรส้มกบ เพราะสมุนไพรชนิดนี้มีกรดออกซาลิกในระดับสูง รวมถึงยังมีคุณค่าทางโภชนาการ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี9 วิตามินซี กรดออกซาลิก แมกนีเซียม โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก โซเดียม แคลเซียม เส้นใยอาหาร ฟอสฟอรัส ไนอาซิน น้ำ เบต้าแคโรทีน และไขมัน

องค์ประกอบทางเคมีของส้มกบ

ส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญของ Indian Sorel ได้แก่ ฟลาโวนอยด์ ไฟโตสเตอรอล ฟีนอล แทนนิน ไอโซวิเทซีน ไวเทซีน และน้ำมันระเหย สมุนไพรส้มกบยังมีกรดไขมันจำเป็นต่างๆ เช่น กรดลิโนเลอิก กรดลิโนเลนิก กรดโอเลอิก กรดปาลมิติก ทาร์ทาริก กรดมาลิก กรดสเตียริก และกรดซิตริก

การใช้ส้มกบในการทำอาหาร หรือเครื่องดื่ม

  • ใช้ใบส้มกบที่มีรสเปรี้ยวชงดื่มได้โดยการแช่ใบในน้ำร้อนประมาณ 10 นาที แล้วเติมน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย
  • ใส่ใบส้มกบลงในสลัดจะได้รสชาติออกเปรี้วยหรือใช้แทนมะนาว หรือใช้เพื่อให้รสเปรี้ยวกับอาหารอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน

ข้อควรระวัง

  • หญิงมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้
  • หากใช้ยานี้ติดต่อกัน 2-3 วันแล้ว หากอาการยังไม่ดีขึ้นควรหยุดใช้และเปลี่ยนวิธีการรักษาใหม่
  • ไม่ควรรับประทานใบส้มกบในปริมาณมาก เนื่องจากกรดออกซาลิก ( Oxalic acid ) สามารถจับแคลเซียมที่ร่างกายได้รับ ซึ่งนำไปสู่การขาดสารอาหาร
    หากได้รับเข้าไปในปริมาณมากเกินไปอาการเป็นพิษจะเกิดภายหลังได้รับเพียง 1-2 วัน
  • เนื่องจากส้มกบ ( Indian sorrel) มีกรดออกซาลิก (Oxalic Corniculata) ที่มีความเข้มข้นสูง ผู้ที่เป็นโรคเกาต์ โรคไขข้อ และนิ่วหรือนิ่วในทางเดินปัสสาวะจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้สมุนไพรนี้

ผลข้างเคียง

การกินส้มกบอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกะเพาะอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ในปริมาณมากๆ แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน หากมีอาการควรรีบปรึกษาแพทย์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ส้มกบ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://thailand-an-field.blogspot.com [24 มิถุนายน 2562].

ส้มกบ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://termsuk.oonvalley.com [24 มิถุนายน 2562].

สมอพิเภก ( Belleric Myrobalan )

0
สมอพิเภก ( Belleric Myrobalan )
สมอพิเภก ( Belleric Myrobalan ) ผลสุกและเปลือกของสมอพิเภกมีสารแทนนินสูง หากรับประทานเกินขนาดทำให้มีอาการมึนเมา คลื่นไส้อาเจียน และทำให้หลับได้
สมอพิเภก ( Belleric Myrobalan )
สมอพิเภก ( Belleric Myrobalan ) ผลสุกและเปลือกของสมอพิเภกมีสารแทนนินสูง หากรับประทานเกินขนาดทำให้มีอาการมึนเมา คลื่นไส้อาเจียน และทำให้หลับได้

สมอพิเภก คือ

สมอพิเภก ( Belleric Myrobalan ) เป็น ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ผลัดใบ พบได้ทั่วไปตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตกและภาคกลาง ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Terminalia bellirica ( Gaertn. ) Roxb. ชื่อสามัญ Beleric myrobalan อยู่ในวงศ์ตระกูล Combretaceae พบว่าในผลสุกและเปลือกของสมอพิเภกมีสารแทนนินสูงถึง 42% เป็นสาร gallic acid, ellagic acid. ส่วนที่ใช้ประโยชน์ ได้แก่ ผลอ่อน ผลแก่ เมล็ดใน ใบ ดอก เปลือก แก่น ราก การขยายพันธุ์สมอพิเภกสามารถทำได้ 2 วิธี คือ การขยายพันธุ์โดยอาศัยเพศ โดยการเพาะเมล็ด และการขยายพันธุ์โดยวิธีไม่อาศัยเพศ โดยการปักชำและตอนกิ่ง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ลำต้น
เป็นพันธ์ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีลำต้นตั้งตรง ต้นเดียวแล้วจึงแตกกิ่งก้านบริเวณส่วนยอดแผ่กว้าง บริเวณโคนต้นมักมีรากค้ำยันเป็นหลักขนาดใหญ่ เปลือกหนาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ มีจุดสีขาวบริเวณรอบๆลำต้น เมื่อต้นสมอพิเภกมีอายุมากขึ้นผิวไม้ด้านนอกจะแตกเป็นร่องลึกเห็นชัด
ใบ
ใบสมอพิเภกเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนสลับกัน รูปไข่กลับ กว้าง 2-10 เซนติเมตร ยาว 4 – 16 เซนติเมตร ปลายใบมนกลมหรือแหลม โคนใบสอบแคบ เนื้อใบค่อนข้างหนาเป็นมัน มีเส้นใบ 6 – 8 คู่ ก้านใบมีความยาว 3 – 9 เซนติเมตร และมักมีตุ่มหูดเล็กๆอยู่กลางก้านใบหรือใกล้ๆโคนใบ จะทิ้งใบในเดือน พฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม และเริ่มแตกใบอ่อนขึ้นมาใหม่ช่วงในเดือนมีนาคมถึงเมษายน
ดอก
ดอกสมอพิเภกมีสีเหลืองมีขนาดเล็กออกเป็นช่อตามง่ามใบ ช่อดอกยาว 3 – 15 เซนติเมตร เป็นดอกย่อยไม่มีก้านดอก ดอกเพศผู้จะอยู่ที่ปลายช่อ ส่วนดอกสมบูรณ์เพศจะอยู่ที่โคนช่อ มีกลีบรองดอกเชื่อมติดกัน มีขนบริเวณด้านล่าง
ผล
มีลักษณะค่อนข้างกลมหรือรูปกลมรีออกรวมกันเป็นพวงโต เปลือกของผลมีลักษณะแข็งและมีขนละเอียดขึ้นเล็กน้อย
เมล็ด มีลักษณะเรียวยาวรูปวงรี กว้าง 0.5 เซนติเมตร และยาว 1.2 เซนติเมตร โดยสมอพิเภกจะออกดอกระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายน และผลจะแก่จัดในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน

สรรพคุณตำรายาไทย

  • ช่วยขับเสมหะ
  • ใช้เป็นยาระบาย ยาถ่าย
  • ช่วยลดความดันโลหิตสูง
  • ช่วยรักษาสิว
  • ทำให้ชุ่มคอ
  • ช่วยแก้โรคตา
  • ช่วยแก้ธาตุกำเริบ บำรุงธาตุ
  • ช่วยแก้ไข้
  • ช่วยแก้ริดสีดวง
  • ช่วยแก้ท้องร่วงท้องเดิน
  • ช่วยรักษาโรคท้องมาน
  • ช่วยแก้บิด แก้บิดมูกเลือด 

ประโยชน์ทางด้านตำรายาสมุนไพร

ใบ ใช้รักษาแผลติดเชื้อ
ดอก ใช้แก้ตาเปียกแฉะ
ราก ใช้แก้พิษโลหิต ซึ่งมีอาการทำให้ร้อน
เปลือกต้น ใช้แก้โรคเกี่ยวกับปัสสาวะพิการ
แก่นไม้ ใช้แก้โรคริดสีดวง ต้มน้ำดื่ม ช่วยขับปัสสาวะ ( มีรสฝาด )
ผลอ่อน ใช้แก้ไข้ แก้ลม เป็นยาระบาย ยาถ่าย ( มีรสเปรี้ยว )
ผลแก่ ใช้แก้โรคในตา บำรุงธาตุ แก้ไข้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก เป็นยาแก้ท้องร่วง ท้องเดิน ( มีรสฝาด )

การศึกษาทางพิษวิทยา

การทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดผลด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ( คิดเป็น 1,515 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน ) ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ และเมื่อให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมพบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง ( LD50 ) เท่ากับ 6.156 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

ข้อควรระวังในการใช้สมอพิเภก

ถ้ารับประทานสมอพิเภกเกินขนาดจะเป็นอันตรายได้ ทำให้มีอาการมึนเมา คลื่นไส้อาเจียน ผลหากใช้รับประทานมากๆ จะเป็นยาเสพติดและทำให้หลับได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

สมอพิเภก (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://www.dnp.go.th [25 กรกฎาคม 2562].

สมอพิเภก ประโยชน์ และสรรพคุณสมอพิเภก (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://puechkaset.com [25 กรกฎาคม 2562].

สมอพิเภก งานวิจัยและสรรพคุณ 18ข้อ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.disthai.com [24 กรกฎาคม 2562].

สมอพิเภก (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://www.qsbg.org [24 กรกฎาคม 2562].

สมอพิเภก สรรพคุณ รสยา ประโยชน์สมอพิเภก (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.karatbarsaec.com [25 กรกฎาคม 2562].

มะละกอผลไม้ดีท็อกซ์ เพื่อการลดน้ำหนักไม่ทำร้ายสุขภาพ

0
มะละกอ ผลไม้ลดน้ำหนัก และดีต่อการขับถ่าย
มะละกอ คือ ผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากทางอเมริกากลาง เป็นไม้ล้มลุก สามารถนำมารับประทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก นิยมนำมาปรุงเป็นอาหารหรือนำมาแปรรูป และอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
มะละกอ ผลไม้ลดน้ำหนัก และดีต่อการขับถ่าย
มะละกอ คือ ผลไม้ที่สามารถนำมารับประทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก นิยมนำมาปรุงเป็นอาหารหรือนำมาแปรรูป และอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

มะละกอ คือ

มะละกอ ( Papaya ) คือ มะละกอเป็นผลไม้มีเนื้อนุ่มสีเหลืองส้ม รสหวานสามารถกินได้ทั้งผลดิบ ผลสุก ผลไม้ชนิดนี้อยู่ในวงศ์ Caricaceae มีลักษณะทรงกลมอวบมีขนาดใหญ่ไปจนถึงเล็กเป็นผลไม้เมืองร้อนมะละกอมีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อนโดยมีต้นกำเนิดในเม็กซิโกและอเมริกาใต้อุดมด้วยสารอาหารมากมาย การกินมะละกอช่วยลดน้ำหนักได้ให้วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารที่จำเป็นต่อการย่อยอาหาร เมื่อระบบย่อยอาหารเริ่มทำงานได้ดีขึ้นส่งผลดีต่ออัตราการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้นและช่วยในการเผาผลาญไขมันของร่างกาย   

10 สายพันธุ์มะละกอที่ควรรู้

1. มะละกอฮอลแลนด์
2. มะละกอแขกดํา
3. มะละกอแขกนวล
4. มะละกอเรดเลดี้
5. มะละกอแขกดำศรีสะเกษ
6. มะละกอโซโล
7. มะละกอซันไรซ์
8. มะละกอพันธุ์ครั่ง
9. มะละกอโกโก้
10. มะละกอสีทอง

มะละกอมีสารอาหารสำคัญอะไรบ้าง?

มะละกอเป็นแหล่งวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี3 วิตามินบี5 วิตามินอี วิตามินเค โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ไฟเบอร์ วิตามินบี9 โพแทสเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม ไลโคปีน เบตาแคโรทีน ธาตุเหล็ก โซเดียม ลูทีนและซีแซนทีน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของมะละกอ

ลำต้น เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี ลำต้นตั้งตรง ด้านในกลวง ส่วนใหญ่จะไม่มีกิ่งก้าน ผิวเปลือกลำต้นสีเขียวอมเทาหากกรีดจะมียางสีขาว มีรอยแผลจากการหลุดของก้านใบตลอดลำต้น
ใบ เป็นใบเดี่ยว ก้านใบยาวเป็นท่อกลวง โคนใบเว้า ใบมีหลายแฉก ขอบใบแต่ละแฉกจะหยักลึก มีเส้นกลางใบและเส้นร่างแหของใบเห็นชัดเจนทุกแฉก ผิวใบสีเขียว ท้องใบสีเขียวเช่นกันแต่สีอ่อนกว่า
ดอก ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ กลรบดอกสีขาวนวล กลิ่นหอม ด้านดอกยาว มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกไม่สมบูรณ์เพศ
ผล มีลักษณะยาวเรียว ปลายแหลมกว่าหัว เปลือกบาง ผิวขรุขระ รอบผลอาจจะร่องตื้นๆเป็นระยะๆ ผลสดมีเนื้อสีขาว
เปลือกสีเขียว ผลสุก เปลือกจากมีสีเหลืองส้ม หรือเขียวอมเหลือง เนื้อด้านในสีส้มสด รสหวาน มีเมล็ดเป็นจำนวนมาก
เมล็ด รูปทรงกลมรี คล้ายไข่ เมล็ดอ่อนสีขาว เมล็ดแก่สีดำ มีเมือกหุ้ม

มะละกอ คือ ผลไม้ที่สามารถนำมารับประทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก นิยมนำมาปรุงเป็นอาหารหรือนำมาแปรรูป และอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

มะละกอลดความอ้วนได้

มะละกอสุกมีเอนไซม์ปาเปน ( Papain ) และเส้นใยอาหารมากมายช่วยในเรื่องกายย่อยโปรตีนในร่างกาย ช่วยล้างสำไส้ให้สะอาดขจัดไขมันตามผนังของลำไส้ มะละกอสุกจึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก

การลดความอ้วนด้วยผลไม้ ควรกินมะละกอช่วงไหนดีที่สุด

กินมะละกอเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดสำหรับการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ควรรับประทานมะละกอในช่วงอาหารเช้า เป็นของว่างระหว่างมื้อกลางวัน และมื้อเย็น เพราะในมะละกอมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เร่งการเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกาย อีกทั้งมะละกอ อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารจะทำให้คุณอิ่มนานขึ้นช่วยลดการกินของว่างให้น้อยลงและสามารถรักษาน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

ประโยชน์ 10 ประการของมะละกอที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

1.มะละกอมีประโยชน์ไม่ย่อย
มะละกอมีเอนไซม์ปาเปนซึ่งเป็นเอนไซม์ที่หลั่งจากตับอ่อนช่วยในการย่อยโปรตีนอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การกินมะละกอยังสามารถป้องกันอาการท้องผูกเพราะมีไฟเบอร์สูงช่วยในการย่อยอาหารได้อีกด้วย

2. มะละกอมีประโยชน์ต่อหัวใจ
มะละกออุดมไปด้วยวิตามินต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้หัวใจแข็งแรง ซึ่งวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอีมีส่วนป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดแดง นอกจากนี้มะละกอยังอุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนท์คือกลุ่มสารอาหารที่ได้จากผัก ผลไม้ 5 สี ที่มีผลดีต่อสุขภาพมากมาย อาทิ

  • สีแดง ให้ไลโคปีน กรดเอลลาจิก ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสุขภาพต่อมลูกหมาก สุขภาพดีเอ็นเอ เสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
  • สีเหลือง/ส้ม ให้เบต้าแคโรทีน เฮสเพอริดิน เสริมการทำงานระบบภูมิคุ้มกัน เสริมสุขภาพดวงตา ช่วยปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ รักษาความชุ่มชื้นของผิว ส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายอย่างสมบูรณ์แข็งแรง
  • สีเขียว ให้อีจีซีจี ลูทีน/ซีแซนทิน ไอโซฟลาโวน ไอโซไธโอไซยาเนท ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมสุขภาพของเซลล์ ส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือดแดง ส่งเสริมการทำงานของตับ และปอด
  • สีม่วง/น้ำเงิน ให้แอนโธไซยานิน เรสเวอราทรอล สารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสุขภาพหัวใจ สนับสนุนการทำงานของหลอดเลือดแดง ช่วยระบบความจำ
  • สีขาว ให้อัลลิซิน เควอซิทิน ช่วยเสริมสุขภาพกระดูก เสริมสุขภาพการไหลเวียนโลหิต สนับสนุนการทำงานของหลอดเลือดแดง

3. มะละกอมีประโยชน์ต่อมะเร็ง
การศึกษาพบว่าเอนไซม์ปาเปนในมะละกอสามารถป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และมีอีกหนึ่งงานวิจัยในการแพทย์อินเดียพบว่าสารสกัดเฮกเซนของเมล็ดมะละกอมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างสารซูเปอร์ออกไซด์ และมีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็ง ส่วนสารสกัดจากใบมะละกอเมื่อสัมผัสกับเซลล์มะเร็งบางชนิดผลการวิจัยพบว่าเซลล์แสดงการเติบโตของเนื้องอกที่ช้าลง

4. มะละกอมีประโยชน์ต่อประจำเดือน
ดื่มน้ำมะละกอในช่วงมีประจำเดือนจะช่วยในการกระตุ้นการไหลของประจำเดือน เนื่องจากน้ำมะละกอนั้นมีความร้อนสูงมะละกอสีเขียวหรือมะละกอที่ยังไม่สุกถือเป็นยาสามัญประจำบ้านใช้รักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติได้

5. มะละกอมีประโยชน์ต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ในเนื้อมะละกอมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยในการส่งเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย 

6. มะละกอมีประโยชน์ต่อโรคเบาหวาน
แม้ว่ามะละกอจะมีรสหวานอยู่บ้าง แต่มะละกอก็เหมาะสำหรับคนเป็นเบาหวานเพราะมะละกอมีปริมาณน้ำตาลต่ำ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อีกด้วย

7. มะละกอมีประโยชน์ในการลดน้ำหนัก
หากคุณกำลังหาวิธีลดน้ำหนักที่ไม่ทำร้ายสุขภาพอยู่นั้น เราของแนะนำการรับประทานมะละกอมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เร่งการเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกาย อีกทั้งมะละกออุดมไปด้วยเส้นใยอาหารจะทำให้คุณอิ่มนานขึ้นช่วยลดการกินของว่างให้น้อยลงและสามารถรักษาน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

8. มะละกอมีประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบ
เอนไซม์ปาเปน (Carica papaya) ที่พบในมะละกอมีประสิทธิภาพมากในการป้องกันโรคไขข้ออักเสบและโรคข้อเข่าเสื่อม นอกจากนี้ปริมาณวิตามินซีในมะละกอยังช่วยป้องกันข้อเข่าเสื่อม

9. มะละกอมีประโยชน์ต่อดวงตา
อุดมไปด้วยวิตามินเอทำให้มะละกอมีประโยชน์ต่อดวงตาช่วยบำรุงสายตาในผู้สูงอายุทำให้ดวงตาแข็งแรง

10. มะละกอมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ
อย่างที่ทราบกันดีมีผลิตภัณฑ์เพื่อความงามหลายยี่ห่อนิยมนำมะละกอซึ่งเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมายและที่สำคัญมีประโยชน์ต่อผิวพรรณช่วยลดปัญหาสิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตาย ช่วยกระชับผิวลดเลือนริ้วรอยก่อนวัย การทามะละกอดิบบดผสมกับน้ำผึ้งทิ้งไว้ 15 นาทีจะทำให้คุณมีผิวที่เปล่งปลั่ง

สรรพคุณของมะละกอ

  • มีฤทธิ์ต้านอักเสบ
  • ช่วยป้องกันโรคนิ่ว
  • ช่วยป้องกันไตเสื่อม
  • ช่วยในการย่อยอาหาร
  • ช่วยระบบทางเดินอาหาร
  • ช่วยบำรุงประสาทและสมอง
  • เมล็ดมะละกอใช้รักษามะเร็ง
  • ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน
  • ช่วยรักษาแผลพุพอง แผลไฟไหม้
  • ช่วยรักษาโรคกลาก เกลื้อน เท้าเปื่อย
  • ช่วยป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อม
  • ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอยู่เสมอ
  • ช่วยกระตุ้นในการผลิตน้ำนมในมารดาได้ดี
  • ช่วยชะลอความเสื่อมของผิว ลดเลือนริ้วรอยต่างๆ
  • ช่วยป้องกันโรคถุงลมปอดโป่งพอง และมะเร็งปอด
  • ใช้เป็นยาขับของเสียออกจากตับและบำรุงตับให้แข็งแรง

ตารางคุณค่าทางโภชนาการของมะละกอดิบ ต่อ 100 กรัม พลังงาน 43 กิโลแคลอรี่

คาร์โบไฮเดรต 10.82 กรัม
น้ำตาล 7.82 กรัม
เส้นใย 1.7 กรัม
ไขมัน 0.26 กรัม
โปรตีน 0.47 กรัม
วิตามินเอ 47 ไมโครกรัม
เบตาแคโรทีน 274 ไมโครกรัม
ลูทีนและซีแซนทีน 89 ไมโครกรัม
วิตามินบี 10.023 มิลลิกรัม
วิตามินบี 20.027 มิลลิกรัม
วิตามินบี 30.357 มิลลิกรัม
วิตามินบี 50.191 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.038 มิลลิกรัม
วิตามินบี 9 38 ไมโครกรัม
วิตามินซี 62 มิลลิกรัม
วิตามินอี 0.3 มิลลิกรัม
วิตามินเค 2.6 ไมโครกรัม
ธาตุแคลเซียม 20 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.25 มิลลิกรัม
ธาตุแมกนีเซียม 21 มิลลิกรัม
ธาตุแมงกานีส 0.04 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 10 มิลลิกรัม
ธาตุโพแทสเซียม 182 มิลลิกรัม
ธาตุโซเดียม 8 มิลลิกรัม
ธาตุสังกะสี 0.08 มิลลิกรัม
ไลโคปีน 1,828 ไมโครกรัม

ตารางคุณค่าทางโภชนาการของมะละกอสุก ต่อ 100 กรัม

โปรตีน 0.5 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
วิตามินซี 70 มิลลิกรัม
วิตามินบี 10.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี 20.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.4 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 24 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.6 มิลลิกรัม
ธาตุโซเดียม 4 มิลลิกรัม

ข้อควรระวัง

1. ไม่ควรรับประทานมะละกอสุกในปริมาณมากๆ หรือติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจจะทำให้ผิวของคุณเปลี่ยนเป็นสีเหลืองได้
2. สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานควรระมัดระวังในการรับประทานมะละกอ เพราะอาจส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดได้
3. หลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวหนังสัมผัสกับยางมะละกอ เพราะอาจเสี่ยงทำให้เกิดปัญหาต่อผิวหนังได้
4. สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์นั้น ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานมะละกอเพราะสารปาเปนที่อยู่ในมะละกออาจเป็นพิษต่อทารกน้อยในครรภ์
5. ผู้ที่มีอาการแพ้สารปาเปน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานมะละกอ
6. มะละกออาจเป็นอันตรายต่อสตรีมีครรภ์เนื่องจากอากาศร้อนและอาจนำไปสู่การหดตัวของมดลูกซึ่งอาจทำให้แท้งได้

แม้ว่ามะละกอจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีอีกหลายคนที่กินแล้วมีอาการนั่นอาจเกิดจากยางของมะละกอ เมื่อผู้ที่มีอาการแพ้น้ำยางสัมผัสโดยตรงอาจเกิดอาการแพ้ ได้แก่ คัน ลมพิษ คัดจมูกหรือน้ำมูกไหล บางรายที่แพ้มากๆ อาจทำให้เกิดอาการหอบเหนื่อย แน่นหน้าอก และหายใจลำบาก ส่วนใหญ่อาการจะเริ่มภายในไม่กี่นาทีหลังจากสัมผัสกับน้ำยางของมะละกอ แต่พบได้น้อยมาก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

14 สรรพคุณ…ประโยชน์ของมะละกอ แคลอรี่ต่ำ ประโยชน์สูง (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://sukkaphap-d.com [26 กรกฎาคม 2562].

มะละกอ ต้านอนุมูลอิสระ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.doctor.or.th [26 กรกฎาคม 2562].
สรรพคุณและประโยชน์ของมะละกอ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://sites.google.com [26 กรกฎาคม 2562].

อย่าทิ้งเด็ดขาด!!! ประโยชน์ของเมล็ดมะละกอ ของดีที่เรามองข้าม น่าเสียดายที่ทิ้งไปตั้งเยอะ!!! https://www.tnews.co.th [26 กรกฎาคม 2562].

ส้มแขก สมุนไพรขึ้นชื่อเรื่องลดน้ำหนัก

0
ส้มแขก สมุนไพรขึ้นชื่อเรื่องลดน้ำหนัก
ส้มแขก ( Garcinia ) เป็น ผลไม้ขนาดเล็กที่มีรสเปรี้ยว เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ Guttiferae สามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและลดความอยากอาหาร
ส้มแขก สมุนไพรขึ้นชื่อเรื่องลดน้ำหนัก
ผลไม้ขนาดเล็กที่มีรสเปรี้ยว เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ Guttiferae สามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและลดความอยากอาหาร

ส้มแขก

สมุนไพรส้มแขก ( Garcinia ) เป็นสมุนไพรที่มีจุดเด่นคือ ลดความอ้วน ลดน้ำหนักได้อย่างดี เพราะมีสารสำคัญที่มีชื่อว่า Hydroxycitric acid ( HCA ) ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งเอนไซม์ในกระบวนการสร้างไขมัน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น ดอก ผล ราก ใบ ลักษณะทั่วไป่ของผลมีขนาดเล็กที่มีรสเปรี้ยวเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางในวงศ์ Guttiferae เปลือกของต้นจะมีสีน้ำตาลดำ ลักษณะของใบจะเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ผลมีผิวเรียบ สีเขียว เมื่อแก่จะมีสีเหลือกแก่

ส้มแขก มีชื่อวิทยาศาสตร์ Garcinia atroviridis ชื่อสามัญ Garcinia ชื่อวงศ์ Guttiferae ชื่อตามท้องถิน ส้มควาย ส้มมะวน ชะมวงช้าง เป็นพืชสมุนไพรขนาดเล็กมีถิ่นกำเนิดในอินเดีย และในประเทศไทยมีปลูกมากทางภาคใต้ ผลมีรสเปรี้ยวใช้ปรุงอาหาร ซึ่งพบสารสกัดจากธรรมชาติ คือ กรดไฮดรอกซีซิตริกอยู่มากกว่า 70% ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายเป็นสมุนไพรที่มี HCA ในปริมาณที่มาก นอกจากนี้สารสกัดตัวนี้ยังสามารถละลายน้ำได้ 100% ทำให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและลดความอยากอาหาร นิยมนำมาเป็นส่วนผสมของอาหารเสริมกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของส้มแขก

ลำต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใย ทรงพุ่ม เป็นไม้เนื้อแข็ง หากเป็นต้นอ่อนจะมีสีเขียว หากแก่แล้วจะมีสีน้ำตาลอมดำ มียางสีเหลือง สูงประมาณ 5 – 14 เมตร
ใบ เป็นใบเดี่ยวออกสลับกันซ้ายขวา รูปวงรีขนาดใหญ่ ใบเรียบผิวมัน ปลายแหลม ใบอ่อนสีแดงอมส้ม ใบแก่เป็นสีเขียวเข้ม
ดอก มีทั้งดอกตัวผู้และตัวเมียในต้นเดียวกัน ดอกเพศผู้มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ ด้านในสีแดง ด้านนอกมีสีเขียวมีเกสรเพศผู้เรียงอยู่บนฐานรองดอก ส่วนดอกเพศเมียเป็นดอกเดี่ยวแทงออกจากปลายกิ่ง มีขนาดเล็กกว่า ดอกเพศผู้ รังไข่มีรูปทรงกระบอก
ผล เป็นผลเดี่ยวผิวเรียบสีเขียว เมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแก่ มีขนาดใกล้เคียงกับผลกระท้อน เปลือกของผลเป็นร่องตามแนวขั้วไปยังปลายผล

การขยายพันธุ์ : สามารถขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด การแตกหน่อ การติดตา และการต่อยอด
การแปรรูป : สามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่ การแปรรูปเป็นแบบแห้ง ( ผงส้มแขก ) การแปรรูปทำเป็นน้ำส้มแขกพร้อมดื่ม

สรรพคุณทางด้านสมุนไพร

  • ช่วยบรรเทาอาการไอ
  • ช่วยรักษาเบาหวาน
  • ช่วยขับเสมหะ
  • ช่วยลดความดัน
  • ช่วยฟอกเลือด
  • ช่วยแก้กระษัย
  • ช่วยแก้ท้องผูก
  • ช่วยขับปัสสาวะ
  • ช่วยให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย
  • ใช้เป็นยาระบายอย่างอ่อน
  • ช่วยลดอาการปวด ลดอาการคลื่นไส้ในสตรีที่มีครรภ์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ส้มแขก ( Garcinia ) (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://clib.psu.ac.th [24 กรกฎาคม 2562]
ส้มแขก ไม้ยืนต้น มากคุณค่า กว่าที่คิด (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://phuketjournal.com [24 กรกฎาคม 2562]