ข่าวสารสุขภาพ

รวมข่าวสารสำหรับคนรักสุขภาพ

พิเศษสำหรับคนรักสุขภาพที่ชื่นชอบในการติดตามข่าวสารสำหรับสุขภาพต่างๆ ทั้งบทความดีๆ แนะนำการดูแลสุขภาพ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ การออกกำลังกาย และการเสริมวิตามินต่างๆ ให้ร่ายกายแข็งแรง

- ข่าวสารสุขภาพ

Coolsculpting นวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็น ที่ไม่ต้องดูดหรือผ่าตัดให้เจ็บตัว

0
การลดไขมันส่วนเกิน ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือดูดไขมันออกอีกต่อไป เพราะปัจจุบันมีนวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็นที่ไม่ต้องเจ็บตัว อย่าง "coolsculpting" ที่ใช้ความเย็นแบบติดลบ เข้าไปฆ่าเซลล์ไขมันให้ตายลงไปอย่างถาวร โดยไม่ทำอันตรายต่อผิวหนังชั้นนอก และที่สำคัญทำเสร็จแล้วสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น เพราะไม่มีแผล ไม่มีการเสียเลือด ในบทความนี้ จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ CoolSculpting เครื่องสลายไขมันด้วยความเย็น ว่าคืออะไร ? ดีอย่างไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ? ปลอดภัยแค่ไหน ? และข้อควรรู้อื่น ๆ ที่ทำให้คุณรู้ได้ว่าทำไมถึงควรเลือกทำ coolsculpting ในการสลายไขมันส่วนเกิน  CoolSculpting สลายไขมันด้วยความเย็น คืออะไร ? CoolSculpting คือ นวัตกรรมสลายไขมันส่วนเกินด้วยความเย็นแบบติดลบ สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นขา และแขน ได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัดหรือดูดไขมัน เป็นวิธีการที่ปลอดภัยและได้รับการรับรองจากองค์กรอาหารและยา (FDA) ทั้งของสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย  Coolsculpting  สลายไขมันด้วยความเย็น ทำงานอย่างไร ? หลักการสำคัญของ Coolsculpting คือ การใช้ความเย็นในระดับจุดเยือกแข็ง ส่งเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง ลึก ถึงชั้นไขมัน จึงทำให้ไขมันตายและถูกขับออกมาจากร่างกายตามธรรมชาติ บริเวณที่ทำมีปริมาณไขมันลดลง ช่วยให้รูปร่างกระชับ และได้สัดส่วนมากขึ้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อและอวัยวะอื่น ๆ รอบข้าง จากภาพข้างบนจะเห็นว่า  ปริมาณไขมันส่วนเกินจำนวนมากที่กำจัดได้ยาก แม้จะควบคุมอาหารหรือออกกำลังกาย แต่สามารถกำจัดออกได้ด้วย เครื่อง CoolSculpting โดยใช้หัวดูดพิเศษจับกระชับผิวหนังบริเวณที่มีไขมันส่วนเกิน จากนั้นจะลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็วจนถึงประมาณ -11 องศาเซลเซียส แช่แข็งเซลล์ไขมัน เมื่ออุณหภูมิลดลงต่ำกว่าจุดแข็งตัวของไขมัน เซลล์ไขมันจะเริ่มแข็งตัวและเกิดการแช่แข็ง ในขณะที่เนื้อเยื่อและอวัยวะอื่น ๆ จะไม่ได้รับผลกระทบจากความเย็น ทำลายเซลล์ไขมันด้วยความเย็น เมื่อเซลล์ไขมันถูกแช่แข็งเป็นเวลานานประมาณ 35 นาที จะทำให้เซลล์ไขมันเสียหายและตายในที่สุด จากนั้นร่างกายจะขับเซลล์ไขมันที่ตายออกจากร่างกาย ผ่านระบบน้ำเหลืองและระบบขับถ่าย ซึ่งจะค่อย ๆ เห็นผลภายใน 1-3 เดือน ผลลัพธ์จากการสลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะทำให้ขนาดหรือปริมาตรของไขมันในบริเวณนั้นลดลง โดยสามารถลดลงได้ 20-30% ต่อการทำ 1 ครั้ง และสามารถกลับมาทำซ้ำในจุดเดิมได้ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์มากขึ้น ข้อดีของ CoolSculpting เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการลดไขมันแบบอื่น ✔ เป็นวิธีการไม่ผ่าตัด (Non-Invasive) ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที ✔ ปลอดภัย เนื่องจากใช้หลักการความเย็นเป็นตัวทำลายเซลล์ไขมัน โดยไม่ทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อหรืออวัยวะอื่น ๆ ✔ ผลลัพธ์ค่อนข้างถาวร เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะไม่กลับมาสร้างใหม่ ✔ เห็นผลชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการลดน้ำหนักแบบอื่น สามารถลดไขมันจุดเฉพาะได้ดี ✔ ไม่เจ็บ เพียงแค่รู้สึกเย็นและมีความรู้สึกคล้ายถูกกด ไม่ต้องใช้ยาชา ✔ ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง อาจมีอาการบวมนิดหน่อยเป็นระยะสั้น ๆ ✔ เหมาะกับผู้ที่มีรูปร่างค่อนข้างดี แต่มีไขมันส่วนเกินบางจุด CoolSculpting เหมาะกับใคร ? ผู้ที่มีน้ำหนักปกติหรือน้ำหนักเกินเล็กน้อย  ผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุด ที่ยากต่อการลดด้วยการออกกำลังกาย ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) น้อยกว่า 35  ผู้ที่่ต้องการปรับรูปร่างให้กระชับเฉพาะจุด ไม่ใช่ลดน้ำหนักทั้งตัว ผู้ที่ไม่ต้องการจะผ่าตัดหรือดูดไขมัน เพื่อกำจัดไขมัน  ผู้ที่ไม่อยากมีแผล ไม่อยากพักฟื้นนาน  ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่เป็นข้อห้าม เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน เป็นต้น CoolSculpting ทำบริเวณไหนได้บ้าง ? CoolSculpting สามารถใช้สลายไขมันส่วนเกินได้หลายบริเวณเนื่องจากมีหัวดูดไขมันหรือหัวแอปพลิเคเตอร์หลายขนาด จึงสามารถกำจัดไขมันได้ทั้งบริเวณหน้าท้อง, เอว, ปีกหลัง, ขาใน, ใต้ก้น, หน้าอก (ผู้ชาย), ต้นแขน, สะโพก, ต้นขาด้านนอก, หัวเข่า หรือเหนียง หัวแอปพลิเคเตอร์ CoolSculpting หัวดูดไขมันหรือหัวแอปพลิเคเตอร์ CoolSculpting จะทำงานโดยการดูดผิวหนังและไขมันส่วนเกินเข้าไปในเครื่อง จากนั้นจะทำความเย็นในระดับที่ควบคุมได้ เพื่อแช่แข็งและทำลายเซลล์ไขมัน โดยไม่ทำลายผิวชั้นนอก หัวดูดไขมัน CoolSculpting...
- ข่าวสารสุขภาพ

Radiesse คืออะไร ? ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพิ่ม Volume ผิว ปรับผิวเด็ก ได้อย่างไร ?

0
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ผิวจะยุบตัว และสูญเสียความอิ่มฟู ทำให้ใบหน้าดูโทรม และขาดความสดใส ใครที่ต้องการเติม Volume ให้ผิว ปรับให้ผิวดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง คงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ radiesse ซึ่งเป็นนวัตกรรมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยฟื้นฟูผิวเสื่อมสภาพจากโครงสร้างภายในมาบ้าง บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ radiesse ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น radiesse คืออะไร ? ดีอย่างไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ? ปลอดภัยไหม ? มีกี่รุ่น ? ฉีดตำแหน่งไหน ? เหมาะกับใคร ? เห็นผลเมื่อไหร่ ? และดูแลตัวเองหลังฉีดอย่างไร ?  Radiesse คืออะไร ? radiesse คือ นวัตกรรมฟื้นฟูสุขภาพ และโครงสร้างผิวแบบองค์รวม (Regenerative Biostimulator) ที่คิดค้นและวิจัยโดย Merz Aesthetics จัดอยู่ในกลุ่มสารเติมเต็มเช่นเดียวกับฟิลเลอร์ แต่ต่างกันตรงที่ radiesse ฟิลเลอร์ มีส่วนประกอบหลักเป็น CaHA (Calcium Hydroxylapatite Microsphere) ส่วนฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ จะเป็นสารเติมเต็ม ด้วย Hyaluronic Acid หรือ HA ทำความรู้จักเอกลักษณ์ของ Radiesse ด้วยรหัส 5-5-5 เอกลักษณ์ของ radiesse ที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพและโครงสร้างผิว ประดุจดังเสียงหัวเราะ 5-5-5 ที่ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ มีดังนี้ 5 = CaHA (คา-ฮ่า) 5 ตัวแรก ของ radiesse ที่มีสารประกอบสำคัญ CaHA Microsphere (คา-ฮ่า ไมโครสเฟียร์) ที่เป็นส่วนประกอบหลัก มีลักษณะเป็นอนุภาคทรงกลมขนาดสม่ำเสมอ 25-45 ไมครอน โดยทั่วไปสาร CaHA เป็นสารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและอยู่ภายในร่างกายของมนุษย์ มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยธรรมชาติ ส่วน CaHA ใน radiesse เป็นสาร CaHA ที่ผลิตขึ้นมาทดแทนสาร CaHA ที่มีอยู่ในร่างกายของเรา มีความปลอดภัยสูง หลังฉีดสามารถเข้ากันได้ดีกับร่างกาย และไม่กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ต่อต้าน รวมถึงสามารถย่อยสลายได้เอง ในทางการแพทย์ได้มีการใช้งานสารตัวนี้มายาวนานกว่า 25 ปี มีข้อมูลงานวิจัยรับรองกว่า 250 ฉบับ รวมถึงได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น CE Marking และ U.S. FDA การันตีความปลอดภัย 5 = 5 ประการกระตุ้นการคอลลาเจนเส้นใยผิว  5 ตัวที่ 2 ของ radiesse คือ 5 การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเส้นใยตาข่ายใต้ผิวขึ้นมาใหม่ Collagen Type I เพิ่มขึ้น 150% ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้างผิว และปรับผิวให้ดูเด็กลง มีความกระชับและเต่งตึง คอลลาเจน Type I เป็นชนิดที่มีมากที่สุดในร่างกาย พบมากถึง 90% มีความสำคัญในเรื่องของเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว  Collagen Type III เพิ่มขึ้น 130% ช่วยให้คอลลาเจนในชั้นผิวหนังจัดเรียงใหม่ ปรับให้ผิวเต่งตึง...
- ข่าวสารสุขภาพ

เมโสหน้าใส ตัวช่วยแก้ปัญหาและฟื้นฟูผิวเร่งด่วน เห็นผลลัพธ์ภายใน 3 วัน

0
ในยุคที่ “ผิว”เป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสำคัญ เมโสหน้าใสกลายเป็นหนึ่งในตัวช่วยยอดนิยมที่ตอบโจทย์ความต้องการเรื่องการบำรุงและฟื้นฟูผิวได้เป็นอย่างดี ด้วยการใช้เข็มฉีดสารบำรุงลงไปลึกถึงต้นเหตุปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว จุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือแม้กระทั่งการลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ที่สำคัญคือเริ่มเห็นผลลัพธ์ภายใน 3 วันหลังทำ
- ข่าวสารสุขภาพ

Ulthera SPT ยกกระชับหน้าได้แบบ Customized จริงหรือ ? ต่างจากเครื่องยกกระชับอื่นอย่างไร ?

0
สำหรับใครที่อยากแก้ปัญหาริ้วรอย และความหย่อนคล้อยบนใบหน้า แต่ไม่อยากผ่าตัด หรือฉีดสารใด ๆ เข้าสู่ร่างกาย Ulthera SPT ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากครับ เพราะเป็นเครื่องยกกระชับ ที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ จึงไม่ก่อให้เกิดบาดแผลบนผิวชั้นนอก และยังมีจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบการรักษาให้มีความเฉพาะกับปัญหาผิวของคนไข้แต่ละคนได้ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
- ข่าวสารสุขภาพ

ฉีดเมโสแฟต ช่วยลดไขมันส่วนเกินได้อย่างไร ? ฉีดจุดไหนได้บ้าง ใช้กี่ CC ถึงจะเห็นผล ?

0
ผู้ที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินในจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น แก้ม เหนียง ต้นขา หรือต้นแขน จนทำให้สูญเสียความมั่นใจ แม้จะออกกำลังกาย หรือควบคุมอาหารแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ การฉีดเมโส แฟต ถือเป็นหนึ่งในวิธีลดสัดส่วนที่ตอบโจทย์ครับ เพราะเห็นผลชัดเจน เจ็บตัวน้อย และไม่มีรอยแผลเป็น เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากดูดไขมัน หรือมีงบประมาณที่ค่อนข้างจำกัด
- ข่าวสารสุขภาพ

Sculptra ตัวช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน! อยู่ได้นาน 2 ปีจริงหรือ ? ต้องฉีดกี่ครั้ง ?

0
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น หลาย ๆ คนจะพบเจอกับปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือริ้วรอยร่องลึก เนื่องจากโครงสร้างผิวมีอัตราการสูญเสียคอลลาเจนเพิ่มมากขึ้น สำหรับใครที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กระชับ และกลับมาดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง Sculptra ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมฟื้นฟูผิวที่กำลังได้รับความนิยมมากครับ
- ข่าวสารสุขภาพ

รวมข้อควรรู้ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ปลอดภัย ไม่เสี่ยงเจอฟิลเลอร์ปลอม หมอกระเป๋า

0
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ? มีอะไรบ้างต้องระวัง หากไม่อยากเจอฟิลเลอร์ปลอม หมอกระเป๋า ? การฉีดฟิลเลอร์ถือเป็นหัตถการหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะฟิลเลอร์ใต้ตา ซึ่งเป็นจุดแรกที่หลาย ๆ คนเลือกฉีด เพราะฉีดแล้วเห็นผลชัดเจน หน้าดูเด็กลง ดูสดใสขึ้นทันที แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่ฉีดแล้วจะได้ผลดีครับ  ปัจจุบันจะเห็นว่ามีข่าวเคสหลุดออกมาอยู่เรื่อย ๆ รวมถึงมีการแชร์เคสเป็นอุทาหรณ์ มีทั้งปัญหาใต้ตาเป็นก้อน ฟิลเลอร์ไหล หรือมีการอักเสบติดเชื้อ ในบทความนี้จะอธิบายสาเหตุที่ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเจอผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เป็นก้อน ไม่เป็นธรรมชาติ และวิธีเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน พิจารณาจากอะไรบ้าง ? ก่อนตัดสินใจเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี มีอะไรบ้างที่ต้องระวัง ? คลินิกเถื่อนที่ไม่ได้มาตรฐาน ลักลอบเปิดผิดกฎหมาย ไม่มีใบอนุญาต ฟิลเลอร์ปลอม สารเติมเต็มที่ไม่ผ่านอย. ฟิลเลอร์หิ้ว ไม่มีการเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม หมอกระเป๋า ไม่ใช่หมอจริง ไม่มีใบรับรอง ไม่มีเลขว.ไม่มีความรู้ในการฉีดฟิลเลอร์ การตกแต่งภาพรีวิว ไม่ให้เห็นรีวิวที่เป็นจริง หรือใช้การแต่งหน้าช่วย ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง ? เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จากประสบการณ์ของแพทย์ การตรวจสอบประวัติแพทย์ อันดับแรกต้องมั่นใจก่อนว่าหมอที่จะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาให้เรา เป็นหมอจริง ๆ โดยสามารถนำ ชื่อ-นามสกุล เข้าไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ของแพทยสภา รวมถึงสามารถตรวจสอบได้ว่าแพทย์คนนั้น ๆ มีความเชี่ยวชาญในสาขาใดบ้างที่แพทยสภารับรอง ประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สำคัญอย่างไร ? ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับหมอที่มีประสบการณ์ คือจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการบวมช้ำ หรืออันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์โดนเส้นเลือดได้  ต้องเข้าใจก่อนว่าเส้นเลือดต่าง ๆ บนใบหน้าของคนเรา อาจจะไม่ได้อยู่ตำแหน่งเดียวกันเป๊ะทุกคน มีความแตกต่างกันไปเล็กน้อยในแต่ละคน การฉีดฟิลเลอร์จึงมีความเสี่ยงที่ฉีดแล้วจะไปโดนเส้นเลือดได้ แม้แต่หมอจริง ๆ ก็ตาม ถ้าหมอมีประสบการณ์ เคยฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในเคสที่หลากหลาย ก็มีโอกาสที่จะประเมินทิศทางของเส้นเลือดสำคัญได้แม่นยำกว่า นอกจากนี้หมอที่มีประสบการณ์สูง จะสามารถประเมินปัญหาได้ตรงจุด เลือกรุ่นฟิลเลอร์ และใช้เทคนิคการฉีดที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน ทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธรรมชาติ ไม่มีปัญหาต้องแก้ไขทีหลัง เพราะใต้ตาเป็นจุดที่ผิวค่อนข้างบางกว่าจุดอื่น ต้องใช้ความระมัดระวังและความพิถีพิถันมาก เพื่อความปลอดภัย เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จากคุณภาพของคลินิกและตัวยา การตรวจสอบคลินิก คลินิกที่ได้มาตรฐาน เปิดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะมีการตรวจสอบในหลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านอาคารสถานที่ ต้องอยู่ในทำเลที่ปลอดภัย แข็งแรง ห้องทำหัตถการสว่างเพียงพอ ด้านบุคลากรและการบริการ มีการแสดงภาพถ่าย ชื่อ และเลขที่ใบอนุญาตชัดเจน ด้านเครื่องมือและเวชภัณฑ์ ที่จำเป็นมีครบถ้วน อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน การรับรองคุณภาพของฟิลเลอร์ ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ต้องมั่นใจว่าฟิลเลอร์ที่นำมาฉีด เป็นฟิลเลอร์แท้ ผ่านอย. โดยสามารถศึกษาวิธีดูฟิลเลอร์แท้เบื้องต้นได้ จากการสังเกตกล่อง ง่าย ๆ คือต้องมีเลขทะเบียนอย. และเอกสารกำกับภาษาไทยอยู่ภายในกล่อง เลข Lot. ที่ติดอยู่บนกล่อง หลอด ซอง สติกเกอร์ ทุกจุดต้องตรงกัน  นอกจากนี้ยังสามารถโทรเช็กกับบริษัทนำเข้าฟิลเลอร์ได้ ว่าคลินิกที่จะเข้าไปใช้บริการ สั่งซื้อฟิลเลอร์จริงหรือไม่ เพราะปกติฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อก็จะมีบริษัทตัวแทนนำเข้าเพียงบริษัทเดียว ทุกคลินิกก็ต้องสั่งกับบริษัทนั้น จึงจะมีรายชื่อคลินิกอยู่ หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้ว หากคนไข้ขอกล่องกลับบ้าน หรือขอถ่ายรูปไว้ คลินิกต้องยินดีที่จะให้คนไข้ทำได้ เพื่อความบริสุทธิ์ใจ การเก็บกล่องฟิลเลอร์กลับด้วย มีข้อดีคือหากฟิลเลอร์ที่ฉีดไปมีปัญหา จะช่วยให้รู้ว่าฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหน รุ่นไหน นำเป็นข้อมูลในการแก้ไขได้ เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จากรีวิวผลลัพธ์ การดูรีวิวก่อน - หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หากยังไม่แน่ใจว่าจะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี การดูรีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นเรื่องสำคัญ รีวิวจะแสดงให้เห็นฝีมือของหมอ ความเปลี่ยนแปลงของเคส โดยเฉพาะในเคสที่มีปัญหาคล้าย ๆ เรา ก็พอจะคาดเดาได้ว่าฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วจะเห็นผลลัพธ์มากน้อยแค่ไหน  การรับรองผลลัพธ์จากผู้รับบริการจริง ในการดูรีวิว ต้องดูด้วยว่าเป็นรีวิวที่มาจากทางคลินิกเอง หรือรีวิวที่มาจากผู้ใช้บริการจริง ทางที่ดีควรดูทั้งสองอย่างควบคู่กันไปครับ เพราะรีวิวถ้ามาจากทางคลินิกก็อาจจะมีการตกแต่ง หรือคัดเลือกมาเฉพาะเคสรีวิวสวย ๆ เพียงอย่างเดียว ทำให้ไม่เห็นเคสหลุด  การดูรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง เราก็จะเห็นผลลัพธ์จริง...
- ข่าวสารสุขภาพ

Hifu ที่ไหนดี ? เลือกอย่างไรให้ไม่พลาด เช็กคลินิกมีใบอนุญาต ใช้เครื่องแท้

0
Hifu ที่ไหนดี  คลินิกส่วนใหญ่จะมีโปรโมชันคอร์สทำ Hifu ให้เลือก ถ้าลองดูหลาย ๆ คลินิกจะเห็นว่าราคาแตกต่างกัน ทำ Hifu ที่ไหนดี ? นอกจากดูราคาที่คุ้มค่า แนะนำว่าควรดูเครื่อง Hifu ที่คลินิกนั้น ๆ ใช้ด้วย รู้หรือไม่ว่า Hifu มีเครื่องแท้ เครื่องปลอม แต่สามารถตรวจสอบได้ ทำ Hifu ครั้งแรกได้ผลลัพธ์ดี ปลอดภัย ก่อนทำ Hifu มาศึกษาข้อมูลไปพร้อม ๆ กัน       ทำ Hifu ที่ไหนดี ? เลือกคลินิกไหนก็ได้จริงไหม ? ไม่จริง หลายคนอาจจะคิดว่าเลือกทำที่ไหนก็ได้ คลินิกไหนก็ใช้เครื่อง Hifu เหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้ว คลินิกเสริมความงามที่เปิดให้บริการอยู่จำนวนมากนั้น ไม่ใช่ทุกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ Hifu เครื่องแท้ ทำแล้วหน้าเรียวยกกระชับ ได้ผลลัพธ์ตามต้องการเสมอไป  มีเคสที่ทำ Hifu ไม่เห็นผล เสียเงินไปฟรี ๆ หรือทำแล้วเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย หน้าไหม้ ติดเชื้อและเป็นหนอง กลายเป็นรอยแผลเป็น หน้าเสียโฉม เพราะพลาดไปเจอ Hifu เครื่องปลอม ที่เป็นเครื่องเลียนแบบ เกรดต่ำ ปล่อยพลังงานความร้อนไม่คงที่ สูงเกินไป หรือต่ำเกินไป ทำให้ผลลัพธ์หลังทำออกมาไม่ดี    มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะกลัวไม่กล้าทำ Hifu แต่ในความเป็นจริงแล้วการทำ Hifu ไม่ได้น่ากลัว ความเสี่ยงต่าง ๆ หรือผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย สามารถป้องกันได้ ถ้าใช้ Hifu เครื่องแท้ ทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ก็มั่นใจได้ในความปลอดภัยและผลลัพธ์ในการยกกระชับที่เห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ทำ Hifu ยกกระชับ ทำ Hifu ที่บริเวณไหนได้บ้าง ? Hifu สามารถทำได้ในบริเวณที่ต้องการให้กระชับขึ้น ทั้งใบหน้า และลำตัว   ใบหน้า  รอบดวงตา ใต้ตา ลดริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา ลดถุงใต้ตา ร่องแก้ม มุมปาก ลดริ้วรอยร่องแก้ม ร่องมุมปากให้จางลง กรอบหน้า ปรับกรอบหน้าเรียว กระชับขึ้น กรอบหน้าชัด คิ้ว หางตา ยกคิ้ว ยกหางตา แก้ปัญหาหนังตาตก หน้าผาก แก้ม กระชับผิวหน้า ยกแก้มที่หย่อนคล้อย คาง ลำคอ ลดเหนียง คางสองชั้น กระชับผิวบริเวณลำคอ ลำตัว ต้นแขน ต้นขา ยกกระชับต้นแขน ต้นขา   เอว หน้าท้อง แก้ปัญหาผิวย้วยบริเวณเอว หน้าท้องกระชับขึ้น สะโพก กระชับผิวบริเวณสะโพก ไม่ให้เป็นเนื้อย้วย ๆ เลือกรุ่น HIFU Ultraformer III เครื่อง Hifu มีหลายแบบ คลินิกชั้นนำส่วนใหญ่จะเลือกใช้ Ultraformer lll หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นชื่อรุ่น แต่จริง ๆ แล้ว Ultraformer lll คือ ยี่ห้อเครื่อง Hifu ที่นำเข้าจากประเทศเกาหลี ผ่านการรับรองอย.ยุโรป ออสเตรเลีย...
- ข่าวสารสุขภาพ

ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเท่าไหร่ ? แต่ละยี่ห้อราคาต่างกันอย่างไร ?

0
ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคา ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 11,000-18,000.-/1 cc ถือว่าราคามีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ครับ เพราะช่วยแก้ปัญหาใต้ตาได้อย่างหลากหลายและเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น สำหรับใครที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเท่าไหร่ ? ทำไมแต่ละคลินิกราคาต่างกัน ? ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี ? ยี่ห้อไหนที่ได้รับความนิยม ? ราคาเท่าไหร่ ? สามารถติดตามอ่านได้ในบทความนี้ครับ เริ่มต้นทำความรู้จักกับฟิลเลอร์ใต้ตา ก่อนอื่นอยากจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับฟิลเลอร์ใต้ตากันให้มากขึ้นครับว่า ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร ? เนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสำหรับเติมใต้ตาเป็นแบบไหน ? เพื่อที่จะได้เข้าใจการเลือกใช้เนื้อฟิลเลอร์ ยี่ห้อฟิลเลอร์ ซึ่งจะมีผลต่อราคาการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ? ฟิลเลอร์ใต้ตา (Under-eye filler) คือ หัตถการทางการแพทย์ที่จะสามารถช่วยแก้ปัญหาใต้ตา เช่น ใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา ริ้วรอยใต้ตา เบ้าตาลึกด้วยการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic acid หรือ HA ที่สร้างขึ้นมาเลียนแบบสารธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายของเรา เข้าไปยังบริเวณใต้ตาที่มีปัญหา เป็นวิธีแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด เห็นผลไว ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น และได้รับความนิยมในปัจจุบัน ลักษณะของเนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมสำหรับเติมใต้ตา ฟิลเลอร์สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามคุณสมบัติของฟิลเลอร์ คือ ฟิลเลอร์เนื้อแน่น ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม และฟิลเลอร์เนื้อละเอียด โดยเนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมสำหรับการเติมฟิลเลอร์ใต้ตา จะเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่นกับฟิลเลอร์เนื้อละเอียดครับ ฟิลเลอร์เนื้อแน่น เหมาะกับเติมใต้ตาชั้นลึกในเคสที่มีปัญหากระดูกใต้ตายุบตัว ช่วยทดแทนในส่วนของผิวที่ยุบตัวลง ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เหมาะกับเติมใต้ตาชั้นตื้นในเคสที่มีปัญหาใต้ตาบริเวณข้างเคียงร่วมด้วย ช่วยเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ รอบเบ้าตา ให้ดูเรียบเนียนและดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น การเลือกใช้จะขึ้นอยู่กับระดับปัญหาใต้ตาของคนไข้ บางเคสอาจต้องใช้เนื้อฟิลเลอร์ทั้งสองชนิดร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเริ่มต้นเท่าไหร่ ? ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเริ่มต้นที่ 11,000.-/ 1 cc ขึ้นอยู่กับปัญหา ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้และประสบการณ์ของแพทย์ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาขึ้นอยู่กับอะไร ? ทำไมแต่ละคลินิกราคาต่างกัน ? ทำไมฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาแต่ละคลินิกต่างกัน ? ราคาขึ้นอยู่กับอะไร ? แบ่งออกเป็น 3 ปัจจัยดังนี้ครับ ระดับปัญหาใต้ตา ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ใช้กี่ cc ? ขึ้นอยู่กับระดับปัญหาใต้ตาของเรา แพทย์จะเป็นผู้ประเมินเป็นรายเคสไปครับ โดยทั่วไปแล้วจะใช้อยู่ที่ประมาณ 2-4 cc หรือถ้ามีปัญหาน้อยใช้ 1 cc ก็สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้แล้วครับ แต่ถ้ามีปัญหาในระดับมาก เช่น กระดูกใต้ตาทรุดตัวลงมาก ๆ ก็อาจจะต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่มากกว่านั้น ราคาก็จะสูงขึ้นตามจำนวน cc ที่ใช้ รุ่น/ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ ด้วยเทคโนโลยีและกระบวนการการผลิตที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ฟิลเลอร์มีคุณสมบัติเด่นและอายุการใช้งานที่ต่างกัน ซึ่งมีตั้งแต่ 6-24 เดือน จึงมีส่วนให้ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นมีราคาที่ต่างกัน เทคนิคการฉีดและประสบการณ์ของแพทย์ หลายคนอาจเกิดความสงสัยครับว่า ทำไมฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีราคาสูงกว่าการฉีดจุดอื่นอย่างบริเวณร่องแก้ม ขมับ  เพราะว่าใต้ตาเป็นจุดที่ต้องใช้เทคนิคเฉพาะในการฉีดฟิลเลอร์ ผู้ที่ฉีดจึงต้องเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์หลากหลายเคส สามารถวิเคราะห์ปัญหา ประเมินปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ได้อย่างเหมาะสม และมีเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและดูเป็นธรรมชาติ เรียบเนียน ไม่เป็นก้อน และมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย ดังนั้นประสบการณ์และเทคนิคของแพทย์จึงส่งผลต่อราคาการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้ครับ สรุปแล้วหากใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่นำเข้าอย่างถูกต้อง และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ราคาฟิลเลอร์ใต้ตาของแต่ละคลินิกจะไม่ต่างกันมากครับ  หากเจอคลินิกที่มีราคาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ถูกเกินไปถึงแม้ว่าอยู่ในช่วงโปรโมชัน แนะนำว่าควรตรวจสอบให้ดีก่อนว่า คลินิกแห่งนั้นใช้ฟิลเลอร์ของแท้หรือว่าฉีดโดยแพทย์จริงหรือไม่ เพราะอาจจะใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ฟิลเลอร์ปลอม หรือฉีดโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์จริง มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายตามมาหลังฉีดฟิลเลอร์ เช่น ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน ฟิลเลอร์ไหล หรือร้ายแรงถึงขั้นตาบอดได้เลยครับ ยี่ห้อฟิลเลอร์ใต้ตาที่ได้รับความนิยม มียี่ห้อไหนบ้าง ? ราคาเท่าไหร่ ? ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสำหรับเติมใต้ตา จะแนะนำให้ใช้ฟิลเลอร์ 3 ยี่ห้อ คือ Juvederm Restylane และ Belotero เป็นฟิลเลอร์แบรนด์ดังที่คลินิกมาตรฐานชั้นนำหลายแห่งนิยมใช้กันครับ...
- ข่าวสารสุขภาพ

ข้อเข่าเสื่อม โรคใกล้ตัว อันตรายที่ควรป้องกัน

0
โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นปัญหาทางด้านสุขภาพที่สามารถพบได้ในกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากการใช้งานเข่าสะสมมาเป็นเวลานาน แต่โรคนี้ไม่ได้เกิดเพียงกับผู้สูงอายุเท่านั้น แม้แต่ในกลุ่มผู้อายุน้อยเอง สามารถเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมได้เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น น้ำหนักตัวที่มากเกินเกณฑ์ การใช้ข้อเข่าผิดธรรมชาติหรือรุนแรง อุบัติเหตุ การไม่ถนอมการใช้งาน จนทำให้ข้อเข่าเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติที่ควรเป็น ในบทความนี้จะพาเพื่อนๆ มารู้จักกับโรคข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น เพื่อรับการป้องกัน การดูแลและการรักษาอย่างถูกวิธี ข้อเข่าเสื่อม  โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นอาการของโรคข้ออักเสบของกระดูกอ่อนบริเวณผิวข้อเข่า สาเหตุเกิดจากการใช้งานข้อเข่าอย่างหนักเป็นเวลานาน จนเกิดความเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อ เมื่อกระดูกอ่อนที่ควรห่อหุ้มเข่าบางลงหรือไม่มี กระดูกจึงเกิดการชนกันอย่างรุนแรง ทำให้เกิดอาการปวดหรือบาดเจ็บ อีกทั้งเข่ายังเป็นส่วนที่มีการใช้งานหนัก รองรับน้ำหนักของร่างกายโดยตรง ทำให้กระดูกอ่อนบริเวณผิวข้อเข่าเสื่อมเกิดการสึกหรอจากการเสียดสีเป็นเวลานาน ฉีกขาด และเสื่อมสภาพลง รวมถึงปัจจัยด้านอื่นๆ เช่น การออกกำลังกาย หรือการกระทำอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อข้อเข่า เช่น การนั่งยอง เมื่อกระดูกอ่อนบริเวณข้อเข่าเสื่อมมีอาการสึกหรอมากขึ้น จึงทำให้เกิดอาการปวดเข่าและการอักเสบ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บเวลาขยับเข่า อีกทั้งยังทำให้มีอาการติดแข็ง งอเข่า-เหยียดได้ไม่สุด ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อม  โรคข้อเข่าเสื่อม เกิดจากการสะสมของการใช้ข้อเข่าเป็นระยะเวลานาน จนทำให้กระดูกอ่อนบริเวณผิวข้อเข่าเสื่อมสภาพและมีอาการรุนแรงมากขึ้นตามเวลา ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อโรคข้อเข่าเสื่อม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การเสื่อมแบบปฐมภูมิ คือการเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นการเสื่อมของกระดูกอ่อนตามวัย ส่วนใหญ่พบในคนที่มีอายุเฉลี่ย 40-50 ปีขึ้นไป พบในเพศหญิงมากกว่าเพญชาย 2-3 เท่า เนื่องจากฮอร์โมนภายในเพศหญิงเกี่ยวกับการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ หรือปัจจัยอื่นร่วม เช่น น้ำหนักที่เกินมาตรฐาน การเคลื่อนไหวท่าทางที่ส่งผลกระทบแรงกดต่อข้อเข่า เช่น การนั่งยอง การขึ้นลงบันไดบ่อยๆ หรือความบกพร่องของส่วนประกอบของข้อที่เกิดจากกรรมพันธุ์ การเสื่อมแบบทุติยภูมิ คือการเสื่อมโทรมของสภาพผิวข้อเข่าที่ทราบสาเหตุ เป็นการเสื่อมจากผลกระทบอื่นๆ เช่น อุบัติเหตุ อาการบาดเจ็บเรื้อรัง กีฬา การทำงาน โรคข้อต่ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเกาต์ โรคต่อมไร้ท่อ ข้ออักเสบ กระดูกหัวเข่าแตก หรือมีอาการติดเชื้อ ระดับความรุนแรงโรคข้อเข่าเสื่อม 1. ระยะแรก ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดบริเวณเข่า เจ็บข้อเข่าหากเคลื่อนไหวในท่าทางที่ส่งผลกระทบต่อข้อเข่า เช่น การนั่งยอง การขัดสมาธิ การพับเพียบ การเดินหรือวิ่งเป็นระยะเวลานาน การเดินขึ้น-ลงบันได ขยับข้อเข่าไม่สะดวกหลังจากตื่นนอน หรืองอเข่าได้ไม่สุด อาการปวดอยู่เพียงไม่นานและสามารถหายได้เมื่ออยู่ในท่าทางที่ไม่ส่งผลกระทบต่อข้อเข่า 2. ระยะปานกลาง มีเสียงดังกรอบแกรบในบริเวณข้อเข่าเสื่อมเมื่อทำการเคลื่อนไหว รู้สึกถึงการเสียดสีของกระดูก งอเข่าไม่สะดวก ทำให้ลุก-นั่งได้ลำบาก เมื่อใช้มือกดลงแรงแล้วมีอาการเจ็บ หรือบริเวณข้อเข่าเสื่อมมีอาการบวม เมื่อสัมผัสจะรู้สึกว่าบริเวณเข่าอุ่น  ต้องใช้ยาแก้ปวดในการดำเนินชีวิตประจำวัน 3. ระยะรุนแรง มีอาการปวดรุนแรงมากขึ้นแม้จะไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวที่ส่งผลกระทบต่อเข่าหรือมีอาการปวดอยู่ตลอดเวลา หากสัมผัสบริเวณข้อเข่าเสื่อมจะมีอาการบวม หรือมีกระดูกบางส่วนงอผิดปกติ เหยียดหรืองอเข่าได้ไม่สุด มีการตรวจพบน้ำในช่องข้อ ข้อเข่าบิดเบี้ยวผิดรูป ใช้ชีวิตประจำวันได้ลำบาก  ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ผู้สูงอายุ มีโอกาสเกิดขึ้นในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 40-50 ปีขึ้นไป โดยผู้หญิงมีโอกาสเกิดมากกว่าผู้ชายเนื่องจากฮอร์โมนทางเพศ มวลกระดูก และกล้ามเนื้อ ผู้อายุน้อย เช่น ผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บจากการออกกำลังกายหรืออุบัติเหตุ ผู้มีน้ำหนักตัวมากเกินเกณฑ์ส่งผลต่อเข่าที่รับน้ำหนักมากขึ้น ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ส่งผลกระทบต่อไขข้อ การตรวจอาการข้อเข่าเสื่อม แพทย์ต้องทำการประเมินเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วยขั้นต้น เพื่อวิเคราะห์และวินิจฉัยโรค โดยมีแนวทางการรักษาดังนี้ ทำการตรวจพื้นฐานและทำแบบประเมิน เพื่อประเมินเบื้องต้น ตรวจโดยการเอกซเรย์ช่องว่างระหว่างกระดูกบริเวณข้อเข่าเสื่อม หาจุดที่มีแนวโน้มว่าเกิดการเสียดสีของปุ่มกระดูกหรือหาบริเวณที่มีกระดูกงอก หรือการทำ MRI เพิ่มเพื่อความชัดเจนของภาพ ทำให้สามารถวินิจฉัยโรคอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อบริเวณข้อเข่า การเจาะเลือด เพื่อหาโรคที่เกี่ยวข้อง แพทย์รับผลและประเมินความรุนแรงของอาการข้อเข่าเสื่อมเพื่อให้การรักษาที่เหมาะสม วิธีรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมเบื้องต้น 1. การรักษาที่ไม่ใช้ยา การปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต เพื่อลดหรือบรรเทาอาการและความเสี่ยงที่จะปวดข้อเข่าเสื่อม เช่น การลดน้ำหนัก การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ กายบริหาร การใช้งานเข่าอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงการนั่งคุกเข่า ขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ การยกของหนัก การเดินขึ้น-ลงบันได 2. การกายภาพบำบัด การฟื้นฟูบริหารกล้ามเนื้อรอบเข่าเพื่อลดหรือบรรเทาอาการปวดบริเวณข้อเข่าเสื่อม การใช้ความร้อน การทำอัลตราซาวด์...
- ข่าวสารสุขภาพ

ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร ? เหมาะกับใคร ? รู้ข้อดี-ข้อเสียก่อนฉีดปรับรูปหน้า

0
ฟิลเลอร์ ฉีดฟิลเลอร์ คือ วิธีลดร่องลึก ริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมในคลินิกเสริมความงาม  เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับฟิลเลอร์มากขึ้น ฉีดฟิลเลอร์มีผลข้างเคียงไหม ? อันตรายไหม ? เหมาะกับใคร ? ช่วยอะไรบ้าง ? มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ? ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง ? เจ็บไหม ? ใช้กี่ CC ? กี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ? ต่างจากฉีดไขมันอย่างไร ? ฟิลเลอร์แท้-ปลอม ดูอย่างไร ? ยี่ห้อไหนดี ? หมอตอบทุกข้อสงสัยในบทความนี้ครับ  ฟิลเลอร์ คืออะไร ?  ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ HA Filler ที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ ช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้น ทดแทนคอลลาเจน อิลาสติน และไฮยาลูรอนธรรมชาติที่เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวเกิดร่องลึก ริ้วรอย รวมทั้งความหย่อนคล้อย โดยฟิลเลอร์สามารถเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอยต่าง ๆ ทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียน เต่งตึง ยกกระชับ ปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นครับ https://youtu.be/Py8-DJoJTuQ Filler คืออะไร ? ก่อนฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรกควรรู้ ฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับใคร ?  ผู้ที่มีริ้วรอย ร่องลึก จากการที่กระดูกยุบตัว เช่น ร่องใต้ตา ถุงใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก  ผู้ที่ใบหน้าไม่ได้สัดส่วน เช่น คางสั้น ขมับตอบ ปากไม่เท่ากัน  ผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง ช่วยปรับสภาพผิว เพิ่มความชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง  ผู้ที่มีหลุมสิว ผิวหน้าไม่เรียบเนียน ช่วยรักษาหลุมสิวให้ตื้นขึ้น โดยไม่ทิ้งรอยแผล  ฟิลเลอร์ ช่วยอะไรบ้าง ? มีข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร ? การฉีดฟิลเลอร์ช่วยลดริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้าให้สวยงามสมส่วน โดย Filler จะเข้าไปเติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังและใต้ผิวหนังที่เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียน นอกจากนี้ฟิลเลอร์ยังมีคุณสมบัติช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต    หลังฉีดฟิลเลอร์ เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที ฟิลเลอร์ ข้อดี  เห็นผลเร็ว หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที  ไม่ต้องพักฟื้น และไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น  สามารถใช้หน้า ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ  ขั้นตอนสะดวก ใช้เวลาในการฉีดฟิลเลอร์ไม่นาน ประมาณ 15-30 นาที  ฟิลเลอร์สลายได้เอง ไม่ทิ้งสารตกค้าง หากไม่พอใจผลลัพธ์สามารถฉีดสลายออกได้ และเติมใหม่ได้    ฟิลเลอร์ ข้อเสีย หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจได้ผลลัพธ์ไม่สวยงาม เช่น ฉีดฟิลเลอร์บวมเป็นก้อน ผิวไม่เรียบเนียน    ผลลัพธ์อยู่ไม่ถาวร (แต่สามารถฉีดซ้ำหรือเติมใหม่ได้เพื่อคงผลลัพธ์) ฉีดฟิลเลอร์ VS ฉีดไขมัน  การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการความงามที่ช่วยเติมเต็ม ปรับรูปหน้า และคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว แต่หลายคนอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับฉีดปรับรูปหน้าด้วยวิธีอื่น เช่น ฉีดไขมันหน้าเด็ก VS ฉีดฟิลเลอร์ เลือกวิธีไหนดี ? หมอเปรียบเทียบขั้นตอนการทำ ระยะเวลาเห็นผล ระยะเวลาคงผลลัพธ์ และความคุ้มค่า เพื่อประกอบการตัดสินใจ      ฉีดฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารเติมเต็ม HA Filler...
- ข่าวสารสุขภาพ

อย่าลืม ยืนยันสิทธิ “คนละครึ่งเฟส 4” และใช้สิทธิครั้งแรกภายใน 28 ก.พ. 65

0
ยืนยันสิทธิ "คนละครึ่งเฟส 4" ผู้ร่วมโครงการรายใหม่ต้องรู้ วิธียืนยันตัวตนผ่านแอปฯ "เป๋าตัง" เข้าร่วม "คนละครึ่งเฟส 4" เพื่อรับเงินช่วยเหลือ 1,200 บาท อย่าลืมใช้สิทธิครั้งแรกภายในวันที่ 28 ก.พ. 65 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เผยว่า โครงการคนละครึ่งเฟส 4 จะเริ่มให้ประชาชนผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 3 (โครงการคนละครึ่งที่สิ้นสุดไปเมื่อสิ้นเดือนธ.ค. 2564) จำนวน 27.98 ล้านคน ยืนยันสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 วันแรกในวันนี้ 1 ก.พ. 2565 เป็นต้นไป ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" และสามารถเริ่มใช้จ่ายได้ทันทีหลังการกดยืนยันสิทธิเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะได้รับสนับสนุนวงเงินค่าสินค้าหรือบริการที่กำหนดในอัตราร้อยละ 50 ทั้งนี้ ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน และไม่เกิน 1,200 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการฯ ระยะที่ 4 ช่วงระหว่างวันที่ 1 ก.พ. – 30 เม.ย. 2565โดยมีขั้นตอนการยืนยันสิทธิ ดังนี้ 1. กดแถบแบนเนอร์ (Banner) โครงการคนละครึ่ง ที่ปรากฏในหน้า G-Wallet ของแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ตั้งแต่ เวลา 06.00 – 22.00 น. ของทุกวัน 2. ระบบจะแสดงหน้าต่างเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 โดยขอให้ประชาชนอ่านเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 เมื่ออ่านเสร็จเรียบร้อยแล้วและยอมรับตามเงื่อนไขสามารถกดที่แถบ "ยอมรับเงื่อนไขและการใช้สิทธิ์" ทั้งนี้ ประชาชนผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 3 จะต้องเริ่มใช้สิทธิโครงการฯ ระยะที่ 4 ภายในวันที่ 28 ก.พ. 2565 เวลา 22.59 น. หากพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวจะถูกตัดสิทธิ โดยสิทธิที่เหลืออาจจะนำมาพิจารณาเปิดให้ลงทะเบียนอีกครั้ง สำหรับวันนี้ 1 ก.พ. 2565 จะเป็นวันแรกของการกดรับยืนยันและการใช้จ่ายสิทธิโครงการฯ ทางธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ให้จัดทำโครงการฯ ได้เตรียมความพร้อมสำหรับระบบการโอนเงินต่างธนาคารเพื่อโอนเข้า g-Wallet แล้ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงหรือลดความแออัดในช่วงเวลาการใช้สิทธิผ่าน “เป๋าตัง” พร้อมกันในวันแรก ผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ที่พร้อมจะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 4 สามารถโอนเงินเข้า g-Wallet ล่วงหน้าก่อนเริ่มการใช้จ่าย ทั้งนี้ ในส่วนของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 3 จะสามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" หรือ ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ได้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. 2565 จนกว่าจะครบจำนวนประมาณ 1 ล้านสิทธิ์ โดยสามารถเริ่มใช้จ่ายวันแรกในวันที่ 17 ก.พ. 2565 อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการร้านค้าสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 ได้วันแรกในวันอังคารที่ 1 ก.พ. 2565 เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 06.00 - 22.00 น. ของทุกวันจนกว่ากระทรวงการคลังจะประกาศปิดรับสมัครผ่าน www.คนละครึ่ง.com...
- ข่าวสารสุขภาพ

กรมอนามัยเตือน! กินบะหมี่สำเร็จรูปบ่อยๆ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

0
กินบะหมี่สำเร็จรูปบ่อยๆ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย ได้โพสต์ภาพบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนำเข้าจากต่างประเทศยี่ห้อหนึ่งตรวจพบปริมาณโซเดียมระบุบนซองสูงถึง 26,240 มิลลิกรัม เกินกว่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำต่อวัน โดยปริมาณโซเดียมที่ควรได้รับต่อวันไม่ควรเกินวันละ 2,000 มิลลิกรัม หรือเท่ากับเกลือ 4 ช้อนชา กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีโซเดียมสูงเป็นประจำ เสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง หัวใจทำงานหนักอาจหัวใจวายได้ ทำไมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ดีต่อสุขภาพ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นหนึ่งในอาหารแปรรูปที่กินกันมากที่สุดในโลก ทั้งประเทศจีน อินโดนีเชีย ญี่ปุ่น และประเทศไทยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากที่สุดในโลก เพราะสะดวก รวดเร็ว ราคาถูก ซึ่งสารอาหารหลักในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คือ คาร์โบไฮเดรต ไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และโซเดียมสูงมาก ประมาณ 1,400 - 2,600 มิลลิกรัมต่อห่อจึงไม่ควรกินบ่อย ถ้าเป็นห่อใหญ่ขึ้นปริมาณผงปรุงรสหรือเครื่องปรุงยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามขนาดผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นด้วย ส่งผลให้ร่างกายได้รับโซเดียมในปริมาณมากเกินความต้องการทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เพราะเมื่อร่างกายไม่สามารถกำจัดเกลือและน้ำส่วนเกินในร่างกาย จะทำให้เกิดการคั่งของเกลือและน้ำในอวัยวะต่าง ๆ ทำให้แขน ขา บวม เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก และหากร่างกายไม่สามารถขับโซเดียมออกได้ทัน จะเกิดการสะสมในร่างกาย เสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจทำงานหนักขึ้น ทำให้เกิดหัวใจโตและหัวใจวายได้ในที่สุด กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างไรให้ปลอดภัย ควรต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้สุก เพิ่มเนื้อสัตว์ ไข่ และผักลงไปด้วย เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน เลี่ยงการกินดิบ ไม่ควรใส่ผงปรุงรสหมดซอง และกินน้ำซุปหมดถ้วย ไม่ควรกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากกว่าวันละ 1 ซอง ดังนั้น ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ “ทางเลือกเพื่อสุขภาพ” นอกจากนี้ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ใช่ผลิตภัณฑ์เดียวที่อาจทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมเกินความจำเป็นต่อร่างกาย เครื่องปรุงรสประเภท น้ำปลา กะปิ เกลือ ซอสปรุงรส ซุปก้อน น้ำจิ้ม ยังแฝงไปด้วยโซเดียม รวมทั้งอาหารอื่นที่ไม่มีรสชาติ เช่น ผงชูรส ผงฟู อีกด้วย” อธิบดีกรมอนามัย
- ข่าวสารสุขภาพ

“ วิ่ง ” แม้เหนื่อย แต่ให้อะไรมากกว่าที่คิด

0
การวิ่ง การวิ่ง (running) คือ การออกกำลังกายประเภทหนึ่งที่ทุกคนสามารถทำกันได้ง่าย ๆ และเป็นที่นิยมอย่างมากในยุคสมัยนี้ซึ่งการวิ่งนอกจากจะได้สุขภาพร่างกายที่ดีแล้วก็ยังให้อะไรกับเราอีกมากมายและทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญได้ดีและเร็วขึ้น แถมยังเป็นการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีแก่ร่างกายด้วย ประโยชน์ที่ได้จากการวิ่ง ลดความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์ ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ ขา สะโพก ช่วยสร้างให้รูปร่างดี ช่วยเสริมสร้างกระดูกและข้อต่อ ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนลงได้ถึง 30% ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งบางชนิด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและภูมิต้านทานให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่กำลังได้รับเคมีบำบัด ได้ความสุข ความเครียดหายไป. ได้เหงื่อ ได้สมองที่ไวขึ้น ได้เผาผลาญไขมัน ได้ข้อต่อที่แข็งแรงไม่เสื่อมง่าย การเตรียมตัวก่อนที่จะออกกำลังกาย ก่อนที่จะวิ่งเราควรยืดกล้ามเนื้อก่อนและหลังวิ่ง เป็นการเตรียมความพร้อมให้กับร่างกาย เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อของร่างกายให้ยืดและหดตัวได้ดีก่อนออกตัววิ่ง เสื้อผ้า ควรเลือกตามสภาพอากาศระบายความร้อนและระบายเหงื่อได้ดี รองเท้า ควรเลือกซื้อรองเท้าวิ่งโดยเฉพาะอย่าลืมถุงเท้า เพื่อลดการเสียดสีที่ทำให้นิ้วเท้าพองได้และยังช่วยซัพพอร์ตแรงกดจากลำตัวที่ลงไปยังข้อเท้า การออกกำลังกายด้วยการวิ่ง เป็นกิจกรรมที่ทำได้ง่าย ๆ ถ้าต้องการให้การวิ่งเพื่อสุขภาพที่ดี เราควรควรทำอย่างสม่ำเสมอและที่สำคัญก็คือการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ดื่มน้ำเปล่าให้เหมาะสมกับร่างกาย เพื่อช่วยการไหลเวียนเลือดและยังทำให้ผิวพรรณดีขึ้น
- ข่าวสารสุขภาพ

คณะกรรมการอาหารและยา อนุมัติฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในกลุ่มเด็ก 5-11 ปี

0
อนุมัติฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในกลุ่มเด็ก 5-11 ปี (อย.) โดย นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาเปิดเผยว่า (20 ธ.ค. 65) สำนักงาน อย. ได้อนุมัติการขยายขอบเขตข้อบ่งใช้ของวัคซีนโคเมอร์เนตี (COMIRNATY VACCINE) ของบริษัท ไฟเซอร์ จำกัด สำหรับกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ปริมาณวัคซีนอยู่ที่ 10 ไมโครกรัม/โดส/คน ด้วยการฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อจำนวน 2 เข็ม ห่างกัน 21 วัน คาดว่าจะเริ่มทยอยเข้ามาในประเทศไทยได้ประมาณปลายเดือน ม.ค.นี้ หรือประมาณภายในเดือน ก.พ. 65 ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางกรุงเทพมหานคร โดยสำนักการศึกษา อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเด็กนักเรียนอายุระหว่าง 5-11 ปี ในโรงเรียนสังกัด กทม. สำรวจความต้องการเข้ารับวัคซีน จัดเตรียมเอกสารการยินยอมให้ฉีดตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำหนด และยังได้หารือเพื่อวางแผนเตรียมความพร้อมด้านสถานที่ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ในการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ต่อไป ในขณะเดียวกัน ต้องสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางปฎิบัติ การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 และการติดตามอาการหลังการฉีดวัคซีนอย่างใกล้ชิดให้ แก่เด็กนักเรียน และผู้ปกครอง เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ส่วนทางด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากเตือนประชาชนทุกคนให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขป้องกันส่วนบุคคลขั้นสูงสุด และสวมหน้ากากอนามัย 100% ออกนอกบ้านขอให้สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล หมั่นล้างมือบ่อย ๆ งดการรวมกลุ่มรับประทานอาหารร่วมกันในที่ทำงาน และไม่ไปในสถานที่เสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ พร้อมเน้นย้ำร้านอารหารต่าง ๆ ต้องเข้มงวดตามมาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร อย่างไรก็ตาม จะมีทั้งความเห็นจากทางผู้ปกครองที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 เด็กในอายุ 5-11 ปี แต่ก็ไม่ได้บังคับใดๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ปกครองต้องดูแลเด็ก ให้ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน หมั่นล้างมือให้สะอาดและไม่พาเด็กไปในสถานที่ที่มีคนเยอะ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ง่าย อัพเดทล่าสุด! เริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์เด็กกลุ่มเสี่ยง 31 ม.ค.นี้ - 29 ม.ค.2565 สรจ.ประชุมวางแผนการรับวัคซีนและกำหนดการกระจายจุดฉีดวัคซีนรายวัน แต่ละพื้นที่ (School based) และวิธีการบันทึกข้อมูล - 30-31 ม.ค.2565 สรจ.จัดประชุมร่วม ศรจ. ผอ.สพป. และ ผอ.สถานศึกษาในจังหวัด แจ้งแผนกำหนดการฉีดวัคซีนให้นักเรียน (สถานที่และจำนวนรายวัน) และกำหนดการฉีด วัคซีนแก่ครู และบุคลากรส่วนที่เหลือ - 1 ก.พ.2565 เริ่มการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ให้นักเรียนอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี - 26 ก.พ.2565 เริ่มการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ให้นักเรียนอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี คำแนะนำฉีดไฟเซอร์วัคซีนโควิด19 ให้เด็ก 5-11 ปี ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ประกาศแนวทางการฉีดวัคซีนไฟเซอร์สูตรสำหรับเด็ก ฝาสีส้มแก่เด็กอายุ 5-11 ปี ให้ฉีดวัคซีนชนิดไฟเซอร์ สูตรสำหรับเด็ก ขนาด 10 ไมโครกรัม ปริมาณ 0.2 มล. เข้ากล้ามเนื้อ 2 ครั้ง ห่างกัน 3-12 สัปดาห์ โดยระยะห่าง 8-12 สัปดาห์ จะดีกว่า 3-4...
- ข่าวสารสุขภาพ

กรมอนามัย แนะเด็กเล็กแยกกักตัวอยู่ที่บ้าน ย้ำ พ่อแม่สังเกตอาการดูแลใกล้ชิด

0
เด็กเล็กแยกกักตัวอยู่ที่บ้าน กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะพ่อแม่ควรดูแลและสังเกตอาการเด็กเล็กติดเชื้อโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้าน Home Isolation (HI) ดูแลลูก หรือบุตรหลานอย่างใกล้ชิด รู้ได้อย่างไรว่าลูกติดเชื้อโควิด-19 พ่อแม่ ผู้ปกครองต้องคอยสังเกตอาการโดยรวมของเด็กอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ซึ่งระดับอาการของเด็กแบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบที่ 1 อาการในระดับที่สามารถเฝ้าสังเกตที่บ้านต่อไปได้ คือ มีไข้ต่ำ มีน้ำมูก มีอาการไอเล็กน้อย ไม่มีอาการหอบเหนื่อย ถ่ายเหลว ยังคงกินอาหารหรือนมได้ปกติและไม่ซึม แบบที่ 2 อาการที่ผู้ปกครองควรติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อนำเด็กส่งโรงพยาบาลโดยเร็วคือ มีไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส หายใจหอบเร็วกว่าปกติ ใช้แรงในการหายใจ ปากเขียว ระดับออกซิเจนปลายนิ้วน้อยกว่า 94 เปอร์เซ็นต์ ซึมลง ไม่ดูดนม และไม่กินอาหารให้รีบส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงมีผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กติดเชื้อโควิด-19 จากคนในครอบครัว ซึ่งอาการติดเชื้อที่พบตั้งแต่ไม่มีอาการ จนถึงมีอาการรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ โดยกลุ่มเสี่ยงที่พบอาการรุนแรงคือเด็กทารกและเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ซึ่งต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อทันที เมื่อตรวจ ATK หรือเมื่อตรวจ RT-PCR ให้ผลพบเชื้อส่วนเด็กที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย สามารถรับการรักษาแบบ Home Isolation (HI)ได้ แต่ต้องมีพ่อแม่ หรือ ผู้ปกครองที่สามารถดูและประเมินอาการให้เด็กได้ตลอดเวลา โดยใช้อุปกรณ์เพื่อติดตามอาการ ได้แก่ ปรอทวัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว อุปกรณ์ที่สามารถถ่ายภาพหรือคลิปวีดีโออาการของเด็กได้ โทรศัพท์เพื่อติดต่อกับสถานพยาบาลหากมีเหตุจำเป็น และยาสามัญประจำบ้านเพื่อบรรเทาอาการ ได้แก่ ยาลดไข้ เช่นพาราเซตามอล ยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก และเกลือแร่ นอกจากนี้ผู้ปกครองต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมืออย่างถูกวิธีหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูก ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับเด็กที่ติดเชื้อ ทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสในห้องเป็นระยะด้วยแอลกอฮอล์ความเข้มข้น 70 เปอร์เซ็นต์ หรือน้ำยาทำความสะอาดที่สามารถกำจัดเชื้อโควิด-19 ทั้งนี้ หากเด็กมีภาวะข้อใดข้อหนึ่ง เช่น อาการหายใจหอบ มีการใช้แรงในการหายใจ เช่น หายใจอกบุ๋ม ชายโครงบุ๋ม หรือปีกจมูกบาน ระดับออกซิเจนปลายนิ้วน้อยกว่า 94 เปอร์เซ็นต์ ริมฝีปาก เล็บ หรือปลายมือปลายเท้าเขียวคล้ำ ซึมลง ไม่ดูดนม กินไม่ได้ เพลีย ไม่มีมีแรง หรือมีไข้ตั้งแต่ 39 องศาเซลเซียสขึ้นไปให้รีบส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
- ข่าวสารสุขภาพ

กรมอนามัย เผยเนื้อจระเข้โปรตีนทางเลือก แนะปรุงสุกก่อนกินทุกครั้ง ลดปนเปื้อนแบคทีเรีย

0
เนื้อจระเข้โปรตีนทางเลือก เนื่องจากปัจจุบันเนื้อหมูแพงขึ้น กรมอนามัยแนะนำให้ประชาชนบริโภคเนื้อจระเข้ ซึ่งเป็นโปรตีนทางเลือกมีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงเนื้อสัตว์ประเภทอื่น ให้พลังงานต่ำ ไขมันน้อย แนะทำความสะอาดเนื้อให้ถูกวิธี เน้นปรุงสุกก่อนกิน เลี่ยงการปนเปื้อนของแบคทีเรียได้ นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในช่วงที่เนื้อหมูราคาเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มหันมาให้ความสนใจบริโภคเนื้อจระเข้ เพื่อเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกมากขึ้นซึ่งเนื้อจระเข้ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการเพาะเลี้ยงจระเข้นั้นทำได้โดยไม่ต้องสัมผัสกับสารเคมีอันตราย แต่เนื่องจากจระเข้จัดอยู่ในประเภทสัตว์เลื้อยคลาน อาจมีแบคทีเรียปนเปื้อน เช่น เชื้อซัลโมเนลลา ทำให้เกิดโรค เช่น ไทฟอยด์ ท้องร่วง และความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร จึงควรล้างมือ และอุปกรณ์ทุกครั้งก่อนแปรรูปเนื้อสัตว์ เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของแบคทีเรีย และปรุงสุกในทุกเมนู งดการกินสุก ๆ ดิบ ๆ การเลือกซื้อเนื้อจระเข้ ควรเลือกเนื้อจากส่วนหาง (บ้องต้น) ถือเป็นส่วนที่ดีที่สุด เนื้อที่ดีควรสดมีสีทึบ ไม่มีกลิ่นเหม็น และควรเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ การจัดเก็บอาหารในช่องแช่แข็ง หรือตู้เย็น ตู้เย็นรักษาอุณหภูมิตั้งแต่ 5 ถึง 0 องศาเซลเซียส เก็บได้นาน 24 ชั่วโมง แต่ถ้าจัดเก็บที่อุณหภูมิ -4 ถึง 0 องศาเซลเซียส จะสามารถเก็บได้นานเพิ่มขึ้น หากต้องการเก็บไว้นานกว่านั้นควรช่องแช่แข็งอุณหภูมิตั้งแต่ -12 ถึง -8 องศาเซลเซียส เก็บรักษาได้ 2-4 เดือน ถ้าแช่แข็งตั้งแต่ -24 ถึง -18 องศาเซลเซียส เก็บรักษาได้ 10-12 เดือน การแช่แข็งผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้อง 1.เนื้อสดจะต้องถูกตัดเป็นส่วนๆ ห่อด้วยกระดาษฟอยล์ ฟิล์มยืด หรือกระดาษพาร์ชเมนท์ เนื้อห่อใส่ถุงแล้วนำไปแช่ตู้เย็น 2.ไม่ควรล้างเนื้อสัตว์ก่อนนำไปแช่แข็งเพราะจะทำให้อายุการเก็บสั้นลง แต่หากต้องการ ยืดระยะเวลาออกไปหลายวัน ให้ห่อด้วยกระดาษพาร์ชเมนท์เคลือบด้วยน้ำมันพืช 3.เมื่อต้องการละลายเนื้อสัตว์นั้น ควรใช้วิธีธรรมชาติเพื่อคงสารอาหารไว้ หลีกเลี่ยงการละลายเนื้อในน้ำเดือดร้อน ทางด้าน ดร.แพทย์หญิงสายพิณ โชติวิเชียร ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กล่าวเสริมว่า ด้านคุณค่าทางอาหาร เนื้อจระเข้มีพลังงานต่ำ ไขมันน้อย สามารถนำมาปรุงได้หลากหลายวิธี ตั้งแต่การต้ม เคี่ยวในน้ำซุป ไปจนถึงปิ้ง ย่าง ทอด และผัด ผู้บริโภคควรเลือกบริโภคให้เหมาะกับตัวเอง เพราะเนื้อจระเข้กับสัตว์ประเภทอื่นนั้น มีคุณค่าทางโภชนาการ และราคาไม่แตกต่างกันมากนักโดยเนื้อจระเข้ 100 กรัม มีพลังงาน 99 กิโลแคลอรี โปรตีน 21.5 กรัม ไขมัน 2.9 กรัม และโคเลสเตอรอล 65 มิลลิกรัม และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเนื้อสัตว์ประเภทอื่น ๆ ในปริมาณ 100 กรัม พบว่า 1) เนื้อหมู มีพลังงาน 107 กิโลแคลอรี โปรตีน 22.0 กรัม ไขมัน 2.0 กรัม และโคเลสเตอรอล 55 มิลลิกรัม 2) เนื้อไก่ มีพลังงาน 145 กิโลแคลอรี โปรตีน 22.2 กรัม ไขมัน 6.2 กรัม และโคเลสเตอรอล 62 มิลลิกรัม 3) เนื้อวัว มีพลังงาน 121 กิโลแคลอรี โปรตีน 21.2 กรัม...
- ข่าวสารสุขภาพ

กรมชลประทาน ยันมีน้ำใช้เพียงพอตลอดแล้งนี้

0
  กรมชลประทาน ขานรับกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ (กอนช.) คุมเข้มแผนใช้น้ำลุ่มเจ้าพระยา เดินหน้าบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้ง เน้นย้ำน้ำกินน้ำใช้อุปโภคบริโภคเพียงพอใช้ตลอดแล้งนี้ พร้อมวอนทุกภาคส่วนร่วมใจกันประหยัดน้ำ ตามนโยบายรองนายกฯประวิตร ในฐานะผอ.กอนช. นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) มีความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูแล้งพื้นที่ภาคกลาง ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริหารจัดการน้ำให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด เน้นย้ำน้ำอุปโภคบริโภคต้องเพียงพอตลอดฤดูแล้ง พร้อมกำหนดแผนการบริหารจัดการความเสี่ยงและแผนเผชิญ เหตุรองรับสถานการณ์ภัยแล้งในบางพื้นที่ไว้ล่วงหน้า รวมทั้งเร่งรัดโครงการสำคัญต่างๆ ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ นั้น สถานการณ์น้ำต้นทุนใน 4 เขื่อนหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปัจจุบัน (18 ม.ค. 65) มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 13,457 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) หรือร้อยละ 54 ของความจุอ่างฯรวมกัน เป็นน้ำใช้การได้ 6,761 ล้าน ลบ.ม. ขณะนี้มีการใช้น้ำไปแล้ว 2,225 ล้าน ลบ.ม. จึงได้เน้นย้ำให้ทุกโครงการชลประทานในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา บริหารจัดการน้ำตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะน้ำอุปโภคบริโภคต้องไม่ขาดแคลน ที่สำคัญให้จัดทำแผนการบริหารจัดการความเสี่ยงและแผนเผชิญเหตุไว้รองรับสถานการณ์ภัยแล้งในบางพื้นที่ไว้ล่วงหน้าด้วยแล้ว ในส่วนของการทำนาปรัง ปัจจุบันมีการทำนาปรังในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาไปแล้วประมาณ 3.25 ล้านไร่ เกินแผนที่วางไว้ร้อยละ 16 (แผนวางไว้ 2.81 ล้านไร่) เกษตรกรส่วนหนึ่งจะใช้น้ำจากบ่อน้ำหรือแหล่งน้ำของตนเองในการทำนาปรัง อย่างไรก็ตามชลประทานได้เน้นย้ำให้โครงการชลประทานในพื้นที่ติดตามและควบคุมการใช้น้ำให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ปริมาณน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดเพียงพอใช้ตลอดแล้งนี้ ไปจนถึงต้นฤดูฝนปีหน้า
- ข่าวสารสุขภาพ

รู้หรือไม่ว่าการนอนช่วยชะลอวัยได้สำหรับปี 2022

0
แพทย์ได้เสนอเรื่องการนอนหลับที่ดีที่สุดสำหรับปี 2022 คือ การนอนหลับเพื่อสุขภาพโดยเริ่มจากการนอนหลับสนิทมีความสำคัญต่อสุขภาพ และการอดนอนนั้นส่งผลเสียต่อร่างกายเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น การนอนช่วยชะลอวัยต้องเริ่มจากการฝึกร่างกายและจิตใจให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ เคล็ดลับการนอนชะลอวัยที่เห็นผลชัดเจน เราอาจเคยได้ยินบ่อยๆว่า "การนอนวันละ 8 ชั่วโมงจะดีต่อสุขภาพ" วิธีนี้ยังไม่ถูกต้องทั้งหมด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำจะต้องเป็นการนอนที่มีคุณภาพเท่านั้น เข้านอนก่อน 4 ทุ่มร่างกายจึงจะฟื้นตัวและสร้างเซลล์ใหม่ชะลอความแก่ของเซลล์ในร่างกายในช่วงที่เราหลับลึก ยกตัวอย่างการนอนชะลอวัย - เวลาตื่น 6:00 น. – ให้เข้านอนเวลา 21:00 น. / 22:30 น. / 24:00 น. / 01:30 น. - เวลาตื่น 7:30 น. – ให้เข้านอนเวลา 3:00 น. / 1:30 น. / 24:00 น. / 22:30 น. รู้ได้อย่างไรว่าเราหลับลึกจริงหรือไหม ทางการแพทย์มีการแบ่งการนอนออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงการนอนหลับที่ไม่มีการกลอกตาอย่างรวดเร็ว (NON Rapid Eye Movement – NREM) และช่วงการนอนหลับที่มีการกลอกตาอย่างรวดเร็ว (Rapid Eye Movement – REM) การหลับส่วนใหญ่ในวงจร แบ่งย่อยได้อีก 3 ระยะ คือ 1. ช่วงเริ่มหลับ หรือช่วงหลับตื้น สังเกตอาการจากร่างกายทำงานช้าลง รู้สึกผ่อนคลาย เป็นช่วงที่นอนหลับสนิทที่สุดใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที 2. ช่วงรอยต่อระหว่างเริ่มหลับกับหลับลึก หรือช่วงหลับกลาง สังเกตจากการเต้นของหัวใจเริ่มเต้นช้าลง แต่ยังรับรู้ความเคลื่อนไหวและได้ยินเสียงจากภายนอกอยู่ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที 3. ช่วงหลับลึกที่สุด สังเกตอาการจากร่างกายจะอ่อนเพลีย หนักตา งัวเงียมากที่สุด ปลุกให้ตื่นยาก ไม่ได้ยินเสียงภายนอก บางคนอาจเริ่มฝันที่สมจริง เช่น ฝันว่าตกจากที่สูง หรือฝันว่าปวดฉี่แล้วฉี่รดที่นอน เป็นอย่างไรบ้างค่ะสำหรับข่าวสารดีๆ การนอนช่วยชะลอวัยได้สำหรับปี 2022 จะทำให้ทุกคนหน้าเด็กลงด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด เพื่อนๆควรนอนให้ได้ 7 – 8 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการนอนกลางวัน หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน และไม่ควรสูบบุหรี่ก่อนเข้านอน เพียงเท่านี้การนอนช่วยชะลอวัยช่วยให้ใบหน้าของคุณกลับมาสดชื่นแจ่มใสแน่นอนค่ะ