มะพอก
ผลมีสีน้ำตาลและมีจุดประสีขาว ผิวผลหยาบฉ่ำน้ำ เนื้อชุ่มบาง ชั้นในมีขนขึ้นหนา เนื้อในแข็ง ออกเป็นช่อ

มะพอก

มะพอก เป็นไม้ยืนต้นที่เขียวชอุ่มตลอดปีพบได้ในป่าดิบและป่าเต็งรังผลสามารถรับประทาน ซึ่งมีชื่อเรียกท้องถิ่น คือ มะคลอก (ภาคเหนือ) ประดงลวด (ทิศตะวันตกเฉียงใต้) กะทอนโลก (ทิศตะวันออกเฉียงใต้) นอกจากนั้นพรรณไม้ชนิดนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Parinari anamensis Hance จัดอยู่ในวงศ์ (CHRYSOBALANACEAE) สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น เมล็ดมีน้ำมันสำหรับใช้เคลือบเครื่องเงิน ใช้ทำร่มกระดาษ ใช้ทำสบู่ และเนื้อไม้มีความแข็งแรงเหมาะสำหรับทำที่พักอาศัย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า จัด จั๊ด (ลำปาง), พอก (อุบลราชธานี), มะคลอก (สุโขทัย, อุตรดิตถ์), หมักมอก (พิษณุโลก), ประดงไฟ ประดงเลือด (ราชบุรี), กระท้อนลอก (ตราด), ท่าลอก (พิษณุโลก, นครราชสีมา, ประจวบคีรีขันธ์), หมากรอก (ประจวบคีรีขันธ์), มะมื่อ หมักมื่อ (ภาคเหนือ), ตะเลาะ เหลอะ (ส่วย สุรินทร์), ตะลอก, ตะโลก เป็นต้น[1],[2]

ลักษณะของมะพอก

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ ไม่มีการผลัดใบ มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 10-30 เมตร ลำต้นมีลักษณะสูงตรง ปลายกิ่งมักจะเอนลงมา ตามกิ่งอ่อนมีขนเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาล เปลือกต้นค่อนข้างหนามีสีน้ำตาลปนเทา เปลือกเรียบ แตกเป็นสะเก็ดถี่ ๆ หรือแตกเป็นร่องลึกลงไป สามารถลอกหลุดได้ จะขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด สามารถพบขึ้นทั่วไปตามป่าดิบ ป่าดิบแล้ง ป่าดงดิบ ป่าผลัดใบ ป่าผสม ป่าเต็งรัง และตามป่าเบญจพรรณ ส่วนในประเทศไทยพบได้ทุกภาค แต่ยกเว้นทางภาคใต้ ที่ความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึง 1,500 เมตร และในต่างประเทศพบได้ที่ลาว กัมพูชา และเวียดนาม[1],[2]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว มีการออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปรีหรือเป็นรูปไข่ ปลายใบมนหยักและมีติ่งแหลม โคนใบแหลมหรือมน ส่วนขอบใบจะเรียบ ใบมีความกว้างประมาณ 4-6 เซนติเมตร และความยาวประมาณ 6-15 เซนติเมตร เนื้อใบค่อนข้างหนา หลังใบเป็นสีเขียว ตรงท้องใบเหลือบขาวเด่นชัดและมีขนละเอียดด้านล่างสีขาวแกมน้ำตาล หลังใบอ่อนมีขนสาก ๆ ส่วนใบแก่ค่อนข้างเกลี้ยง ไม่มีขน เส้นใบข้างตรงและขนานกันมี 12-15 คู่ เส้น ด้านบนใบจะนูน ก้านใบมีความยาวประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร และมักมีต่อมเล็ก ๆ อยู่ 2 ต่อม [1],[2]
  • ดอก จะออกดอกเป็นช่อ โดยจะออกตรงปลายกิ่ง มีความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร ก้านช่อมีขนเป็นสีน้ำตาลอมส้มขึ้นอยู่หนา ดอกเป็นสีขาวขนาดค่อนข้างเล็ก ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ อยู่ กลีบดอกมี 5 กลีบ และแยกออกจากกันอย่างอิสระ ยาวพอ ๆ กับกลีบเลี้ยง ก้านดอกมีขนาดที่สั้นมาก กลีบเลี้ยงติดกันเป็นรูปกรวย ปลายแยกเป็นแฉก 5 แฉกแหลม ขนาดไม่ได้เท่ากัน ขนาดประมาณ 0.3-0.4 เซนติเมตร สีขาวปนเหลือง ดอกมีเกสรเพศผู้ประมาณ 5-12 อัน ขนาดไม่เท่ากัน ส่วนก้านเกสรเพศเมียติดที่ฐานของรังไข่ ขนาดยาวเท่ากับเกสรเพศผู้ รังไข่จะมีขนขึ้นหนา เชื่อมกับชั้นกลีบเลี้ยงด้านหนึ่ง ออกดอกในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน[1],[2]
  • ผล เป็นผลสด มีลักษณะเป็นรูปทรงค่อนข้างจะกลม กลมรีเหมือนไข่ หรืออาจจะเป็นรูปกระสวย มีความกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร และความยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ผลจะมีสีน้ำตาลและมีจุดประสีขาว ผิวผลค่อนข้างหยาบ ผิวฉ่ำน้ำเนื้อชุ่มบาง ชั้นในมีขนขึ้นหนา เนื้อในแข็ง เมล็ดเดี่ยวโต ลักษณะค่อนข้างแข็ง ออกเป็นช่อประมาณ 3-15 ผล ผลจะแก่ในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์[1],[2]

สรรพคุณของมะพอก

1. เปลือกต้น สามารถใช้เป็นยาประคบแก้อาการช้ำใน แก้ปวดบวม (เปลือกต้น)[1],[2]
1.1 นำเปลือกต้นไปอุ่นไอน้ำร้อนใช้ประคบแก้อาการฟกช้ำ (เปลือกต้น)[2]
2แก่น ตำรายาพื้นบ้านจะใช้แก่นผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้หืด (แก่น)[1],[2]
2.1 ตำรายาไทยจะใช้แก่น นำมาต้มกับน้ำดื่มและอาบแก้ประดง (อาการของโรคผิวหนังที่เป็นเม็ดขึ้นคล้ายผด มีอาการคันมากและมักมีไข้ร่วมด้วย) แก้ผื่นคันทั่วตัว ปวดแสบปวดร้อน มีน้ำเหลืองไหลซึม (แก่น)[1],[2]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

เปลือกต้นเมื่อนำมาทำการสกัดด้วยเทคนิคแบบ Sequential Extraction โดยการหมักแบบ Maceration ด้วยตัวทำละลายอินทรีย์เรียงจากตัวทำละลายที่มีขั้วต่ำไปสูง คือ เฮกเซน เอทิลอะซิเตต และเมทานอล ตามลำดับ และนำสารสกัดไปกรองและระเหยแยกตัวทำละลายออกด้วยเครื่องระเหยสุญญากาศแบบหมุนจะได้สารสกัดหยาบ และนำสารสกัดหยาบที่ได้ทดลองสอบฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย (Plasmodium falciparum) สายพันธุ์ K1 ด้วยวิธี Microculture Radioisotope Technique ที่ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) พบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นที่สกัดด้วยตัวทำละลายที่เป็นเฮกเซนมีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย โดยมีค่า IC50 เท่ากัน 3.25 µg/ml ผลการวิจัยดังกล่าวเป็นการยืนยันฤทธิ์ทางชีวภาพด้านการออกฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย ซึ่งสามารถนำไปสู่การพัฒนาเพื่อผลิตเป็นยาต่อไปได้ (ข้อมูลจาก : ผู้ช่วยศาสตราจารย์อุดมเดชา พลเยี่ยม)

ประโยชน์ของมะพอก

1. เนื้อในเมล็ดมีรสมันคล้ายกับถั่ว สามารถรับประทานได้ เมื่อกะเทาะเปลือกหุ้มเมล็ดจะพบข้างในมีปุยสีน้ำตาลคล้ายปุยฝ้ายหุ้มเมล็ดอยู่ กระแต กระรอก จะชอบกินเมล็ดใน[2]
2. เนื้อผลสุกรอบ ๆ เมล็ด มีรสหวานหอม สามารถรับประทานได้[2] ชาวบ้านจะใช้เนื้อของผลสุกนำมาบดผสมกับแป้งและน้ำตาล ทำเป็นขนมหวานนำมารับประทาน ซึ่งจะมีกลิ่นหอมเฉพาะในปัจจุบันมีคนรับประทานกันน้อย แต่ก็ยังมีคนรับประทานอยู่บ้าง
3. เนื้อไม้ กระพี้สีเหลืองอ่อน แก่นสีชมพูเรื่อ ๆ เนื้อค่อนข้างจะละเอียด สามารถนำมาใช้ในงานก่อสร้างได้[3]
4. เมล็ด สามารถนำมาสกัดเอาน้ำมันใช้ทำเป็นน้ำมันหมึกพิมพ์และน้ำมันหล่อลื่นได้[2] น้ำมันจากเมล็ดสามารถนำมาใช้ทาเครื่องเขินให้เป็นเงา ทากระดาษร่มกันน้ำซึม ใช้เคลือบธนบัตรให้มีความทนทานเป็นเงาและเนื้อกระดาษไม่ติดกัน[3] มีบางข้อมูลระบุไว้ว่า น้ำมันจากเมล็ดมีคุณสมบัติในการใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ค่อนข้างจะดี และยังสามารถนำมาใช้ทำเป็นน้ำมันชักเงาและเครื่องสำอางได้อีกด้วย

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “มะพอก”. หน้า 122.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “มะพอก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [03 พ.ย. 2014].
พรรณไม้สวนรุกขชาติห้างฉัตร. “มะพอก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : lampang.dnp.go.th/Departments/Techical_Group/plant.pdff. [03 พ.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.phakhaolao.la/en/
2.https://eva.vn/tin-tuc/