ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาแพงไหมในแต่ละครั้ง ใช้กี่ cc โปรโมชั่นฉีดใต้ตา ราคาคุ้มค่า

0
1568
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาราคา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาราคาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเท่าไร ? แพงไหม ?  คุ้มค่าหรือไม่ ?  หากต้องการแก้ไขปัญหาใต้ตา เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง หมอมีข้อมูลราคาการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามาให้เปรียบเทียบ ในแต่ละยี่ห้อ รวมถึงปริมาณที่ใช้ พร้อมสาระสำคัญเกี่ยวกับการแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ ใต้ตาดำ ตาลึก ตาโหล หรือมีถุงใต้ตา ยังมีวิธีอื่นที่สามารถแก้ไขได้หรือไม่ เลือกวิธีไหนดี ถึงจะปลอดภัย คุ้มค่า สามารถติดตามอ่านได้ในบทความนี้ครับ 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเป็นอย่างไร ?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ถือเป็นหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาได้อย่างตรงจุด ทั้งปัญหา ใต้ตาดำคล้ำ ร่องตาลึก  ตาโหล มีถุงใต้ตา ช่วยให้ใบหน้ากลับมาสดใส อ่อนเยาว์อีกครั้ง โดยในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาไม่แพงครับ เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น และไม่มีรอยแผลเป็นหลังฉีดใต้ตา 

รีวิวฟิลเลอร์ใต้ตา คืนความสดใสให้ดวงตา

ทั้งนี้การฉีด filler ใต้ตาราคาจะแตกต่างกันตามยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่หมื่นต้น ๆ ต่อ 1 CC  โดยใต้ตาเป็นบริเวณที่ต้องอาศัยประสบการณ์และความพิถีพิถันในการฉีดเนื่องจากบริเวณใต้ตาจะแบ่งเป็นผิวชั้นลึกและชั้นตื้น ต้องเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ให้เหมาะสม เช่น การฉีดใต้ชั้นตื้น ที่ผิวหนังใต้ตาค่อนข้างบางจึงควรเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ฉีดแล้วไม่ฟูมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ตาดูบวม ไม่เป็นธรรมชาติครับ

ยี่ห้อ ฟิลเลอร์ใต้ตาตัวอย่างยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ใต้ตาที่หมอแนะนำ

  • Filler Restylane (สวีเดน)

Restylane เป็นฟิลเลอร์ที่มี 2 เทคโนโลยีการผลิต คือ NASHA Technology และ OBT Technology ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Restylane โดยจะทำฟิลเลอร์ให้เป็นเม็ดละเอียด (particle) เพื่อให้ได้เนื้อ Filler ที่มีค่า Elasticity สูงที่สุด ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เน้นในเรื่องของความยืดหยุ่น และสามารถปรับรูปทรงได้หลากหลาย  มีหลายรุ่นให้เลือกตามความเหมาะสม เช่น 

  • Restylane รุ่น  Perlane Lyft  : มีความคงตัวสูง ไม่ฟู และสามารถคงรูปได้ดีที่สุด อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Restylane รุ่น Defyne :  เนื้อเจลแข็งปานกลาง มีความยืดหยุ่นและอุ้มน้ำได้ดี อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Restylane รุ่น Vital Light  : มีส่วนผสมของยาชา เนื้อละเอียดมากที่สุด ใช้สำหรับเคสที่ผิวบาง หรือสำหรับเก็บรายละเอียด อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
  • Restylane รุ่น Vital : เนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย เหมาะสำหรับเก็บรายละเอียด ให้ผลเรียบเนียน อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Restylane รุ่น Classic : เป็นเนื้อเจลอนุภาคใหญ่ เหมาะสำหรับแก้ปัญหาริ้วรอยระดับปานกลางถึงมาก อยู่ได้นาน 12 เดือน

โดย Filler restylane ใต้ตา ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 14,000.-/ 1 CC ในแต่ละเคสอาจใช้จำนวน CC  ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคลครับ  

  • Filler Juvederm (อเมริกา)

Juvederm เป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ Filler Restylane จุดเด่นอยู่ที่ในเนื้อฟิลเลอร์จะมี Crosslink (จำนวนการเชื่อมพันธะ) ที่ยิ่งมีเยอะก็จะอยู่ได้นานขึ้น สลายช้าลง อุ้มน้ำน้อยลง ทำให้ฉีดแล้วไม่ฟูมาก เหมาะกับผิวบริเวณที่ขยับบ่อย ๆ โดยฟิลเลอร์ Juvederm มีเทคโนโลยี Vycross และ Hylacross เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Allergan มีความพิเศษ คือ มีความคงตัว มีโมเลกุลยึดเกาะเหนียวแน่นขึ้น ช่วยยกกระชับได้ดี ยี่ห้อที่นิยมใช้ฉีดใต้ตาได้แก่ 

  • Juvederm รุ่น Volite : มีลักษณะเนื้อละเอียด ใช้เติมใต้ตาชั้นตื้น เหมาะกับคนผิวบางแต่ไม่มากเกินไป อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
  • Juvederm  รุ่น Voluma : ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ฟูปานกลาง ยืดหยุ่นสูง อุ้มน้ำ อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Juvederm รุ่น Volux : เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นและคงตัว สำหรับฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก อยู่ได้นาน 18-24 เดือน

ในส่วนของ ราคา Filler Juvederm โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 14,000- 18,000.- /1 CC  

  • Filler Belotero  (สวิตเซอร์แลนด์ )

ฟิลเลอร์ Belotero ผลิตด้วยเทคโนโลยี CPM โดดเด่นในเรื่องของความยืดหยุ่น และการเกาะกันเป็นเนื้อเดียว หลังฉีดไม่ไหลเป็นก้อน สามารถปั้นทรงได้สวย สำหรับตำแหน่งใต้ตา สามารถฉีดได้ทั้งการเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก และเก็บรายละเอียดผิวใต้ตาให้เรียบเนียน โดยหมอจะเลือกรุ่นที่ฉีดแล้วคงรูปไม่ฟูเยอะ เช่น 

  • Belotero รุ่น  Volume : เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นและคงตัว เหมาะกับเติมใต้ตาชั้นลึก อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Belotero  รุ่น Revive : เนื้อละเอียด เหมาะฉีดใต้ตา เติมปาก ปรับสภาพผิวหน้า ลำคอ หลังมือ อยู่ได้นาน 6-9 เดือน

ราคา Filler Belotero ฉีดใต้ตา เฉลี่ยอยู่ที่ 13,000.- /1 CC ส่วนรุ่นไหนจะเหมาะกับใคร และจะต้องใช้ฟิลเลอร์ปริมาณเท่าไร กี่ CC แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและแนะนำให้ครับ 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาขึ้นอยู่กับอะไร ?

สำหรับผู้ที่สงสัยว่า ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในแต่ละคน  แต่ละคลินิก ทำไมราคาไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับอะไร ? ข้อเท็จจริง คือขึ้นอยู่ 3 ปัจจัยหลัก ดังนี้ 

  • ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ 
  • ปริมาณ CC ที่ใช้ฉีดแก้ปัญหาใต้ตา 
  • เทคนิคการฉีดและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ฉีด

ตัวอย่างการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาโดยใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต่างกันรีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา   (รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 2 CC)                                (รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 3 CC)

ส่วนมากฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2-4 CC ครับ ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล เช่น ความลึก ริ้วรอย ความคล้ำของใต้ตา ถ้ามีปัญหามากก็อาจต้องใช้ฟิลเลอร์มากขึ้น ราคาก็สูงขึ้น หรือในเคสที่มีปัญหาน้อย ๆ ก็สามารถแบ่งฟิลเลอร์ 1 CC สำหรับฉีดใต้ตาทั้งสองข้างได้

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี ใช้กี่ CC ฉีดแล้วเห็นผล 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาราคาโปรโมชัน

สำหรับใครที่หาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และเห็นโฆษณาการเติมใต้ตาราคาโปรโมชัน ของแต่ละคลินิกที่มีราคาถูกแพง แตกต่างกัน หากต้องการเปรียบเทียบราคา ต้องดูด้วยว่าคลินิกนั้น ๆ  ใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อใด  ซึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ใต้ตาที่คลินิกชั้นนำเลือกใช้ ได้แก่ 

  • ฟิลเลอร์ Juvederm ประเทศอเมริกา
  • ฟิลเลอร์ Restylane ประเทศสวีเดน 
  • ฟิลเลอร์ Belotero ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 

ทั้ง 3 ยี่ห้อ ล้วนเป็นฟิลเลอร์แบรนด์ระดับโลก ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรอง และมีการนำเข้า -จัดเก็บตัวยาอย่างถูกต้องเหมาะสม แพทย์จึงสามารถเลือกใช้ยี่ห้อ/รุ่น ที่เหมาะสมกับสภาพผิว และปัญหาของคนไข้จึงจะได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาแตกต่างกับหัตถการอื่นไหม ? 

ในผู้ที่มีปัญหาใต้ตา เช่น ใต้ตาคล้ำ ตาลึก ตาโหล วิธีแก้ไขที่ได้รับความนิยม คือ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และการฉีดไขมันใต้ตา ทั้ง 2 วิธีสามารถแก้ไขได้ แต่ก็มีข้อดี – ข้อเสียที่แตกต่างกัน รวมถึงราคาก็แตกต่างกันด้วยครับ  

  • ฟิลเลอร์ใต้ตา VS ไขมันใต้ตาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นหัตถการที่แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด หลังฉีดสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน เฉลี่ย 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้ และการฉีดใต้ตาราคา เฉลี่ยอยู่ที่ 13,000- 18,000.-/1 CC 

ข้อดี

  1. หลังฉีดเห็นผลทันทีและเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ใน 2 สัปดาห์
  2. ฟิลเลอร์แท้ (HA) สามารถสลายได้หมด 100% โดยไม่ทิ้งสารตกค้างไม่มีสารตกค้าง ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
  3. หลังฉีดไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น เพราะไม่ใช่การต้องผ่าตัด 
  4. สามารถใช้หน้าได้เลย ในบางเคสอาจมีอาการบวมเข็มหลังฉีด แต่จะหายได้เอง ใน 7-14 วัน
  5. การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีที่ปลอดภัย และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง 

ข้อเสีย 

  1. ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร
  2. ในเคสที่ผิวบาง อาจมีอาการช้ำให้เห็น ในจุดที่ลงเข็ม แต่อาการเหล่านี้สามารถหายไปได้เองครับ
  • ฉีดไขมันใต้ตา  

การฉีดไขมันใต้ตา คือการฉีดไขมันตัวเอง เพื่อเติมเต็มร่องลึก ให้ผิวเต่งตึงได้ เป็นการแก้ไขปัญหาใต้ตาจากสาเหตุของร่องตาลึกโบ๋ จากการขาดไขมัน คงผลลัพธ์ได้นานประมาณ 1 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล ราคาฉีดไขมันใต้ตา เฉลี่ยอยู่ที่ 10,000 บาทขึ้นไป ต่อครั้ง

 

ข้อดี

  1. ลดความเสี่ยงต่ออาการแพ้ เนื่องจากเป็นการใช้ไขมันของตัวคนไข้เอง 
  2. ใช้เวลาพักฟื้นน้อย ใช้ระยะเวลาพักฟื้นหลังทำประมาณ 1-2 สัปดาห์ ถือว่าพักฟื้นน้อยมากเมื่อเทียบกับการผ่าตัดครับ

ข้อเสีย

  1. มีกระบวนการที่ค่อนข้างยุ่งยาก ไม่สามารถทำได้ทันทีเหมือนการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป เพราะต้องมีการตรวจเช็คไขมันและมีกระบวนการดูดไขมันออกมา และปั่นแยกเป็นของเหลว ก่อนนำมาใช้ฉีดไขมันใต้ตา
  2. มีแผลในตำแหน่งที่ดูดไขมัน
  3. หลังฉีดอาจเกิดผิวไม่เรียบ ไม่เสมอกัน เพราะไขมันที่ฉีดไปจะถูกร่างกายนำไปใช้
  4. ต้องทำซ้ำหลายครั้ง อาจไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในครั้งแรก นั่นหมายถึงต้องเจ็บตัวหลายครั้งครับ และฉีดไขมันตัวเอง ไม่มีประสิทธิภาพในการยกเหมือนกับฟิลเลอร์
  5. หลังฉีดแล้วจะมีอาการบวมเล็กน้อย จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง 

ดังนั้นหากให้แนะนำแก้ปัญหาใต้ตาวิธีไหนดี ปลอดภัย คุ้มค่า สามารถแก้ปัญหาได้ริ้วรอยใต้ตา ใต้ตาคล้ำ ร่องลึกใต้ตา การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีที่หมอแนะนำมากที่สุดครับ เพราะความเสี่ยงน้อยกว่าการฉีดไขมันใต้ตา หากมองถึงเรื่องความคุ้มค่า ราคาไม่แพง การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาถือว่าคุ้มค่ากว่าครับ 

รีวิวฟิลเลอร์ใต้ตา 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ปัญหาร่องใต้ตา ถุงใต้ตา ลดริ้วรอย ปลอดภัย เห็นผลชัดเจน

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 

สรุป

ใครที่กังวลว่าฉีดใต้ตาดำ ราคาไม่คุ้มค่า หรือกลัวเสี่ยงอันตราย ก่อนฉีดหมอแนะนำให้ศึกษาข้อมูลให้ดี เปรียบเทียบราคา ฟิลเลอร์ใต้ตาของแต่ละที่ และสอบถามหมอโดยตรง เพื่อความปลอดภัย

สำหรับการ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคา คุ้มค่าหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ได้ครับ ซึ่งปัญหาใต้ตาของคนไข้แต่ละคนจะแตกต่างกันไป ควรเลือกฉีดใต้ตาในคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์มีประสบการณ์ จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า และปลอดภัยครับ