เคล็ดลับการดูแลผิวอย่างผู้เชี่ยวชาญ

0
3670
เคล็ดลับการดูแลผิวอย่างผู้เชี่ยวชาญ
การจะมีผิวที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน
เคล็ดลับการดูแลผิวอย่างผู้เชี่ยวชาญ
การจะมีผิวที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน

การดูแลผิว

เพื่อที่จะให้ได้ผิวที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัยอย่างที่ใจปรารถนา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ ดูแลผิว อย่างสม่ำเสมอ เป็นไปไม่ได้ที่ผิวจะดูดีขึ้นมาทันทีราวปาฏิหาริย์ หลังจากที่ถูกปล่อยปละละเลยมานานแรมปี ทุกอย่างจำเป็นต้องใช้เวลา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะใช้เวลานานสักเพียงใด เป็นเดือนเป็นปีหรือจะหลาย ๆ ปี ก็มีความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณบางอย่างที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะทำให้กลับมาเป็นปกติหรือกลับมาดูดีเช่นเดิมได้ เช่น ริ้วรอยที่ลึก การหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อที่มากเกินไป หรือสภาพผิวที่เสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากการโดนแสงแดดแผดเผาโดยปราศจากการดูแลมาเป็นเวลาแรมปี ดังนั้น เพื่อป้องกันความเสียหายที่มิอาจเยียวยาให้กลับมาดูดีได้ ( อย่างน้อยเราทุกคนต่างก็รู้ดีว่าสิ่งที่ฟื้นฟูมาก็ไม่มีทางดูดีได้เหมือนเดิม ) เราจึงจำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่ผิวพรรณของเราทุกวันและอย่างสม่ำเสมอก่อนที่จะสายเกินไป

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

แบบทดสอบผิวก่อนตัดสินใจซื้อเครื่องสำอาง

การเลือกเครื่องสำอางให้เหมาะกับประเภทผิวเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญต่อการมีผิวสวยและอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว การพิจารณาประเภทของผิวอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก มีคนจำนวนไม่น้อยมีปัญหาผิวหน้ามากเกินกว่าที่จะวิเคราะห์หาประเภทของผิวที่แท้จริงได้ ในขณะที่คนอีกจำนวนไม่น้อยสับสน ไม่แน่ใจว่าตัวเองมีสภาพผิวอย่างไรกันแน่ บางครั้งพบว่าผิวของตนแห้งมากเมื่อล้างหน้าเสร็จใหม่ ๆ แต่แล้วกลับมีน้ำมันผลิตออกมามากในเวลาต่อมา เพื่อที่จะทราบประเภทของผิวที่แน่นอน การขอคำปรึกษาจากแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

เมื่อคุณได้ทราบประเภทที่แน่นอนของผิวของคุณแล้ว ทำให้สามารถกำหนดรูปแบบและวิธีการบำรุงรักษาผิวที่ถูกต้องและเหมาะสมได้สะดวกยิ่งขึ้นในคราวต่อไป สิ่งที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นแบบทดสอบสภาพผิวที่จะทำให้ทราบถึงประเภทผิวอย่างคร่าว ๆ ซึ่งจะช่วยคุณในการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้บ้าง โดยให้ตอบ “ ใช่ ” ในคำตอบที่ตรงกับสภาพผิวของคุณ

ลำดับ สภาพผิว
1 ผิวมักมีตุ่มอักเสบ
2 ผิวแพ้ง่ายกว่าปกติ
3 ผิวด้าน หยาบ หมองคล้ำ
4 ผิวแลดูอ่อนกว่าวัย
5 ผิวหยาบกร้าน
6 ผิวมีรูขุมขนกว้าง
7 ผิวคล้ำง่ายเวลาโดนแดดแรง ๆ
8 ผิวเป็นสีแดงเวลาเจอแสงแดด ลม หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบางชนิด
9 ผิวแต่งตึง ไม่มีถุงใต้ตาหรือริ้วรอยหย่อนยาน
10 ผิวเปลี่ยนแปลงสภาพได้ง่ายเวลาเจอความเครียด
11 ผิวลื่น ชุ่มน้ำ น่าสัมผัส
12 ผิวไวต่อการสัมผัส
13 ผิวสว่าง สดใส เต่งตึง และยืดหยุ่นดี
14 ผิวแห้ง และมันทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ผิวผสม
15 มีสิวเสี้ยนเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นอยู่บ่อย ๆ
16 ปรากฏริ้วรอยเล็ก ๆ ขึ้นๆ ขึ้นอยู่เต็มไปหมด
17 เมื่อออกแรงดึงผิว ผิวจะคลายตัวและกลับมาอยู่ในสภาพเดิมทันที
18 หน้าแดงเวลาเปลี่ยนแปลงอารมณ์

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ตอบ “ ใช่ ” 1-5 ข้อ
ผิวของคุณเป็นผิวธรรมดา เป็นผิวที่ดูแลง่ายไม่ค่อยประสบปัญหาเรื่อง การดูแลผิว มากนัก มีขนาดของรูขุมขนปานกลาง แต่บริเวณจมูกและคางอาจมีรูขุมขนกว้างอยู่สักหน่อย ยังผลให้ผิวบริเวณดังกล่าวมีน้ำมันมากกว่าบริเวณอื่น ๆ ผิวมีความยืดหยุ่นอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่แห้งหรือมันจนเกินไป ผิวเนียนเรียบ เกลี้ยงเกลา ไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลหรือการบำรุงที่ยุ่งยากซับซ้อน ผิวมีความสว่างใสพอสมควรและจะเปลี่ยนแปลงตามสภาพอากาศ กล่าวคือในช่วงที่มีอากาศหนาวหรือแห้งแล้ง ผิวจะแห้งกร้านกว่าเดิมเล็กน้อย ในขณะที่อากาศร้อนอบอ้าวผิวจะมันยิ่งกว่าเดิม

ควรใช้วิธีการบำรุงผิวที่เรียบง่ายและสะดวกต่อการดูแลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำความสะอาดผิวใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีส่วนผสมของสบู่ 2 ครั้งต่อวัน หลีกเลี่ยงการใช้คลีนเซอร์หรือโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สบู่ หรือสารซักฟอกที่รุนแรง ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือมีส่วนผสมของน้ำมันในปริมาณน้อย เมื่อต้องออกไปทำธุระกลางแจ้ง อย่าลืมทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสีอันตราย

ตอบ “ ใช่ ” 6-10 ข้อ
ผิวของคุณเป็นผิวแห้ง ไม่ค่อยประสบปัญหาเรื่องสิว ผิวมีรูขุมขนที่เล็กมาก ผิวเนียนเรียบ ไม่มีปัญหาผิวมัน แต่มีปัญหาเรื่องผิวขาดความสดใส ไร้ชีวิตชีวา แห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น หลังจากทำความสะอาดจะรู้สึกแห้งตึง ผิวเป็นขุย และมีอาการคัน

การดูแลผิว แห้งควรทำความสะอาดผิววันละ 1-2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีส่วนผสมของสบู่ แอลกอฮอล์ หรือสารซักฟอกที่รุนแรงและเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น กรดไฮยาลูโลนิก และโซเดียมพีซีเอ ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีความเข้มข้นสูง หรือแบบที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือแบบที่มีสารกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส

ใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยกักเก็บน้ำไว้ใต้ผิวหนังเช่น Colloidal Oatmeal ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะช่วยรักษาผิวที่แห้งให้เนียนนุ่มชุ่มชื้นได้นานขึ้น หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารซักฟอกที่รุนแรง และไม่ควรลืมทาครีมกันแดดทุกครั้ง เมื่อต้องออกไปข้างนอก หรือต้องเผชิญกับแสงแดดแรง ๆ เพื่อป้องกันความเสื่อมโทรมของริ้วรอยที่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร

ตอบ “ ใช่ ” 10-14 ข้อ
ผิวของคุณเป็นผิวที่แพ้ง่าย เป็นผิวอีกประเภทหนึ่งที่ต้องได้รับ การดูแลผิว อย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารเคมีรุนแรง สบู่แอลกอฮอล์ หรือมีสารซักฟอกที่รุนแรงต่อผิว ทำความสะอาดผิววันละ 1-2 ครั้ง หลังจากทำความสะอาด ทามอยส์เจอไรเซอร์ชนิดบางเบาที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือเกิดการอุดตันของรูขุมขนซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสิวได้ในที่สุด    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เมื่อต้องการออกแดด ให้ทาครีมกันแดดชนิดบางเบา ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่คาดว่าจะมีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เช่น สารซักฟอกที่รุนแรง แอลกอฮอล์ สารกันบูด น้ำหอม สีสังเคราะห์ เป็นต้น หลีกเลี่ยงการใช้โทนเนอร์ เนื่องจากมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่าง ๆ ใช้เครื่องสำอางที่ติดทนนานให้น้อยลง

หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารชะล้างที่รุนแรง หากต้องแต่งหน้า ควรเลือกเครื่องสำอางที่สามารถล้างออกได้ง่าย ๆ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือหันไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่นที่สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองดังกล่าว เช่น น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ หรือน้ำแร่แทน

ตอบ “ ใช่ ” 15 ข้อขึ้นไป
ผิวของคุณเป็นผิวมัน เป็นผิวที่มีการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันออกมามากเกินไป ควรทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก หรือกรดเอเอชเอ เนื่องจากจะช่วยลดการสร้างน้ำมันจากต่อมไขมันให้น้อยลง หากผิวมันมาก หลังจากทำความสะอาดตามปกติ ให้เช็ดผิวด้วยโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกและแอลกอฮอล์

หลีกเลี่ยงการทามอยส์เจอไรเซอร์ เพราะผิวของคุณมีน้ำและน้ำมันมากเกินพอแล้ว หากทามอยส์เจอไรเซอร์จะยิ่งเป็นการเพิ่มความมันให้แก่ผิวหน้า ทำให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดเป็นสิวได้ในที่สุด ถ้าอยากใช้หรือจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ให้เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน

หากต้องออกไปข้างนอกหรือเผชิญกับแสงแดด อย่าลืมใช้ครีมกันแดดสำหรับผู้ที่มีผิวมันมาก ๆ หากทำตามขั้นตอนที่กล่าวไปข้างต้นแล้วพบว่าผิวยังมันอยู่เช่นเดิม ให้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ ซัลเฟอร์ กรดอาเซเลอิก และเรตินอยด์ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น

เคล็ดลับการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างไรให้ผิวสวย

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่านอกจากจะเลือกผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว ให้เหมาะกับสภาพผิวแล้ว ผู้ใช้จำเป็นต้องรู้จักวิธีการทาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน เพราะหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพของผิวพรรณ นอกจากกระบวนการทางเคมีและผิวแต่ละคนที่แตกต่างกันแล้ว วิธีทาครีมก็มีความสำคัญต่อความสวยงามของผิวด้วยเช่นกัน ด้วยวิธีการทาที่แตกต่างกัน ผู้ใช้จะได้รับประโยชน์ที่แตกต่างกันแม้ว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน โดยทั่วไปแล้วผลิตภัณฑ์บำรุงผิวไม่ว่าจะเป็น ครีม เจล หรือโลชั่น จะมีส่วนประกอบอยู่ 2 ส่วน อันได้แก่ สารออกฤทธิ์ ซึ่งอาจเป็นสารที่สกัดจากธรรมชาติหรือสารสังเคราะห์ก็ได้ ที่จะทำปฏิกิริยากับผิวและสารที่ไม่ออกฤทธิ์ ซึ่งจะเป็นสารที่ไม่ทำปฏิกิริยา แต่จะทำหน้าที่ในการป้องกันหรือส่งเสริมสารออกฤทธิ์ให้ทำปฏิกิริยากับผิวได้ดีขึ้น ผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลิตภัณฑ์สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีและมากพอ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับวิธีการเลือกซื้อและวิธีการทาผลิตภัณฑ์    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ขั้นตอนในการทาผลิตภัณฑ์ให้ได้ผลดีที่สุด

ความสามารถในการดูดซึมของผิวหนังจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิความชื้น สภาพแวดล้อม และปัจจัยเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อที่จะทำให้ส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ในครีมบำรุงผิวซึมซาบเข้าสู่ผิวได้มากที่สุด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความสะอาดผิวก่อนทุกครั้งเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก หรือสารเคมีที่เคลือบอยู่บนผิว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดก่อนที่จะทำการ ดูแลผิว ทุกครั้ง ไม่ว่าจะทาครีม การมาสก์หน้า ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้ทำความสะอาดผิวก่อนทุกครั้ง ครีมบำรุงผิวจะซึมซับเข้าสู่ผิวได้ดีที่สุดเมื่อคุณพึ่งอาบน้ำอุ่นเสร็จใหม่ ๆ เนื่องจากในช่วงนั้นผิวของคุณจะอุ่น มีความชุ่มชื้นและสะอาด ทำให้ครีมสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดี

ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีความอ่อนโยน และมีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่จะช่วยรักษาปริมาณน้ำที่อยู่ในผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นและอ่อนนุ่ม เนื่องจากครีมบำรุงผิวสามารถซึมซาบได้ดีเมื่อผิวอุ่น หากผิวของคุณเย็นให้ประคบผิวด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นก่อน หลีกเลี่ยงการประคบผิวด้วยน้ำร้อน น้ำที่ร้อนเกินไปจะทำให้ผิวระคายเคืองได้รับความเสียหายและมีแนวโน้มที่จะเหี่ยวย่นได้เร็วอีกด้วย

หลังจากทำความสะอาดผิวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ผ้าขนหนูนุ่ม ๆ ซับน้ำส่วนเกินออก อย่าเช็ดผิวจนแห้ง ควรปล่อยให้ความชื้นหลงเหลืออยู่ที่ผิวบ้าง ทาครีมบำรุงผิวในขณะที่ผิวยังชื้นอยู่ สารออกฤทธิ์ที่อยู่ในครีมบำรุงผิวจะซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีเมื่อมันถูกทำให้ละลาย

ผิวด้านบนสุดเป็นส่วนของหนังกำพร้าที่ตายแล้ว การปล่อยให้เซลล์ส่วนนี้เกิดการสะสมตัวจนหนา จะทำให้ผิวเกิดริ้วรอย หยาบกร้าน และทำให้ความสามารถในการซึมซาบเข้าสู่ผิวของสารออกฤทธิ์ลดน้อยลงไปด้วย

วิธีผลัดเซลล์ผิวส่วนบนที่ขอแนะนำคือการขัดผิวเบา ๆ ด้วยสครับที่ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติ เพราะเป็นวิธีที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง มีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตราย ราคาถูกและสามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกไปอย่างนิ่มนวล ทำให้ผิวสดใสแลดูอ่อนกว่าวัย

เมื่อต้องทาครีมให้ใช้วิธีลูบไล้อย่างเบามือด้วยนิ้วกลางและนิ้วนาง เนื่องจากเป็นนิ้วที่มีแรงกดน้อยที่สุด อย่าถูไปมาแรง ๆ หรือดึงผิวให้ตึงก่อนทา เมื่อทาเสร็จแล้ว ให้ใช้นิ้วมือตบผิวเบา ๆ เป็นเวลาครึ่งนาทีเพื่อกระตุ้นให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ปริมาณของครีมที่ใช้ในแต่ละครั้งควรมีปริมาณที่เหมาะสม หากน้อยเกินไปจะทำให้ผิวไม่ได้รับสารออกฤทธิ์อย่างเพียงพอ ทำให้ผิวไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเท่าที่ควร ในขณะที่การใช้ครีมที่มากเกินไปจะทำให้ผิวมันและเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์ ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการใช้ในแต่ละครั้งควรเท่ากับผลเชอรี่ขนาดกลาง 1 ผล

เมื่อต้องทาครีมบนใบหน้า ให้แต้มครีม 5 จุด ได้แก่ หน้าผาก จมูก แก้มทั้ง 2 ข้างและคาง แล้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนางเกลี่ยครีมให้ทั่วใบหน้าอย่างเบามือ หลีกเลี่ยงการถูแรง ๆ หรือถูกลับไปมาเพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดริ้วรอยตามมาได้
หากต้องทาครีมรอบดวงตาให้ใช้นิ้วนางแต้มครีมประมาณ 1 เม็ดถั่วเขียวไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา จะเริ่มจากหัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ตามความถนัด แล้ววนครีมรอบรอบดวงตาให้เป็นไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง อย่าถูกลับไปมา เพราะอาจทำให้เกิดริ้วรอยได้

สำหรับผิวกายให้ใช้ครีมในปริมาณที่พอเหมาะอย่าใช้มากหรือน้อยจนเกินไป ลูบไล้ครีมในทิศทางย้อนแรงโน้มถ่วงให้ทั่วตัวทั้งด้านหน้าและด้านหลังอย่างเบามือ จนรู้สึกว่าครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวดีแล้วจึงค่อยลงไปที่ส่วนขา

สำหรับคอ ให้ใช้ครีมปริมาณเท่าที่ใช้กับใบหน้า ลูบไล้เนื้อครีมในทิศทางย้อนแรงโน้มถ่วงให้ทั่วคอทั้งด้านหน้าและด้านหลังอย่างเบามือ เพื่อชะลอการเกิดริ้วรอยจากแรงโน้มถ่วง

สำหรับขา ให้ใช้ครีมในปริมาณที่พอเหมาะ (ประมาณผลเชอรี่ขนาดกลาง 2 ผล) ลูบไล้ครีมให้ทั่วทั้งขา โดยเริ่มจากต้นขาก่อนแล้วค่อยไล่ลงไปที่หน้าแข้ง ทาอย่างเบามือ พึงระลึกไว้เสมอว่าเพื่อความเปล่งปลั่งสวยงามไร้ริ้วรอย จำเป็นต้อง ดูแลผิว ทุกส่วนด้วยความอ่อนโยนเน้นบริเวณหน้าแข้ง เนื่องจากเป็นบริเวณที่ต้องเจอสภาพแวดล้อมมากกว่าต้นขา จึงมีแนวโน้มที่จะแห้งกร้านได้ง่ายกว่า

สำหรับเท้า ควรใช้ครีมแต่พอประมาณ ทาทั้งหลังเท้าและฝ่าเท้า เนื่องจากเท้าเป็นจุดศูนย์รวมของปลายประสาท การนวดเบา ๆ บริเวณฝ่าเท้าจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและช่วยสร้างความผ่อนคลายได้ดี

สำหรับแขน ให้เริ่มทาจากท้องแขนขึ้นไปอย่างเบามือ แล้วลูบไล้ขึ้นไปตั้งแต่ข้อมือไล่ไปจนถึงหัวไหล่

สำหรับมือ ให้บีบครีมประมาณ 1 ผลเชอรี่ขนาดกลาง ลูบไล้ครีมให้ทั่วมือ ทั้งฝ่ามือและหลังมือ นวดจากปลายนิ้วไปจรดโคนนิ้ว นวดทีละนิ้วใช้หัวแม่มือคลึงบนข้อต่อแต่ละข้อเป็นวงกลม หงายฝ่ามือขึ้น นวดฝ่ามือทีละครึ่งฝ่ามือจนทั่ว แล้วหมุนข้อมือไปมา 2-3 รอบ นอกจากจะช่วยบำรุงผิวที่มือแล้วการทำเช่นนี้ยังกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้อีกด้วย    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

สำหรับคนที่มีผิวแห้งและผิวบอบบาง ควรทามอยส์เจอไรเซอร์หลังอาบน้ำ ในขณะที่ผิวยังชื้นอยู่ เพราะนอกจากจะทำให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีแล้ว ยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้ได้อีกด้วย หากผิวแห้ง ให้พรมน้ำให้ผิวชื้นก่อนทาจะทำให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางมาก ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อครีมบำรุงผิวชนิดใด ๆ ควรทดสอบอาการแพ้ก่อนเสมอ โดยการทาครีมที่ผิวทิ้งไว้สักพัก หากไม่พบอาการคันหรือรอยผื่นแดง หรืออาการผิดปกติใด ๆ ในบริเวณดังกล่าว จึงค่อยตัดสินใจซื้อ
สำหรับผู้ที่มีผิวผสม การใช้ครีมบำรุงผิวต้องเพิ่มความระมัดระวังมากกว่าผิวประเภทอื่น เนื่องจากผิวจะประกอบไปด้วยส่วนที่มันและแห้งรวมกันอยู่ หากไม่ระวังให้ดี ครีมที่ใช้อาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาโดยไม่รู้ตัว หลีกเลี่ยงการใช้ครีมที่มีความเข้มข้นสูงกับผิวบริเวณที่บอบบางและอาจทำให้ผิวเสียได้

สำหรับผู้ที่มีผิวมัน ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงผิวเลยก็ว่าได้ แต่หากต้องการจะใช้จริง ๆ ให้เลือกชนิดที่บางเบา และปราศจากน้ำมันจึงจะดีที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ครีมดังกล่าวเพิ่มความมันให้แก่ผิว ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสิวอุดตันได้ในเวลาต่อมา

สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ ให้ใช้ครีมที่มีความเข้มข้นสูงและใช้ครีมกันแดด หากต้องออกไปกลางแจ้ง หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่ร้อนจัดหรือหนาวจัดเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณจะทำตามขั้นตอนทุกอย่างแล้ว คุณอาจยังไม่แน่ใจว่าครีมที่คุณทาลงไปสามารถซึมซาบเข้าไปบำรุงผิวของคุณได้อย่างล้ำลึกอย่างเต็มที่หรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อให้ทราบว่าครีมดังกล่าวสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ล้ำลึกและเต็มที่หรือไม่นั้น ให้สังเกตจากความรู้สึกของผิวหากรู้สึกเย็นซ่าหลังจากทาผลิตภัณฑ์บำรุงที่ทำมาจากธรรมชาติ นั่นก็หมายความว่าครีมดังกล่าว สามารถแทรกซึมเข้าสู่ชั้นหนังแท้ซึ่งเป็นชั้นเป้าหมายที่ต้องการให้สารออกฤทธิ์ทำปฏิกิริยาเต็มที่แล้ว

เพื่อที่จะมีผิวที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัยอย่างที่ใจปรารถนา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ ดูแลผิว อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันความเสียหายที่มิอาจเยียวยาให้กลับมาดูดีได้      [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ตรวจสอบอายุของผิวสบายดีไหม

ประโยคที่ว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงเรามี 2 อายุ ซึ่งได้แก่ อายุจริงที่ซ่อนอยู่ใต้ผิว กับอายุที่ฟ้องด้วยริ้วรอย ดูเหมือนเป็นความจริงเพราะมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่แม้ว่าจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นหรือว่าวัยสาวแต่สภาพของผิวกลับร่วงโรย เสื่อมโทรมจนน่าตกใจ ในขณะที่ผู้หญิงบางคนแม้ว่าจะมีอายุมากแล้วแต่กลับมีผิวที่เต่งตึงเรียบเนียน ไร้ริ้วรอยไม่ต่างอะไรจากเด็กสาวเลย ซึ่งมีปัจจัยมากมายที่ส่งผลต่อความร่วงโรยของผิวพรรณ ไม่ว่าจะเป็น โภชนาการ การพักผ่อน การออกกำลังกาย ความเครียด บุหรี่ แอลกอฮอล์ และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือแสงแดดและมลภาวะ

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แสงแดดและมลภาวะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวร่วงโรยก่อนวัยอันสมควร หากเราไม่เคยเผชิญกับแสงแดดหรือมลภาวะที่เป็นพิษเลย ริ้วรอยเส้นแรกจะปรากฏเมื่อเราอายุ 50 ปี จากความจริงข้อนี้ทำให้เราทุกคนต่างตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนส่วนใหญ่ต่างพบว่าริ้วรอยที่ปรากฏนั้นมาก่อนช่วงเวลาที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวถึงมาก ( บางรายอาจมีตั้งแต่ตอนวัยรุ่นเสียด้วยซ้ำ ) ริ้วรอยแต่ละเส้นที่ปรากฏบนผิวพรรณเป็นสัญญาณอันตรายที่เตือนให้เห็นถึงความร่วงโรยที่เกิดขึ้นกับผิวทั้งสิ้น

เนื่องจากวิถีการดำรงชีวิตในปัจจุบันเอื้ออำนวยต่อความเสื่อมโทรมของผิวพรรณมากยิ่งขึ้น มีคนจำนวนไม่น้อย ที่ต้องเสียเงินจำนวนมากไปกับการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวราคาแพงจากต่างประเทศ แม้ว่าจะเป็นครีมที่มีประสิทธิภาพในการถนอมผิวที่ดีเยี่ยม แต่ผิวพรรณกลับเสื่อมโทรมลงอย่างน่าประหลาดใจ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าครีมบำรุงผิวอาจมีส่วนช่วยในการบำรุงและช่วยชะลอความร่วงโรยของผิวได้บ้างในระยะหนึ่ง แต่เป็นไปไม่ได้ที่ครีมเหล่านั้นจะป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยเมื่อเวลาอันสมควรมาถึง

อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวราคาแพงที่ใช้อยู่นั้น จะกลายเป็นของมีค่าไปในทันที หากยังดำรงชีวิตอยู่บนความเสี่ยงที่เป็นต้นเหตุของความเสื่อมโทรมและริ้วรอยอยู่อย่างเคย นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวเสริมอีกว่า มีกิจกรรมที่ทำในชีวิตประจําวันบางอย่างที่ส่งผลต่อความเสื่อมโทรมของผิวอย่างรุนแรงโดยคาดไม่ถึงมาก่อน ดังนั้น ก่อนที่จะเริ่มต้นโปรแกรมการบำรุงผิวใด ๆ ควรสำรวจตัวเองถึงปัจจัยเสี่ยงอันนำไปสู่ภาวะเสื่อมโทรม ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย

เพื่อที่จะทราบว่ามีความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมของผิวเร็วกว่าปกติหรือไม่ให้ตอบคำถามต่อไปนี้ตามความเป็นจริง

ลำดับ ความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมของผิว
1 ฉันสูบบุหรี่เป็นประจำ
2 ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องแอร์
3 ฉันนอนดึกเป็นประจำ
4 ฉันอาบน้ำอุ่นบ่อย ๆ หรือแทบจะทุกวัน
5 ในวันหนึ่ง ๆ ฉันต้องเผชิญกับแสงแดดเสียเป็นส่วนใหญ่
6 ฉันมักตื่นมากลางดึก
7 ฉันนอนไม่ค่อยหลับลึกหลับไม่สนิทบ่อย ๆ
8 ฉันไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
9 ฉันต้องแต่งหน้าทุกวัน
10 ฉันกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่
11 ฉันกินอาหารให้ถูกสัดส่วน
12 ฉันสัมผัสกับกระดาษหรือสิ่งพิมพ์บ่อย ๆ
13 ฉันไม่ค่อยมีเวลา ดูแลผิว ตัวเองสักเท่าไร
14 ฉันเข้านอนโดยไม่ได้ล้างหน้าอยู่บ่อย ๆ
15 ฉันรู้สึกเหนื่อยและเครียดกับการทำงานที่ทำเสมอ
16 ฉันรู้สึกว่ามีภาระมากเกินกว่าที่ฉันจะแบกรับได้
17 ฉันมาทำงานอยู่ท่ามกลางมลภาวะเสมอ
18 เมื่อตื่นนอน ฉันรู้สึกอ่อนเพลียหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่เสมอ
19 ฉันดื่มน้ำน้อย
20 ฉันรู้สึกว่าฉันมีริ้วรอยมากกว่าคนอื่น ๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกัน
21 ฉันชอบกินอาหารที่มีไขมันสูง
22 ฉันรู้สึกเบื่อหน่ายและเหน็ดเหนื่อยทุกครั้งที่วันจันทร์มาถึง
23 ฉันชอบกินขนมนมเนยและของขบเคี้ยวที่มีน้ำตาล แป้งและเกลือสูง
24 ฉันไม่ค่อยชอบกินธัญพืชหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเมล็ดถั่วทุกชนิด
25 ฉันไม่มีแรงบันดาลใจในการกระตือรือร้นหรือมีพลังในการทำงาน
26 ฉันไม่สามารถระบายความทุกข์หรือความลำบากที่ฉันมีให้คนอื่นรับรู้ได้
27 ฉันมักอยู่ในสถานที่สกปรกมีควันพิษ ฝุ่นละออง และมีเสียงดังหนวกหู

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

หากคำตอบส่วนใหญ่ของคุณคือ “ใช่” นั่นแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังทำร้ายผิวพรรณของตัวเองอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หากคุณยังคงดันทุรังดำเนินชีวิตในรูปแบบเดิม โดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงให้ดีขึ้น นอกจากสุขภาพโดยรวมของคุณจะเสื่อมโทรมเร็วกว่าปกติแล้ว ผิวพรรณของคุณยังมีแนวโน้มที่จะร่วงโรยเร็วกว่าคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน เพื่อหยุดยั้งกระบวนการเสื่อมโทรมและฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณและสุขภาพ คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่และหันมา ดูแลผิว ตัวเองให้มากขึ้น เอาใจใส่ในปัจจัยที่มีผลต่อความเสื่อมโทรมและการเกิดริ้วรอยให้มากขึ้นด้วยความใส่ใจที่มากขึ้น คุณจะพบว่าความเสื่อมโทรมที่เป็นอยู่จะได้รับการเยียวยาและสามารถฟื้นตัวได้ในเร็ววัน

ผิวของคุณแก่เร็วแค่ไหน

ความเสื่อมโทรมของผิวเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถชะลอได้ด้วยการปรนนิบัติผิวของเราอย่างถูกต้องและเหมาะสม กระบวนการเสื่อมโทรมตามธรรมชาติของผิวก็จะดำเนินไปอย่างช้าลง สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้คือตารางแสดงลำดับความเสื่อมโทรมตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณ ด้วยการเปรียบเทียบอายุจริง คุณจะทราบว่าในขณะนี้ผิวพรรณมีลักษณะเป็นเช่นไร ริ้วรอยหรือความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นก่อนวัยอันควรเป็นสัญญาณอันตรายที่เตือนให้เราทราบว่าถึงเวลาแล้วที่ควรหันมาใส่ใจผิวพรรณอย่างถูกวิธีเสียที

อายุน้อยกว่า 15 ปี
สภาพผิว ผิวสวยใส เรียบเนียน กระชับเต่งตึงไม่หย่อนคล้อยและมีรูขุมขนเล็ก

อายุ 15-25 ปี
สภาพผิว มีความมันขึ้นประปราย รูขุมขนเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มมีริ้วรอยตื้น ๆ เกิดขึ้นบ้างแต่เล็กน้อย

อายุ 25-45 ปี
สภาพผิว เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นมากขึ้น ริ้วรอยเริ่มลึกกว่าเดิมเริ่มเกิดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา มีรอยย่นบริเวณหน้าผาก ความยืดหยุ่นของผิวลดลง ผิวเริ่มหยาบขาดความชุ่มชื้น ในบางรายอาจพบสิวประปราย

อายุ 45-55 ปี
สภาพผิว เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นมากขึ้น มีรอยบวมรอบ ๆ ดวงตา รูขุมขนขยายตัว มีริ้วรอยรอบดวงตาและแก้ม ความเปล่งปลั่งของผิวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวเริ่มซีดเหลือง      [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อายุ 55 ปีขึ้นไป
สภาพผิว ร่องรอยแห่งวัยเพิ่มมากขึ้นและลึกยิ่งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ความกระชับเต่งตึงของผิวหายไป ผิวเริ่มหย่อนยาน มีรอยบวมใต้ตา มีกระและจุดด่างดำบนผิวหนัง ผิวใต้ตามีสีคล้ำลงเรื่อย ๆ ความเรียบเนียนของผิวหายไป รอยย่นที่คอ ผิวหยาบกร้าน ขาดความชุ่มชื้น มีรอยย่นรอบริมฝีปาก

เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างไรให้เหมาะกับผิว

เมื่อพูดถึงความร่วงโรยและความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นกับผิว ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นกับผิวนั้น เกิดจากปัจจัย 2 ประการ ได้แก่ ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก อาทิ แสงแดด มลภาวะในอากาศ การสูบบุหรี่ การใช้เครื่องสำอางและ การดูแลผิว ที่ผิดวิธี ในขณะที่ปัจจัยความเสื่อมโทรมที่มาจากภายใน ได้แก่ การเสื่อมของผิวตามกาลเวลา ฮอร์โมนที่ลดน้อยลง การหยุดสร้างเซลล์ผิวและการลดลงของภูมิคุ้มกันโรค ด้วยปัจจัยทั้งสองประการนี้ ผิวจะมีการเผชิญกับปัจจัยดังกล่าวมากขึ้น ผิวพรรณก็จะร่วงโรยมากกว่าคนอื่น ๆ วิธีที่จะรักษาความงามและความอ่อนเยาว์ของผิวเอาไว้ให้ได้นานที่สุดก็คือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ให้มากที่สุด การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว ที่มีส่วนผสมที่เป็นประโยชน์ต่อผิวก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการปรนนิบัติผิวที่ได้ผลอย่างดีเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ครีมบํารุงผิวมิได้หมายความว่าจะสามารถหยุดกระบวนการเกิดริ้วรอยได้อย่างถาวร กระบวนการเกิดริ้วรอยและความเสื่อมโทรมจะยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่ว่าสารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในครีมบำรุงผิวมีส่วนช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าวให้ดำเนินไปได้ช้าลงเท่านั้น

มอยส์เจอไรเซอร์ ( Moisturizer )

มอยส์เจอไรเซอร์ หรือครีมให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว ดูเหมือนว่าจะเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว ขั้นพื้นฐานที่ทุกคนมีและใช้กันเป็นประจำ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ถึงแม้มอยส์เจอไรเซอร์จะดีต่อสุขภาพผิวทำให้ผิวชุ่มชื้นเนียนนุ่มน่าสัมผัส ช่วยลดอาการระคายเคือง อาการแพ้ และลดการเกิดริ้วรอยอันเนื่องมาจากการมีผิวแห้ง แต่มอยส์เจอไรเซอร์กลับมิใช้ผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว ที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้ มอยเจอร์ไรเซอร์เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งและผิวผสม ( ทาบริเวณแก้มทั้งสองข้างที่เป็นผิวแห้ง ) ร่วมไปจนถึงผู้ที่มีผิวธรรมดา ( เฉพาะช่วงอากาศแห้งหรือเฉพาะช่วงเวลาที่ผิวแห้งตึงเท่านั้น ) แต่กลับไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมันและคนที่มีผิวธรรมดาทั่วไป ซึ่งการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ผิดวิธีและไม่เหมาะกับสภาพผิวก็อาจนำมาซึ่งผลเสียที่คาดไม่ถึงได้เช่นกัน

ปัจจุบันมีการผลิตมอยส์เจอร์ไรเซอร์ออกมาจำหน่ายมากมาย แต่ละยี่ห้อต่างก็มีการโฆษณาถึงสรรพคุณที่ดีต่อผิวพรรณและมีราคาที่แตกต่างกัน ในการเลือกซื้อมอยส์เจอไรเซอร์จำเป็นต้องดูที่ประเภทของผิวและชนิดของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ต้องการเป็นหลัก โดยทั่วไปแล้วมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะแบ่งออกเป็น 5 ชนิด ดังต่อไปนี้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มอยเจอร์ไรเซอร์แบบน้ำนม

เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำและน้ำมัน เนื่องจากน้ำและน้ำมันจะไปรวมตัวกันและจะแยกชั้นกันตลอดเวลา แม้ว่าจะพยายามเขย่าหรือผสมให้เข้ากันสักเพียงใดก็ตาม ซึ่งการเขย่าด้วยความแรงเป็นเวลานานพอสมควร น้ำและน้ำมันจะแตกตัวกลายเป็นเม็ดของเหลวเล็ก ๆ ลอยไปมาผสมกันอยู่ แต่เมื่อปล่อยทิ้งไว้สักพัก ของเหลวทั้ง 2 ชนิดก็จะแยกตัวออกจากกันอย่างชัดเจนเหมือนเดิม เมื่อผสมของเหลวทั้งสองให้เป็นเนื้อเดียวกัน จึงเป็นการเติมตัวประสานลงไป ตัวประสานจะทำหน้าที่ในการกระจายหยดน้ำและหยดน้ำมันให้รวมตัวเข้ากันเป็นเนื้อเดียว Moisturizer แบบน้ำนมจะมีประโยชน์ในการช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นที่ผิวเอาไว้ จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีผิวแห้ง ซึ่งจะมีการผลิตน้ำมันออกมาน้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน

มอยส์เจอร์ไรเซอร์มีอยู่ 2 แบบ แบบที่มีส่วนผสมของน้ำมันมากกว่าน้ำ ซึ่งจะมีความเข้มข้นสูง และแบบที่มีส่วนผสมของน้ำมากกว่าน้ำมัน ซึ่งจะมีความเบาบางมากกว่า คนที่มีผิวแห้งมาก ๆ จะเหมาะกับมอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบแรก แต่จะไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวมัน และผิวธรรมดาเพราะความเหนียวเหนอะหนะของมอยส์เจอร์ไรเซอร์อาจทำให้ผิวที่มีน้ำมันตามธรรมชาติอยู่แล้วเกิดการอุดตันและเกิดเป็นสิวในที่สุด

มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบปราศจากไขมันหรือน้ำมัน

เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวธรรมดาและผิวมัน เนื่องจากผิวของคนเหล่านี้จะมีการผลิตน้ำมันและสารดูดซับความชื้นออกมาอย่างเพียงพอแล้ว แต่อาจมีบางช่วงที่ผิวเหล่านี้อาจต้องการสารให้ความชุ่มชื้นมากขึ้น เช่น ในช่วงหน้าหนาวที่มีอาการแห้ง หรือผิวถูกน้ำชะล้างเป็นเวลานาน จนผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและแห้งตึง มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบปราศจากไขมันจะมีส่วนผสมของสารดูดซับความชื้น ( Humectants ) เช่น Collagen, Colloidal Oatmeal, Hyaluronic Acid, Glycerin, Sodium PCA และ Propylene Glycol ซึ่งเป็นสารที่ช่วยดักและกักเก็บโมเลกุลของน้ำให้อยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวชุ่มชื้นเนียนนุ่มโดยไม่มีน้ำมันส่วนเกินปรากฏให้เห็น

มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบเคลือบผิว

ทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำไว้ที่ผิว ด้วยการสร้างแผ่นฟิล์มบาง ๆ มาเคลือบผิวเอาไว้ ทำให้น้ำไม่สามารถระเหยออกจากผิว ส่วนผสมที่ทำหน้าที่ในการเคลือบผิว ได้แก่ ปิโตรลาทัม ( Petrolatum ) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Vaseline, Dimethicone, Cyclomethicone, Mineral Oil และ Siloxanes เนื่องจากสารเหล่านี้จะทำหน้าที่ในการเคลือบผิว จึงอาจทำให้เกิดปัญหารูขุมขนอุดตันจนเกิดปัญหาสิวและปัญหาผิวพรรณอื่น ๆ ตามมาได้ มอยส์เจอไรเซอร์แบบสครับผิวจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมากจนไม่สามารถใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบน้ำนมได้ แม้ว่าคุณจะทามอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบน้ำนมลงไปสักกี่ครั้ง ผิวของคุณก็ยังคงแห้งกร้านอยู่เช่นเดิม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อที่จะได้ประโยชน์จะมอยส์เจอไรเซอร์ชนิดนี้ให้มากที่สุด เมื่ออาบน้ำอุ่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำส่วนเกินออก ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ในขณะที่ผิวยังหมาด ๆ อยู่ มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะสร้างฟิล์มบาง ๆ จัดเก็บอนุภาคของน้ำไว้ใต้ผิวทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัสเป็นเวลานาน    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบติดทนนาน

เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้งมาก ๆ จนมอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบธรรมดาไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้นานเป็นพิเศษ ( 1-2 ชั่วโมง ) ซึ่งทนนานและดีกว่ามอยส์เจอไรเซอร์ชนิดธรรมดา และจำเป็นต้องทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาความชุ่มชื้นเอาไว้ นอกจากจะมีส่วนประกอบของสารเก็บความชื้นแล้ว มอยส์เจอไรเซอร์ ชนิดติดทนนานยังมีส่วนผสมของสารสร้างความชื้น สารดูดความชื้นและสารเคลือบผิวบางประเภทเช่น (Sodium PSA), Glycerin, Dimethicone, Hyaluronic Acid, และ Colloidal Oatmeal

มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์

เนื่องจากปัจจุบันความต้องการในการลดริ้วรอยแห่งวัยและการมีใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัยจากผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว มีเพิ่มมากขึ้นควบคู่ไปกับความต้องการในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวพรรณ บริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางจึงมีการผสมสารออกฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยและช่วยยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึงลงไปในครีมบำรุงผิวด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยและป้องกันปัญหาผิวหน้าที่อาจเกิดขึ้นได้ภายหลัง

ผู้ที่มีผิวมันหรือผิวผสม ผิวทำการผลิตไขมันและสารดูดซับความชื้นออกมาในปริมาณที่มากพอ ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นเพียงพออยู่แล้ว จึงควรหยุดใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์แล้วหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ลบเลือนริ้วรอยเพียงอย่างเดียว เพื่อป้องกันการมีน้ำมันบนผิวมากเกินไป สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งให้เลือกผลิตภัณฑ์ลบเลือนริ้วรอยที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ในปริมาณที่มากพอสมควร เพื่อรักษาผิวพรรณให้ชุ่มชื่นเปล่งปลั่งอยู่เสมอ สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยควบคู่ไปกับมอยส์เจอไรเซอร์ โดยให้ทาครีมลบเลือนริ้วรอยลงไปก่อน รอให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวจนหมด ( ประมาณ 2-3 นาที ) แล้วจึงค่อยทามอยส์เจอไรเซอร์ตบท้ายเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้ วิธีนี้จะทำให้ผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ ได้รับประโยชน์จากสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในครีมลบเลือนริ้วรอยอย่างเต็มที่ในขณะที่ผิวพรรณคงความชุ่มชื้นเปล่งปลั่งอยู่เสมอ

ในสภาวะปกติผิวของเราจะมีสมดุลระหว่างน้ำและน้ำมันในตัวอยู่แล้ว โดยถูกควบคุมด้วยชั้นไขมันที่ร่างกายผลิตขึ้นเอง แต่ด้วยปัจจัยบางประการ อันได้แก่ สภาพแวดล้อมและอายุที่เป็นตัวทำให้สมดุลดังกล่าวถูกทำลาย ยังผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แห้งกร้านและแตกเป็นขุย ซึ่งมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะเป็นตัวปรับสมดุลดังกล่าว ให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติ โดยทั่วไปแล้วมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่      [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ 3 กลุ่ม

Occlusive 
เป็นส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพในการรักษาระดับน้ำในผิวมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ปิโตรลาทัม ( Petrolatum ) มิเนอรัลออย ( Mineral Oil ) ไซโครเมธิโคน ( Cyclomethicone ) ลาโนลิน ( Lanolin ) ทำหน้าที่ในการเคลือบผิวไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวธรรมดาหรือผิวผสมหรือผิวที่ค่อนข้างมัน สำหรับสารออกฤทธิ์ที่ใช้กันมานานและให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมมากที่สุดคือ ปิโตรลาทัม แต่มีข้อเสียคือ ทำให้เกิดอาการอุดตันของผิวได้ง่ายเช่นกัน

Emollient
ทำหน้าที่ในการเพิ่มความนุ่มลื่นให้แก่ผิว เช่น โจโจ้บาออย ( Jojoba Oil ) กลีเซอรีลสเตียเรต ( Glyceryl Stearate ) โพรไพลีนไกลคอล ( Propylene Glycol ) เป็นต้น แต่ไม่เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวแต่อย่างใด เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งที่เมื่อสัมผัสผิวแล้วสากมือ

Humectant
ทำหน้าที่ในการเพิ่มน้ำให้แก่ผิว เช่น ยูเรีย ( Urea ) เจลาติน ( Gelatin ) กลีเซอริน ( Glycerin ) โซเดียมแล็ตเตต ( Sodium Lactate ) แอมโมเนียแล็กแตต ( Ammonium Lactate ) กรดไฮยาลูโรนิก ( Hyaluronic Acid ) เป็นต้น โดยจะดึงน้ำจากสิ่งแวดล้อมและจากชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพื่อคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้นเป็นเวลานาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวธรรมดาและผิวมัน

คลีนเซอร์ ( Clenser )

คลีนเซอร์มีหน้าที่ในการทำความสะอาดผิวพรรณ โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
Wipe off Cleanser
มีความเข้มข้นมาก ส่วนมากจะอยู่ในรูปของครีมเข้มข้นหรือน้ำมัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง
Cleansing Wipe
มักอยู่ในรูปของผ้าเช็ดหน้า ผลิตมาเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน สามารถพกพาได้สะดวก ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ประจำวัน เพราะอาจมีสารเคมีตกค้างบนผิว หลังจากใช้แล้วให้ล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งเพื่อชะล้างสารเคมีที่ตกค้างออกให้หมด    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
Water Soluble
มักอยู่ในรูปของสบู่ก้อน โลชั่น ครีม เจล หรือโฟม ละลายน้ำและล้างออกด้วยน้ำสะอาดได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวธรรมดาไปจนถึงผิวมัน แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งที่ต้องการ การดูแลผิว เป็นพิเศษ
Eye Make-Up Remover
มีส่วนผสมของ Silicon หรือ Oil Bese ถูกออกแบบมาเพื่อทำความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าคลีนเซอร์ที่ดีควรละลายน้ำได้ดี สามารถชะล้างสิ่งสกปรกและสารเคมีได้อย่างหมดจด โดยไม่เหลือสารอันตรายตกค้างอยู่บนผิวซึ่งอาจสะสมตัวจนก่อให้เกิดปัญหาผิวตามมาภายหลัง

ควรเลือกคลีนเซอร์โดยยึดประเภทของผิวเป็นหลัก มีค่าความเป็นกรดด่างที่ใกล้เคียงกับค่าความเป็นกรดด่างตามธรรมชาติของผิว ( ประมาณ 4.5-5 ) ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ หลีกเลี่ยงคลีนเซอร์ที่ผสมสารเคมีอื่น ๆ ที่นอกจากสารทำความสะอาด เช่น สารสร้างความชุ่มชื้น สารเคมีที่ช่วยปิดรูขุมขนหรือสารที่ช่วยทำให้ผิวลื่น เรียบเนียน เพราะสารเคมีที่ตกค้างอาจก่อให้เกิดโทษต่อผิวในภายหลังได้

สครับ ( Scrub )

สครับหรือผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เมื่อแบ่งตามประเภทของสารขัดผิวแล้ว จะแบ่งออกเป็น 5 ประเภทได้แก่
1. ประเภทที่ใช้สารสครับ อาจทำมาจากถั่ว เมล็ดข้าวบด ซิลิคอน ( Silicon Bead ) หรือโพลียูริเธน ( Polyurethane Bead )
2. ประเภทที่ใช้สารเคมี ได้แก่ เอเอชเอ และบีเอชเอ
3. ประเภทเอนไซม์จากพืชผัก เช่น มะละกอหรือสับปะรด
4. ประเภทมาสก์ที่มีส่วนผสมของดินชนิดพิเศษ
5. ประเภทเครื่องมือต่าง ๆ เช่น แปรงหมุน ครีมกรอหน้าด้วยอัญมณี

สครับจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วที่อยู่ด้านบนให้หลุดลอกออกไป เหลือเอาไว้แต่ผิวเกิดใหม่ที่สดใสและเปล่งปลั่ง สามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย ช่วยกระตุ้นให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์สดใสอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและทำให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันอาการระคายเคือง และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเซลล์ผิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ขัดผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว และขัดผิวอย่างเบามือ    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

โทนเนอร์ ( Toner )

โทนเนอร์มีชื่อเรียกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเอสตริเจนต์ รีเฟรชเชนเนอร์หรือโทนิก ทำหน้าที่ในการขจัดคราบสิ่งสกปรก ไขมัน หรือสารเคมีที่ตกค้างหลังจากทำความสะอาดให้ออกไปอย่างหมดจด ช่วยลอกเซลล์ผิว ช่วยปรับค่าความเป็นกรดด่างของผิวหลังจากการล้างหน้า ทำให้ครีมบำรุงผิวสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวชั้นในได้ดีขึ้น

หากแบ่งตามความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่เป็นส่วนผสมหลักแล้ว จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ รีเฟรชเชนเนอร์ แคลิฟายอิงโลชั่น และเอสตริเจนต์

แคลิฟายอิงโลชั่น ( Cali Fying Lotion )
เป็นโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อยู่ปานกลาง มีฤทธิ์ในการชะล้างไขมันที่เคลือบผิวออกไปบ้าง แต่ไม่รุนแรงมากจนทำให้ผิวแห้งเกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ เหมาะสำหรับคนที่มีผิวธรรมดาไปจนถึงผิวผสม

เอสตริเจนต์ ( Estringent )
มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เข้มข้นกว่าแคลิฟายอิงโลชั่น จึงทำให้มีฤทธิ์ในการชะล้างไขมันส่วนเกิน ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว รวมไปถึงสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิวได้มากกว่า เหมาะสำหรับคนที่มีผิวมัน คนที่ประสบปัญหาต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป

รีเฟรชเชนเนอร์ ( Refreshener )
เป็นโทนเนอร์ที่เหมาะสำหรับผู้มีผิวแห้ง เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่เป็นสาเหตุของการแห้ง ระคายเคือง และแพ้ของผิว เนื่องจากปราศจากแอลกอฮอล์ที่จะคอยชะล้างน้ำมันที่ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตขึ้นมา ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น นุ่มนวล น่าสัมผัส

การดูแลผิว รอบดวงตา

อายครีมหรือครีมบำรุงรอบดวงตา ( Eye Cream ) มีประสิทธิภาพในการช่วยลดริ้วรอยหมองคล้ำรอบดวงตา ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากเส้นเลือดใต้ผิวรอบดวงตาหรือเม็ดสีใต้ผิวรอบดวงตา ช่วยลบเลือนริ้วรอยรอบดวงตา เนื่องจากมีสารออกฤทธิ์ที่ไปยับยั้งการเคลื่อนไหวซ้ำไปมาของกล้ามเนื้อรอบดวงตาอันเป็นสาเหตุทำให้เกิดริ้วรอย นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการบวมของถุงน้ำใต้ตา อันมีสาเหตุมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยทั่วไปแล้วอายครีมจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ เจล ครีมน้ำนม และครีมเข้มข้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เจล
ทาเพื่อลดอาการบวมและลบเลือนริ้วรอยรอบดวงตาให้ค่อย ๆ จางหายไป มีประสิทธิภาพในการให้ความชุ่มชื้นและความเย็นแก่ผิวหนัง มีลักษณะบางเบา จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมัน ซึ่งผิวจะมีกระบวนการผลิตน้ำมันออกมามากเกินพอ

ครีมน้ำนม
ช่วยมอบความชุ่มชื่นให้แก่ผิวรอบดวงตา และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน มีฤทธิ์ในการบำรุงผิวรอบดวงตา ช่วยลบเลือนริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวไม่แห้งมาก

ครีมเข้มข้น
มีลักษณะเป็นครีมข้นที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ เนื้อครีมที่มีประสิทธิภาพในการลบเลือนริ้วรอย รอยหมองคล้ำบริเวณผิวหนังรอบดวงตา มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง เนื่องจากมีความเข้มข้นและความมันสูง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ

เดย์ครีม ( Day Cream )
ทำหน้าที่มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัสไม่หยาบกร้าน มีส่วนผสมของสารกันแดด ช่วยปกป้องผิวจากรังสีอันตรายในยามกลางวันได้เป็นอย่างดี มีความบางเบาจึงเหมาะสำหรับทาตอนกลางวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องทำกิจกรรมในระหว่างวันที่มีอากาศร้อนอบอ้าวหรือหนาวจนเกินไป หากใช้ครีมที่มีความเข้มข้น อาจทำให้รู้สึกเหนอะหนะไม่สบายผิวได้ง่าย และอาจนำไปสู่ปัญหาผิวในเวลาต่อมา

ไนท์ครีม ( Night Cream )
มีคุณสมบัติเหมือนกับเดย์ครีมทุกประการ คือทำหน้าที่ในการมอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เนื้อครีมมีความเข้มข้นสูง มีส่วนผสมของอาหารผิวและสารออกฤทธิ์ในปริมาณที่มากกว่าเดย์ครีม เหมาะสำหรับกลางคืน เนื่องจากเป็นช่วงที่เราพักผ่อนทำให้ผิวหน้าได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่ โดยทั่วไปแล้วเดย์ครีมกับไนท์ครีมไม่ค่อยต่างกันมากนัก ครีมทั้ง 2 ชนิดนี้ต่างกันตรงที่เดย์ครีมจะมีส่วนผสมของสารกันแดด ในขณะที่ไนท์ครีมไม่มี เดย์ครีมจะมีความบางเบามากกว่าไนท์ครีม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เราสามารถใช้ครีมกระปุกเดียวกันได้ด้วยซ้ำ โดยไม่จำเป็นต้องแยกซื้อให้เสียเงินมากมาย เพียงแต่ว่าหลีกเลี่ยงการทาเดย์ครีมในช่วงกลางคืนเท่านั้น เพราะผิวอาจเกิดการระคายเคืองจากสารกันแดดที่ผสมอยู่ในครีมได้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ครีมหน้าขาว ( Whitening Cream )

โดยทั่วไปแล้วจุดประสงค์ของการใช้ครีมหน้าขาว ดูแลผิว หน้ามีอยู่ 2 ประการ ได้แก่ การทำให้ผิวขาวใสขึ้นและการทำให้สีผิวเสมอกัน ช่วยลดจุดด่างดำและทำให้ฝ้าจางลง ครีมหน้าขาวหรือไวท์เทนนิ่งครีมมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสร้างเม็ดสี โดยจะออกฤทธิ์ตั้งแต่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์การสร้างเม็ดสี ทำลายเอนไซม์ การสร้างเม็ดสี ต้านการกระจายตัวของเม็ดสีที่ถูกสร้างขึ้นแล้วมิให้กระจายไปตามเซลล์ผิวหนัง นอกจากนี้ยังกระตุ้นมิให้เซลล์ผิวหนังพัฒนาไปเป็นจุดด่างดำ ให้หลุดลอกออกไปเร็วขึ้น

โดยทั่วไปแล้วสารออกฤทธิ์ที่นิยมใส่ลงไปในครีมหน้าขาวจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่
1. สารยับยั้งระหว่างกระบวนการสร้างเม็ดสี ได้แก่ แอสคอร์บิค เอซิด ( Ascorbic Acid ) แอสคอร์บิค เอซิด พาลมิเทต ( Ascorbic Acid Palmitate ) อาร์บูติน ( Arbutin ) อาเซเลอิก เอซิด ( Azelaic Acid )

2. สารยับยั้งหลังกระบวนการสร้างเม็ดสี ได้แก่ เรติโนอิก เอซิด ( Retinoic Acid ) แล็กติก เอซิด ( Lactic Acid ) มิลค์ เอกซแทรคต์ ( Milk Extract ) ไลโนเลอิก เอซิด ( Linoleic Acid )

3. สารยับยั้งก่อนกระบวนการสร้างเม็ดสี ได้แก่ ไฮโดรควิโนน ( Hydroquinone ) เตรติโนอิน ( Tretinoin )แต่อย่างไรก็ตามครีมหน้าขาวชนิดใดชนิดหนึ่งจะช่วยแก้ปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำที่เกิดขึ้นในผิวชั้นตื้นตื้นเท่านั้น และการใช้ได้ผลดีหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหาผิวที่เป็นอยู่ ส่วนผสมและปริมาณความเข้มข้นของสารที่ใช้ในครีม

ครีมชนิดหนึ่งอาจมีการโฆษณาว่ามีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่ทำให้ผิวขาวขึ้น แต่ส่วนผสมดังกล่าวมีปริมาณความเข้มข้นไม่เพียงพอจนไม่อาจออกฤทธิ์เพื่อรักษาปัญหาดังกล่าวให้หมดไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปัญหาผิวดังกล่าวเกิดขึ้นในชั้นผิวที่อยู่ลึกลงไปด้วยแล้ว ไม่ว่าครีมหน้าขาวชนิดนั้นจะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่มีคุณภาพดีและเข้มข้นเพียงใดก็ไม่สามารถรักษาอาการดังกล่าวให้หายดีดังเดิมได้

ครีมต่อต้านริ้วรอย ( Anti-aging Cream )

เป็นครีมที่ใช้ ดูแลผิว อีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไรและดูเหมือนว่าจะยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นด้วยเรื่อย ๆ อาจเป็นเพราะสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด นั่นก็คือความต้องการที่จะดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอนั่นเอง จึงทำให้ครีมต่อต้านริ้วรอยขึ้นแท่นเครื่องสำอางอันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคเรียกต้องการมากที่สุด    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

โดยทั่วไปแล้วสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในครีมต่อต้านริ้วรอยจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่
สารกลุ่มวิตามิน
มีคุณสมบัติในการสร้างคอลลาเจนและขจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรม ความร่วงโรยของเซลล์และเนื้อเยื่อและการเสื่อมสลายของคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ช่วยขจัดปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ อย่างได้ผลชัดเจน แต่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้ ตัวอย่างเช่น วิตามินอี วิตามินซี อัลฟาไลโปอิก เอซิด ( Alphalipoic Acid ) เรตินอล ( Retinal ) ไนอาซินาไมด์

สารออกฤทธิ์ที่สกัดจากธรรมชาติ
มีหน้าที่ในการขจัดอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมและการเกิดริ้วรอย มีฤทธิ์ในการป้องกันการเกิดริ้วรอยมากกว่ารักษา เมื่อริ้วรอยนั้นเกิดขึ้นแล้ว จะออกฤทธิ์แบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ชัดเจนเหมือนสารกลุ่มแรก ตัวอย่างเช่น เคอร์คูมิน ( Curcumin ) กรีนที ( Green Tea ) เอลลาจิก เอซิด ( Ellagic Acid ) ไฮเปอร์ไรซิน (Hypericin)

สารที่ออกฤทธิ์ควบคุมเซลล์
ออกฤทธิ์ในการขจัดอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมและความร่วงโรยของผิวพรรณมีฤทธิ์ในการต้านการเกิดริ้วรอย มีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเสียมากกว่าตัวอย่าง เช่น

กลุ่มสารสกัดจากชีวภาพ จะทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณไปยังเซลล์ เพื่อยับยั้งการทำลายคอลลาเจนและเสริมสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ เพื่อยับยั้งกระบวนการเสื่อมโทรมและกระบวนการเกิดริ้วรอยให้เกิดขึ้นได้ช้าลง

กลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งประสาท เป็นสารที่สกัดได้จากพืชหลายชนิด ที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้มีมากขึ้น ยังผลให้ผิวพรรณเต่งตึงกระชับ ไม่เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย

ครีมยกกระชับผิว ( Lifting Cream )

มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับครีมยกกระชับผิวอย่างผิด ๆ พวกเขาเข้าใจว่าครีมยกกระชับผิวจะช่วยกระชับผิวที่หย่อนคล้อยของตนให้กลับมาเต่งตึงเหมือนเดิมได้ทั้งหมด ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แท้จริงแล้วครีมยกกระชับผิวจะอาศัยหลักแรงตึงตัวของผิวในการกระชับผิวให้ตึงตัวแบบชั่วคราว ครีมยกกระชับผิวจะมีสารเคมีบางตัวซึ่งเป็นโพลิเมอร์ชนิดหนึ่งที่จะช่วยยกกระชับผิว ทำให้เกิดแรงตึงตัวคล้ายการใช้ไข่ขาวมาทาหน้า ไข่ขาวจะทำให้แรงตึงตัวอย่างเห็นได้ชัดแต่แรงตึงตัวที่ได้จากครีมเหล่านี้ จะเกิดเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ถาวรอย่างที่ใคร ๆ หลายคนเข้าใจกัน    [adinserter name=”sesame”]

โดยครีมดังกล่าวจะออกฤทธิ์ในการยกกระชับผิวให้เต่งตึงภายในไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ผิวจะกลับมาสู่สภาพเดิม ดังนั้น จึงต้องทำใหม่เรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าครีมยกกระชับผิวจะใช้ไม่ได้ผลถาวร แต่ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่ามันเป็นทางออกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวกระชับเต่งตึงแบบง่าย ๆ และไม่ยุ่งยาก โดยในวันหนึ่งๆ สามารถทำใหม่ได้เรื่อย ๆ ตราบใดที่ต้องการให้ผิวคงความเต่งตึงกระชับ ดังจะเห็นได้จากบางคนที่จำเป็นต้องเพิ่มความเต่งตึงให้แก่ผิว เช่น นางแบบหรือคนทำงานที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองก่อนออกไปทำงานนอกบ้าน ก็จะหันมาใช้ครีม ดูแลผิว ชนิดนี้ เนื่องจากสามารถทำให้ผิวกระชับเต่งตึงขึ้นจริงในเวลาอันสั้น แต่เมื่อสารที่ช่วยยกกระชับผิวหมดฤทธิ์ลงก็ต้องทำใหม่อีกครั้ง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009.

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.