coolsculpting

การลดไขมันส่วนเกิน ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือดูดไขมันออกอีกต่อไป เพราะปัจจุบันมีนวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็นที่ไม่ต้องเจ็บตัว อย่าง “coolsculpting” ที่ใช้ความเย็นแบบติดลบ เข้าไปฆ่าเซลล์ไขมันให้ตายลงไปอย่างถาวร โดยไม่ทำอันตรายต่อผิวหนังชั้นนอก และที่สำคัญทำเสร็จแล้วสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น เพราะไม่มีแผล ไม่มีการเสียเลือด

ในบทความนี้ จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ CoolSculpting เครื่องสลายไขมันด้วยความเย็น ว่าคืออะไร ? ดีอย่างไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ? ปลอดภัยแค่ไหน ? และข้อควรรู้อื่น ๆ ที่ทำให้คุณรู้ได้ว่าทำไมถึงควรเลือกทำ coolsculpting ในการสลายไขมันส่วนเกิน 


CoolSculpting สลายไขมันด้วยความเย็น คืออะไร ?

CoolSculpting คือ นวัตกรรมสลายไขมันส่วนเกินด้วยความเย็นแบบติดลบ สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นขา และแขน ได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัดหรือดูดไขมัน เป็นวิธีการที่ปลอดภัยและได้รับการรับรองจากองค์กรอาหารและยา (FDA) ทั้งของสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย 

CoolSculpting สลายไขมันด้วยความเย็น คืออะไร _

Coolsculpting  สลายไขมันด้วยความเย็น ทำงานอย่างไร ?

หลักการสำคัญของ Coolsculpting คือ การใช้ความเย็นในระดับจุดเยือกแข็ง ส่งเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง ลึก

ถึงชั้นไขมัน จึงทำให้ไขมันตายและถูกขับออกมาจากร่างกายตามธรรมชาติ บริเวณที่ทำมีปริมาณไขมันลดลง ช่วยให้รูปร่างกระชับ และได้สัดส่วนมากขึ้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อและอวัยวะอื่น ๆ รอบข้าง

CoolSculpting ทำงานอย่างไร _

จากภาพข้างบนจะเห็นว่า 

  1. ปริมาณไขมันส่วนเกินจำนวนมากที่กำจัดได้ยาก แม้จะควบคุมอาหารหรือออกกำลังกาย แต่สามารถกำจัดออกได้ด้วย เครื่อง CoolSculpting โดยใช้หัวดูดพิเศษจับกระชับผิวหนังบริเวณที่มีไขมันส่วนเกิน จากนั้นจะลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็วจนถึงประมาณ -11 องศาเซลเซียส
  2. แช่แข็งเซลล์ไขมัน เมื่ออุณหภูมิลดลงต่ำกว่าจุดแข็งตัวของไขมัน เซลล์ไขมันจะเริ่มแข็งตัวและเกิดการแช่แข็ง ในขณะที่เนื้อเยื่อและอวัยวะอื่น ๆ จะไม่ได้รับผลกระทบจากความเย็น
  3. ทำลายเซลล์ไขมันด้วยความเย็น เมื่อเซลล์ไขมันถูกแช่แข็งเป็นเวลานานประมาณ 35 นาที จะทำให้เซลล์ไขมันเสียหายและตายในที่สุด จากนั้นร่างกายจะขับเซลล์ไขมันที่ตายออกจากร่างกาย ผ่านระบบน้ำเหลืองและระบบขับถ่าย ซึ่งจะค่อย ๆ เห็นผลภายใน 1-3 เดือน
  4. ผลลัพธ์จากการสลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะทำให้ขนาดหรือปริมาตรของไขมันในบริเวณนั้นลดลง โดยสามารถลดลงได้ 20-30% ต่อการทำ 1 ครั้ง และสามารถกลับมาทำซ้ำในจุดเดิมได้ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์มากขึ้น

ข้อดีของ CoolSculpting เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการลดไขมันแบบอื่น

เป็นวิธีการไม่ผ่าตัด (Non-Invasive) ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที

ปลอดภัย เนื่องจากใช้หลักการความเย็นเป็นตัวทำลายเซลล์ไขมัน โดยไม่ทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อหรืออวัยวะอื่น ๆ

ผลลัพธ์ค่อนข้างถาวร เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะไม่กลับมาสร้างใหม่

เห็นผลชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการลดน้ำหนักแบบอื่น สามารถลดไขมันจุดเฉพาะได้ดี

ไม่เจ็บ เพียงแค่รู้สึกเย็นและมีความรู้สึกคล้ายถูกกด ไม่ต้องใช้ยาชา

ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง อาจมีอาการบวมนิดหน่อยเป็นระยะสั้น ๆ

เหมาะกับผู้ที่มีรูปร่างค่อนข้างดี แต่มีไขมันส่วนเกินบางจุด


CoolSculpting เหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่มีน้ำหนักปกติหรือน้ำหนักเกินเล็กน้อย 
  • ผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุด ที่ยากต่อการลดด้วยการออกกำลังกาย
  • ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) น้อยกว่า 35 
  • ผู้ที่่ต้องการปรับรูปร่างให้กระชับเฉพาะจุด ไม่ใช่ลดน้ำหนักทั้งตัว
  • ผู้ที่ไม่ต้องการจะผ่าตัดหรือดูดไขมัน เพื่อกำจัดไขมัน 
  • ผู้ที่ไม่อยากมีแผล ไม่อยากพักฟื้นนาน 
  • ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่เป็นข้อห้าม 
    เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน เป็นต้น

CoolSculpting ทำบริเวณไหนได้บ้าง ?

CoolSculpting สามารถใช้สลายไขมันส่วนเกินได้หลายบริเวณเนื่องจากมีหัวดูดไขมันหรือหัวแอปพลิเคเตอร์หลายขนาด จึงสามารถกำจัดไขมันได้ทั้งบริเวณหน้าท้อง, เอว, ปีกหลัง, ขาใน, ใต้ก้น, หน้าอก (ผู้ชาย), ต้นแขน, สะโพก, ต้นขาด้านนอก, หัวเข่า หรือเหนียง


หัวแอปพลิเคเตอร์ CoolSculpting

หัวดูดไขมันหรือหัวแอปพลิเคเตอร์ CoolSculpting จะทำงานโดยการดูดผิวหนังและไขมันส่วนเกินเข้าไปในเครื่อง จากนั้นจะทำความเย็นในระดับที่ควบคุมได้ เพื่อแช่แข็งและทำลายเซลล์ไขมัน โดยไม่ทำลายผิวชั้นนอก

หัวดูดไขมัน CoolSculpting จะมี 5 หัว เพื่อใช้ในการสลายไขมันบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้  

หัวดูดไขมัน CoolSculpting
  1. หัว Cool Smooth Pro เหมาะสำหรับลดไขมันบริเวณที่มีผิวเรียบ เช่น หน้าท้อง ต้นขาด้านนอก สะโพก หรือใช้ทำ Six Pack
  2. หัว Cool Advantage Plus  เป็นหัวขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับลดไขมันบริเวณที่มีไขมันสะสมหนา เช่น เอว ท้อง 
  3. หัว CoolAdvantage Petite เหมาะกับคนที่มีไขมันน้อย สามารถทำได้ 7 บริเวณ ได้แก่ ท้อง, เอว, แขน, หน้าอก (ผู้ชาย), ปีกหลัง, ขาด้านใน และใต้ก้น
  4. หัว Cooladvantage เป็นหัว applicators ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เหมาะกับการลดไขมันบริเวณที่มีไขมันสะสมปานกลาง ทำได้ 7 บริเวณ เหมือนกับหัว CoolAdvantage Petite ได้แก่ ท้อง, เอว, แขน, หน้าอก (ผู้ชาย), ปีกหลัง, ขาด้านใน และใต้ก้น
  5. หัว Cool Mini เป็นหัวขนาดเล็กที่มีความโค้ง เหมาะสำหรับลดไขมันบริเวณเหนียง เนื้อใต้รักแร้ เหนือหน้าอก รวมถึงเนื้อย้วยเหนือเข่า ในบางคนที่ลดด้วยการออกกำลังกายแล้วแต่ไม่ได้ผล

การเลือกว่าจะใช้หัวดูดไขมัน CoolSculpting แบบไหนนั้น แพทย์ที่มีประสบการณ์จะเป็นผู้ออกแบบและเลือกหัวดูดไขมันที่เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการทำ และปริมาณไขมันสะสมของแต่ละบุคคล 


CoolSculpting ปลอดภัยไหม ?

CoolSculpting เป็นนวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็นที่มีความปลอดภัยสูง ผ่าน อย.ไทย และอเมริกา (U.S. FDA) มาพร้อมกับระบบ Freeze Detect ที่จะหยุดการทำงานของเครื่องทันที หากตรวจเจอความเย็นบนชั้นผิวมากเกินไป จึงช่วยป้องกันการเกิดผิวไหม้จากความเย็น Freeze Burn ได้ โดยที่เครื่องเลียนแบบเกรดต่ำยี่ห้ออื่น ๆ ไม่สามารถทำได้

ด้านผลข้างเคียงที่หลายคนกังวล จะเป็นอาการข้างเคียงที่เป็นปกติ เนื่องจากเป็นการใช้ความเย็นแบบติดลบในการฆ่าเซลล์ไขมัน 

  • ผิวอาจมีรอยเขียวช้ำในบางเคส จากการที่แพทย์นวดก้อนไขมัน เพื่อช่วยกระตุ้นกระบวนการกำจัดเซลล์ไขมันที่ตายและเพิ่มประสิทธิภาพในการลดไขมัน  
  • ในช่วง 7-10 วันแรกอาจมีอาการปวดระบม คล้ายการปวดเมื่อยหลังออกกำลังกายในบริเวณที่ทำ
  • มีอาการบวมในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เนื่องจากมีเซลล์ไขมันที่ตายและค้างอยู่ ร่างกายจะต้องใช้เวลาในการกำจัดเซลล์ไขมันเหล่านี้ออกจากระบบเลือดและระบบน้ำเหลือง 
  • ภายใน 3-4 สัปดาห์ จึงจะเริ่มสังเกตเห็นว่าสัดส่วนดูเล็กลงและกระชับขึ้น 
  • เห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 3 เดือน

วิธีดูเครื่อง CoolSculpting ของแท้

การตรวจสอบเครื่อง CoolSculpting ของแท้อย่างละเอียด จะช่วยให้ได้รับการบริการที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการ

วิธีดูเครื่อง-CoolSculpting-ของแท้

✔ ตรวจสอบชื่อเครื่องว่าเป็นชื่อ “CoolSculpting” เท่านั้น ระวังเครื่องเลียนแบบที่มีชื่อคล้ายคลึงกัน เช่น “CoolShape” “CoolFreeze” “CoolSlim”

✔ ตรวจสอบโลโก้ โดยเครื่อง CoolSculpting ของแท้ จะมีโลโก้ “CoolSculpting” อยู่ด้านข้างของเครื่อง และโลโก้จะต้องเป็นสีน้ำเงิน มีตัวอักษรที่ชัดเจน

✔ ตรวจสอบบริษัทผู้ผลิต เครื่อง CoolSculpting ของแท้ ผลิตโดยบริษัท “Zeltiq Aesthetics” สามารถตรวจสอบชื่อบริษัทผู้ผลิตได้ที่ด้านหลังของเครื่อง

✔ ตรวจสอบใบอนุญาต คลินิกที่ให้บริการ CoolSculpting จะต้องมีใบอนุญาตจาก “อย.” ควรขอตรวจสอบใบอนุญาตก่อนเข้ารับบริการ

✔ สอบถามข้อมูลจากแพทย์ เกี่ยวกับเครื่อง CoolSculpting ที่ใช้ ว่าเป็นของแท้หรือไม่ แพทย์ที่มีประสบการณ์จะทราบวิธีตรวจสอบเครื่อง CoolSculpting ของแท้


การเตรียมตัวก่อนทำ CoolSculpting 

การเตรียมตัวก่อนทำ CoolSculpting ไม่มีอะไรมากค่ะ เพียงแค่ดูแลตัวเองด้วยการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำ ออกกำลังกาย และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เหมือนการทำทรีตเมนต์ปกติได้เลย


ขั้นตอนการทำ CoolSculpting

ขั้นตอนการทำ CoolSculpting
  1. ประเมินและวางแผนบริเวณที่จะสลายไขมัน
  2. ทำความสะอาดผิวบริเวณนั้น
  3. แพทย์ติดตั้งหัว Applicator เข้ากับบริเวณที่ต้องการลดไขมัน
  4. เครื่อง CoolSculpting ส่งความเย็นจัดผ่านหัว Applicator เพื่อทำลายเซลล์ไขมัน ใช้เวลาประมาณ 35 นาที 
  5. ปลดหัว Applicator ออก และนวดบริเวณที่ทำเบา ๆ
  6. ติดตามผลลัพธ์ในช่วง 1-3 เดือน เซลล์ไขมันที่ตายจะค่อย ๆ ถูกขจัดออกจากร่างกาย
  7. ดูผลและพิจารณาการทำ CoolSculpting เพิ่มเติมหากต้องการผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

ทำ CoolSculpting เจ็บไหม ?

การทำ CoolSculpting เจ็บน้อยมาก เมื่อเครื่องเริ่มทำงานอาจรู้สึกเย็นจัด จะรู้สึกว่าถูกดึงหรือกดเล็กน้อยบริเวณที่ทำ แต่จะไม่ได้รุนแรง ในระหว่างนี้สามารถทำกิจกรรมอื่นไปด้วยได้ เช่น ดูหนัง เล่นมือถือ


การดูแลตัวเองหลังทำ CoolSculpting 

หลังทำ Coolsculpting ในช่วง 5-10 นาทีแรกอาจรู้สึกปวดเล็กน้อยจากความเย็น และอาจมีอาการคล้ายปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก แต่อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปเอง 

เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น แนะนำให้ดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารแปรรูป น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันการสะสมของเซลล์ไขมันใหม่


CoolSculpting ทำกี่ครั้งถึงเห็นผล ?

ผลลัพธ์จากการทำ CoolSculpting อาจแตกต่างกันไปตามบุคคลและบริเวณที่ทำ แต่โดยปกติแล้ว  CoolSculpting 1 หนีบ จะสามารถสลายไขมันได้ประมาณ 60-70 ซีซี และลดเซลล์ไขมันได้ 20-30% ต่อครั้ง ซึ่งเคสส่วนมากมักทำ 2-4 หนีบขึ้นไป เพื่อให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลง

หากต้องการเห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากขึ้น อาจต้องทำซ้ำ 2-3 ครั้ง ตามคำแนะนำของแพทย์ โดยควรมีระยะห่างระหว่างทำประมาณ 1-3 เดือน เพื่อให้ร่างกายมีเวลากำจัดเซลล์ไขมันที่ตายและปรับสภาพตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นค่ะ


ทำ CoolSculpting แต่ละบริเวณใช้กี่หนีบ ?

CoolSculpting แต่ละบริเวณใช้กี่หนีบ ขึ้นอยู่กับขนาดของบริเวณ และปริมาณไขมันสะสม 

แพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์จะเป็นผู้ประเมินและแนะนำจำนวนหนีบที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล

ทำ CoolSculpting แต่ละบริเวณใช้กี่หนีบ _

ประมาณการใช้หนีบ CoolSculpting ในแต่ละบริเวณ

  • เหนียง ประมาณ 1 หนีบ 
  • เนื้อปลิ้นใต้รักแร้ ประมาณข้างละ 1 หนีบ
  • ต้นแขน ประมาณข้างละ 1 หนีบ
  • เอว ประมาณข้างละ 1-2 หนีบ
  • หน้าท้อง บน ล่าง ประมาณ 2-4 หนีบ
  • ต้นขา ด้านใน หรือ ด้านนอก ประมาณข้างละ 1 หนีบ
  • สะโพก ประมาณข้างละ 1 หนีบ

ปัจจัยที่ส่งผลให้การทำ Coolsculpting ไม่ได้ผล มีอะไรบ้าง ? 

  • การใช้เครื่อง CoolSculpting ของปลอม หรือเครื่องเลียนแบบ ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่าน อย. ไทยและสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) ในคลินิกที่ขาดมาตรฐาน 
  • การไม่ได้ทำ CoolSculpting โดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ที่ผ่านการฝึกอบรมด้านการทำ Coolsculpting  มาเป็นอย่างดี อาจไม่สามารถประเมินการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด หรือให้ข้อมูลที่ชัดเจน ไม่เหมาะสมกับคนไข้ในแต่ละเคสได้ 
  • ละเลยการดูแลตัวเองหลังทำ CoolSculpting การไม่ออกกำลังกาย หรือกลับไปทานอาหารที่ทำให้เซลล์ไขมันเพิ่มขนาดขึ้น เช่น อาหารแปรรูปที่มีแป้ง น้ำตาล อาหารที่มีไขมันสูง ของทอด ของมัน อาจทำให้ได้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร

อยากทำ Coolsculpting ให้เห็นผล ควรทำอย่างไร ?

เมื่อทราบถึงปัจจัยที่ส่งผลให้การทำ Coolsculpting ไม่ได้ผลกันไปแล้ว ในหัวข้อนี้จะมาแนะนำการปฏิบัติตัวเพื่อให้การทำ Coolsculpting เห็นผลดีที่สุด ดังนี้

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังทำ 
  • ดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยให้ร่างกายกำจัดไขมันที่ถูกทำลายได้ดียิ่งขึ้น
  • พิจารณาการทำ Coolsculpting ซ้ำหากจำเป็น หลายคนอาจต้องทำ 2-3 ครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ

เลือกคลินิกทำ CoolSculpting ที่ไหนดี ? 

สิ่งที่ควรพิจารณาหลัก ๆ หากไม่รู้ว่าจะเลือกคลินิกทำ CoolSculpting ที่ไหนดี คือ 

เลือกคลินิกทำ CoolSculpting ที่ไหนดี _
  • ควรเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เลขที่ใบอนุญาตจำนวน 11 หลัก และมีสภาพแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัย
  • ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ทำ CoolSculpting ที่พร้อมให้คำปรึกษาและอธิบายข้อมูลอย่างชัดเจน
  • ควรเลือกคลินิกที่ใช้เครื่อง CoolSculpting แท้ ได้รับการอนุมัติจาก อย.ไทย และ U.S. FDA
  • ควรดูรีวิว CoolSculpting จากลูกค้าที่เคยใช้บริการ เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยในการตัดสินใจ
  • ควรเลือกคลินิกที่มีราคาและโปรโมชัน CoolSculpting สมเหตุสมผล ไม่ควรเลือกเพียงเพราะราคาถูกเกินไป เพราะอาจส่งผลต่อคุณภาพการทำ

การเลือกคลินิกทำ CoolSculpting ที่ดี จะช่วยให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยตามที่คาดหวังค่ะ


CoolSculpting ราคาเท่าไหร่ ? 

ราคาเฉลี่ยของ CoolSculpting ในประเทศไทยเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 8,500 ต่อ 1 หนีบ ทั้งนี้ควรปรึกษาคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อเปรียบเทียบราคาและคุณภาพบริการก่อนตัดสินใจ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ได้


สรุป

CoolSculpting นับว่าเป็นนวัตกรรมที่ได้รับการยืนยันว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการลดไขมันส่วนเกิน โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือดูดไขมัน หากใครกำลังมองหาวิธีเพิ่มความกระชับให้กับรูปร่าง การทำ CoolSculpting ซึ่งเป็นการใช้ความเย็นในการสลายไขมัน ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจค่ะ

อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยและการเห็นผลลัพธ์ที่ดี ควรเลือกทำกับคลินิกที่มีมาตรฐาน โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้เครื่อง CoolSculpting ของแท้เท่านั้น