การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหนึ่งในวิธีการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการใช้สารเติมเต็มเพื่อลดริ้วรอย เติมร่องลึก ปรับรูปหน้า และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างรวดเร็ว เห็นผลได้ภายในไม่กี่วัน โดยไม่ต้องผ่าตัด
แต่ฟิลเลอร์คืออะไรกันแน่ ? ช่วยอะไร ? เหมาะกับใครบ้าง ? เจ็บไหม ? ฉีดแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน ? ในบทความนี้ มีข้อมูลและคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ เพื่อให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์มากขึ้นก่อนตัดสินใจทำค่ะ
ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร ?
ฉีดฟิลเลอร์ คือ วิธีการแก้ไขริ้วรอย ร่องลึก และปรับรูปหน้า โดยใช้สารเติมเต็มประเภท ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง
ซึ่ง ไฮยาลูโรนิค แอซิด เป็นสารที่สร้างขึ้นเลียนแบบสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย จึงมีความปลอดภัยสูง สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ
คุณสมบัติของไฮยาลูโรนิค แอซิด
✔ อุ้มน้ำได้ดี: มากกว่าน้ำถึง 1,000 เท่า ช่วยให้ผิวเก็บกักความชุ่มชื้น ดูอิ่มฟู และเรียบเนียน
✔ อ่อนโยนต่อผิว: ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
✔ สลายตัวตามธรรมชาติ: ภายใน 1-2 ปี ปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์
- หลังฉีดฟิลเลอร์เห็นผลทันที ไม่ต้องพักฟื้น
- ให้ผลลัพธ์สวย เป็นธรรมชาติ กว่าการเติมเต็มด้วยวิธีอื่น ๆ
- ปลอดภัยผ่านการรับรองจาก อย.
- เหมาะกับบริเวณใบหน้าที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม คาง
- ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่มีรอยแผลเป็น
- ไม่มีความเสี่ยงในการวางยาสลบ
- สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้หลายตำแหน่งบนใบหน้า
- ฟิลเลอร์สามารถฉีดใหม่และปรับแต่งได้เรื่อย ๆ
- หากเกิดข้อผิดพลาดก็แก้ไขได้ง่าย เพียงฉีดสลายฟิลเลอร์
ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์
- อาจเกิดผลข้างเคียง บวม แดง ช้ำ จากรอยเข็ม
- ผลลัพธ์อยู่ได้ 6-24 เดือน ไม่ถาวร
- ไม่เหมาะกับทุกคน เช่น ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือ ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง
ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยอะไรได้บ้าง ?
การฉีดฟิลเลอร์สามารถแก้ไขและปรับปรุงใบหน้าของเราได้ในหลายด้าน โดยประโยชน์ของฟิลเลอร์ มีดังนี้
✔ ช่วยลดริ้วรอยและเติมเต็มร่องลึก: ฟิลเลอร์มีความสามารถในการลดริ้วรอยและเติมเต็มร่องลึกบนใบหน้า เช่น รอยย่นรอบดวงตา ร่องแก้ม และริ้วรอยบริเวณหน้าผาก
✔ ช่วยปรับรูปหน้า: สามารถปรับรูปหน้าในบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้าได้ เช่น การเติมแก้มให้ดูอิ่มเอิบ การปรับรูปทรงของคาง หรือเติมเต็มปากให้ดูอวบอิ่ม ชุ่มชื้น
✔ ช่วยปรับสมดุลของใบหน้า: ช่วยปรับสมดุลและสัดส่วนบนใบหน้า เช่น การปรับความสมดุลระหว่างแก้มหรือบริเวณคาง
✔ ช่วยให้ผิวดูมีสุขภาพดี: ฟิลเลอร์มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูมีสุขภาพดี อิ่มน้ำ และดูสดใสมากขึ้น
✔ ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย: สามารถช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมากระชับมากขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณที่ผิวเริ่มสูญเสียความยิดหยุ่น
ฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์ ไม่ใช่หัตถการที่อันตราย และมีความเสี่ยงน้อย หากทำโดยแพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์สูง ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน และใช้ฟิลเลอร์แท้
หลังฉีดฟิลเลอร์ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น มีเพียงอาการบวมจากฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปในช่วงแรก หรือเป็นรอยจากเข็ม ซึ่งมักจะหายไปได้เองภายใน 3-7 วัน
ส่วนผลข้างเคียงที่รุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นได้น้อยมาก เช่น เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ ฟิลเลอร์อุดตันหลอดเลือด เนื้อตาย ตาบอด เป็นผลมาจากการฉีดฟิลเลอร์โดยแพทย์เถื่อน หมอปลอม หมอกระเป๋า ที่ไม่มีประสบการณ์ ทำในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน และใช้ฟิลเลอร์ปลอม
ฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับใคร ?
ฉีดฟิลเลอร์เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น
- มีถุงใต้ตา ขอบตาคล้ำ ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส
- มีร่องแก้มลึก ริ้วรอยร่องแก้ม ใบหน้าดูโทรม แก่กว่าวัย
- ใบหน้าไม่ได้สัดส่วน เช่น คางสั้น หน้าผากแบน ขมับตอบ แก้มตอบ
- มีริ้วรอย ผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น มีหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน
- มีริมฝีปากบาง ต้องการเพิ่มความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก
- ต้องการปรับโหวงเฮ้งใบหน้า
โดยผู้ที่สนใจฉีดฟิลเลอร์ควรมีอายุ 20 ปีขึ้นไป และควรปรึกษาแพทย์ประสบการณ์สูงก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ทุกครั้ง
ข้อควรระวังก่อนฉีดฟิลเลอร์
- หากบริเวณผิวที่ฉีดมีการอักเสบติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อน
- ผู้ที่อยู่ในภาวะ เลือดไหลไม่หยุด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
- ควรมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
- ผู้ที่แพ้สารไฮยาลูรอนิค แอซิด หรือสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนฉีด
- ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา หรือรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
7 ตำแหน่งฉีดฟิลเลอร์ เติมร่องลึก ปรับรูปหน้า
จุดฉีดฟิลเลอร์ที่นิยมทำกัน 7 จุดหลัก ๆ ส่วนใหญ่ คือ
- ฟิลเลอร์ใต้ตา
นิยมใช้ฉีดเพื่อแก้ปัญหาใต้ตาลึก ถุงใต้ตา ใต้ตาคล้ำ หรือริ้วรอยใต้ตา ที่เกิดจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น อายุที่มากขึ้น มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี พันธุกรรม ไปจนถึงโรคประจำตัว อย่างเช่น ภูมิแพ้ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น และทำให้ใบหน้าดูสดใสและมีชีวิตชีวา
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม
การมีร่องแก้มเป็นหนึ่งในสัญญาณของวัย เมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนังจะเสื่อมสภาพ หย่อนคล้อยลง ทำให้ร่องแก้มลึกและชัดขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า เศร้าหมอง และดูแก่กว่าวัย การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะช่วยเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูเต็มและอ่อนเยาว์ขึ้น
- ฟิลเลอร์คาง
ปัญหาคาง ไม่ว่าจะเป็นคางสั้น คางถอย คางบุ๋ม คางเบี้ยว ล้วนส่งผลต่อใบหน้าในหลาย ๆ ด้าน ทำให้ใบหน้าดูไม่สมดุล ดูกลม ดูแบน ไม่มีมิติ อีกทั้งยังทำให้มีโหงวเฮ้งที่ไม่ดี การฉีดฟิลเลอร์คางจะช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวยาว สมส่วน และเสริมโหงวเฮ้งคางให้ดีขึ้น
- ฟิลเลอร์ขมับ
ปัญหาขมับ ไม่ว่าจะเป็นขมับยุบ ขมับตอบ ขมับลึก จะทำให้โหนกแก้มสูง ดูเด่น ส่งผลให้ใบหน้าดูตอบดูแข็ง ไม่อ่อนหวาน และดูแก่กว่าวัย การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะช่วยเติมเต็มขมับให้เต็มขึ้น ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสดใส
- ฟิลเลอร์ปาก
ปากที่บาง แห้ง ลอก เป็นขุย และมีรอยเหี่ยวย่น จะทำให้ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส อ่อนเพลีย ทำให้รอยยิ้มดูไม่สวย ทาลิปสติกแล้วตกร่อง ดูขาดเสน่ห์ การฉีดฟิลเลอร์ปากจะช่วยเติมเต็มริมฝีปากให้อวบอิ่มและเซ็กซี่ ปรับแต่งรูปทรงปากให้ได้รูปสวย และแก้ปัญหาปากบาง ให้กลับมาชุ่มชื้น เรียบเนียน
- ฟิลเลอร์แก้มส้ม
เมื่ออายุมากขึ้น โครงสร้างใบหน้าจะเปลี่ยนแปลงไป กระดูกและไขมันใต้ผิวหนังยุบตัวลง ทำให้ใบหน้าดูแบน หย่อนคล้อย และไม่กระชับ การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้มจะช่วยเติมเต็มบริเวณแก้มให้เต็มอิ่มขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูมีมิติ อ่อนเยาว์ และสดใสขึ้น
- ฟิลเลอร์หน้าผาก
ปัญหาหน้าผากแคบ หน้าผากแบน หน้าผากบุ๋ม จะทำให้ใบหน้าขาดมิติ ดูไม่สมดุล อีกทั้งในด้านโหงวเฮ้งยังส่งผลต่อสติปัญญา การงาน วาสนา การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะช่วยปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติ มีโหงวเฮ้ง และสวยงามขึ้น
ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์มีหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นและข้อดีแตกต่างกันไป แพทย์จะเป็นผู้แนะนำยี่ห้อ/รุ่น และปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับปัญหาและความต้องการที่มีของแต่ละบุคคล
8 ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย
- Restylane : เป็นฟิลเลอร์แบรนด์แรกของโลกที่ผลิตจากประเทศสวีเดน ใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต มีหลายรุ่นให้เลือกใช้ ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาผิวหลากหลายบริเวณ ฉีดแล้วให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane
-
- Restylane Perlane lyft มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น ไม่ฟู มีความคงตัวสูง คงรูปได้ดี
- Restylane Vital Light มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เนื้อเจลอนุภาคเล็ก มีความละเอียดที่สุด
- Restylane Vital มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย ให้ผลลัพธ์เรียบเนียน เป็นธรรมชาติ
- Restylane Volyme มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม ใช้เติมเต็มผิวส่วนที่โหลลึกหรือตอบให้อิ่มฟูขึ้น
- Restylane Defyne มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความนิ่มปานกลางและยืดหยุ่นสูง ใช้ฉีดแทนกระดูกที่ยุบตัวในผิวชั้นลึก
- Restylane Refyne มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่น ใช้เติมริ้วรอยร่องลึกที่เกิดจากการยิ้ม
- Restylane Classic มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น เจลอนุภาคใหญ่ ใช้แก้ปัญหาริ้วรอยระดับปานกลาง-มาก
- Restylane Kysse มีคุณสมบัติเป็นเนื้อละเอียด มีความคงตัวสูง ออกแบบมาสำหรับเติมเต็มริมฝีปากโดยเฉพาะ
- Juvederm : เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต และผลิตโดยบริษัท Allergan (บริษัทเดียวกับโบท็อกยี่ห้อ Allergan) มีให้เลือกใช้หลายรุ่น ฉีดได้หลายบริเวณ อุ้มน้ำได้ดี ยืดหยุ่นสูง ทนต่อการขยับของผิวหน้า
รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm
-
- Juvederm Ultra Plus XC มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความฟูมาก
-
- Juvederm Voluma มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ฟูปานกลาง มีความยืดหยุ่นสูง
-
- Juvederm Volbella มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม โมเลกุลมีความละเอียดมากที่สุด
-
- Juvederm Volift มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม โมเลกุลมีความละเอียดมากกว่ารุ่น ultra plus เหมาะกับคนที่ผิวบาง
-
- Juvederm Volite มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
-
- Juvederm Volux มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นสูง คงรูปได้ดีที่สุด ปั้นทรงได้สวย
- Belotero: เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีเทคโนโลยี CPM (Cohesive Polydensified Matrix) ที่ช่วยเพิ่มความคงตัวและยืดหยุ่นของฟิลเลอร์ ทำให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานขึ้น มีส่วนผสมของยาชา มีให้เลือกหลายรุ่น
รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero
-
- Belotero Intense มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นสูง ใช้แก้ปัญหาร่องลึกจากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนัง
-
- Belotero Volume มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นและคงตัวสูง
-
- Belotero Soft มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีโมเลกุลเล็ก
- Belotero Revive มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีส่วนประกอบของ Glycerol เพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้น บำรุงผิวอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว และลดริ้วรอยเล็ก ๆ
- Definisse : เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากประเทศอิตาลี มีเทคโนโลยี XTR™ Technology ที่ช่วยเพิ่มความคงตัวและยืดหยุ่นของฟิลเลอร์ ทำให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานขึ้น ฉีดแล้วไม่บวมหรือบวมน้อย มีความบริสุทธิ์สูง ปราศจากสารเติมแต่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Definisse
-
- Definisse Restore มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความแข็งปานกลาง ใช้เติมริ้วรอยร่องลึก ริ้วรอยหย่อนคล้อยตามวัย
-
- Definisse Core มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น เหมาะกับการเสริมกระดูก ปรับรูปหน้า
-
- Definisse Touch มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เนียนละเอียด แต่ขึ้นรูปได้ดี
- Flore : เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากประเทศเกาหลีใต้ ราคาย่อมเยา มีโมเลกุลเล็ก ฉีดแล้วกระจายตัวได้ดี มีเทคโนโลยี Biphasic HA ที่ช่วยเพิ่มความคงตัวและยืดหยุ่นของฟิลเลอร์ ทำให้ฟิลเลอร์ขึ้นรูปได้ดี ปั้นทรงง่าย ไม่ไหล ไม่เป็นก้อน
รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Flore
-
- Flore Max มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น ขึ้นรูปได้ดี มีความละมุน ดูเป็นธรรมชาติ
-
- Flore AQUA-S มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีความยืดหยุ่น
- Biohyalux : เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากประเทศจีน ผลิตด้วยเทคโนโลยี BioBalanceTechnology ที่ทำให้ฟิลเลอร์อยู่ในสถานะไอโซโทนิก ฉีดแล้วแทบไม่บวมน้ำหรือบวมเล็กน้อยหลังฉีด ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ มีส่วนผสมของยาชา
รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Biohyalux
-
- Biohyalux Derm lines มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่น ใช้เติมริ้วรอยร่องลึกระดับเล็ก-ปานกลาง
- Biohyalux Deep dermis มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีโมเลกุลใหญ่ ใช้ฉีดเติมเต็มผิวชั้นลึก ฉีดยกกระชับ (Lifting) หน้า
- Teoxane : เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากสวิตเซอร์แลนด์ มีความคงตัวสูง เนื้อสัมผัสนุ่มนวล กระจายตัวได้ดี ไม่เป็นก้อน มีให้เลือกหลายรุ่น แต่ละรุ่นมีความเหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการฉีดที่แตกต่างกัน
รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Teoxane
-
- TEOXANE RHA 2 มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม ยืดหยุ่น ทนต่อแรงขยับได้ดี
- TEOXANE Ultra Deep มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น ปั้นทรงง่าย มีความคงตัวสูง ใช้ปรับโครงสร้างใบหน้าได้ดี
- Neuramis : เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากประเทศเกาหลีใต้ มีราคาไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ มีเนื้อสัมผัสที่หลากหลาย สามารถเลือกได้ตามความต้องการ
รุ่นฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis
-
- Neuramis Volume มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น กลืนกับผิวได้ดี มีความยืดหยุ่น คงตัว ขึ้นทรงได้สวย
-
- Neuramis Deep มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์แนื้อแน่น ใช้เติมเต็มร่องลึกและริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น ขมับ แก้มตอบ ร่องแก้ม แก้ม คาง ปาก หน้าผาก ใต้ตา
ขั้นตอนในการฉีดฟิลเลอร์
- ปรึกษากับแพทย์: เพื่อวิเคราะห์ปัญหา สภาพผิว จำนวน CC ที่จะใช้ รวมถึงซักประวัติเกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่เคยกิน รวมถึงหัตถการที่เคยทำมาก่อน เพื่อวางแผนการฉีดฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
- ทำความสะอาด: เช็ดทำความสะอาดบริเวณที่จะทำการฉีดฟิลเลอร์ก่อนฉีด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ฉีดฟิลเลอร์: แพทย์จะทำการฉีดฟิลเลอร์ตามจุดที่ได้ตกลงไว้ โดยใช้เทคนิคที่ถูกต้องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี มีความปลอดภัย
- ดูแลตัวเองหลังการฉีด: เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือนวดบริเวณที่ฉีด การงดการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือการหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง
- ติดตามหลังการฉีด: หลังการฉีดฟิลเลอร์ อาจมีการนัดติดตามเพื่อดูผลลัพธ์และตรวจสอบหากมีอาการผิดปกติ
ฉีดฟิลเลอร์ เจ็บไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์ไม่เจ็บมากค่ะ เพราะแพทย์จะมีการแปะยาชา หรือ ฉีดยาชาบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ก่อน เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บ
ทั้งนี้ ระดับความเจ็บในการฉีดฟิลเลอร์แต่ละบุคคลอาจไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับ
- ยี่ห้อของฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์บางยี่ห้อจะมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ผสมอยู่ด้วย
- บริเวณที่ฉีด: บริเวณที่มีเส้นประสาทเยอะ อาจจะมีความรู้สึกเจ็บมากกว่า
- ความไวต่อความเจ็บของแต่ละบุคคล
ฉีดฟิลเลอร์จุดไหนเจ็บที่สุด ?
จุดที่ฉีดฟิลเลอร์แล้วเจ็บสุด คือ บริเวณที่มีเส้นเลือดเยอะ เช่น บริเวณใต้ตา ขมับ ริมฝีปาก บริเวณเหล่านี้มีเส้นเลือดที่ใกล้กับผิวหนังมากกว่าบริเวณอื่น ๆ จึงทำให้รู้สึกเจ็บมากกว่าได้
หากใครกลัวว่าฉีดฟิลเลอร์แล้วจะเจ็บมาก สามารถปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดได้ แพทย์อาจใช้ยาชาที่แรงขึ้น หรือฉีดยาชาในปริมาณที่มากขึ้น เพื่อช่วยลดอาการเจ็บ
ฉีดฟิลเลอร์กี่วันเห็นผล ?
การฉีดฟิลเลอร์จะเห็นผลทันทีหลังฉีด แต่อาจมีอาการบวมหรือระคายเคืองบริเวณที่ฉีดได้ อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปภายใน 3-7 วัน และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเข้าที่ใน 2 สัปดาห์หลังฉีด
ฉีดฟิลเลอร์ อยู่ได้นานแค่ไหน ?
ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์มีระยะเวลาที่ต่างกัน โดยทั่วไปจะอยู่ได้ระหว่าง 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ พื้นที่ที่ทำการฉีด และการดูแลรักษาผิวหลังการฉีด
ฉีดฟิลเลอร์หลาย CC ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานจริงไหม ?
ไม่จริงค่ะ การฉีดฟิลเลอร์จำนวนมากไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานยิ่งขึ้น เพราะอายุการคงทนของฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ จุดที่ฉีด วิธีการฉีดของแพทย์ และระดับการสลายตัวของฟิลเลอร์ในแต่ละคน
นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ปริมาณหลาย CC ในครั้งเดียว อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น บวม แดง ช้ำ ฟิลเลอร์กระจายตัวได้ไม่ดี และเสี่ยงต่อการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนได้
ดังนั้น แพทย์ที่มีประสบการณ์สูง จะเป็นผู้พิจารณาปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะกับแต่ละบุคคล โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้น หรือค่อย ๆ ทยอยฉีดตามปัญหาและความต้องการของคนไข้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัย
ฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุดควรใช้กี่ CC จึงจะเหมาะสม
โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดแต่ละจุด มีดังนี้
- ร่องแก้ม ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ประมาณ 1-3 CC
- ใต้ตา ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ประมาณ 2-4 CC
- คาง ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ประมาณ 1-2 CC
- ขมับ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ประมาณ 2-4 CC
- ริมฝีปาก ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ประมาณ 1-2 CC
- แก้มส้ม ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ประมาณ 1-2 CC
- หน้าผาก ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ประมาณ 3-5 CC
ปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมสำหรับการฉีดในแต่ละจุดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพผิว ปัญหาที่ต้องการแก้ไข ความพึงพอใจของแต่ละบุคคล ฯลฯ
ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์
- หลังฉีดฟิลเลอร์จะมีเพียงรอยเข็มเล็ก ๆ เท่านั้น
- สามารถแต่งหน้าไปทำงานได้เลย ตามปกติ
- เห็นผลลัพธ์ชัดเจนหลังฉีดฟิลเลอร์ภายใน 1-2 สัปดาห์
- ฟิลเลอร์จะสลายไปเองตามธรรมชาติ
- สามารถกลับมาเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ
หลังฉีดฟิลเลอร์ ดูแลตนเองอย่างไร ?
ด้านการปฎิบัติตัว หลังฉีดฟิลเลอร์
- ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยห้ฟิลเลอร์ฟูและอยู่ได้นานขึ้น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด
- งดกิจกรรมหรือออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น การทำเลเซอร์ / RF 1 เดือน / ซาวน่า 48 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหลังฉีด 24 ชั่วโมง
ด้านการรับประทานอาหาร หลังฉีดฟิลเลอร์
อาหารที่ควรงด หลังฉีดฟิลเลอร์ | อาหารที่ทานได้ หลังฉีดฟิลเลอร์ |
❌ งดอาหารหมักดอง ช่วง 2 อาทิตย์แรกหลังทำ
❌ งดอาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด โซเดียมสูง ❌ งดอาหารร้อน พวกปิ้งย่าง ชาบู เนื่องจากส่งผลต่อการเข้าที่ของฟิลเลอร์ ❌ งดอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เพราะอาจเกิดการติดเชื้อ / อักเสบได้ ❌ งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ช่วง 2 อาทิตย์แรกหลังทำ ❌ งดอาหารหมักดอง ช่วง 2 อาทิตย์แรกหลังทำ |
✅ ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ วันละ 1.5 – 2 ลิตร ✅ ทานผัก ผลไม้ ที่มีรสเปรี้ยว วิตามินซีสูง ✅ ทานอาหารที่มีโปรตีนสูง อย่างเช่น ไก่ ปลา ไข่ขาว ธัญพืช |
เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ ที่ไหนดี ?
การเลือกสถานที่ในการฉีดฟิลเลอร์ควรพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย ดังนี้
- เลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียง: เลือกคลินิกที่มีชื่อเสียงและได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อความน่าเชื่อถือและได้มาตรฐาน
- เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์: ควรฉีดฟิลเลอร์โดยแพทย์ที่มีความชำนาญและประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ รวมถึงมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของใบหน้าเป็นอย่างดี
- เลือกคลินิกที่มีการให้คำปรึกษาก่อนการฉีดฟิลเลอร์: คลินิกที่ดีควรมีบริการให้คำปรึกษาก่อนการทำ เพื่ออธิบายข้อมูลและประเมินความต้องการของคนไข้
- เลือกจากรีวิวและผลงาน: ตรวจสอบรีวิวและผลงานของคลินิกหรือแพทย์ สามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเลือกใช้บริการได้
- เลือกคลินิกที่มีสภาพแวดล้อมและความสะอาด: ภายในห้องหัตถการกว้างขวาง แยกเป็นสัดส่วน มีไฟสว่าง อากาศถ่ายเท และมีการจัดการขยะติดเชื้อที่เหมาะสม
- เลือกคลินิกที่มีการให้บริการติดตามผล: ควรเลือกคลินิกที่มีการติดตามผลหลังฉีดฟิลเลอร์ พร้อมให้คำแนะนำหรือความช่วยเหลือหากเกิดปัญหา
อยากฉีดฟิลเลอร์ ราคาเท่าไหร่ ?
ราคาการฉีดฟิลเลอร์ในประเทศไทย เริ่มต้นที่ประมาณ 6,xxx บาทขึ้นไป ต่อซีซี แต่ราคานี้อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละโปรโมชันของคลินิกแต่ละแห่ง ดังนั้น การสอบถามข้อมูลโดยตรงกับคลินิกหรือแพทย์ประสบการณ์สูงจะช่วยให้คุณได้ข้อมูลราคาฉีดฟิลเลอร์ที่แน่นอนยิ่งขึ้นค่ะ
ราคาของการฉีดฟิลเลอร์ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่
- ยี่ห้อของฟิลเลอร์: ราคาของฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ/รุ่นที่ใช้ จะมีความแตกต่างกันไป
- ปริมาณของฟิลเลอร์ที่ใช้: ราคาอาจขึ้นอยู่กับปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ บางครั้งการฉีดหลายจุดหรือใช้ปริมาณมากอาจมีราคาที่สูงขึ้น
- เทคนิคการฉีด: แน่นอนว่าฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายจุด ซึ่งแต่ละจุดจะมีความยากง่ายในการฉีดฟิลเลอร์แตกต่างกัน ในจุดที่ต้องใช้ความระมัดระวังและมีความละเอียดสูง แพทย์อาจต้องใช้เทคนิคพิเศษซึ่งอาจมีผลต่อราคาการฉีดฟิลเลอร์
- ความชำนาญของแพทย์: แพทย์ที่มีประสบการณ์สูงหรือมีชื่อเสียงอาจมีราคาการฉีดฟิลเลอร์ที่สูงกว่า
- ทำเลและคุณภาพของคลินิก: คลินิกที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีอาจมีราคาที่สูงขึ้น
รีวิว ฉีดฟิลเลอร์
การดูรีวิวก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่ดีในการประเมินผลลัพธ์และความพึงพอใจหลังทำ โดยสามารถดูรีวิวฉีดฟิลเลอร์ได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้:
- ค้นหาในเว็บไซต์: ที่มีรีวิวเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ หาข้อมูลจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ
- ดูรีวิวจากโซเชียลมีเดีย: โซเชียลมีเดียเป็นแหล่งที่ดีในการหารีวิว โดยเฉพาะ Instagram หรือ Facebook ที่ผู้ใช้บริการมักจะแชร์ประสบการณ์และภาพก่อน-หลังการฉีดฟิลเลอร์
- ดูภาพก่อน-หลังการฉีด: เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่ได้จริง
- อ่านรีวิวและความคิดเห็น: จากผู้ที่เคยใช้บริการ เพื่อประเมินความพึงพอใจและปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
- ดูวิดีโอรีวิว: ใน YouTube หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพื่อให้เราสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างชัดเจน
- พิจารณาถึงแพทย์และคลินิก: ในการดูรีวิว ควรพิจารณาถึงแพทย์ที่ทำการฉีดฟิลเลอร์และคลินิกที่ให้บริการด้วย เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อผลลัพธ์ที่ได้
การใช้วิธีในการดูรีวิวต่าง ๆ ข้างต้น ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ จะช่วยให้มีความมั่นใจได้ในผลลัพธ์ที่คาดหวังหลังฉีดฟิลเลอร์ และเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการได้ค่ะ
สรุป
การฉีดฟิลเลอร์ถือเป็นวิธีการเสริมความงามที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย แต่ควรเลือกฉีดกับแพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์สูง ใช้ฟิลเลอร์แท้ ภายในคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย
สำหรับผู้ที่สนใจฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษาข้อมูลและข้อควรระวังอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจฉีดทุกครั้ง เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมกับปัญหาและความต้องการของตนเองมากที่สุด