มะกอกน้ำ
ผลเป็นรูปทรงกลมรีหรือรูปไข่ ผลสุกเป็นสีส้มหรือสีแดงเข้ม รสเปรี้ยวอมหวานและฝาดเล็กน้อย

มะกอกน้ำ

มะกอกน้ำ (Elaeocarpus Hygrophilus Kurz) เป็นพืช ผลสามารถใช้รับประทานมีรสเปรี้ยวอมหวานและฝาดเล็กน้อยเมล็ดภายในเป็นเมล็ดเดี่ยวมีมาตั้งแต่สมัยโบราณพบได้บริเวณริมคลอง ริมลำธาร และลำห้วย จัดอยู่ในวงศ์มุ่นดอย ELAEOCARPACEAE ชื่อพื้นเมืองทั่วไป เช่น มะกอกน้ำ (ma kok nam) สารภีน้ำ (saraphi nam) สมอพิพ่าย (Samo phi phai) ถิ่นกำเนิดในเอเชียตั้งแต่อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมถึงจังหวัดทางภาคเหนือสุดของไทย ต้นใช้เป็นยาบำรุงเลือดหลังคลอดของสตรี

ลักษณะของมะกอกน้ำ

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบแต่ผลัดใบไม่พร้อมกัน มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 8-15 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มโปร่ง มีรูอากาศเป็นแนวยาว เปลือกลำต้นค่อนข้างเรียบและมีสีน้ำตาล มีรอยแตกเป็นร่องเล็ก ๆ ตื้น ๆ ตามความยาวของลำต้น ตามกิ่งมีรอยแผลของใบชัดเจน สามารถขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดและการตอนกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ชื้นหรือบริเวณริมน้ำ มีการกระจายพันธุ์อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะพบได้ตามบริเวณริมน้ำและลำห้วย ปัจจุบันนิยมปลูกกันทั่วไป ในประเทศไทยพบได้มากในภาคกลาง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความชุ่มชื้นและอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ ริมน้ำ ตามชายฝั่งทะเล ตามป่าโกงกาง ป่าพรุ[1],[2],[3], [4],[5],[6]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนสลับหนาแน่นที่บริเวณปลายกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนาน รูปไข่กลับ หรือเป็นรูปใบหอก ปลายใบมนหรือป้าน โคนใบสอบ ส่วนตรงขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ใบมีความกว้างอยู่ประมาณ 2.5-5 เซนติเมตรและมีความยาวประมาณ 6-12 เซนติเมตร ทั้งท้องใบและหลังใบเรียบ ผิวใบมีความมันเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนใบอ่อนเป็นสีเขียวอมเหลือง ก้านใบอ่อนออกสีแดงเข้ม แต่ก้านใบแก่จะเป็นสีแดงอมน้ำตาล มีความยาวประมาณ 0.5-2 เซนติเมตร[1],[4],[5]
  • ดอก จะออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ ช่อดอกมีความยาวประมาณ 2-10 เซนติเมตร ส่วนก้านดอกมีความยาวประมาณ 2-7 เซนติเมตร ดอกย่อยมีสีขาว ลักษณะห้อยลงมาคล้ายกับระฆัง มีขนาดประมาณ 4-8 มิลลิเมตร มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปไข่กลับ มีความกว้างอยู่ประมาณ 3-4 มิลลิเมตรและความยาวประมาณ 5-8 มิลลิเมตร ปลายกลีบดอกมักจะเป็นฝอยเล็กๆ ยาวประมาณครึ่งหนึ่งของความยาวกลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมีอยู่ 5 กลีบ เป็นสีเขียว ปลายกลีบค่อนข้างแหลม เป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ ภายในดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ประมาณ 15-25 ก้าน และมีเกสรเพศเมียอีก 1 ก้าน โดยจะออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม[1],[3],[4] หรืออาจจะออกดอกและติดผลในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม[4]
  • ผล เป็นผลสดแบบมีเนื้อ ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมรีหรือรูปไข่ มีความกว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตรและความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร ปลายผลมีความเรียวแหลม ผิวผลเรียบและมีสีเขียว ผลสามารถใช้รับประทานได้ โดยผลอ่อนจะเป็นสีเขียวอ่อน ผิวผลเกลี้ยง ไม่มีขน เนื้อในนุ่ม มีรสเปรี้ยวอมฝาด ส่วนผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีส้มหรือสีแดงเข้ม มีรสเปรี้ยวอมหวานและฝาดเล็กน้อย มีเมล็ดเดี่ยว ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปกระสวยหรือรูปรี ปลายเรียวและแหลม ผิวเมล็ดค่อนข้างขรุขระและมีความแข็งมาก เมล็ดเป็นสีน้ำตาลอ่อน ส่วนก้านผลมีความยาวประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร ให้ผลในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนพฤศจิกายน[1],[3],[4],[5]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของผลในส่วนที่รับประทานได้ต่อ 100 กรัมให้พลังงาน 86 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
น้ำ 75.8 กรัม
ไขมัน 0.3 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 22.3 กรัม
ใยอาหาร 0.5 กรัม
โปรตีน 1 กรัม
วิตามินเอ 375 หน่วยสากล
วิตามินบี 1 0.09 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.05 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.4 มิลลิกรัม
วิตามินซี 49 มิลลิกรัม
แคลเซียม 14 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 35 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.9 มิลลิกรัม

(ข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข) [7]

สรรพคุณของมะกอกน้ำ

1. ดอก สามารถใช้เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย (ดอก)[3]
1.1 เป็นยาแก้พิษโลหิต กำเดา (ดอก)[3]
1.2 ช่วยแก้ริดสีดวงในลำคอ คันเหมือนมีตัวไต่อยู่ (ดอก)[3]
2. ผล มีรสฝาดเปรี้ยวอมหวาน สามารถใช้รับประทานแก้เสมหะในลำคอได้ (ผล)[6]
2.1 เมื่อนำผลไปดองหรือเชื่อม จะเป็นผลไม้ที่ช่วยในการระบาย (ผล)[6]
2.2 เมื่อนำมาดองกับน้ำเกลือ จะช่วยแก้อาการกระหายน้ำได้ดี และช่วยทำให้ชุ่มคอ (ผล)[1],[2],[3]
3. เปลือกต้นแห้ง มีรสเฝื่อน สามารถนำมาชงกับน้ำรับประทานเป็นยาฟอกเลือดหลังการคลอดบุตรของสตรี (เปลือกต้น)[1],[2]

ประโยชน์ของมะกอกน้ำ

1. ผล มีรสฝาดอมเปรี้ยวหวาน เมื่อนำไปดอง เชื่อม แช่อิ่ม หรือนำมาผลดิบมาจิ้มกับน้ำปลาหวาน[4],[7] ผลแก่ นิยมนำมาดองเป็นผลไม้แปรรูป ใช้รับประทานเป็นอาหารว่าง[5]
2. เมล็ด สามารถนำมากลั่นได้น้ำมัน คล้ายกับน้ำมันโอลีฟ (Olive oil) ของฝรั่ง[3]
3. ชาวสวนในภาคกลางจะนิยมปลูกไว้ตามริมสวน ให้รากช่วยยึดดินเอาไว้ เพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดินตามริมร่องสวน[5]
4. ปัจจุบันนิยมปลูกไว้เป็นไม้ผลยืนต้นทางเศรษฐกิจ เพราะผลมีการผลิตที่สูงอย่างสม่ำเสมอและขายได้ในราคาที่ดี แต่มีบ้างที่ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ เพราะปลูกง่าย โตเร็ว เรือนยอดเป็นทรงพุ่มกลมกว้างและโปร่ง ออกดอกดกขาวเต็มต้น[7]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “มะกอกน้ำ (Ma Kok Nam)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 212.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “มะ กอก น้ำ”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 147.
3. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “มะ กอก น้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [14 พ.ค. 2014].
4. หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 5. “ม ะ ก อ ก น้ำ ”.
5. งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน, โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา. “มะกอกน้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 158.108.70.5/botanic/. [14 พ.ค. 2014].
6. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “มะกอก น้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [14 พ.ค. 2014].
7. แหล่งการเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมออนไลน์ สำนักการศึกษาต่อเนื่อง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. “มะ กอก  น้ำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.stou.ac.th/study/projects/training/culture/. [14 พ.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://garden.org/plants/view/393558/Makok-Elaeocarpus-hygrophilus/