เพชรสังฆาต กับสรรพคุณและประโยชน์น่ารู้

0
1428
เพชรสังฆาต
เพชรสังฆาต กับสรรพคุณและประโยชน์น่ารู้ มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน เป็นไม้เถาสี่เหลี่ยมมีข้อต่อกัน ดอกเป็นสีเขียวอ่อนเป็นช่อ ผลกลมเรียบเป็นมัน ผลสุกสีแดงออกดำ
เพชรสังฆาต
เป็นไม้เถาสี่เหลี่ยมมีข้อต่อกัน ดอกเป็นสีเขียวอ่อนเป็นช่อ ผลกลมเรียบเป็นมัน ผลสุกสีแดงออกดำ

เพชรสังฆาต

เพชรสังฆาต เป็นพืชเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย และแอฟริกาและมีการแพร่กระจายพันธุ์ไปตามประเทศเขตร้อนของทวีป มักพบตามบริเวณป่าหรือที่ชื้น ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Cissus quadrangularis L. จัดอยู่ในวงศ์องุ่น (VITACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ สันชะควด (กรุงเทพ), ขั่นข้อ (ราชบุรี), สามร้อยต่อ (ประจวบคีรีขันธ์)

ลักษณะของต้นเพชรสังฆาต

  • ลักษณะของต้น
    – เป็นไม้เถา
    – เถาอ่อนเป็นสีเขียว
    – เป็นสี่เหลี่ยม
    – เป็นข้อต่อกัน
  • ลักษณะของใบ
    – ใบเป็นใบเดี่ยว รูปสามเหลี่ยม
    – แผ่นใบเรียบสีเขียวเป็นมัน
    – ออกเรียงสลับกันตามข้อต้น
    – ปลายใบมน
    – โคนใบเว้า
    – ขอบใบหยักมนห่าง ๆ
    – ก้านยาว 2-3 เซนติเมตร
  • ลักษณะของดอก
    – ดอกเป็นสีเขียวอ่อน
    – ออกเป็นช่อ
    – ออกตามข้อตรงข้ามกับใบ
    – กลีบดอกมี 4 กลีบ
    – โคนด้านนอกสีแดง
    – โคนด้านในเขียวอ่อน
    – เมื่อดอกบานเต็มที่จะงองุ้มไปด้านล่าง
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ 4 อัน
  • ลักษณะของผล
    – ผลเป็นรูปทรงกลม
    – ผิวเรียบเป็นมัน
    – ผลอ่อนสีเขียว
    – ผลสุกสีแดงออกดำ
    – มีเมล็ดกลมสีน้ำตาล 1 เมล็ด
    – ส่วนที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพร คือ เถา ราก ใบยอดอ่อน และน้ำจากต้น

สรรพคุณของเพชรสังฆาต

  • ใช้เป็นยารักษาริดสีดวงได้
  • ต้น สามารถช่วยขับน้ำเหลืองเสียได้
  • เถา สามารถใช้แก้กระดูกแตก หัก ซ้นได้
  • เถา สามารถช่วยขับลมในลำไส้ได้
  • ใบยอดอ่อน สามารถช่วยรักษาโรคลำไส้ที่เกี่ยวกับอาหารไม่ย่อยได้
  • น้ำจากต้น สามารถใช้ปรุงเป็นยาธาตุ ช่วยให้เจริญอาหารได้
  • น้ำจากต้น สามารถนำมาใช้หยอดหู แก้น้ำหนวกไหลได้
  • น้ำจากต้น สามารถนำมาใช้หยอดจมูก แก้เลือดเสียในสตรี ประจำเดือนไม่ปกติได้
  • ใบกับราก สามารถใช้เป็นยาพอกเมื่อกระดูกหักได้
  • เถากับน้ำจากต้น สามารถใช้แก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติได้
  • เถากับน้ำจากต้น สามารถนำมาใช้แก้โรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟันได้

ประโยชน์ของเพชรสังฆาต ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ

  • การใช้เป็นยารักษาโรคริดสีดวงทวาร โดยมีงานวิจัยของ พญ. ดวงรัตน์ เชี่ยวชาญวิทย์ และคณะ ได้ประเมินประสิทธิภาพของสมุนไพรกับผู้ป่วยที่เป็นโรคริดสีดวงทวารจำนวน 121 คน เปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบันอย่างดาฟลอน (Daflon)
  • ผลการวิจัยพบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนของการประเมินผลของสมุนไพรเพชรสังฆาตกับยาดาฟลอนไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
  • ที่สำคัญยังพบว่าค่าใช้จ่ายของยาแคปซูลเพชรสังฆาตถูกกว่ายาดาฟลอนถึง 20 เท่าอีกด้วย
  • ผลการวิจัยนี้จึงมีการสรุปว่าแคปซูลเพชรสังฆาตสามารถใช้ทดแทนยาดาฟลอนในการรักษาโรคริดสีดวงทวารได้อย่างดี

วิธีการทำยารักษาริดสีดวง

วิธีที่ 1

  • ใช้เถาสด ๆ ประมาณ 2-3 องคุลีต่อหนึ่งมื้ออาหาร
  • นำมารับประทานด้วยการสอดไส้ในกล้วยสุก หรือมะขามเปียก หรือใบผักกาดดองแล้วกลืนลงไป ห้ามเคี้ยว
  • เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้จะมีผลึก Calcium Oxalate รูปเข็มเป็นจำนวนมาก การรับประทานสด ๆ อาจทำให้ระคายต่อเยื่อบุในปากและในลำคอได้
  • การรับประทานจะใช้ระยะเวลาประมาณ 10-15 วัน อาการของโรคริดสีดวงก็จะดีขึ้น

วิธีที่ 2

  • นำเถาแห้งนำมาบดเป็นผง ใส่แคปซูลเบอร์ 2 ขนาด 250 มิลลิกรัม
  • รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้งก่อนอาหารและช่วงก่อนนอน
  • รับประทานไปสัก 1 อาทิตย์ก็จะเห็นผล

สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

แหล่งอ้างอิง : ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.malawiflora.com/
2.https://www.indiamart.com/