พังแหร
พังแหร มีเขตการกระจายพันธุ์ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศญี่ปุ่น จีน นิวกินี โมลัคคาล์ และประเทศเขตร้อนในทวีปแอฟริกา ประเทศไทยสามารถพบขึ้นตามพื้นที่โล่งแจ้ง ตามป่าเบญจพรรณ และตามชายป่าดงดิบ โดยมักจะพบที่ระดับความสูง 600-1,500 เมตร[1],[2] ชื่อสามัญ Peach cedar[4], Pigeon wood (อังกฤษ), Peach-leaf poison bush (ออสเตรเลีย)[5] ชื่อวิทยาศาสตร์ Trema orientalis (L.) Blume ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Celtis guineensis Schumach. & Thonn., Celtis orientalis L., Sponia orientalis (L.) Decne., Trema guineensis (Schum. & Thonn.) Ficalho ฯลฯ[1] จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์กัญชา (CANNABACEAE) ชื่ออื่น ๆ ขางปอยป่า ปอแฟน ปอหู ปอแหก ปอแฮก (ในภาคเหนือ), ตะคาย (ในภาคกลาง),ปอ (จังหวัดเชียงใหม่), พังแหรใหญ่ พังแกรใหญ่ ตายไม่ทันเฒ่า (จังหวัดยะลา), พังแหร (จังหวัดแพร่), ด่งมั้ง (ชาวม้ง), ปะดัง (ชาวกะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), พังอีแร้, พังอีแหร[1],[2], ปอแต๊บ (ชาวไทลื้อ), กีกะบะซา บาเละอางิงิ (ชาวมลายู นราธิวาส), ตุ๊ดอึต้า (ชาวขมุ), ไม้เท้า (ชาวลั้วะ)[4] เป็นต้น
ลักษณะของต้นพังแหร
- ต้น
– เป็นพันธุ์ไม้ประเภทยืนต้นไม่ผลัดใบที่มีขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง
– ต้นมีความสูง ประมาณ 4-12 เมตร
– ลักษณะของลำต้น: เปลือกต้นมีสีเป็นสีเขียวอมเทาอ่อนหรือน้ำตาล ผิวเปลือกต้นบางเรียบเกลี้ยงไม่มีขนหรืออาจมีรอยแตกตามยาวบาง ๆ และต้นมีรูอากาศมาก ส่วนเปลือกชั้นในมีสีเป็นสีเขียวสด
– ตรงเรือนยอดจะโปร่งเป็นพุ่มขยายแผ่กว้าง กิ่งก้านจะแผ่ออกในแนวขนานกับพื้นดิน ปลายกิ่งมีลักษณะลู่ลง ตามกิ่งอ่อนมีขนขึ้นปกคลุม
– ลำต้นเป็นไม้เนื้ออ่อน - ใบ
– ใบมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว โดยใบจะออกเรียงสลับกัน
– ลักษณะรูปร่างของใบเป็นรูปไข่แกมรูปใบหอก รูปไข่แกมรูปหัวใจ หรือรูปขอบขนาน ปลายใบเรียวแหลม ตรงโคนใบเบี้ยวมีขนาดไม่เท่ากัน ส่วนขอบใบเป็นรอยจักแบบฟันเลื่อยละเอียด
– ยอดอ่อนมีขนสีเงินขึ้นปกคลุมอย่างหนาแน่น เนื้อผิวใบค่อนข้างสากคาย ส่วนใบที่แก่แล้วด้านบนจะมีขนหยาบขึ้นปกคลุมเป็นประปราย ส่วนด้านล่างจะมีสีเป็นสีเขียวอมเทาเป็นกระจุกปะปนกับขนสีเงินที่ยาวกว่า เส้นใบ เส้นใบด้านข้างจะมีความโค้งมาก มี 4-8 คู่
– ใบมักจะมีร่องและมีขนขึ้นอยู่หนาแน่นเป็นหย่อม ๆ ผิวใบมักมีจุดประเป็นสีชมพูหรือม่วงกระจายทั่วใบ
– มีหูใบเป็นรูปหอกไม่เชื่อมกัน[1]
– ใบมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 3-5 เซนติเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 7-12 เซนติเมตร
– ก้านใบมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 0.4-1.7 เซนติเมตร
– หูใบมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 2.6 มิลลิเมตร - ดอก
– ดอกเป็นช่อสั้น ๆ โดยจะออกช่อดอกเป็นกระจุกที่บริเวณตามซอกใบ
– ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีสีเป็นสีขาวอมเขียว โดยดอกจะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 0.3 เซนติเมตร
– ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะอาศัยอยู่บนต้นเดียวกัน แต่จะอยู่แยกช่อกัน
– ช่อดอกเพศผู้จะมีดอกประมาณ 35-40 ดอกภายในช่อ แต่ช่อดอกเพศเมียจะมีดอกประมาณ 15-20 ดอก
– ดอกเพศผู้ช่อแน่นและแตกแขนง ออกดอกเป็นคู่ มีก้านดอกของช่อข้างล่างโค้งลง ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ตรงข้ามกับพูกลีบเลี้ยง 4-5 อัน
– ดอกเพศเมียมีลักษณะที่คล้ายกับดอกเพศผู้ แต่ช่อดอกจะโปร่งกว่า และดอกมีเกสรเพศเมียแยกเป็น 2 กิ่ง ส่วนรังไข่ไม่มีก้านชู[1] - ผล
– ผลมีลักษณะเป็นผลสด มีลักษณะรูปทรงกลม โดยผลจะมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 2-4 มิลลิเมตร และมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 3-5 มิลลิเมตร ส่วนก้านผลมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 0.3 เซนติเมตร
– ผลมีสีเป็นสีเขียวเข้ม เมื่อผลสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเป็นสีดำหรือสีม่วงดำ ปลายเกสรเพศเมียติดที่ยอดผล และที่ผลมีชั้นกลีบเลี้ยงติดที่ฐาน เนื้อผลภายในค่อนข้างนุ่ม
– ผลมีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดค่อนข้างแข็ง
– ติดผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนสิงหาคม[1],[2]
สรรพคุณของต้นพังแหร
1. เปลือกต้นและใบนำมาใช้ทำเป็นยาแก้ไข้มาลาเรียได้ (เปลือกต้นและใบ)[1]
2. เปลือกต้นนำมาใช้เป็นยาแก้โรคบิด และใช้สำหรับเป็นยาถ่ายพยาธิ โดยการนำน้ำต้มที่ได้จากเปลือกต้นหรือใบนำมาใช้รับประทานเป็นยาขับพยาธิตัวกลม (เปลือกต้นและใบ)[1]
3. ตำรายาของไทย จะนำเปลือกต้นมาเคี้ยวและอมเอาไว้ประมาณ 30 นาที สำหรับเป็นยาแก้ปากเปื่อย (เปลือกต้น)[1]
4. ลำต้นและกิ่งนำมาใช้ทำเป็นยาชงมีฤทธิ์สำหรับแก้ไข้ และถ้านำไปใช้กลั้วปากจะแก้อาการปวดฟันได้ (ลำต้นและกิ่ง)[1]
5. แก่นหรือรากนำมาฝนกับน้ำใช้สำหรับดื่มเป็นยาเย็น มีสรรพคุณในการแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ (แก่น, ราก)[1]
6. ในประเทศแอฟริกาจะนำราก มาใช้ทำเป็นยารักษาปัสสาวะเป็นเลือด ใช้ห้ามเลือด และใช้รักษาเลือดออกที่กระเพาะอาหารและลำไส้(ราก)[1]
7. ผลและดอกนำมาใช้ทำเป็นยาชงสำหรับเด็ก เพื่อใช้สำหรับรักษาโรคหลอดลมอักเสบ และเยื่อหุ้มปอดอักเสบได้ (ผลและดอก)[1]
ประโยชน์ของต้นพังแหร
1. ไม้ เป็นไม้ชนิดเนื้ออ่อน ไม่ค่อยทนทาน จึงนำมาใช้ในงานก่อสร้างที่ใช้ชั่วคราวหรือใช้ก่อสร้างโรงเรือนที่มีขนาดเล็ก[3],[4]
2. ใบนำมาใช้เป็นอาหารปลา สำหรับเลี้ยงปลาได้[4]
3. ผลสุกนำมาใช้เป็นอาหารสำหรับนกได้[4]
4. เปลือกต้นนำมาลอกออกใช้ทำเป็นเชือกไว้สำหรับมัดสิ่งของได้[1],[4]
5. ที่แอฟริกาจะนำไปปลูกป่า และปลูกไว้สำหรับเป็นร่มเงาในในการเพาะเลี้ยงต้นกาแฟได้[5]
6. นำมาใช้ปลูกเป็นไม้สำหรับปลูกป่าได้ดี เพราะมีระยะเวลาการเจริญเติบโตที่เร็ว เหมาะอย่างยิ่งสำหรับพื้นที่ที่ต้องการปลูกต้นไม้เพื่อฟื้นคืนสภาพป่า (จะเติบโตได้ดีที่พื้นที่ชุ่มชื้น)[3]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยา
1. จากการศึกษาทางพิษวิทยาพบว่า แพะที่กินยอดและใบสดเข้าไปแล้วจะตายจากอาการเกิดพิษต่อตับ[1] เนื่องจากมีสาร Trematoxin glycocides (สารพิษ) ซึ่งมีความเป็นพิษต่อตับ
2. ลำต้นและเปลือกราก พบสาร decussatin, decussating glycosides, lupeol, methylswertianin, p -hydroxybenzoic acid, sweroside, scopoletin, (-)-epicatechin ส่วนเปลือก พบสาร simiarenone, simiarenol, episimiarenol, (-)-ampelopsin F, (-)-epicatechin, (+)-catechin, (+)-syringaresinol, N-(trans-p-coumaroyl) tyramine, N-(trans-p-coumaroyl) octopamin, trans-4-hydroxycinnamic acid และ สารไตรเทอร์ปีน tremetol อยู่[1]
เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “พัง แหร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [04 ต.ค. 2015].
2. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “พังแหรใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [04 ต.ค. 2015].
3. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “พังแหรใหญ่”. อ้างอิงใน : หนังสือไม้ต้นในสวน Tree in the Garden. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [04 ต.ค. 2015].
4. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “พัง แหร ใหญ่, ปอแฟน, ตะคาย”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [04 ต.ค. 2015].
5. สนง.ปศุสัตว์จังหวัดปัตตานี. “พัง แหร: พืชอันตราย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : pvlo-pni.dld.go.th. [04 ต.ค. 2015].
อ้างอิงรูปจาก
1.https://paleru.strandls.com/
2.https://www.inaturalist.org/