กากหมากตาฤๅษี
กากหมากตาฤๅษี เป็นพืชเกาะอาศัยประเภทเบียนหรือกาฝากที่คอยดูดกินอาหารจากรากพืชชนิดอื่น ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Balanophora fungosa J.R.Forst. & G.Forst. จัดอยู่ในวงศ์ขนุนดิน (BALANOPHORACEAE)[1],[2] มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ เห็ดหิน (เลย), ว่านดอกดิน (สระบุรี), บัวผุด (ชุมพร), ดอกกฤษณารากไม้ (ประจวบคีรีขันธ์), กกหมากพาสี (ภาคเหนือ), ขนุนดิน (ภาคกลาง)[1],[2]
ลักษณะกากหมากตาฤๅษี
- ลักษณะของต้น[1],[2]
– เป็นพืชเบียน
– เกาะอาศัยแย่งอาหารจากรากพืชอื่น
– มีความสูงได้ 10-25 เซนติเมตร
– ลำต้นอยู่รวมกันเป็นก้อนขนาดใหญ่อยู่ใต้ดิน
– ลำต้นจะมีอยู่หลากหลายสี เช่น สีน้ำตาล สีแดง สีแดงปนน้ำตาล สีเหลือง
– มีเขตการกระจายพันธุ์ในอินเดีย จีนตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซีย และทวีปออสเตรเลีย
– ในประเทศไทยจะสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ
– จะพบขึ้นในป่าดิบชื้นทั่วไป บนเขาสูง ที่ความสูง 500-2,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล
– มักเกาะพืชในวงศ์ LEGUMINOSAE และพืชในวงศ์ VITACEAE หรือ VITIDACEAE - ลักษณะของใบ[1],[2]
– ใบเป็นใบเดี่ยว
– เรียบเวียนรอบลำต้น
– ใบมีขนาดเล็ก
– มีประมาณ 10-20 ใบ
– ใบเป็นสีเหลืองอมส้ม สีเหลืองอมแดง หรือสีน้ำตาล
– ปลายใบแหลม
– มีความกว้างมากที่สุด 2 เซนติเมตร และยาว 3 เซนติเมตร - ลักษณะของดอก[1],[2]
– ออกดอกเป็นช่อ
– ดอกเป็นสีแดงอมน้ำตาล
– มีกลิ่นหอมเอียน
– ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่คนละต้น
– ช่อแก่จะชูก้านขึ้นพ้นผิวดินเป็นกลุ่มหรือเป็นกระจุก
– กลุ่มหนึ่งอาจมีดอกถึง 10 ดอก
– โดยช่อดอกเพศผู้ เป็นรูปไข่แกมรี
– มีความกว้าง 2-6 เซนติเมตร และยาว 4-15 เซนติเมตร
– ก้านดอกยาว 0.7-1 เซนติเมตร
– กาบรองดอกเป็นรูปเหลี่ยมหรือมน ยาว 5 มิลลิเมตร
– ดอกมีจำนวนมาก
– กลีบดอกมีประมาณ 4-5 กลีบ สีเหลืองอมเขียวอ่อน มีขนาดเล็ก
– ดอกเรียงชิดกัน ไม่เบี้ยว
– มีเกสรเพศผู้ 4-5 อัน เชื่อมติดกันเป็นก้อนแบนแคบ ๆ ยาว 2.5-5 มิลลิเมตร
– ตุ่มเกสรเป็นรูปเกือกม้า
– ช่อดอกเพศเมียจะเป็นสีน้ำตาลอมแดง ค่อนข้างกลมหรือรี มีขนาด 2-10 เซนติเมตร
– ดอกเล็ก มีจำนวนมากอยู่ชิดกันแน่น
– ออกดอกในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนกุมภาพันธ์
สรรพคุณของกากหมากตาฤๅษี
- ทั้งต้น มีรสฝาด แพทย์ตามชนบทจะเอาผลตากแห้ง นำมาฝนกับน้ำฝนบนฝาละมีหม้อดิน สามารถใช้เป็นยาแก้หูเป็นน้ำหนวก แก้แผลเน่าเรื้อรังได้[1]
- ชาวบ้านในแถบตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง จะนำหัวไปผสมกับสมุนไพรอื่น ๆ ทำเป็นยาแก้หอบหืดมานมนาน นับว่าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่น่าทึ่ง[3]
- มีรายงานทางการแพทย์ว่า ลำต้นที่มีลักษณะเป็นหัวที่ฝังอยู่ใต้ดินนำมาสกัดได้สารโคนิเฟอริน (coniferin) สามารถใช้ทำยาแก้โรคหอบหืดได้[3]
สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “กาก หมาก ตา ฤา ษี”. หน้า 72.
2. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กาก หมาก ตา ฤา ษี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [18 มิ.ย. 2015].
3. กลุ่มอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อม. “สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ขนุนดิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.siamensis.org. [18 มิ.ย. 2015].
อ้างอิงรูปจาก
1.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:103250-1
2.http://flora-peninsula-indica.ces.iisc.ac.in/herbsheet.php?id=1806&cat=7