โรคตาบอดสี อาการ สาเหตุ และทดสอบตาบอดสี

0
25225
โรคตาบอดสี ( Color Blindness ) เกิดขึ้นได้อย่างไร
โรคตาบอดสี คือ โรคที่เกิดปัญหาในการแยกแยะสีของวัตถุบางอย่างไม่ได้ เพราะความผิดปกติของเม็ดสีและเซลล์รับแสงสีเขียวหรือแดง
ตาบอดสี เกิดจากสาเหตุอะไร รวมวิธีทดสอบตาบอดสี
โรคตาบอดสี คือ โรคที่เกิดปัญหาในการแยกแยะสีของวัตถุบางอย่างไม่ได้ เพราะความผิดปกติของเม็ดสีและเซลล์รับแสงสีเขียวหรือแดง ซึ่งถูกควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซม X

โรคตาบอดสี

โรคตาบอดสี ( Color Blindness ) คือ โรคที่เกิดปัญหาในการแยกแยะสีของวัตถุบางอย่างไม่ได้มักพบในเพศชายมากกว่าถึง 8% และพบในเพศหญิง 0.4% ของประชากรทั้งหมด การที่พบโรคนี้ในผู้ชายมากทั้งนี้ เพราะความผิดปกติของเม็ดสีและเซลล์รับแสงสีเขียวหรือแดง ซึ่งถูกควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซม X ลักษณะการมองเห็นในคนตาบอดสีนั้นจะต้องอาศัยเซลล์หลังจอตา 2 ชนิดเป็นส่วนสำคัญในการแยกสีที่เรามองเห็น คือ เซลล์รูปแท่ง ( Rod Cell ) ที่มีความไวต่อการรับแสงแบบสลัว โดยใช้สำหรับการมองเห็นในเวลากลางคืน แต่สีที่มองเห็นจะเป็นสีในโทนดำ ขาว และเทาเท่านั้น ซึ่งสีที่คนมักเป็นตาบอดสี คือ สีเขียว เหลือง ส้มและสีแดง ส่วนภาวะตาบอดสีทุกสี ( Achromatopsia ) จะพบได้น้อยมาก อาจก่อส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ในบางอาชีพที่ต้องอาศัยการแยกและจดจำสีในการทำงาน เช่น พนักงานโรงงาน พนักงานขับรถ นักบิน ตำรวจจราจรเป็นต้น

อาการของตาบอดสี

  • แยกสีแดง และสีเขียวค่อนข้างลำบาก
  • สามารถมองเห็นสีได้หลากหลายสี แต่บางสีอาจมองเห็นต่างไปจากคนอื่น
  • จดจำและแยกสีต่างๆ ได้ไม่ชัดเจน
  • สับสนในการบอกสีที่เห็นได้
  • มองเห็นเฉพาะบางโทนสีเท่านั้น
  • บางรายสามารถมองเห็นได้เฉพาะสีดำ ขาว และเทาเท่านั้น
  • กลุ่มที่มีความผิดปกติที่เกิดขึ้นมาภายหลัง มักเกิดจากการถูกทำลายของจอประสาทตาเส้นประสาทตาหรือส่วนรับรู้ในสมองจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น การอักเสบ ภาวะขาดเลือด เนื้องอก การเสื่อมลงของจอประสาทตา ผลข้างเคียงจากยา หรือสารเคมี

สาเหตุของโรคตาบอดสี

ความผิดปกติแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มที่มีความผิดปกติของดวงตามาตั้งแต่กำเนิด ( Congenital Color Vision Defects )

ภาวะตาบอดสีแต่กำเนิด แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ 3 กลุ่ม คือ

ภาวะตาบอดสีกลุ่มที่เห็นสีเดียว ( Monochromatism )

เป็นผู้ที่มีแต่เซลล์รูปแท่ง ไม่มีเซลล์รูปกรวยเลย หรือบางรายมีเซลล์รูปกรวยสีน้ำเงินชนิดเดียว กลุ่มนี้จะเห็นเพียงภาพขาวดำ สายตามักมัวมากจนมองไม่เห็นสี ตาสู้แสงไม่ได้ ลูกตากลิ้งกลอกไปมาตลอดเวลา ( Nystagmus ) ผู้ป่วยกลุ่มนี้แพทย์ให้การรักษาโดยมุ่งที่การช่วยเหลือให้มองเห็นดีขึ้น การเห็นสีเป็นไปไม่ได้ แพทย์จึงมักไม่คำนึงถึงเรื่องการเห็นสีเลย

ภาวะตาบอดสีกลุ่มที่มีเซลล์รูปกรวย 2 ชนิด ( Dichromatism )

เมื่อขาดเซลล์รูปกรวยสีแดง เรียกว่า ตาบอดสีแดง ( Protanopia ) เมื่อขาดเซลล์รูปกรวยสีเขียว เรียกว่า ตาบอดสีเขียว ( Deuterano pia ) และเมื่อขาดเซลล์รูปกรวยสีน้ำเงิน เรียกว่า ตาบอดสีน้ำเงิน (Tritanopia) ซึ่งตาบอดสีน้ำเงินนี้พบได้น้อยมากๆ

ภาวะตาบอดสีกลุ่มที่มีเซลล์รูปกรวยทั้ง 3 ชนิด ( Trichromatism )

แต่มีอย่างใดอย่างหนึ่งพร่อง / น้อยกว่าปกติ ( Anomalous trichromatism ) ซึ่งเป็นกลุ่มตาบอดสีที่พบได้บ่อยที่สุด ได้แก่ เมื่อมีเซลล์รูปกรวยสีแดงน้อยกว่าปกติ เรียกว่า พร่องสีแดง ( Protanomalous ) เมื่อมีเซลล์รูปกรวยสีเขียวน้อยกว่าปกติ เรียกว่า พร่องสีเขียว ( Deuteranomalous ) และพร่องสีน้ำเงินเมื่อมีเซลล์รูปกรวยสีน้ำเงินน้อยกว่าปกติ ( Trianomalous ) ทั้งนี้ตาบอดสีแต่กำเนิดส่วนใหญ่จะพบพร่องสีแดง และพร่องสีเขียว ส่วนพร่องสีน้ำเงินพบน้อยมาก ๆ

2. กลุ่มที่มีความผิดปกติที่เกิดขึ้นมาภายหลัง ( Acquired Color Vision Defects )

มักพบกลุ่มแรก คือกลุ่มที่เป็นตั้งแต่กำเนิดบ่อยกว่ากลุ่มที่เป็นภายหลังเป็นภาวะที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยเป็นลักษณะด้อยซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยโครโมโซม X ที่เรียกว่า X – link recessive สาเหตุที่ทำให้เกิด เช่น

  • อายุที่เพิ่มมากขึ้น อาจส่งผลให้เกิดการเสื่อมของเซลล์ได้ตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น
  • ผลข้างเคียงของการใช้ยาบางชนิด
  • การได้รับสารเคมีบางชนิดเป็นระยะเวลานาน
  • โรคเกี่ยวกับด้านดวงตาหรือการบาดเจ็บบริเวณจอตา เช่น โรคต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม ต้อกระจก หรือการได้รับบาดเจ็บบริเวณดวงตา

โรคตาบอดสี ( Color Blindness ) คือ โรคที่เกิดปัญหาในการแยกแยะสีของวัตถุบางอย่างไม่ได้   

การทดสอบตาบอดสี

ทดสอบตาบอดสีประกอบด้วยชุดแผ่นจุดประสีแต่ละชุดจะแสดงเป็นตัวเลข เพื่อทดสอบการมองเห็นสีที่ใช้กับอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

ตาบอดสี เกิดจากสาเหตุอะไร รวมวิธีทดสอบตาบอดสี
แบบทดสอบตาบอดสีประกอบด้วยชุดแผ่นจุดประสีแต่ละชุดจะแสดงเป็นตัวเลข เพื่อทดสอบการมองเห็นสี

ผลประเมินแบบทดสอบตาบอดสีของการมองเห็นสี

  1. ตาปกติ และตาบอดสี จะอ่านได้หมายเลขเดียวกันคือ 12

2. ตาปกติจะอ่านได้หมายเลข 29 ตาบอดสีแดง-เขียวจะอ่านได้หมายเลข 70
แต่ถ้ามีอาการตาบอดสีจะไม่สามารถอ่านได้

3. ตาปกติจะอ่านได้หมายเลข 3 ตาบอดสีแดง-เขียวจะอ่านได้หมายเลข 5
แต่ถ้ามีอาการตาบอดสีจะไม่สามารถอ่านได้

4. ตาปกติจะอ่านได้หมายเลข 74 ตาบอดสีแดง-เขียวจะอ่านได้หมายเลข 21
แต่ถ้ามีอาการตาบอดสีจะไม่สามารถอ่านเป็นตัวเลขได้

5. ตาปกติจะอ่านได้หมายเลข 45 ตาบอดสีจะไม่สามารถอ่านได้

6. ตาปกติจะอ่านได้หมายเลข 7 ตาบอดสีจะไม่สามารถอ่านเป็นตัวเลขได้

7. ตาปกติจะอ่านได้หมายเลข 73 ตาบอดสีจะไม่สามารถอ่านเป็นตัวเลขได้

8. ตาปกติจะไม่สามารถอ่านเป็นตัวเลขได้ ตาบอดสีแดง-เขียวจะอ่านได้หมายเลข 45
แต่ถ้ามีอาการตาบอดสีจะไม่สามารถอ่านเป็นตัวเลขได้

9. ตาปกติจะอ่านได้หมายเลข 42

10. ตาปกติจะไม่สามารถลากเส้นจาก X ไป X ได้
ถ้ามีอาการตาบอดสีแดง-เขียว จะสามารถลากเส้นจาก X ไป X ได้
ถ้ามีอาการตาบอดสีจะไม่สามารถลากเส้นจาก X ไป X ได้

10. ตาปกติจะสามารถลากเส้นตามสีส้มจาก X ไป X ได้
แต่ถ้ามีอาการตาบอดสีจะไม่สามารถลากเส้นจาก X ไป X ได้ หรือลากได้ก็คนละเส้นทาง

11. ตาปกติจะสามารถลากเส้นตามสีม่วง ต่อกับสีส้ม จาก X ไป X ได้
ถ้ามีอาการตาบอดสีแดง-เขียวจะลากเส้นตามสีม่วง ต่อกับสีฟ้า-เขียว จาก X ไป X ได้
ถ้ามีอาการตาบอดสีจะไม่สามารถลากเส้นจาก X ไป X ได้ หรือลากได้ก็คนละเส้นทาง

เซลล์รับแสงคืออะไร

เซลล์รับแสงที่อยู่ในจอตาแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. เซลล์รูปแท่ง ( rod cell ) ประกอบด้วยสารที่ดูดกลืนแสงในช่วงความยาวคลื่นต่างๆ โดยเซลล์รูปแท่งจะมีสารสีม่วง ซึ่งมีความไวต่อแสงมากกว่าเซลล์รูปกรวยจะทำงานได้อย่างดีแม้แสงน้อยในช่วงกลางคืนสามารถมองเห็นเป็นสีขาวดำ
2. เซลล์รูปกรวย ( cone cell ) เป็นหนึ่งในตัวรับแสงในเรตินาของดวงตาที่รับผิดชอบการมองเห็นในเวลากลางวันและการมองเห็นสีประกอบด้วยเซลล์ที่กระจุกตัวอยู่หนาแน่นในรอยบุ๋มจอตาสร้างพื้นที่การมองเห็นที่ใหญ่ที่สุด เซลล์รูปกรวย 3 ชนิด มีการรับสีแตกต่างกัน คือ ชนิดที่หนึ่งมีความไวสูงสุดต่อการรับแสงสีน้ำเงินจะไวเฉพาะแสงที่มีความเข็มสูง ชนิดที่สองมีความไวสูงสุดต่อแสงสีเขียว และชนิดที่สามมีความไวสูงสุดต่อแสงสีแดง

ตาบอดสีรักษาให้หายได้หรือไม่

ทางการแพทย์ยังไม่มีวิธีการรักษาตาบอดสีให้หายได้ แต่มีวิธีในการแก้ไขเบื้องต้น โดยให้คนตาบอดสีใส่คอนแทคเลนส์หรือแว่นตาที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อช่วยในการมองเห็นของคนตาบอดสีให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

การป้องกันตาบอดสี

การป้องกันโรคตาบอดสียังไม่สามารถป้องกันโรคนี้ได้อย่างถาวร แต่สามารถลดโอกาสการเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ยังเด็ก

  • การตรวจคัดกรองตาบอดสีและทดสอบสายตาในเด็กอายุประมาณ 3-5 ขวบ
  • หากครอบครัวมีประวัติเป็นตาบอดสี ควรมีการตรวจเช็คสายตาอย่างสม่ำเสมอ
  • สังเกตความผิดปกติของสายตาตนเอง
    หากพบความผิดปกติในการมองเห็นสีที่ผิดแปลกไปจากเดิม ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดและรักษาอย่างถูกวิธี

การแก้ปัญหาตาบอดสี

สิ่งที่ช่วยแก้ปัญหาตาบอดสีได้คือ แว่นสายตาสำหรับตาบอดสี คนที่มีตาบอดสีแดง-เขียวอาจสามารถใช้แว่นพิเศษ (หรือคอนแท็คเลนส์) เพื่อช่วยให้ได้รับรู้สีได้ถูกต้องยิ่งขึ้นภายใต้สภาวะแสงต่างๆ โดยแว่นตานี้ทำงานโดยกรองความยาวคลื่นแสงเพื่อให้สามารถแยกแยะสีแดงและเขียวได้ มันไม่สามารถทำให้คนเปลี่ยนไปมองเห็นสีปกติได้ แต่อาจช่วยให้มองเห็นสีบางสีได้สดใสขึ้น แต่ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนที่มีตาบอดสีแดง-เขียวได้ หรือปรึกษาจักษุแพทย์ให้ช่วยตรวจสอบว่าสามารถใช้แว่นชนิดนี้ได้หรือไม่

หากคุณมีอาการตาบอดสีควรได้รับการทดสอบที่สามารถบอกได้ว่าการมองเห็นสีของคุณมีมากน้อยเพียงใด

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ตาบอดสี (ออนไลน์).สืบค้นจาก :http://www.perfecthealthcare.co.th [30 เมษายน 2562].
ตาบอดสี (ออนไลน์).สืบค้นจาก :http:www.pobpad.com [30 เมษายน 2562].
ตาบอดสี (ออนไลน์).สืบค้นจาก :http://haamor.com/th [7 พฤษภาคม 2562].