ลำไส้และจิตใจกำหนดพลังภูมิคุ้มกันที่ใหญ่สุดในร่างกาย
หากต้องการเพิ่มพลังภูมิคุ้มกัน ก็ต้องเพิ่มชนิดและจำนวนของแบคทีเรียในลำไส้ ด้วยการกินอาหาร เช่น ถั่ว ผัก ผลไม้ ธัญพืช

ลำไส้

รู้ไหมว่า พลังภูมิคุ้มกันในร่างกาย หรือระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ของคนเรามีหลายรูปแบบมาก และมีความเกี่ยวข้องกับระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า 70% มาจาก ลำไส้ และอีก 30% มาจากจิตใจ การยกระดับพลังภูมิคุ้มกันในร่างกายล้วนเกี่ยวข้องกับเซลล์ ซึ่ง 7 ใน 10 ของเซลล์ที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน จะอยู่ที่เยื่อบุลำไส้ ( Mucous Membrane ) โดยเฉพาะตรงเยื่อบุลำไส้ใหญ่ ซึ่งหากต้องการจะยกระดับพลังภูมิคุ้มกันในร่างกายต้องอาศัยเซลล์เหล่านี้ และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ แบคทีเรียในลำไส้ ที่จะเป็นตัวช่วยเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เพราะฉะนั้น หากต้องการเพิ่มพลังภูมิคุ้มกัน ก็ต้องเพิ่มชนิดและจำนวนของแบคทีเรียในลำไส้ ด้วยการกินอาหาร เช่น ถั่ว ผัก ผลไม้ ธัญพืช แต่ในปัจจุบัน คนนิยมรับประทานอาหารปรุงแต่งหรืออาหารสำเร็จรูปมากขึ้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีวัตถุกันเสียและสารปรุงแต่ง ( Additives ) ที่ทำให้แบคทีเรียในลำไส้อ่อนแอ ดังนั้น หากต้องการสร้างพลังคุ้มกันในร่างกายต้องหลีกเลี่ยงอาหารปรุงแต่ง อาหารสำเร็จรูป รวมถึงอาหารจานด่วน ควรหันมาทำอาหารทานเอง ลดการซื้ออาหารจากร้านสะดวกซื้อ ( Convenient Store ) เน้นทานอาหารที่มีเยื่อใย ( Fiber ) เพราะเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้แบคทีเรียแข็งแรงทำงานได้ปกติ

วิธีการเพิ่มแบคทีเรียในลำไส้ นอกจากควรทำอาหารทานเอง และหลีกเลี่ยงอาหารปรุงแต่งแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการเพิ่มแบคทีเรียในลำไส้ คือวิธีการโพรไบโอติก ( Probiotic ) ได้แก่ การรับประทานอาหารประเภทหมักดองที่มีแบคทีเรีย เช่น นัตโตะ ( Natto ) กิมจิ ( Kimchi ) โยเกิร์ต เพื่อเมื่ออาหารเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย จำนวนแบคทีเรียก็จะเพิ่มขึ้น

ลำไส้ภูมิคุ้มกันที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายของมนุษย์

ทำไมถึงบอกว่าลำไส้คือภูมิคุ้มกันที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายมนุษย์ เพราะว่า ลิมโฟไซต์ชนิดเซลล์ส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ในลำไส้ มากถึง 70% ตรงบริเวรณเซลล์บีในร่างกาย ซึ่งจะสร้างแอนติบดี้ถึงวันละ 3.5 กรัม ในชั้นลามินาโพรเพรีย ( Lamina Propria ) ของเยื่อบุ โดยส่วนใหญ่จะเป็น IgA จับกับโปรตีน เพื่อหลั่ง Epithelium Cell ออกสู่ภายนอกเซลล์ กระจายไปทั่วเยื่อบุระบบภูมิคุ้มกันในลำไส้ นอกจากจะสร้างระบบ IgA เพื่อปกป้องเยื่อบุแล้ว ยังสร้างระบบ IgG เพื่อให้เข้าสู่กระแสเลือด เพื่อช่วยในการปกป้องทั้งร่างกาย ถือได้ว่า เป็นระบบภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพสูง  เพราะสามารถปกป้องร่างกายได้ถึง 2 ชั้น ระบบภูมิคุ้มกันในลำไส้ ยังมีอวัยวะที่เกี่ยวข้องในการสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นโครงการของระบบน้ำเหลือง หรือเรียกว่า แผงเพเยอร์ (Peyer’s Patch) ซึ่งเมื่อส่องกล้องจุลทรรศน์ จะสังเกตเห็น ท่อทางเดินอาหาร ซึ่งแผงจะเป็นรูปโดม แทรกอยู่ระหว่าง วิลลัส (Villus) ของลำไส้เล็ก ซึ่งแผงเพเยอร์จะพบมากที่ส่วนไอเลียม Ileum ของลำไส้เล็ก ถือว่าเป็นอวัยวะภูมิคุ้มกันที่มีลักษณะเฉพาะของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมีต่อมน้ำเหลืองมารวมตัวกัน   

ถ้าจะศึกษาลงไปให้ลึก เซลล์บุผิวของระบบทางเดินอาหาร จะพบลิมโฟไซต์ และถัดลงไป ก็จะเป็นชั้นลามินาโพรเพรีย ซึ่งเป็นตัวช่วยเก็บสะสมเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันไว้จำนวนมากในส่วนของเซลล์บี จะทำการผลิตแอนติบอดี ซึ่งเป็นพลังของระบบภูมิคุ้มกันแบบ ฮิวมอรัล ส่วนเซลล์ทีในลำไส้จะทำการแสดงพลังที่เข้มแข็งของระบบภูมิคุ้มกันแบบเซลล์ออกมาก ส่วนเซลล์ทีที่สร้างในไขกระดูก และเคลื่อนย้ายไปสู่แผงเพเยอร์ นอกจากจะคอยกำจัดสิ่งแปลกปลอมแล้ว ยังมีข้อบ่งชี้ว่า มีพลังที่เข้มแข็งในการจัดการเซลล์มะเร็งที่มีการก่อตัวขึ้นอีกด้วย

เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นวันละ 5,000 เซลล์ ซึ่งเซลล์เหล่านี้ เดิมก็เป็นเซลล์ปกติในร่างกาย แต่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ไม่มีพลังมากพอที่จะแยกแยะ และจัดการเซลล์มะเร็งได้ แต่เมื่อเซลล์ได้รับการบ่มที่แผงเพเยอร์ ก็จะทำให้เซลล์มีการตื่นตัวถูกกระตุ้นขึ้นมา ทำให้มีพลังเข้มเข็ง สามารถจัดการเซลล์มะเร็งได้ ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย คือ แบคทีเรียในลำไส้นั่นเอง

ปัจจัยสำคัญที่สร้างภูมิคุ้มกันในลำไส้ให้มีประสิทธิภาพ

1.ทานอาหารที่ผ่านการหมักดอก เช่น นัตโต โยเกิร์ต กิมจิ

2.ทานอาหารที่มีเยื่อใย เช่น โอลิโกแซ็กคาไรด์ น้ำตาล

3.ทานอาหารจำพวกธัญพืช เช่น ถั่ว ผลไม้ พืชผักต่างๆ

4.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารปรุงแต่ง เช่น สารกันบูด

และนอกเหนือจากพลังภูมิคุ้มกันจากลำไส้แล้ว อีกส่วนหนึ่งคือ พลังภูมิคุ้มกันจากจิตใจ และปัจจัยที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันจากจิตใจ

พลังภูมิคุ้มกันจากจิตใจ

1.รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เพราะรอยยิ้มและเสียงหัวเราะมันบ่งบอกถึงสุขภาพจิตที่ดี

2.การได้อยู่กับธรรมชาติ สีเขียวของต้นไม้ อากาศที่บริสุทธิ์ บรรยากาศที่เงียบสงบจะทำให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย ลดความเครียดได้ 

3.ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ ให้เหมาะสมกับวัย และสุขภาพ เพราะการออกกำลังกายร่างกายจะหลั่งสารแห่งความสุขออกมา จึงทำให้คนที่ออกกำลังกายมีใบหน้าผิวพรรณที่สดใส

4.การคิดบวก คิดสร้างสรรค์ คิดในแง่มุมที่ดี ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาเข้ามา ก็จะสามารถมองเห็นช่องทางบวก ช่องทางที่จะผ่านปัญหานั้นไปได้ ไม่จมปลักกับปัญหา ทำให้คนที่คิดบวก คิดสร้างสรรค์ในสิ่งดี เป็นคนที่มีสุขภาพจิตดี ไม่หวั่นไหวกับอะไรง่าย

5.ใช้ชีวิตให้มีความสุข อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่พร่ำเพ้อถึงแต่เรื่องอดีตที่เจ็บปวด ไม่เพ้อฝันถึงอนาคตที่เกินความจริง ก็จะทำให้สภาพจิตใจดี มีความสุขในทุกๆวัน

6.หลีกเลี่ยงความเครียด โดยการ ปล่อยวาง เพราะความเครียดจะนำพาให้จิตใจอ่อนแอ เมื่อจิตใจอ่อนแอ ร่างกายก็จะอ่อนแอไปด้วย หาความสุขให้กับตัวเองบ้าง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับจิตใจ

ถึงแม้ว่าพลังภูมิคุ้มกันทางจิตใจ มีแค่ 30% แต่ก็ถือว่าส่งผลต่อร่างกายได้เช่นกัน เพราะสภาพจิตใจที่ดีย่อมส่งผลต่อระบบการทำงานต่างๆของร่างกายให้เป็นปกติ ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญพอกันกับการสร้างภูมิคุ้มกันในลำไส้ ใช้ชีวิตให้มีความสุข อยู่กับธรรมชาติ ออกกำลังกาย คิดบวก และมีความสุขกับการใช้ชีวิตในทุกๆวัน สิ่งเหล่านี้จะส่งผลทำให้มีระบบภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง ซึ่งไม่ต้องแสวงหาจากทื่อื่นให้เสียเงินทอง เพราะระบบภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดอยู่ที่ตัวเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

สุนันท์ วิทิตสิริ. รู้จักกับ น้ำมันและไขมันปรุงอาหาร. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2559. 80 หน้า. 1.รู้จักกับน้ำมันและไขมัน. 2.ปรุงอาหาร. I.ชื่อเรื่อง. 665 ISBN 978-616-538-290-8.

Javitt NB (December 1994). “Bile acid synthesis from cholesterol: regulatory and auxiliary pathways”. FASEB J. 8 (15): 1308–11.