โรคต้อลม ( Pinguecula )

0
ต้อลม ( Pinguecula )
ต้อลม ( pinguecula ) เป็น โรคทางดวงตาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเนื้อเยื่อปกติกลายเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงที่เยื่อบุตาขาว ซึ่งเกิดเยื่อบุสีเหลืองที่หนาขึ้นเล็กน้อยในส่วนสีขาวของตา
โรคต้อลม ( Pinguecula )
ต้อลม ( pinguecula ) เป็น โรคทางดวงตาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเนื้อเยื่อปกติกลายเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงที่เยื่อบุตาขาว

ต้อลม

ต้อลม ( pinguecula ) เป็น โรคทางดวงตาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเนื้อเยื่อปกติกลายเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงที่เยื่อบุตาขาว ซึ่งเกิดเยื่อบุสีเหลืองที่หนาขึ้นเล็กน้อยในส่วนสีขาวของตา ( ตาขาว ) ใกล้กับขอบของกระจกตา โดยปกติแล้วต้อลมจะส่งผลกระทบต่อพื้นผิวของตาขาวที่อยู่ด้านในแต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับตาขาวด้านนอก ทำให้มีการระคายเคืองของดวงตา พบมากในคนวัยกลางคนหรือผู้สูงอายุที่ใช้เวลาอยู่กลางแดด แต่พวกเขายังสามารถเกิดขึ้นได้กับคนหนุ่มสาวและเด็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่นอกบ้านโดยไม่สวมแว่นกันแดดหรือหมวกเพื่อปกป้องดวงตาจากรังสียูวีจากดวงอาทิตย์

สาเหตุของต้อลม

รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ การได้รับฝุ่น และลมบ่อยๆก็เป็นอีกหนึ่งเป็นสาเหตุหลักของการพัฒนาของต้อลม โรคตาแห้งก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของต้อลม

อาการของต้อลม

ในคนส่วนใหญ่ที่เป็นต้อลมไม่ก่อให้เกิดอาการมากมาย ต้อลมลักษณะเป็นเนื้อเยื่อบริเวณเยื่อบุตาขาวแบบนูนขึ้นบนลูกตาโดยทั่วพื้นผิวรอบดวงตาทำให้เกิดความแห้งกร้าน สิ่งนี้อาจทำให้เกิดอาการตาแห้ง เช่นความรู้สึกแสบร้อน คันตา แสบตา และตาพร่ามัว

ต้อลม ( pinguecula ) เป็น โรคทางดวงตาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเนื้อเยื่อปกติกลายเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงที่เยื่อบุตาขาว ซึ่งเกิดเยื่อบุสีเหลืองที่หนาขึ้นเล็กน้อยในส่วนสีขาวของตา

การรักษาต้อลม

การรักษาต้อลมขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการเช่น การผ่าตัดลอกต้อเนื้อเพื่อลอกเอาเนื้อเยื่อออกจากเยื่อตาและผิวกระจกตา หรือแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยใช้น้ำตาเทียม ขี้ผึ้ง หรือยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ เพื่อช่วยลดการอักเสบและอาการตาแดงจากโรค หากกรณีที่อาการไม่รุนแรงแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยสวมแว่นตากันแดดเพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการลุกลามมากยิ่งขึ้น 

การป้องกันการเกิดต้อลม

สิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดต้อลม ได้แก่

  • ต้องสวมแว่นกันแดดกลางแจ้งแม้ในวันที่มีเมฆมากและมีเมฆมากเนื่องจากรังสี UV ของดวงอาทิตย์ทะลุผ่านเมฆปกคลุม
  • เมื่อรู้สึกว่าเกิดอาการตาแห้ง อาจหยอดน้ำตาเทียม เพราะมีสารช่วยหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื่นแก่ดวงตา
  • ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตาจากลม ฝุ่นละออง เศษผง สิ่งแปลกปลอมขนาดเล็กที่อาจถูกพัดพามากับลม

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

What is a pinguecula ? (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.allaboutvision.com [ 7 พฤษภาคม 2562 ].

โรคต้อกระจก ( Cataract )

0
โรคต้อกระจก ( Cataract ) คือ เลนส์ธรรมชาติของดวงตาที่กลายเป็นเมฆมีลักษณะขุ่นมัวรบกวนการมองเห็นของผู้ป่วย พบมากในผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไปทั้งเพศชายและเพศหญิง
โรคต้อกระจก ( Cataract ) คือ เลนส์ธรรมชาติของดวงตาที่กลายเป็นเมฆมีลักษณะขุ่นมัวรบกวนการมองเห็นของผู้ป่วย พบมากในผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไปทั้งเพศชายและเพศหญิง
โรคต้อกระจก ( Cataract )
โรคต้อกระจก ( Cataract ) คือ เลนส์ธรรมชาติของดวงตาที่กลายเป็นเมฆมีลักษณะขุ่นมัวรบกวนการมองเห็นของผู้ป่วย พบมากในผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไปทั้งเพศชายและเพศหญิง

โรคต้อกระจกคือ ?

โรคต้อกระจก ( Cataract ) คือ เลนส์ธรรมชาติของดวงตาที่กลายเป็นเมฆมีลักษณะขุ่นมัว โรคต้อกระจก ส่วนใหญ่จะพัฒนาช้าและไม่รบกวนสายตาของผู้ป่วยตั้งแต่เนิ่นๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปต้อกระจกจะไปรบกวนการมองเห็นของผู้ป่วย พบมากในผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไปทั้งเพศชายและเพศหญิง

ประเภทของต้อกระจก

  • ต้อกระจกที่มีผลต่อศูนย์กลางของเลนส์ ( ต้อกระจกนิวเคลียร์ ) ต้อกระจกนิวเคลียร์ในตอนแรกอาจทำให้สายตาสั้นมากขึ้นหรือแม้กระทั่งการปรับปรุงชั่วคราวในวิสัยทัศน์การอ่านของคุณ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเลนส์จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหนาแน่นขึ้น
  • ต้อกระจกที่ส่งผลกระทบต่อขอบของเลนส์ ( ต้อกระจกเยื่อหุ้มสมอง ) ต้อกระจกเยื่อหุ้มสมองเริ่มเป็นสีขาวรูปลิ่มหรือมีริ้วรอยที่ขอบด้านนอกของเลนส์นอก ในขณะที่มันเดินไปเรื่อย ๆ เส้นริ้วจะขยายไปที่กึ่งกลางและรบกวนกับแสงที่ลอดผ่านจุดศูนย์กลางของเลนส์
  • ต้อกระจกที่มีผลต่อด้านหลังของเลนส์ ( ต้อกระจก subcapsular หลัง) หลังเริ่มต้นเป็นพื้นที่ทึบขนาดเล็กที่มักจะเกิดขึ้นใกล้ด้านหลังของเลนส์ขวาในเส้นทางของแสง ต้อกระจก subcapsular หลังมักจะรบกวนการมองเห็นการอ่านของคุณลดการมองเห็นของคุณในแสงจ้าและทำให้เกิดแสงจ้าหรือรัศมีรอบแสงในเวลากลางคืน ต้อกระจกประเภทนี้มีแนวโน้มที่จะก้าวหน้าเร็วกว่าชนิดอื่น
  • ต้อกระจกตั้งแต่กำเนิด ( ต้อกระจก แต่กำเนิด ) บางคนเกิดมาพร้อมกับต้อกระจกหรือพัฒนาการในช่วงวัยเด็ก ต้อกระจกเหล่านี้อาจเป็นพันธุกรรมหรือเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อในมดลูกหรือการบาดเจ็บ

สาเหตุของการเกิดต้อกระจก

ต้อกระจกส่วนใหญ่เกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นหรือได้รับบาดเจ็บบริเวณเนื้อเยื่อเลนส์ตา และความผิดปกติทางพันธุกรรมที่สืบทอดมาซึ่งทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกได้ ประวัติเคยได้รับการผ่าตัดตา ผู้ป่วยโรคเบาหวาน การใช้ยาสเตียรอยด์ในระยะยาวอาจทำให้เกิดต้อกระจกได้เช่นกัน

โรคต้อกระจก ( Cataract ) คือ เลนส์ธรรมชาติของดวงตาที่กลายเป็นเมฆมีลักษณะขุ่นมัวรบกวนการมองเห็นของผู้ป่วย

อาการของโรคต้อกระจก

  • การมองเห็นมัวคล้ายหมอก
  • ยากต่อการมองเห็นตอนกลางคืน
  • ความไวต่อแสงและแสงจ้า
  • ต้องการแสงสว่างมากกว่าปกติในการทำกิจกรรมต่างๆ
  • เห็น ” รัศมี ” รอบ ๆ แสงไฟ
  • การเปลี่ยนเลนส์แว่นตา หรือคอนแทคเลนส์บ่อยๆ
  • สีซีดจางหรือเหลือง
  • การมองเห็นภาพซ้อน

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดต้อกระจก

ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของต้อกระจก ได้แก่

  • อายุที่เพิ่มขึ้น
  • โรคเบาหวาน
  • สัมผัสกับแสงแดดมากเกินไป
  • สูบบุหรี่
  • โรคอ้วน
  • ความดันโลหิตสูง
  • อาการบาดเจ็บที่ตาหรือการอักเสบก่อนหน้า
  • การผ่าตัดตาก่อนหน้า
  • การใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
  • ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไป

การป้องกันการเกิดต้อกระจก

  • ตรวจวัดสายตาเป็นประจำ
  • เลิกสูบบุหรี่
  • จัดการปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
  • เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
  • ใส่แว่นกันแดด
  • ลดการใช้แอลกอฮอล์
  • พักผ่อนให้เพียงพอ 

วิธีการรักษาต้อกระจก

การผ่าตัดต้อกระจกเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัยและพบได้บ่อยที่สุด แม้ว่าความเสี่ยงจะเกี่ยวข้องกับการผ่าตัด แต่คนส่วนใหญ่รายงานผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตามคุณจะต้องได้รับการตรวจติดตามการตรวจตาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอาการแทรกซ้อน

เมื่อต้อกระจกยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องการทำให้ขุ่นมัวกลายเป็นความหนาแน่นและเกี่ยวข้องกับส่วนที่ใหญ่กว่าของเลนส์ ต้อกระจกกระจายและบล็อกแสงเมื่อผ่านเลนส์ป้องกันภาพที่กำหนดไว้อย่างแหลมคมไม่ให้ไปถึงเรตินาของคุณ เป็นผลให้วิสัยทัศน์ของการมองเห็นเบลอ ต้อกระจกโดยทั่วไปมีการพัฒนาทั้งสองตาไม่เท่ากัน ต้อกระจกในตาข้างหนึ่งอาจจะก้าวหน้ากว่าอีกข้างหนึ่งทำให้เกิดการมองเห็นที่แตกต่างกันระหว่างดวงตา

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

โรคต้อกระจก (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.mayoclinic.org [ 3 พฤษภาคม 2562 ].
โรคต้อกระจก (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.allaboutvision.com [ 3 พฤษภาคม 2562 ].
“Stem cells used to repair children’s eyes after cataracts”. NHS. March 10, 2016. Archived from the original on 11 March 2016. Retrieved 8 May 2019.

 

โรคตาบอดสี อาการ สาเหตุ และทดสอบตาบอดสี

0
โรคตาบอดสี ( Color Blindness ) เกิดขึ้นได้อย่างไร
โรคตาบอดสี คือ โรคที่เกิดปัญหาในการแยกแยะสีของวัตถุบางอย่างไม่ได้ เพราะความผิดปกติของเม็ดสีและเซลล์รับแสงสีเขียวหรือแดง
ตาบอดสี เกิดจากสาเหตุอะไร รวมวิธีทดสอบตาบอดสี
โรคตาบอดสี คือ โรคที่เกิดปัญหาในการแยกแยะสีของวัตถุบางอย่างไม่ได้ เพราะความผิดปกติของเม็ดสีและเซลล์รับแสงสีเขียวหรือแดง ซึ่งถูกควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซม X

โรคตาบอดสี

โรคตาบอดสี ( Color Blindness ) คือ โรคที่เกิดปัญหาในการแยกแยะสีของวัตถุบางอย่างไม่ได้มักพบในเพศชายมากกว่าถึง 8% และพบในเพศหญิง 0.4% ของประชากรทั้งหมด การที่พบโรคนี้ในผู้ชายมากทั้งนี้ เพราะความผิดปกติของเม็ดสีและเซลล์รับแสงสีเขียวหรือแดง ซึ่งถูกควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซม X ลักษณะการมองเห็นในคนตาบอดสีนั้นจะต้องอาศัยเซลล์หลังจอตา 2 ชนิดเป็นส่วนสำคัญในการแยกสีที่เรามองเห็น คือ เซลล์รูปแท่ง ( Rod Cell ) ที่มีความไวต่อการรับแสงแบบสลัว โดยใช้สำหรับการมองเห็นในเวลากลางคืน แต่สีที่มองเห็นจะเป็นสีในโทนดำ ขาว และเทาเท่านั้น ซึ่งสีที่คนมักเป็นตาบอดสี คือ สีเขียว เหลือง ส้มและสีแดง ส่วนภาวะตาบอดสีทุกสี ( Achromatopsia ) จะพบได้น้อยมาก อาจก่อส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ในบางอาชีพที่ต้องอาศัยการแยกและจดจำสีในการทำงาน เช่น พนักงานโรงงาน พนักงานขับรถ นักบิน ตำรวจจราจรเป็นต้น

อาการของตาบอดสี

  • แยกสีแดง และสีเขียวค่อนข้างลำบาก
  • สามารถมองเห็นสีได้หลากหลายสี แต่บางสีอาจมองเห็นต่างไปจากคนอื่น
  • จดจำและแยกสีต่างๆ ได้ไม่ชัดเจน
  • สับสนในการบอกสีที่เห็นได้
  • มองเห็นเฉพาะบางโทนสีเท่านั้น
  • บางรายสามารถมองเห็นได้เฉพาะสีดำ ขาว และเทาเท่านั้น
  • กลุ่มที่มีความผิดปกติที่เกิดขึ้นมาภายหลัง มักเกิดจากการถูกทำลายของจอประสาทตาเส้นประสาทตาหรือส่วนรับรู้ในสมองจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น การอักเสบ ภาวะขาดเลือด เนื้องอก การเสื่อมลงของจอประสาทตา ผลข้างเคียงจากยา หรือสารเคมี

สาเหตุของโรคตาบอดสี

ความผิดปกติแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มที่มีความผิดปกติของดวงตามาตั้งแต่กำเนิด ( Congenital Color Vision Defects )

ภาวะตาบอดสีแต่กำเนิด แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ 3 กลุ่ม คือ

ภาวะตาบอดสีกลุ่มที่เห็นสีเดียว ( Monochromatism )

เป็นผู้ที่มีแต่เซลล์รูปแท่ง ไม่มีเซลล์รูปกรวยเลย หรือบางรายมีเซลล์รูปกรวยสีน้ำเงินชนิดเดียว กลุ่มนี้จะเห็นเพียงภาพขาวดำ สายตามักมัวมากจนมองไม่เห็นสี ตาสู้แสงไม่ได้ ลูกตากลิ้งกลอกไปมาตลอดเวลา ( Nystagmus ) ผู้ป่วยกลุ่มนี้แพทย์ให้การรักษาโดยมุ่งที่การช่วยเหลือให้มองเห็นดีขึ้น การเห็นสีเป็นไปไม่ได้ แพทย์จึงมักไม่คำนึงถึงเรื่องการเห็นสีเลย

ภาวะตาบอดสีกลุ่มที่มีเซลล์รูปกรวย 2 ชนิด ( Dichromatism )

เมื่อขาดเซลล์รูปกรวยสีแดง เรียกว่า ตาบอดสีแดง ( Protanopia ) เมื่อขาดเซลล์รูปกรวยสีเขียว เรียกว่า ตาบอดสีเขียว ( Deuterano pia ) และเมื่อขาดเซลล์รูปกรวยสีน้ำเงิน เรียกว่า ตาบอดสีน้ำเงิน (Tritanopia) ซึ่งตาบอดสีน้ำเงินนี้พบได้น้อยมากๆ

ภาวะตาบอดสีกลุ่มที่มีเซลล์รูปกรวยทั้ง 3 ชนิด ( Trichromatism )

แต่มีอย่างใดอย่างหนึ่งพร่อง / น้อยกว่าปกติ ( Anomalous trichromatism ) ซึ่งเป็นกลุ่มตาบอดสีที่พบได้บ่อยที่สุด ได้แก่ เมื่อมีเซลล์รูปกรวยสีแดงน้อยกว่าปกติ เรียกว่า พร่องสีแดง ( Protanomalous ) เมื่อมีเซลล์รูปกรวยสีเขียวน้อยกว่าปกติ เรียกว่า พร่องสีเขียว ( Deuteranomalous ) และพร่องสีน้ำเงินเมื่อมีเซลล์รูปกรวยสีน้ำเงินน้อยกว่าปกติ ( Trianomalous ) ทั้งนี้ตาบอดสีแต่กำเนิดส่วนใหญ่จะพบพร่องสีแดง และพร่องสีเขียว ส่วนพร่องสีน้ำเงินพบน้อยมาก ๆ

2. กลุ่มที่มีความผิดปกติที่เกิดขึ้นมาภายหลัง ( Acquired Color Vision Defects )

มักพบกลุ่มแรก คือกลุ่มที่เป็นตั้งแต่กำเนิดบ่อยกว่ากลุ่มที่เป็นภายหลังเป็นภาวะที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยเป็นลักษณะด้อยซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยโครโมโซม X ที่เรียกว่า X – link recessive สาเหตุที่ทำให้เกิด เช่น

  • อายุที่เพิ่มมากขึ้น อาจส่งผลให้เกิดการเสื่อมของเซลล์ได้ตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น
  • ผลข้างเคียงของการใช้ยาบางชนิด
  • การได้รับสารเคมีบางชนิดเป็นระยะเวลานาน
  • โรคเกี่ยวกับด้านดวงตาหรือการบาดเจ็บบริเวณจอตา เช่น โรคต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม ต้อกระจก หรือการได้รับบาดเจ็บบริเวณดวงตา

โรคตาบอดสี ( Color Blindness ) คือ โรคที่เกิดปัญหาในการแยกแยะสีของวัตถุบางอย่างไม่ได้   

การทดสอบตาบอดสี

ทดสอบตาบอดสีประกอบด้วยชุดแผ่นจุดประสีแต่ละชุดจะแสดงเป็นตัวเลข เพื่อทดสอบการมองเห็นสีที่ใช้กับอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

ตาบอดสี เกิดจากสาเหตุอะไร รวมวิธีทดสอบตาบอดสี
แบบทดสอบตาบอดสีประกอบด้วยชุดแผ่นจุดประสีแต่ละชุดจะแสดงเป็นตัวเลข เพื่อทดสอบการมองเห็นสี

ผลประเมินแบบทดสอบตาบอดสีของการมองเห็นสี

  1. ตาปกติ และตาบอดสี จะอ่านได้หมายเลขเดียวกันคือ 12

2. ตาปกติจะอ่านได้หมายเลข 29 ตาบอดสีแดง-เขียวจะอ่านได้หมายเลข 70
แต่ถ้ามีอาการตาบอดสีจะไม่สามารถอ่านได้

3. ตาปกติจะอ่านได้หมายเลข 3 ตาบอดสีแดง-เขียวจะอ่านได้หมายเลข 5
แต่ถ้ามีอาการตาบอดสีจะไม่สามารถอ่านได้

4. ตาปกติจะอ่านได้หมายเลข 74 ตาบอดสีแดง-เขียวจะอ่านได้หมายเลข 21
แต่ถ้ามีอาการตาบอดสีจะไม่สามารถอ่านเป็นตัวเลขได้

5. ตาปกติจะอ่านได้หมายเลข 45 ตาบอดสีจะไม่สามารถอ่านได้

6. ตาปกติจะอ่านได้หมายเลข 7 ตาบอดสีจะไม่สามารถอ่านเป็นตัวเลขได้

7. ตาปกติจะอ่านได้หมายเลข 73 ตาบอดสีจะไม่สามารถอ่านเป็นตัวเลขได้

8. ตาปกติจะไม่สามารถอ่านเป็นตัวเลขได้ ตาบอดสีแดง-เขียวจะอ่านได้หมายเลข 45
แต่ถ้ามีอาการตาบอดสีจะไม่สามารถอ่านเป็นตัวเลขได้

9. ตาปกติจะอ่านได้หมายเลข 42

10. ตาปกติจะไม่สามารถลากเส้นจาก X ไป X ได้
ถ้ามีอาการตาบอดสีแดง-เขียว จะสามารถลากเส้นจาก X ไป X ได้
ถ้ามีอาการตาบอดสีจะไม่สามารถลากเส้นจาก X ไป X ได้

10. ตาปกติจะสามารถลากเส้นตามสีส้มจาก X ไป X ได้
แต่ถ้ามีอาการตาบอดสีจะไม่สามารถลากเส้นจาก X ไป X ได้ หรือลากได้ก็คนละเส้นทาง

11. ตาปกติจะสามารถลากเส้นตามสีม่วง ต่อกับสีส้ม จาก X ไป X ได้
ถ้ามีอาการตาบอดสีแดง-เขียวจะลากเส้นตามสีม่วง ต่อกับสีฟ้า-เขียว จาก X ไป X ได้
ถ้ามีอาการตาบอดสีจะไม่สามารถลากเส้นจาก X ไป X ได้ หรือลากได้ก็คนละเส้นทาง

เซลล์รับแสงคืออะไร

เซลล์รับแสงที่อยู่ในจอตาแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. เซลล์รูปแท่ง ( rod cell ) ประกอบด้วยสารที่ดูดกลืนแสงในช่วงความยาวคลื่นต่างๆ โดยเซลล์รูปแท่งจะมีสารสีม่วง ซึ่งมีความไวต่อแสงมากกว่าเซลล์รูปกรวยจะทำงานได้อย่างดีแม้แสงน้อยในช่วงกลางคืนสามารถมองเห็นเป็นสีขาวดำ
2. เซลล์รูปกรวย ( cone cell ) เป็นหนึ่งในตัวรับแสงในเรตินาของดวงตาที่รับผิดชอบการมองเห็นในเวลากลางวันและการมองเห็นสีประกอบด้วยเซลล์ที่กระจุกตัวอยู่หนาแน่นในรอยบุ๋มจอตาสร้างพื้นที่การมองเห็นที่ใหญ่ที่สุด เซลล์รูปกรวย 3 ชนิด มีการรับสีแตกต่างกัน คือ ชนิดที่หนึ่งมีความไวสูงสุดต่อการรับแสงสีน้ำเงินจะไวเฉพาะแสงที่มีความเข็มสูง ชนิดที่สองมีความไวสูงสุดต่อแสงสีเขียว และชนิดที่สามมีความไวสูงสุดต่อแสงสีแดง

ตาบอดสีรักษาให้หายได้หรือไม่

ทางการแพทย์ยังไม่มีวิธีการรักษาตาบอดสีให้หายได้ แต่มีวิธีในการแก้ไขเบื้องต้น โดยให้คนตาบอดสีใส่คอนแทคเลนส์หรือแว่นตาที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อช่วยในการมองเห็นของคนตาบอดสีให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

การป้องกันตาบอดสี

การป้องกันโรคตาบอดสียังไม่สามารถป้องกันโรคนี้ได้อย่างถาวร แต่สามารถลดโอกาสการเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ยังเด็ก

  • การตรวจคัดกรองตาบอดสีและทดสอบสายตาในเด็กอายุประมาณ 3-5 ขวบ
  • หากครอบครัวมีประวัติเป็นตาบอดสี ควรมีการตรวจเช็คสายตาอย่างสม่ำเสมอ
  • สังเกตความผิดปกติของสายตาตนเอง
    หากพบความผิดปกติในการมองเห็นสีที่ผิดแปลกไปจากเดิม ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดและรักษาอย่างถูกวิธี

การแก้ปัญหาตาบอดสี

สิ่งที่ช่วยแก้ปัญหาตาบอดสีได้คือ แว่นสายตาสำหรับตาบอดสี คนที่มีตาบอดสีแดง-เขียวอาจสามารถใช้แว่นพิเศษ (หรือคอนแท็คเลนส์) เพื่อช่วยให้ได้รับรู้สีได้ถูกต้องยิ่งขึ้นภายใต้สภาวะแสงต่างๆ โดยแว่นตานี้ทำงานโดยกรองความยาวคลื่นแสงเพื่อให้สามารถแยกแยะสีแดงและเขียวได้ มันไม่สามารถทำให้คนเปลี่ยนไปมองเห็นสีปกติได้ แต่อาจช่วยให้มองเห็นสีบางสีได้สดใสขึ้น แต่ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนที่มีตาบอดสีแดง-เขียวได้ หรือปรึกษาจักษุแพทย์ให้ช่วยตรวจสอบว่าสามารถใช้แว่นชนิดนี้ได้หรือไม่

หากคุณมีอาการตาบอดสีควรได้รับการทดสอบที่สามารถบอกได้ว่าการมองเห็นสีของคุณมีมากน้อยเพียงใด

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ตาบอดสี (ออนไลน์).สืบค้นจาก :http://www.perfecthealthcare.co.th [30 เมษายน 2562].
ตาบอดสี (ออนไลน์).สืบค้นจาก :http:www.pobpad.com [30 เมษายน 2562].
ตาบอดสี (ออนไลน์).สืบค้นจาก :http://haamor.com/th [7 พฤษภาคม 2562].

ตาบอดข้างใดข้างหนึ่ง ( Blindness / Vision Impairment )

0
ตาบอดข้างใดข้างหนึ่ง ( Blindness / Vision Impairment )
ตาบอด ( Blindness / Vision Impairment ) คือ ภาวะที่ดวงตาไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ หรือรับรู้ความแตกต่างระหว่างแสงสว่างและความมืดได้
ตาบอดข้างใดข้างหนึ่ง ( Blindness / Vision Impairment )
ตาบอด ( Blindness / Vision Impairment ) คือ ภาวะที่ดวงตาไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ หรือรับรู้ความแตกต่างระหว่างแสงสว่างและความมืดได้

ตาบอดข้างใดข้างหนึ่ง

ตาบอด ( Blindness / Vision Impairment ) คือ ภาวะที่ดวงตาไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ หรือรับรู้ความแตกต่างระหว่างแสงสว่างและความมืดได้ ถือเป็นความพิการทางตาหรือการบกพร่องทางการมองเห็นในระดับที่ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวัน ได้รับการศึกษา และประกอบอาชีพได้เช่นคนปกติทั่วไป อาการตาบอดอาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการรับประทานยา การผ่าตัด การสวมแว่นตาหรือการใส่คอนแทคเลนส์ แต่อาจมีวิธีการรับมือและป้องกันได้ ดังนั้น หากผู้ป่วยเริ่มสูญเสียการมองเห็น ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการรักษาหลังจากที่ได้รับการรักษาและแก้ไขทางการแพทย์ หรือมีลานสายตา กว้างไม่เกิน 30 องศา

ตาบอดข้างใดข้างหนึ่งมีกี่ประเภท

1. ตาบอดไม่สนิท หรือบอดเพียงบางส่วน สายตาเลือนราง หมายถึง มีความบกพร่องทางสายตา สามารถมองเห็นบ้าง แต่ไม่เท่าคนปกติ เมื่อทดสอบสายตาประเภทนี้ จะมีสายตาข้างดี สามารถมองเห็นได้ในระยะ 20/60 หรือน้อยกว่านั้น และมีลานสายตา โดยเฉลี่ย อย่างสูงสุด จะกว้างสูงสุดไม่เกิน 30 องศา
2. ตาบอดสนิท หมายถึง คนที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรืออาจมองเห็นได้บ้างไม่มากนัก ไม่สามารถใช้สายตา หรือไม่มีการใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ ในการเรียน การสอน หรือทำกิจกรรมได้ ต้องใช้ประสาทสัมผัส อื่นแทนในการเรียนรู้ และหากมีการทดสอบสายตาประเภทนี้ อาจพบว่าสายตาข้างดีสามารถมองเห็นได้ในระยะ 20/20 ( อัตราวัดระดับการมองเห็น คนปกติเห็นวัตถุชัดเจนระยะ 200 ฟุต คนตาบอดจะสามารถสองเห็นวัตถุชิ้นเดียวกันในระยะ 20 ฟุต ) หรือน้อยกว่านั้น และมีลานสายตา โดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดจะแคบกว่า 5 องศาแต่ในกรณีที่ความสามารถในการมองเห็นเสียหายจนรักษาไม่ได้ ผู้ป่วยอาจต้องเรียนรู้การใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือต่าง ๆ เช่น อักษรเบรลล์ หรือโปรแกรมเสียงสำหรับคนตาบอดโดยเฉพาะ เป็นต้น

อาการตาบอด

องค์การอนามัยโลกได้ให้คำนิยามของตาบอดไว้ว่า เป็นสายตาที่ดีที่สุดเมื่อแก้ไขด้วยแว่นธรรมดา ( แว่น สายตาสั้นแว่นสายตายาว แว่นสายตาเอียง ) แล้วเห็นน้อยกว่า 3/60 ลงไปจนถึงบอดสนิท ไม่เห็นแม้แต่แสงสว่าง หรือมีลานสายตาโดยเฉลี่ยแคบกว่า 10 องศาลงไป โดยอาจเกิดขึ้นกับดวงตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง
อาการตาบอดสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ตาบอดสนิท ( Complete Blindness ) ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้เลย หรือเห็นเป็นภาพมืดทั้งหมด และตาบอดบางส่วน ( Partial Blindess ) ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีความสามารถในการมองเห็นที่จำกัด อาจมองเห็นเพียงเงาลาง ๆ และไม่สามารถมองเห็นรูปร่างของสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน   
นอกจากนั้นผู้ที่ตาบอดบางส่วนอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่
1. ตามัว รู้สึกระคายเคืองคล้ายมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตา
2. มองเห็นชัดเจนเฉพาะตรงกลาง ( Tunnel Vision )
3. มองเห็นไม่ชัดเจนในเวลากลางคืน
4. ตาดำอาจเป็นสีขาว หากผู้ป่วยมีโรคต้อกระจก ( Cataract )
5. กระจกตาอาจเป็นสีขาวหรือเทา กรณีที่กระจกตาติดเชื้อ

สาเหตุของตาบอด

การสูญเสียการมองเห็นคือสัญญาณเริ่มต้นของอาการตาบอด โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดตาบอดแตกต่างกันในผู้ใหญ่และเด็กดังนี้

โรคที่เป็นสาเหตุตาบอดในเด็ก ได้แก่

  • จอตาผิดปกติในทารกคลอดก่อนกำหนด ( Retinopathy of Prematurity ) โดยภาวะนี้มักพบในเด็กคลอดก่อนกำหนดที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์ ที่ต้องได้รับการช่วยชีวิตด้วยการให้ออกซิเจน เนื่องจากหลอดเลือดที่จอตาจะพัฒนาเต็มที่เมื่ออายุครรภ์ 36-40 สัปดาห์ ดังนั้น เด็กที่คลอดก่อนช่วงเวลานี้จะมีการพัฒนาหลอดเลือดที่จอตาไม่สมบูรณ์และไวต่อออกซิเจนที่ได้รับ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและมีหลอดเลือดใหม่เกิดขึ้น ภาวะนี้หากอาการไม่รุนแรงสามารถรักษาได้ด้วยการทำเลเซอร์และต้องได้รับการตรวจติดตามการเจริญของหลอดเลือดและจอตาเป็นระยะ แต่หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีจะทำให้ตาบอดได้
  • ต้อกระจกชนิดที่เป็นตั้งแต่กำเนิด ซึ่งอาจเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือเป็นในแม่ที่เป็นหัดเยอรมัน ( Rubella )
  • ภาวะขาดวิตามินเอ ซึ่งจะทำให้ตาแห้งหากเป็นนานเข้าจะทำให้เกิดกระจกตาแห้งและเกิดแผลที่กระจกตารวมถึงทำให้ติดเชื้อในดวงตาตามมาทำให้ตาทะลุและเกิดตาบอดตามมา จึงควรส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่หรือนมผสมที่เสริมวิตามินเอ นอกจากนี้ยังพบภาวะขาดวิตามินเอได้ในเด็กที่เป็นโรคหัด จึงควรได้รับการเสริมวิตามินเอในเด็กที่เป็นโรคหัดด้วย
  • ภาวะตาขี้เกียจ ( Amblyopia ) ซึ่งอาจเกิดจากการมีตาเขหรือตาเหล่ ( Strabismus ) หรือความผิดปกติของสายตานำมาก่อน ทำให้เด็กมีสายตาไม่เท่ากัน และตาข้างที่ไม่ดีจึงไม่ถูกใช้งาน หากไม่ได้รับการรักษาตาข้างที่ไม่ใช้งานอาจจะมัวลงและตาบอดได้ 
  • เยื่อตาและกระจกตาอักเสบจากเชื้อหนองใน ( Gonococcal Conjuctivitis ) โดยเป็นการติดเชื้อจากช่องคลอดมารดาที่เป็นหนองในขณะทำการคลอด ทำให้เด็กทารกมีขี้ตาแฉะเป็นหนอง เปลือกตาติดกัน และเชื้อจะลุกลามเข้าสู่ตาดำทำให้ตาบอดได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันในประเทศไทยมีการป้องกันโดยการป้ายยาฆ่าเชื้อที่ตาให้แก่ทารกคลอดใหม่ทุกคนเพื่อป้องกันการติดเชื้อดังกล่าว
  • โรคทางพันธุกรรมที่เป็นแต่กำเนิดอื่นๆ เช่น โรคต้อหินแต่กำเนิด โรคจอประสาทตาเสื่อม ( Retinal Dystrophy ) ประสาทฝ่อ ( Optic Atrophy ) ดวงตาเล็กแต่กำเนิดเป็นต้น
  • เนื้องอก เช่น โรคมะเร็งจอประสาทตา ( Retinoblastoma ) และ Optic Glioma เป็นต้น

โรคที่เป็นสาเหตุตาบอดในผู้ใหญ่ ได้แก่

  • สายตาผิดปกติที่ไม่ได้รับการแก้ไข ( Uncorrected Refractive Error ) เช่น สายตาสั้น สายตายาว โดยทั่วไปสายตาผิดปกติสามารถแก้ไขได้โดยการใช้แว่นสายตา คอนแทคเลนส์ และการผ่าตัดด้วยเลเซอร์ อย่างไรก็ตามในประเทศไทยยังคงพบปัญหาไม่มีแว่นตาใช้ในพื้นที่ห่างไกล ทำให้สายตาอยู่ในระดับตาบอดได้ นอกจากนี้ผู้ที่มีสายตาสั้นมากๆ อาจทำให้เกิดโรคตาอื่นๆ ตามมา ที่สำคัญคือ จอประสาทตาเสื่อม ( Macular Degeneration ) จอตาฉีดขาดและหลุดลอก ( Retinal Detachment ) ซึ่งทำให้ตาบอดได้
  • จอประสาทตาเสื่อมจากเบาหวาน ( diabetic retinopathy ) ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือเป็นเบาหวานมานานจะทำให้มีหลอดเลือดผิดปกติทั่วร่างกาย รวมถึงหลอดเลือดที่จอประสาทตา ซึ่งจะทำให้มีน้ำเหลืองซึมออกมาทั่วจอประสาทตา และหลอดเลือดที่จอประสาทตาจะเสื่อมมากขึ้นจนเกิดพังผืดและมีหลอดเลือดเกิดใหม่ที่ผิวจอประสาทตาซึ่งจะทำลายจอประสาทตามากขึ้น รวมถึงหลอดเลือดที่เกิดใหม่อาจจะฉีกขาดทำให้มีเลือดออกขังในน้ำวุ้นตา หากเป็นในระยะแรกเริ่มสามารถรักษาได้ด้วยแสงเลเซอร์แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาจะทำให้ตาบอดได้ ดังนั้น ผู้ที่เป็นเบาหวานควรจะคุมน้ำตาลให้ได้และควรตรวจดวงตาเป็นระยะ
  • แผลบริเวณกระจกตา ( Corneal Ulcer ) กระจกตาเป็นส่วนสำคัญในการมองเห็น จึงต้องใส หากมีการอักเสบหรือเป็นแผล จะทำให้แสงผ่านไม่ได้และเกิดตามัวตามมา สาเหตุที่ทำให้เกิดแผลบริเวณกระจกตา ได้แก่ โรคริดสีดวงตา ภาวะตาแห้ง ภาวะขาดวิตามินเอ ภาวะแทรกซ้อนจากคอนแทคเลนส์ อุบัติเหตุทางกีฬา การขยี้ตาแรง ๆ ฝุ่นเข้าตาหรือเกิดจากเศษใบไม้หรือหญ้าบาดตา ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยบริเวณกระจกตา ( Corneal Abrasion ) และหากไม่ได้รับการักษาอาจทำให้เกิดแผลบริเวณกระจกตาตามมาและทำให้มีเชื้อโรคผ่านกระจกตาเข้าสู่ดวงตาอันเป็นสาเหตุของตาบอดได้
  • ต้อกระจก ( Cataract ) เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของแก้วตาตามอายุทำให้ตาดำมีลักษณะขุ่นขาว มักพบในผู้สูงอายุ โดยทั่วไปโรคต้อกระจกสามารถรักษาได้โดยการผ่าตัด แต่ก็พบว่าประชากรส่วนใหญ่ของหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยยังเข้าไม่ถึงบริการนี้ จึงทำให้ต้อกระจกเป็นสาเหตุที่สำคัญของตาบอด
  • โรคต้อหิน ( Glaucoma ) เป็นโรคที่เกิดจากความดันในลูกตาสูงจนไปกดและทำลายประสาทตาทำให้ตามัวลงจนถึงขั้นตาบอดได้ ผู้ที่เป็นต้อหินอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการเฉียบพลัน เช่น ปวดตา ตาแดงหรือตามัวทันที หรืออาจมีอาการเรื้อรังคือมีอาการตามัวลงอย่างช้า ๆ โดยไม่มีอาการตาแดงนำมาก่อน ซึ่งโรคนี้ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์ ดังนั้นผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีจึงควรได้รับการตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้งเพื่อตรวจหาต้อหินแต่เนิ่น ๆ หากได้รับการรักษาทันทีและต่อเนื่องจะช่วยป้องกันตาบอดได้   
  • อุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บบริเวณดวงตา เช่น การเล่นกีฬา ถูกของมีคมทิ่มตำ การกระแทกที่ดวงตา อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกในช่องหน้าตา ( Hyphema ) จะทำให้มีอาการเจ็บปวด ไวต่อแสง และสูญเสียการมองเห็น หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องสามารถทำให้ตาบอดได้
  • การติดเชื้อ โดยอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ( Bacterial Keratitis ) เช่น เกิดตามหลังอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บบริเวณดวงตา หรือเป็นภาวะแทรกซ้อนจากการใช้คอนแทคเลนส์ นอกจากนั้น ยังอาจเกิดจากเชื้อไวรัส เช่น ตาอักเสบจากโรคเริม ( Herpes Keratitis ) จอตาอักเสบจากไวรัสซีเอ็มวี ( Cytomegaloviral Retinitis ) ซึ่งมักพบในผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี เป็นต้น
  • ภาวะหลอดเลือดดำที่จอตาอุดตัน (Retinal Vein Occlusion)
  • ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดตา
  • ความผิดปกติโดยกำเนิด เช่น โรคตาทางพันธุกรรม หรือโรคหัดเยอรมัน ( Rubella )
  • โรคเกี่ยวกับดวงตาอื่น ๆ เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อม ( Retinitis Pigmentosa ) โรคเส้นประสาทตาอักเสบ ( Optic Neuritis )

การรักษาอาการตาบอด

1. การรักษาอาการตาบอดหรือความบกพร่องในการมองเห็นขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ หากแพทย์ตรวจพบสาเหตุของอาการตาบอดที่สามารถรักษาได้ อาจต้องเข้ารับการรักษาตามสาเหตุโดยวิธีต่อไปนี้

  • ในผู้ป่วยที่มีปัญหาสายตาสั้น หรือสายตายาว อาจแก้ไขสายตาด้วยการสวมแว่นตา หรือการใส่คอนแทคเลนส์
  • หากตาบอดเกิดขึ้นจากภาวะพร่องโภชนาการและการขาดวิตามินเอ ควรรับประทานวิตามินเออย่างเหมาะสม
  • ผู้ที่เกิดจากการอักเสบหรือติดเชื้อ อาจใช้ยาหยอดตา หรือรับประทานยาลดการอักเสบและรักษาการติดเชื้อ
  • หากเกิดจากต้อกระจก ควรเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจก
  • หากเกิดจากแผลที่กระจกตาอาจรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา

2. ในกรณีที่สาเหตุของอาการตาบอดไม่สามารถรักษาได้แพทย์อาจแนะนำวิธีการที่เหมาะสมในการใช้สายตาให้กับผู้ป่วยที่มีภาวะตาบอดบางส่วน ( Partial Blindess ) หรือสามารถมองเห็นได้อย่างจำกัด ดังนี้

  • การใช้แว่นขยายขณะอ่านหนังสือ หรือเพิ่มขนาดตัวอักษรในคอมพิวเตอร์ให้ใหญ่ขึ้น
  • การใช้หนังสือหรือนาฬิกาเสียง

3. ส่วนในผู้ป่วยที่มีภาวะตาบอดสนิท ( Complete Blindness ) ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อความสะดวกในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น

  • การเรียนอักษรเบรลล์
  • การใช้สุนัขนำทาง
  • การพับธนบัตรด้วยรูปแบบต่าง ๆ เพื่อแยกแยะมูลค่าบนธนบัตร
  • การจัดแต่งบ้าน เพื่อความสะดวกในการหยิบจับสิ่งของ
  • การติดตั้งราวจับในห้องน้ำ เพื่อความปลอดภัย
  • การวางแผนทางการเงิน หรือขอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล
  • การสมัครงานสำหรับผู้พิการ โดยอาจสอบถามได้จากกรมการจัดหางาน
  • การตรวจสอบสิทธิ์ และติดตามข่าวสารความช่วยเหลือและผลประโยชน์ต่าง ๆ สำหรับผู้พิการ

4. สำหรับคนตาบอดที่ไม่มีวิธีรักษาให้ดีขึ้นแล้วแพทย์ลงความเห็นว่าตาบอด ซึ่งผู้นั้นจะต้องไปลงทะเบียนเป็นคนพิการทางสายตา ( ทั้งตาบอดและตาเห็นเลือนราง ) เมื่อได้ขึ้นทะเบียนแล้ว มีสิทธิเข้าถึงการรับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพต่าง ๆ ที่ทางรัฐบาลได้กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2550 เพื่อเป็นสวัสดิการให้คนพิการสามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมได้เท่าเทียมกับคนปกติทั่วไป โดยมีสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ ได้แก่

  • การบริการทางการแพทย์ ผู้พิการมีสิทธิรับการตรวจ การรักษาด้วยยา ด้วยการผ่าตัด การสังคมสงเคราะห์ การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการเห็น การสร้างความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและการเคลื่อนไหว ยังสามารถได้รับเครื่องช่วยสายตา ( Visual Aids ) ได้แก่ แว่นขยาย กล้อง Telescope กล้องขยายตามสมควรแต่ละบุคคล เป็นต้น
  • บริการทางการศึกษารวมถึงการอ่านเขียนอักษรเบรลล์ ( Braille ) และหลักสูตรพิเศษสำหรับคนตาบอด
    การบริการทางอาชีพ ได้รับการแนะนำการฝึกอาชีพที่เหมาะสม เช่น พนักงานรับโทรศัพท์ นักดนตรี พนักงานพิมพ์ดีด และจัดหาสถานที่ทำงานให้ เป็นต้น
  • เบี้ยความพิการ คนพิการทุกคนที่มีสมุด/บัตรประจำตัวคนพิการมีสิทธิลงทะเบียนขอรับ “ เบี้ยความพิการ ” คนละ 500 บาท/เดือนได้   

การป้องกันอาการตาบอด

อาการตาบอดอาจไม่มีสัญญาณเตือนหรือแสดงอาการใด ๆ และคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าสายตาที่บกพร่องนั้นเกิดจากความเสื่อมของดวงตาจากอายุที่มากขึ้น แต่จริง ๆ แล้วเกิดได้จากหลายสาเหตุ และอาการตาบอดมักเกิดจากสาเหตุที่สามารถป้องกันได้ 80-90% หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเมื่อมีความผิดปกติที่ดวงตา และสามารถเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาล นอกจากนี้ การเข้ารับการตรวจตาเป็นประจำอาจช่วยให้แพทย์ตรวจพบความผิดปกติหรือสัญญาณการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ผู้ป่วยจึงได้รับการรักษาที่ทันเวลา และมีวิธีการป้องกันไม่ให้อาการทรุดลงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ จึงควรรีบพบแพทย์ทันทีเมื่อสงสัยหรือมีภาวะสูญเสียการมองเห็น เพราะอาจมีโอกาสในการฟื้นฟูการมองเห็นได้สูงขึ้น

กรณีของทารก ทารกอายุ 6-8 สัปดาห์มักมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าทางสายตาได้ แต่หากบุตรหลานไม่สามารถตอบสนองต่อแสงสว่างหรือวัตถุที่มีสีสันในช่วงอายุ 2-3 เดือน ไม่สามารถมองตามวัตถุ หรือมีอาการและความผิดปกติอื่น ๆ เช่น ตาเข ควรรีบนำตัวเข้าพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยทันที แต่หากระหว่างนั้นทารกไม่มีความผิดปกติใด ๆ ผู้ปกครองสามารถพาบุตรหลานเข้ารับการตรวจตากับแพทย์ได้เมื่ออายุครบ 6 เดือน

บทความเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง

เอกสารอ้างอิง

ตาบอด (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.pobpad.com [24 เมษายน 2562].

ตาบอด (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.doctor.or.th [27 เมษายน 2562].

โรคกลาก ( Ringworm )

0
โรคกลาก ( Ringworm )
โรคกลาก ( Ringworm )
โรคกลาก ( Ringworm )
โรคกลาก ( Ringworm ) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อรา มักจะพบตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย สามารถพบได้ทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะวัยเด็ก

โรคกลาก คือ

โรคกลาก ( Ringworm ) เป็น โรคที่เกิดจากเชื้อรา มักจะพบตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหนังศีรษะ ใบหน้า ขาหนีบ มือ เล็บ โรคกลาก สามารถพบได้ทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะวัยเด็ก

สาเหตุของโรคกลาก

โรคกลาก เกิดจากเชื้อราในกลุ่มเดอร์มาโทไฟท์ ( Dermatophytes ) ที่บริเวณผิวหนัง โดยอาศัยอยู่บนผิวหนังระดับเนื้อเยื่อชนิดโปรตีนที่เรียกว่า เคราติน ของเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว เช่น รังแคบนหนังศีรษะ แต่ไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายหรือเยื่อบุผิวหนังอย่างเช่นจมูกหรือปากได้ เนื่องจากเชื้อรามีลักษณะเป็นสปอร์ที่มีขนาดเล็ก คล้ายสปอร์ของเห็ดที่เกิดจากเชื้อรา สามารถอาศัยอยู่ตามผิวหนังของมนุษย์ สิ่งของ หรือพื้นดินได้อย่างยาวนานหลายเดือน อีกทั้งยังเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น จนกระทั่งเกิดการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ถือเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการสัมผัส

การติดเชื้อโรคกลาก

แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

1. โรคกลากที่เกิดจากการติดเชื้อโดยตรง คือ การสัมผัสหรือได้รับสปอร์ของเชื้อราจากสัตว์เลี้ยงที่ติดโรค เช่น สุนัข แมว แพะ ม้า วัว และ หมู
2. โรคกลากที่เกิดจากการติดเชื้อทางอ้อม คือ การติดเชื้อจากการสัมผัสวัตถุ ข้าวของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น ที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว หวี ผ้าคลุมศีรษะ ผ้าพันคอ และ หมวก เป็นต้น

อาการของโรคกลาก

อาการของโรคกลาก สามารถจำแนกได้เป็น 9 ประเภท อาการเฉพาะของโรคนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็น แต่อาการที่คล้ายกันเกือบทุกประเภทคือ มักจะคันที่ผิวหนัง ผิวหนังบวม แดง เป็นขุย หรือแตก มีผื่นเป็นรูปวงแหวน ผมหรือขนร่วงในบริเวณที่เป็นโรค 

  1. โรคกลากที่ศีรษะ ( Tinea Capitis ) ตอนแรกอาจมีอาการคันคล้ายรังแค และบริเวณหนังศีรษะจะตกสะเก็ดเป็นจุด รู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัสไปโดน คันหนังศีรษะ ผมร่วงเป็นหย่อม บางรายอาจมีตุ่มหนองเล็ก หรือพุพองจนเป็นแผลขนาดใหญ่ เป็นไข้ และมีภาวะต่อมน้ำเหลืองโต หนังศีรษะ มีอาการคัน แดง ทำให้รู้สึกเจ็บและระคายเคืองที่บริเวณผิวหนังโดยรอบ มีผื่นขึ้นขอบเขตชัดเจน มีขนาดที่แตกต่างกัน พบขุยสีขาวอมเทาทั่วบริเวณหนังศีษะ มักไม่ค่อยพบอาการอักเสบ เมื่อตรวจสอบด้วย UV-light ( Wood’s lamp ) อาจพบการติดเชื้อจากการเรืองแสงสีเขียวอมน้ำเงินของสาร pteridine จากการติดเชื้อรา M. Canis ซึ่งเชื้อก่อโรคที่พบบ่อย คือ T. Tonsurans, T. Violaceum, T. Verrucosum, M. Canis, M. Audouinii และ T. Schoenleinii เป็นต้น
  2. โรคกลากที่ใบหน้า ( Tinea faciei ) โรคกลากที่ใบหน้า สาเหตุหลักส่วนมากมักพบว่าผู้ป่วยด้วยโรคนี้ จะมีพฤติกรรมการเกา แกะ ใบหน้าโดยการใช้มือและเล็บที่ไม่สะอาด เล็บติดเชื้อรา หรือมีพฤติกรรมชอบสัมผัสสัตว์เลี้ยงโดยตรง ให้สัตว์เลียใบหน้า หรือการนําสัตว์เลี้ยงมาสัมผัสใบหน้าโดยตรง เมื่อติดเชื้อแล้ว โรคกลากที่ใบหน้า จะแสดงอาการขึ้นผื่นแดงเป็นวง ๆ มีขอบยกสีแดง บางครั้งพบว่ามีขุยสีขาวบริเวณกลางวงของผื่นเชื้อก่อโรคที่พบบ่อยคือ T. Rubrum, T. Tonsurans และ M. Canis เป็นต้น โรคกลากที่ใบหน้า หากสับสนกับโรคที่ดูคล้ายกันเช่นโรคสะเก็ดเงิน และโรคผิวหนังภูมิแพ้
  3. โรคกลากที่หนวดเครา ( Tinea Barbae หรือ Barber’s Itch ) มักพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงอาการที่พบส่วนมากเกิดบริเวณรูขุมขนที่เกิดเส้นขน หนวด เครา บนใบหน้า เชื้อก่อโรคสามารถแทรกตัวลงไปตามรูขุมขน ( Hair follicle ) ลักษณะที่พบจะมีผื่นเป็นตุ่มแดงหรือมีหนองตามรูขุมขน มีขุยสีขาว ลักษณะวงผื่นไม่ชัดเจน ซึ่งอาจมีสาเหตุจากการสัมผัสสัตว์เลี้ยง เชื้อก่อโรคที่พบบ่อยคือเชื้อ T. Verrucosum ( จากวัว ) และเชื้อ T. Mentagrophytes Var. Equinum ( จากม้า )
  4. โรคกลากบริเวณลําตัว ( Tinea Corporis หรือ Ringworm ) โรคกลากบริเวณลําตัว มักจะรวมถึง บริเวณลำคอ หน้าท้อง หลัง แขน ข้อมือ ขา ข้อเท้า ส่วนมากมักพบในเด็ก หรือ ผู้ใหญ่ที่ทํางานหนักมีเหงื่อออกปริมาณมาก หรือบางรายอาจมีอาการแพ้เหงื่อร่วมด้วย ลักษณะผื่นมักพบกระจาย และมีผื่นหลายจุด ในบริเวณที่เกิดผื่นจะมีสีชมพูจนถึงสีแดง มีขุยผิวหนังสีขาวมีขอบยกให้เห็นชัดเจน ตรงกลางผื่นไม่มีรอยแดง และบางครั้งอาจพบลักษณะตุ่มหนอง เชื้อก่อโรคที่พบบ่อยบริเวณขอบผื่นคือเชื้อ T. Rubrum, T. Tonsurans, T. Verrucosum และ M.Canis
  5. โรคกลากบริเวณมือ ( Tinea manuum ) โรคกลากบริเวณมือ ส่วนมากมักจะพบผื่นบริเวณมือข้างใดข้างหนึ่ง มากกว่าที่จะพบพร้อมกันทั้งสองข้าง อาการผื่นจะไม่ชัดเจน มือแห้ง มีขุยปริมาณมาก ถ้าเป็นรุนแรงบางครั้งอาจพบว่าผิวหนังแฉะ แดง เป็นแผล เชื้อราก่อโรคที่พบบ่อยคือ T.Rubrum, T. Mentagrophytes var. Interdigitale และ E.Floccosum 
  6. โรคกลากบริเวณเท้า ( Tinea Pedis หรือ Athlete’s Foot) หรือที่เรียกกันว่า ฮ่องกงฟุตหรือน้ำกัดเท้า จะมีอาการผิวหนังแห้ง คัน และเป็นผื่นแดงโดยเฉพาะบริเวณง่ามนิ้ว อีกทั้งยังทำให้เกิดตุ่มหนองและตุ่มพองจนส่งผลให้รู้สึกเจ็บได้ พบในกลุ่มนักกีฬา หรือผู้ที่มีเหงื่อออกบริเวณเท้าปริมาณมาก และคนที่ชอบใส่รองเท้าปิดมิดชิดและแน่นกว่าปกติจนไม่มีทางระบายออกของอากาศ อาการของผิวจะแห้งมาก มีรอยแตกตามบริเวณกดทับที่ส้นเท้า บางครั้งพบขุยสีขาว หรือผิวหนังเปื่อยได้ มีกลิ่นค่อนข้างรุนแรง เชื้อราก่อโรคที่พบบ่อยคือ T. Rubrum, T. Interdigitale และ E. Floccosum
  7. โรคกลากที่เล็บมือ เล็บเท้า ( Tinea Unguium หรือ Dermatophytic Onychomycosis ) เชื้อราที่เล็บมักพบอาการของเล็บที่ผิดรูปร่าง ผิวเล็บไม่เรียบ เป็นหลุมหรือคลื่นเล็บ แตกหักง่าย สีเล็บผิดปกติ ส่วนมากถ้าเป็นรุนแรงมักจะมีการทําลายฐานเล็บ เกิดลักษณะบวมนูนใต้เล็บ ( Hyperkeratinization ) และพบขอบเล็บมีการอักเสบบวมแดงได้เชื้อก่อโรคที่พบบ่อยคือ T. Rubrum, T. Interdigitale, E. Floccosum และ M. Canis
  8. โรคกลากที่ขาหนีบ หรือ โรคสังคัง ( Tinea Cruris ) โรคสังคัง มีสีน้ำตาลแดง ผิวหนังจะตกสะเก็ดเป็นแผ่นและอาจจะมีตุ่มหนองและตุ่มพอง ทำให้มีอาการคันและรู้สึกระคายเคือง โรคผิวหนังชนิดนี้ มักพบบริเวณโคนขาหนีบ อาจเกิดข้างใดข้างหนึ่ง หรือเป็นทั้งสองข้าง ซึ่งเกิดจากเชื้อราชนิด Trichophytor Rubrum สังคังสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่จะพบในผู้ชายได้มากกว่า โรคกลากที่ขาหนีบ หรือ โรคสังคัง นับได้ว่าเป็นโรคติดต่อที่สามารถติดต่อได้จากการสัมผัส หรือการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น เสื้อผ้า และผ้าเช็ดตัวร่วมกัน ดังนั้นการหลีกเลี่ยงใช้สิ่งของร่วมกัน
  9. โรคกลากชนิดไม่ระบุตัวตน ( Tinea Incognito ) โรคกลากชนิดนี้จะแสดงอาการก็ต่อเมื่อผู้ป่วยเคยสัมผัสหรือติดเชื้อโรคกลากมาก่อนแล้ว แต่หรือเป็นที่เข้าใจอีกประเภทคือโรคกลากที่เกิดจากการดื้อยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ดังนั้นโรคกกลาก 8 ประเภทที่กล่าวมาข้างต้นนั้น สามารถเป็นโรคกลากชนิดไม่ระบุตัวตนได้มาก่อน มักเกิดจากผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยที่ผิดและการรักษาที่ไม่ถูกต้อง เมื่อแพทย์คิดว่าผู้ป่วยเป็นแค่โรคผิวหนังธรรมดา จึงมีการจ่ายยาสเตียรอยด์ เป็นต้น ดังนั้น ผู้ป่วยต้องแน่ใจว่าตัวเองติดเชื้อกลากมาก่อน ถึงจะรักษาได้อย่างถูกประเภท

โรคกลาก ( Ringworm ) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อรา มักจะพบตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหนังศีรษะ ใบหน้า ขาหนีบ มือ เล็บ สามารถพบได้ทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะวัยเด็ก

วิธีการรักษาโรคกลาก

มาตรฐานการรักษาด้วยยาทั่วไป

แพทย์วินิจฉัยสั่งจ่ายยารักษาตามความรุนแรงของอาการ ยารักษาการติดเชื้อราอันได้แก่ คีโตโคนาโซล โคลไตรมาโซล หรือไมโคนาโซล และยาตัวอื่นที่มีส่วนประกอบของตัวยาดังกล่าวสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปที่มีเภสัชกรกำกับจ่ายยาเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ ผู้มีเชื้อราที่หนังศีรษะให้รับประทานยาต้านเชื้อราไปพร้อมกับการใช้แชมพูหรือครีมขจัดเชื้อรา แชมพูที่มีสังกะสีซัลไฟด์ 2.5% หรือซิลิเนียมไพรินีโอนหรือเซลีเนียมซัลไฟด์ 1% – 2.5% สามารถกำหนดให้บรรเทาอาการคันระคายเคืองและการแพร่กระจายของเชื้อราบนหนังศีรษะได้ การรักษารมาตรฐานทั่วไป จะใช้เวลา 6-8 สัปดาห์ของยาที่กำหนดหรือจนกว่ากลากจะหาย แม้ว่าหนังศีรษะจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ในเวลาที่เหมาะสม แต่ก็อาจใช้เวลา 6-12 เดือนในการรักษาบางจุดบนหนังศีรษะที่ยากต่อการที่ผมจะงอกใหม่ได้

การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ

นอกจากวิธีรักษาโดยใช้ยาแล้ว สามารถใช้วิธีการรักษาแบบธรรมชาติ เพื่อรักษาอาการติดเชื้อราและบรรเทาอาการคันและระคายเคืองต่อเนื่องจากโรคกลากได้ ดังนี้

  1. หยดน้ำมันใบชา น้ำมันใบชาสกัด มีคุณสมบัติเป็นยาต้านจุลชีพที่ยอดเยี่ยมมานานแล้ว น้ำมันใบชาสามารถช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อราจากโรคกลากทุกชนิด และยังสามารถบรรเทาอาการอักเสบและอาการคันได้ในทันทีโดยเจือจางน้ำมันใบชา 3-4 หยด เติมในน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ ชุบสำลีแล้วซับลงบนบริเวณที่ติดเชื้อ เป็นเวลา 30 นาที แล้วล้างออก หากเป็นโรคกลากที่ศีรษะ ให้หยดน้ำมันใบชาลงในแชมพู สระผมสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
  2. ใช้ซิลเวอร์คอลลอยด์ ซิลเวอร์คอลลอยด์ถูกกำหนดว่าเป็นยาปฏิชีวนะและยาต้านเชื้อรา เมื่อใช้สัมผัสจุดที่ติดเชื้อโรคกลากแล้ว จะทำปฏิกิริยาทำลายเซลล์ของเชื้อราลึกลงไปในระดับเซลล์ของเชื้อรา ข้อดีที่สำคัญคือการใช้รักษาในทันที เป็นสารธรรมชาติซึ่งยืนยันว่าปลอดสารพิษ จากการศึกษาในปี ค.ศ. 2015 ที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารโรคผิวหนังและเครื่องสำอาง ได้เน้นถึงประสิทธิภาพของซิลเวอร์คอลลอยด์เฉพาะที่ คือ โคลไตรมาโซล ( Clotrimazole ) นักวิจัยพบว่า มีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคกลากที่ศีรษะและลำตัว
  3. ใช้กระเทียม เช่น กระเทียมสด เพราะกระเทียมมีสรรพคุณในการช่วยฆ่าเชื้อรา กระเทียมมีส่วนประกอบของสารต้านเชื้อรา เช่น Ajoene และ Allici ซึ่งช่วยรักษาและต้านอาการติดเชื้อราจากโรคกลากได้ผลดี ตามภูมิปัญญาชาวบ้าน วิธรการใช้ง่าย ๆ เพียงน้ำกระเทียมสด ปลอกเปลือก ล้างให้สะอาด มาทุบให้แตก แล้วใช้ทา พอก ตามจุดที่ติดเชื้อ ทิ้งไว้ 30 นาทีแล้วล้างออก ทำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ช่วยรักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน และบรรเทาอาการคันได้ หรือ หากผิวหนังแสบจากการถูกสารจากกระเทียม สามารถเบาเทาด้วยการหยดน้ำมันมะพร้าวลงไปเป็นส่วนผสมได้ 
  4. ใช้ขมิ้น ขมิ้นเป็นสมุนไพรพืชหัว มีคุณสมบัติต้านเชื้อรา หากไม่มีขมิ้นสด สามารถใช้ขมิ้นผงได้ วิธีการรักษาคล้ายการใช้กระเทียม โดยเริ่มจากล้างขมิ้นให้สะอาด ปอกเปลือก นำมาทุบให้แตก ใช้ทา พอก บริเวณที่เป็นโรคกลากได้เลยทันที หรือ หยดน้ำมันมะพร้าว หรือ น้ำมันมะกอก แล้วพอกทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมงแล้วล้างออก ทำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง นอกจากใช้ขมิ้นเป็นยาภายนอกแล้ว ยังใช้วิธีการนำผงขมิ้น 1 ช้อนชา ชงน้ำร้อนผสมนม ดื่มวันละ 2 ครั้ง ได้อีกด้วย
  5. ใช้น้ำมันหอมระเหยจากออริกาโน่ ออริกาโน่ เป็นสมุนไพรที่ใช้ประกอบอาหาร และยังนำมาสกัดน้ำมันใช้รักษาโรคกลากได้ โดยการหยดน้ำมันหอยระเหยจากออริกาโน่ลงผสมกับน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันมะกอก แล้วใช้ทา พอก บริเวณที่เป็นโรคกลาก ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำวันละ 2 – 3 ครั้ง
  6. ใช้ว่านหางจระเข้ เป็นที่ทราบกันดีว่า ว่านหางจระเข้ เป็นสมุนไพรธรรมชาติ ที่ช่วยเบาเทาอาการต่าง ๆ ได้หลากหลาย ว่านหางจระเข้ ยังใช้ลดอาการคันและรักษาโรคกลากได้อีกด้วย โดยให้ตัดเอาเนื้อว่านหางจระเข้ออกมาเป็นล้างให้สะอาด ปอกเปลือกและนำคราบสีเหลืองที่จะทำให้เกิดอาการคันออก บดให้ละเอียดใช้พอกทันที หรือ จะผสมน้ำมะนาว แล้วนำไปทา พอก บริเวณที่ติดเชื้อโรคกลาก ทิ้งไว้ ประมาณ 30 นาที อาการปวด คัน ก็จะทุเลาลง สามารถทำได้ทุกวัน วันละ 2-3 ครั้ง
  7. ใช้น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ น้ำหมักจากธรรมชาติจนได้น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ เป็นกรดของน้ำส้มสายชู มีสรรพคุณ ต้านอนุมูลอิสระมากมาย สามารถเร่งกระบวนการบำบัด และบรรเทาอาการคัน จากผิวหนังอักเสบ โรคกลาก ได้ โดยการสเปรย์ฉีดบริเวณที่ติดโรคกลาก ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วสเปรย์ซ้ำ ใช้ได้วันละ 1-2 ครั้ง หรือ น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชาผสมน้ำอุ่นดื่มวันละ 2 ครั้ง

วิธีป้องกันโรคกลาก

  1. ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  2. ทำความสะอาดร่างกายทุกวัน
  3. เมื่อสระผมแล้วเช็ดตัวกับศีรษะให้แห้งทุกครั้ง
  4. หมั่นล้างมือเป็นประจำเพื่อลดการแพร่กระจายหรือไปสัมผัสเชื้อ
  5. หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าและบริเวณที่อับชื้น
  6. ระมัดระวังการใช้ห้องน้ำสาธารณะ
  7. ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อราในสัตว์เลี้ยง

โรคกลากเป็นเรื่องใกล้ตัวที่อาจจะดูเหมือนไม่เป็นโรคร้ายแรงเท่าไร แต่เมื่อเป็นขึ้นมาแล้วก็ยากต่อการรักษาให้หายได้ในเวลาอันสั้น ดังนั้นเราจึงควรป้องกันไว้ดีกว่าแก้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

1.”Symptoms of Ringworm Infections”. CDC. December 6, 2015. Archived from the original on 20 January 2016. Retrieved 5 September 2016.
2.Vena GA, Chieco P, Posa F, Garofalo A, Bosco A, Cassano N. Epidemiology of dermatophytoses: retrospective analysis from 2005 to 2010 and comparison with previous data from 1975. New Microbiol. 2012; 35(2):207-13.2.
3.Havlickova B, Czaika VA, Friedrich M. Epidemiological trends in skin mycoses worldwide. Mycoses. 2008; 51(4):2-15.3.
4.Kelly BP. Superficial fungal infections. Pediatr Rev. 2012; 33(4):e22-37.4.Rivera ZS, Losada L, Nierman WC. Back to the future for dermatophyte genomics. MBio. 2012; 3(6): e00381-12.5.
5.Dawson AL, Dellavalle RP, Elston DM. Infectious skin diseases: a review and needs assessment. Dermatol Clin. 2012; 30(1):141-51.6.Hainer BL. Dermatophyte infections. Am Fam Physician. 2003; 67(1):101-8.

ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A ( Influenza A หรือ H1N1 )

0
ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A ( Influenza A หรือ H1N1 )
โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H1N1) สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย หากผู้ป่วยไอหรือจามแล้วคนปกติเข้าไปใกล้ก็มีโอกาสรับเชื้อได้และเกิดการติดต่อ
ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A ( Influenza A หรือ H1N1 )
โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H1N1) สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย หากผู้ป่วยไอหรือจามแล้วคนปกติเข้าไปใกล้ก็มีโอกาสรับเชื้อได้และเกิดการติดต่อ

ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A เกิดจาก?

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ ( Influenza A หรือ H1N1 ) จะถูกแบ่งออกเป็นสายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B โดยในสายพันธุ์ที่มีชื่อเรียกว่า H1N1 จะถูกจัดอยู่ในสายพันธุ์ A หรือไข้หวัดใหญ่ 2009 เริ่มพบเมื่อปี พ.ศ. 2552 หรือ ค.ศ. 2009 ที่ประเทศเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกา ต่อมาได้แพร่ออกไปยังอีกหลายประเทศทั่วโลก ปัจจุบันได้กลายเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่พบปะปนกับสายพันธุ์ต่างๆ ทั่วไป ซึ่งมักพบมากในช่วงฤดูหนาว

ผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อ

โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย หากผู้ป่วยไอหรือจามแล้วคนปกติเข้าไปใกล้ก็มีโอกาสรับเชื้อได้และเกิดการติดต่อ โดยปกติแล้วสำหรับคนที่มีร่างกายแข็งแรงจะสามารถหายได้เองโดยไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ แต่ให้ระวังในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคหัวใจ โรคไต โรคปอด หรือในผู้ที่ได้รับยากดภูมิ เมื่อได้รับเชื้ออาจทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อน อย่างการติดเชื้อที่คออาจเปลี่ยนไปติดที่ปอดได้ เช่น ในปอดที่ติดเชื้อไวรัสอยู่แล้วอาจติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมเข้าไปอีก ก็อาจทำให้ตกอยู่ในภาวะอันตรายได้

โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ( H1N1 ) สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย หากผู้ป่วยไอหรือจามแล้วคนปกติเข้าไปใกล้ก็มีโอกาสรับเชื้อได้และเกิดการติดต่อ

การแพร่เชื้อ

เชื้อไวรัสที่อยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย แพร่ติดต่อไปยังคนอื่น ๆ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการหลังจากได้รับเชื้อไวรัส 1 – 3 วัน น้อยรายที่นานถึง 7 วัน โดยการไอจามรดกันโดยตรง หรือหายใจเอาฝอยละอองเข้าไป หากอยู่ใกล้ผู้ป่วยในระยะ 1 เมตร บางรายได้รับเชื้อทางอ้อมผ่านทางมือหรือสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น แก้วน้ำ ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ผ้าเช็ดมือ เป็นต้น เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูก ตา ปาก 

อาการที่พบ

  • มีไข้สูง 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป
  • ปวดศีรษะ
  • ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว
  • ไอ จาม
  • คลื่นไส้
  • อาเจียน
  • บางรายอาจท้องเสีย

การป้องกัน

  • ปิดปากเมื่อไอ หรือจามทุกครั้ง
  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ หรือเจลฆ่าเชื้อโรค
  • สวมหน้ากากอนามัย
  • หลีกเลี่ยงการพบปะหรือสัมผัสกับผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่

สำหรับการสังเกตตัวเองว่าหลังเป็นไข้ 3 วันแล้วมีอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ควรรีบพบแพทย์ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ไข้หวัดใหญ่ H1N1 ระบาด ถึงตายถ้าไม่ป้องกัน (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://med.mahidol.ac.th [26 เมษายน 2562].

ไข้หวัดใหญ่ (Seasonal Influenza) (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://beid.ddc.moph.go.th [26 เมษายน 2562].

วัณโรค ( Tuberculosis ) เกิดได้อย่างไรกัน

0
วัณโรค ( Tuberculosis หรือ TB ) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium เกิดได้ในอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดที่ปอดร้อยละ 80
วัณโรค ( Tuberculosis )
วัณโรค ( Tuberculosis หรือ TB ) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium เกิดได้ในอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดที่ปอดร้อยละ 80

วัณโรค ( Tuberculosis ) คือ ?

วัณโรค ( Tuberculosis หรือ TB ) เป็น โรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium จัดอยู่ในกลุ่ม Mycobacterium tuberculosis complex ชื่อ Mycobacterium tuberculosis วัณโรคเกิดได้ในทุกอวัยวะของร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดที่ปอดร้อยละ 80 ซึ่งสามารถแพร่เชื้อได้ง่าย วัณโรคนอกปอดอาจพบได้ในอวัยวะอื่นๆได้แก่ เยื่อหุ้มปอด ต่อมน้ำเหลือง กระดูกสันหลัง ข้อต่อ ช่องท้อง ระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบสืบพันธุ์ ระบบประสาท เป็นต้น

การแบ่งกลุ่มเชื้อมัยโคแบคทีเรียม

เชื้อมัยโคแบคทีเรียม ( Mycobacterium ) แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

1) Mycobacterium tuberculosis complex ( MTBC ) เป็นสาเหตุของวัณโรคในคนและสัตว์มีจำนวน 8 สายพันธุ์ ที่พบบ่อยที่สุด คือ Mycobacterium tuberculosis มักก่อให้เกิดโรคในสัตว์ ซึ่งอาจติดต่อมาถึงคนได้โดยการบริโภคนมที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ และเป็นสายพันธุ์ที่นำมาผลิตเป็นวัคซีนบีซีจี
2) Nontuberculous mycobacteria ( NTM ) มีจำนวนมากกว่า 140 สายพันธุ์ พบในสิ่งแวดล้อม ดิน น้ำหรือพบในสัตว์ เช่น นกส่วนใหญ่ไม่ก่อโรคในคน ยกเว้นในผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
3) Mycobacterium leprae เป็นสาเหตุของโรคเรื้อน เชื้อวัณโรคมีลักษณะเป็นรูปแท่ง หนาประมาณ 0.3 ไมโครเมตรยาวประมาณ 2 – 5 ไมโครเมตร เมื่อย้อมด้วยวิธี Ziehl Neelsen จะติดสีแดง เชื้อวัณโรคไม่มีแคปซูล ไม่สร้างสปอร์ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อาศัยออกซิเจนในการเจริญเติบโต เชื้อวัณโรคที่อยู่ในละอองฝอยเมื่อผู้ป่วยไอ หรือจามออกมาสามารถล่องลอยอยู่ในอากาศได้นานถึง 30 นาที

วัณโรค เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium เกิดได้ในอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดที่ปอดร้อยละ 80

ปัจจัยที่มีผลต่อการแพร่กระจายเชื้อวัณโรค

  • ปัจจัยด้านผู้ป่วยวัณโรค เช่น การป่วยเป็นวัณโรคปอด หลอดลม หรือกล่องเสียง ในระยะที่มีเชื้อ
    ในเสมหะ ผู้ป่วยที่มีแผลโพรงในปอดจะมีเชื้อจำนวนมาก เมื่อมีอาการไอ จาม หรืออาการอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการหายใจแรงๆ
  • ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น สถานที่อับทึบและคับแคบ แสงแดดส่องไม่ถึง การถ่ายเทอากาศไม่ดี
  • ปัจจัยด้านระบบบริการ เช่น การวินิจฉัยและรักษาล่าช้า การให้ยารักษาไม่ถูกต้อง การรักษาไม่ครบ การทำหัตถการที่ทำให้เกิดละอองฝอย เช่น การกระตุ้นให้เกิดการไอ เป็นต้น 

ลักษณะอาการผู้ป่วยวัณโรค

  • ผู้ที่น่าจะเป็นวัณโรค ( presumptive TB ) หมายถึง ผู้ที่มีอาการหรืออาการแสดงเข้าได้กับวัณโรค
    เช่น ไอทุกวันเกิน 2สัปดาห์ ไอเป็นเลือด น้ำหนักลดผิดปกติ มีไข้ เหงื่อออกมากผิดปกติตอนกลางคืน เป็นต้น
  • ผู้ติดเชื้อวัณโรคระยะแฝง ( latent TB infection ) หมายถึงผู้ที่ได้รับเชื้อและติดเชื้อวัณโรคแฝงอยู่
    ในร่างกาย แต่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสามารถต่อสู้กับเชื้อ สามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อโรควัณโรคได้ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ และไม่สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้
  • ผู้ป่วยวัณโรค ( TB disease ) หมายถึงผู้ที่ได้รับเชื้อและติดเชื้อวัณโรคแฝงอยู่ในร่างกายแต่ภูมิคุ้มกัน
    ไม่สามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อวัณโรคได้เกิดพยาธิสภาพที่ทำให้ป่วยเป็นโรควัณโรค อาจมีอาการหรือไม่มีอาการก็ได้

วิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติ

1) การตรวจหาเชื้อ acid-fast bacilli ( AFB ) ด้วยกล้องจุลทรรศน์ ( microscopic examination )
2) การเพาะเลี้ยงเชื้อและพิสูจน์ยืนยันชนิด ( mycobacterial culture and identification )
3) การทดสอบความไวต่อยา ( drug susceptibility testing )
4) การตรวจทางอณูชีววิทยา ( molecular biology )
5) การตรวจหาการตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อวัณโรค ( immune reactivity testing )

การป้องกันโรควัณโรค

  • ดูแลสุขภาพออกกำลังกายให้แข็งแรง
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • ตรวจการทำงานของปอด
  • ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อคัดกรองโรค โดยเฉพาะผู้สัมผัสผู้ป่วยใกล้ชิด บุคลากรทางการแพทย์
  • เลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรค
  • หากมีอาการน่าสงสัยว่าจะเป็นวัณโรค ควรรีบไปพบแพทย์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

แนวทางการควบคุมวัณโรคประเทศไทย พ.ศ. 2561 – National Tuberculosis control
Programme Guidelines, Thailand 2018 .กรุงเทพฯ : สำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค, 2561. 120 หน้า.
1. วัณโรค-การป้องกันและควบคุม

โรคจอประสาทตาเสื่อม ( Age-related Macular Degeneration – AMD )

0
โรคจอประสาทตาเสื่อม ( Age-related Macular Degeneration - AMD )
โรคจอประสาทตาเสื่อม หรือ โรคขั้วประสาทตาเสื่อม คือ ภาวะที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป
โรคจอประสาทตาเสื่อม ( Age-related Macular Degeneration - AMD )
โรคจอประสาทตาเสื่อม หรือ โรคขั้วประสาทตาเสื่อม คือ ภาวะที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป

โรคจอประสาทตาเสื่อม

โรคจอประสาทตาเสื่อม หรือ โรคขั้วประสาทตาเสื่อม ( Age-Related Macular Degeneration – AMD ) คือ ภาวะที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสาเหตุจากจุดรับภาพตรงกลางของจอประสาทตาเสื่อม โรคจอประสาทตาเสื่อมเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและประเภท

ประเภทจอประสาทตาเสื่อม

โรคจอประสาทตาเสื่อม แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

1. จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง ( Dry AMD ) มีจุดสีเหลืองบริเวณจอรับภาพตรงกลางของประสาทตาซึ่งเรียกว่า ดรูเซ่น  ( Drusen ) สะสมอยู่ใต้จอประสาทตา จุดสีเหลืองนี้ทำลายเซลล์รับแสง ซึ่งนำไปสู่การมองเห็นที่บิดเบี้ยว โรคมักแสดงอาการอย่างช้า ๆ และในบางกรณีอาจกลายเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกได้

2. จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก ( Wet AMD ) พบเพียง 10 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด เกิดจากเส้นเลือดฝอยด้านหลังจอประสาทตาผิดปกติ ซึ่งมีของเหลวในหลอดเลือดรั่วไหลไปโดนจุดรับภาพ ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างมากทั้งแบบถาวรและเฉียบพลัน

จอประสาทตาเสื่อมมีอาการอย่างไร

อาการจอประสาทเสื่อมชนิดแห้ง อาการในช่วงแรก ผู้ป่วยอาจมองเห็นภาพเบลอและจุดดำหรือจุดบอดตรงกลางภาพ เมื่อเวลาผ่านไป จุดดำในภาพจะเริ่มขยายใหญ่ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็น ทำให้อ่านหนังสือลำบากหรือมองเห็นรายละเอียดไม่ชัด

อาการจอประสาทเสื่อมชนิดเปียก ทำให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพบิดเบี้ยว พร่ามัว เห็นจุดดำขนาดใหญ่ในภาพซึ่งเป็นผลมาจากการที่เลือดไหลไปอยู่ในจุดรับภาพ

โรคจอประสาทตาเสื่อม หรือ โรคขั้วประสาทตาเสื่อม คือ ภาวะที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป

อาการโดยทั่วไปที่เหมือนกันของโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้ง 2 ประเภท คือ

  1. เห็นสีผิดเพี้ยนหรืออาการคล้ายตาบอดสี 
  2. มองภาพเป็นลักษณะบิดเบี้ยว
  3. ปรับสายตาจากการมองเห็นในที่มืดมาที่สว่างไม่ได้
  4. มีอาการตาแพ้แสง มองในที่สว่างไม่ชัด
  5. เริ่มสูญเสียความสามารถในการมองเห็น ตาพร่ามัว มีจุดดำหรือเงาบังอยู่ตรงกลางภาพ

สาเหตุที่ทำให้จอประสาทตาเสื่อม

โรคจอประสาทตาเสื่อมนี้เป็นไปตามวัย สาเหตุเกิดจากจุดรับภาพซึ่งอยู่ตรงกลางจอประสาทตามีปัญหา โดยจุดรับภาพนี้เป็นจุดที่มีความไวต่อแสง ช่วยในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ให้เห็นได้ชัดเจนที่สุดของจอประสาทตา

จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง เกิดจากเซลล์รับแสงในจุดรับภาพเริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ ตามวัยที่เพิ่มขึ้น อาจมีของเสียสะสมอยู่ในจอประสาทตาซึ่งเรียกว่าดรูเซ่น และเซลล์รับแสงในจุดรับภาพมีจำนวนน้อยลง การมองเห็นบริเวณกลางภาพแย่ลง ทำให้ต้องใช้แสงสว่างมากกว่าปกติเมื่อต้องอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมระยะใกล้

จอประสาทเสื่อมชนิดเปียก เส้นเลือดฝอยเกิดใหม่ใต้จุดรับภาพขยายจำนวนมากขึ้น ถ้าเส้นเลือดฝอยก่อตัวผิดตำแหน่ง ทำให้ส่งผลเสียมากกว่าผลดีเพราะของเหลวในเส้นเลือดจะไหลซึมเข้าตา และทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของบริเวณจุดรับภาพลดลง

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม

โรคจอประสาทตาเสื่อมนั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย ได้แก่

  1. ผู้ป่วยมีอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
  2. มีประวัติบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม
  3. ผู้ที่เป็นโรคหัวใจหลอดเลือด เช่น คอเลสเตอรอลในหลอดเลือดสูง หรือ ความดันโลหิตสูง
  4. ถูกแสงแดดหรือแสงอัลตราไวโอเลตเรื้อรัง
  5. มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน
  6. ชอบสูบบุหรี่และดื่มสุราเป็นประจำ

การวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคจอประสาทตาเสื่อม 

  1. ใช้ยาหยอดขยายม่านตาและอุปกรณ์ขยายส่องจอตา เพื่อดูความผิดปกติของจอประสาทตาด้านหลัง
  2. ทดสอบสายตาด้วยตารางชนิดพิเศษ จักษุแพทย์จะให้ผู้ป่วยทดสอบดูตารางชนิดพิเศษ หรือที่เรียกว่า ตารางแอมสเลอร์ ซึ่งตารางนี้มีทั้งเส้นแนวตั้งแนวนอน โดยมีจุดอยู่ตรงกลาง ถ้าผู้ป่วยมองเห็นเส้นบางเส้นไม่ชัด หรือเส้นจางหายไป แพทย์จะสันนิษฐานว่าผู้ป่วยอาจเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม
  3. ตรวจจากภาพจอประสาทตา ซึ่งการถ่ายภาพจอประสาทตาทำได้หลายวิธี อย่างการใช้กล้องฟันดัสซึ่งเป็นกล้องสำหรับใช้ถ่ายภาพจอประสาทตาแบบดิจิตอล
  4. เอกซเรย์ตรวจเส้นเลือดดวงตา แพทย์อาจวินิจฉัยโดยการเอกซเรย์ตรวจเส้นเลือดซึ่งทำให้เห็นภาพหลอดเลือดและการไหลเวียนของเลือดอย่างชัดเจน โดยฉีดสีซึ่งเรียกว่า ฟลูออเรสเซนเข้าไปในเส้นเลือดผ่านทางแขนซึ่งสีที่ว่าจะวิ่งผ่านหลอดเลือดไปยังจอประสาทตา แพทย์ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นชุดภาพซึ่งจะทำให้เห็นว่าสีที่ฉีดไว้รั่วไหลออกจากหลอดเลือดบริเวณใดบ้างเพื่อระบุชนิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมต่อไป

การรักษาจอประสาทตาเสื่อม

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาจอประสาทตาเสื่อมให้หายขาดได้

การรักษาจอประสาทเสื่อมชนิดแห้ง

  1. หลีกเลี่ยงแสงแดดจ้า
  2. สวมแว่นกันแดดเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต
  3. มาตามแพทย์นัดเพื่อประเมินอาการอย่างใกล้ชิด
  4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ โดยเพิ่มอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี สังกะสี และลูทีนเสริมช่วยด้วย
  6. การรักษาด้วยเลเซอร์อาจมีประโยชน์ในผู้ป่วยบางราย

การรักษาจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก

  1. การใช้ยาประเภทยับยั้งการสร้างหลอดเลือดจำพวก ยาลูเซนทิส ยามาคูเจน เบวาซิซูแมบ อะฟลิเบอร์เสบ แรนิบิซูแมบ ยาอาวาสติน ยาอายลี เป็นต้น
  2. การรักษาด้วยโฟโตไดนามิก เป็นการรักษา 2 ขั้นตอนโดยใช้ยาไวต่อแสงไปทำลายหลอดเลือดที่ผิดปกติ โดยแพทย์จะฉีดยาเข้าไปในกระแสเลือดเพื่อให้ซึมบริเวณที่หลอดเลือดมีความผิดปกติของดวงตา แล้วจึงฉายแสงเลเซอร์เย็นเข้าไปในตาเพื่อกระตุ้นยาให้ทำลายหลอดเลือดที่ผิดปกติอีกทีหนึ่ง
  3. การผ่าตัด เป็นการผ่าตัดเอาเส้นเลือดเกิดใหม่ออกมา  

ภาวะแทรกซ้อนของจอประสาทตาเสื่อม

ภาวะแทรกซ้อนของโรคจอประสาทตาเสื่อม คือ ผู้ป่วยไม่สามารถทำงานหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองได้ดีเท่าเดิม เนื่องจากการมองเห็นลดลง เช่น การอ่าน และการขับขี่ เป็นต้น โดยประมาณร้อยละ 30 ของผู้ป่วยที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด จะประสบกับความวิตกกังกล หรืออาจมีภาวะโรคซึมเศร้า ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ไม่สามารถขับรถยนต์ได้ หรือหากจำเป็นต้องขับรถ แพทย์จะให้ผู้ป่วยทดสอบการมองเห็นก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยสามารถควบคุมรถได้ ซึ่งเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้

การป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม

โรคจอประสาทตาเสื่อมยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล แต่มีวิธีช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคได้ โดยการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เช่น ออกกำลังกายให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ดีต่อร่างกาย ควบคุมน้ำหนัก และ เลิกบุหรี่ แม้จอประสาทตาเสื่อมจะไม่สามารถป้องกันหรือรักษาได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

http://www.med.cmu.ac.th/
ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ. “กระจกตาอักเสบ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.bangkokhealth.com. [18 ธ.ค. 2016].

น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็น ( Cold Pressed Pepper Oil )

0
น้ำมันพริกไทยสกัดเย็น ( Cold pressed pepper oil )
น้ำมันพริกไทยสกัดเย็น ( Cold pressed pepper oil ) มีสารอัลคาลอยด์ที่เป็นตัวให้พริกไทยมีกลิ่นฉุนและมีรสเผ็ดชื่อว่า พิเพอรีน ( piperine ) มีความเชื่อว่าสารเหล่านี้จะช่วยออกฤทธิ์ละลายไขมันในร่างกาย
น้ำมันพริกไทยสกัดเย็น ( Cold pressed pepper oil )
น้ำมันพริกไทยสกัดเย็น ( Cold pressed pepper oil ) มีสารอัลคาลอยด์ที่มีกลิ่นฉุนและมีรสเผ็ด มีความเชื่อว่าสารเหล่านี้จะช่วยออกฤทธิ์ละลายไขมันในร่างกาย

น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็น

น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็น ( Cold pressed Pepper oil ) ได้จากการสกัดพริกไทยสดและพริกไทยดำในปริมาณที่เหมาะสม น้ำมันพริกไทยสกัดเย็นมีประโยชน์และสรรพคุณทางการแพทย์ 

พริกไทย ลักษณะเป็นไม้เถาเนื้อแข็งอายุหลายปี ข้อโป่งนูนมีรากฝอยตามข้อเถาเพื่อใช้ยึดเกาะเถายาว 2 – 4 เมตร มีข้อปล้องเห็นได้ชัด ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกสลับ ใบออกตามข้อหรือยอดเถา ใบรูปไข่ กว้าง 5 – 8 เซนติเมตร ยาว 8 – 11 เซนติเมตร ก้านใบยาว 2 – 3 เซนติเมตร โคนมนหรือเบี้ยวไม่เท่ากัน ปลายแหลม ขอบใบเรียบ ผิวเรียบมัน เนื้อใบหนา ผลของพริกไทยมีลักษณะกลมเล็ก เกิดเรียงเบียดกันแน่นล้อมแกนกลางของช่อผล ขนาดผลประมาณ 0.3 – 0.6 มิลลิเมตร ผลอ่อนมีขนาดเล็กคล้ายกับดอก ผลมีสีเขียวอ่อน ผลแก่มีสีเขียวเข้ม และเมื่อสุกจะค่อยเปลี่ยนเป็นสีแดง และเมื่อแห้งจะเปลี่ยนเป็นสีดำผิวผลมีสีเขียวเข้ม ผลจะสร้างเปลือกเมล็ดแข็ง เมื่อบีบจะแข็ง และไม่แตก เมื่อเคี้ยวกินจะมีรสเผ็ด และมีกลิ่นหอมฉุน ส่วนเมล็ดแห้งจะส่งกลิ่นหอมฉุนให้ได้กลิ่น

ในระหว่างปี 2557 – 2559 เป็นช่วงที่ราคาพริกไทยดำสูงขึ้นเนื่องจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่เคยปลูกสวนยางและมันสำปะหลังต่างหันมาปลูกพริกไทยดำแทน ส่งผลทำให้มีผลผลิตมากเกินความต้องการมีการปรับราคาลดลงต่ำสุดในรอบหลายปี ภาครัฐเข้ามาแก้ปัญหาโดยให้ความรู้กับเกษตรกรนำผลผลิตพริกไทยดำในท้องถิ่นมาแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า เพราะในพริกไทยมีน้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่ง เรียกว่า น้ำมันพริกไทย ( Pepper Oil ) ซึ่งมีสารอัลคาลอยด์ที่เป็นตัวให้พริกไทยมีกลิ่นฉุนและมีรสเผ็ดชื่อว่า พิเพอรีน ( piperine ) มีความเชื่อว่าสารเหล่านี้จะช่วยออกฤทธิ์ละลายไขมันในร่างกาย จึงมีการนำมาใช้เป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนัก และยังช่วยลดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร แก้อาการท้องอืด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ ขับสารพิษต่าง ๆ ช่วยบำรุงธาตุ นอกจากนี้ในพริกไทยยังมีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย เพื่อยกระดับราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันพริกไทยสกัดให้มีมูลค่าสูงขึ้นจนสามารถขยายตลาดการค้าไปสู่ในและต่างประเทศ 

สรรพคุณ และประโยชน์ของน้ำมันพริกไทยสกัดเย็น

1. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
2. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นมีสรรพคุณช่วยควบคุมโรคความดันโลหิตสูง
3. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นช่วยขับเสมหะ และแก้เจ็บคอ ทำให้หายใจสะดวกขึ้น
4. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นช่วยเยียวยากระเพาะและลำไส้
5. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นช่วยการขับถ่ายให้สะดวก ไม่ท้องผูก
6. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อย
7. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นเป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยให้เลือดลมดี ร่างกายได้ปรับสมดุล
8. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นลดอาการกล้ามเนื้อกระตุก และช่วยลดไข้หวัดได้
9. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยขับเหงื่อ ลดไขมัน
10. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท
11. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นช่วยกำจัดเซลล์ไขมันที่อยู่ในร่างกาย
12. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็น ใช้เป็นยา มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ให้ความเผ็ดร้อน กลิ่นหอม ช่วยดับกลิ่นอาหารคาวของเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดีเยี่ยมรวมถึงสรรพคุณทางยาที่น่าอัศจรรย์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

หน้าหลัก


http://www.bangkokbiznews.com (กรุงเทพธุรกิจ)
www.palangkaset.com ( พลังเกษตร )

ไข้เลือดออก ( Dengue hemorrhagic fever )

0
ไข้เลือดออก ( Dengue hemorrhagic fever )
ไข้เลือดออก ( Dengue hemorrhagic fever ) โดยมียุงลายเป็นพาหะที่สำคัญ ยุงตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อไวรัสเดงกี เชื้อจะเข้าไปฟักตัวเพิ่มจำนวนในยุง และสามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนที่ถูกมันกัดได้
ไข้เลือดออก ( Dengue hemorrhagic fever )
ไข้เลือดออก ( Dengue hemorrhagic fever ) มียุงลายเป็นพาหะที่สำคัญ โดยดูดเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อไวรัสเดงกี เชื้อจะเข้าไปฟักตัวเพิ่มจำนวนในยุง และสามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนที่ถูกมันกัดได้

ไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก ( Dengue hemorrhagic fever ) สามารถติดต่อจากคนสู่คน โดยมียุงลาย ( Aedes aegypt ) เป็นพาหะที่สำคัญ ยุงตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อไวรัสเดงกี เชื้อจะเข้าไปฟักตัวเพิ่มจำนวนในยุงหลังจากนั้นยุงจะมีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวตลอดอายุของมัน ( ประมาณ 1-2 เดือน ) และสามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนที่ถูกมันกัดได้ ยุงลายเป็นยุงที่อาศัยอยู่ภายในบ้านและบริเวณบ้าน มักจะกัดเวลากลางวัน แหล่งเพาะพันธุ์ คือ น้ำใสที่ขังอยู่ตามภาชนะเก็บน้ำต่างๆ เช่น โอ่งน้ำ แจกันดอกไม้ ถ้วยรองขาตู้ จาน ชาม กระป๋อง หม้อ กระถาง ยางรถ เป็นต้น โดยทั่วไปโรคนี้จะพบมากในฤดูฝน เนื่องจากเด็กมักอยู่ในบ้านมากกว่าฤดูอื่นๆ และยุงลายมีการแพร่พันธุ์มากในฤดูฝน แต่ในเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพฯ อาจพบโรคนี้ได้ตลอดปี 

อาการของโรคไข้เลือดออก

ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกิดขึ้นฉับพลันและไข้จะสูงลอยตลอดเวลาอยู่ประมาณ 2-7 วัน กินยาลดไข้ ไข้มักจะไม่ลด หน้าแดง ตาแดง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ กระหายน้ำ เบื่ออาหาร อาเจียน ซึม บางรายอาจปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวาหรือปวดท้องทั่วไป และอาจมีท้องผูกหรือถ่ายเหลวร่วมด้วย ส่วนมากมักไม่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลหรือไอมากแต่บางรายอาจมีอาการเจ็บคอ คอแดงและไอเล็กน้อยประมาณวันที่ 3 อาจมีผื่นแดง ไม่คันขึ้นตามแขนขาและลำตัวอยู่ประมาณ 2-3 วัน บางรายอาจมีจ้ำเขียวหรือจุดเลือดออกเกิดขึ้นซึ่งมีลักษณะเป็นจุดสีแดงเล็กๆ ขึ้นตามหน้า แขนขา ซอกรักแร้ ในช่องปาก และอาจคลำพบตับโตกดเจ็บเกิดขึ้นได้ ในระยะนี้ถ้ามีอาการรุนแรงจะปรากฏอาการ

ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก อาการมักจะเกิดช่วงวันที่ 3 – 7 ของโรคซึ่งถือว่าเป็นช่วงวิกฤต โดยอาการไข้จะลดลงอย่างรวดเร็วแต่ผู้ป่วยมักมีอาการทรุดหนักและมีภาวะช็อกเกิดขึ้น คือ กระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็น มือเท้าเย็น ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว ความดันเลือดต่ำ ซึม นอกจากนี้อาจมีเลือดออกตามผิวหนังหรือมีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น เลือดกำเดาไหล อาเจียน และถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสดๆ หรือเป็นสีกาแฟ ระยะนี้กินเวลาประมาณ 24 – 48 ชม. ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีอาจอันตรายถึงชีวิตได้ แต่ถ้าผู้ป่วยสามารถผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3

ไข้เลือดออก ( Dengue hemorrhagic fever ) มียุงลายเป็นพาหะที่สำคัญ โดยดูดเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อไวรัสเดงกี เชื้อจะเข้าไปฟักตัวเพิ่มจำนวนในยุง และสามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนที่ถูกมันกัดได้

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว ในรายที่ได้รับการรักษาถูกต้องและทันท่วงที ภาวะช็อกไม่รุนแรงอาการต่างๆจะเริ่มดีขึ้น และอาการที่แสดงว่าผู้ป่วยดีขึ้น คือ เริ่มรับประทานอาหารได้ ลุกนั่งได้ และร่างกายจะค่อยๆฟื้นตัวสู่สภาพปกติ ระยะนี้อาจกินเวลาประมาณ 2-3 วัน รวมระยะเวลาของโรคไข้เลือดออกที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนประมาณ 7-10 วัน

การรักษาโรคไข้เลือดออก

การรักษา โรคไข้เลือดออก นั้นยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสที่มีฤทธิ์เฉพาะตัวสำหรับกำจัดเชื้อไวรัสเดงกี การรักษาตามอาการจึงเป็นสิ่งที่สมควรทำมากที่สุด ในขั้นแรกเมื่อมีไข้สูงจะให้ยาพาราเซตามอล ห้ามให้ใช้ยาแอสไพรินเด็ดขาด เพราะจะทำให้เลือดออกรุนแรงขึ้น หากมีอาการคลื่นไส้อาเจียนให้ใช้ยาแก้คลื่นไส้และให้ดื่มน้ำเกลือแร่ หรือน้ำผลไม้ครั้งละน้อยๆ แต่บ่อย รวมถึงสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดภาวะช็อคได้ ซึ่งภาวะช็อคส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในช่วงที่ไข้ลด ผู้ปกครองควรทราบอาการ ได้แก่ อาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง มีอาการกระสับกระส่าย หรือเซื่องซีม มือเท้าเย็นพร้อมๆ กับไข้ลด หน้ามืด เป็นลมง่าย หากเกิดอาการเช่นนี้ให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที

การป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงลายกัด

1. นอนในมุ้งหรือห้องที่มีมุ้งลวด
2. จุดยากันยุงหรือใช้ยาทาหรือยาฉีดกันยุง และควรใช้อย่างระมัดระวัง
3. ไม่ควรอยู่ในบริเวณที่อับลมหรือเป็นมุมมืด มีแสงสว่างน้อย
4. หมั่นอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดเพราะเหงื่อจะดึงดูดให้ยุงกัดมากขึ้น

ไข้เลือดออกมีอาการและความรุนแรงต่างกัน บางคนมีโอกาสเกิดภาวะช็อกเมื่อไข้เริ่มลด พ่อแม่ผู้ปกครองจึงไม่ควรประมาทควรสังเกตอาการเหล่านี้ คือ ไข้ลงหรือไข้ลดลงแต่อาการเลวลง เบื่ออาหาร
อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ตลอดเวลา ปวดท้องมาก มีเลือดออกมาก เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ ถ้ามีอาการดังกล่าวแม้ว่าไข้เริ่มจะลดลงแล้วควรต้องไปพบแพทย์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

อ้างอิง www.thaihealth.or.th ( สสส. )