คีโต อาหารคีโตลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่ หาคำตอบได้ที่บทความนี้

0
ไข้คีโต หรือ Keto flu คืออะไร ดูแลรักษาป้องกันอย่างไร
ไข้คีโต ( Keto Flu ) คือ เกิดจากร่างกายได้รับไขมันในปริมาณที่มากขึ้น ทำให้ร่างกายเปลี่ยนจากการเผาผลาญไขมันไปเป็นการเผาผลาญน้ำตาลแทน ทำให้เกิดอาการป่วย
คีโต อาหารคีโตลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่ หาคำตอบได้ที่บทความนี้
ไข้คีโต ( Keto Flu ) คือ เกิดจากร่างกายได้รับไขมันในปริมาณที่มากขึ้น ทำให้ร่างกายเปลี่ยนจากการเผาผลาญไขมันไปเป็นการเผาผลาญน้ำตาลแทน ทำให้เกิดอาการป่วย

คีโต

อาหาร คีโต keto หรือ ketogenic เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำที่ร่างกายผลิตคีโตนในตับเพื่อใช้เป็นพลังงานทำให้ร่างกายผลิตโมเลกุลเชื้อเพลิงขนาดเล็กที่เรียกว่า คีโตน เป็นแหล่งเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับร่างกายที่สามารถใช้เมื่อน้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อกินคาร์โบไฮเดรตน้อยหรือแคลอรี่น้อยมากตับจะผลิตคีโตนจากไขมัน คีโตนเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นแหล่งเชื้อเพลิงทั่วร่างกาย โดยเฉพาะสมองเป็นอวัยวะที่ต้องการพลังงานมากในแต่ละวัน แต่ไม่สามารถทำงานรวมกับไขมันได้โดยตรงแต่จะสามารถทำงานกับกลูโคสหรือคีโตนได้เท่านั้น สำหรับผู้ที่เริ่มกินอาหารคีโตใหม่ๆ จะทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทันบางคนอาจเป็นไข้ได้ หรือเรียกว่า ไข้คีโต ( Keto Flu ) คือ เกิดจากร่างกายได้รับไขมันในปริมาณที่มากขึ้น และต้องจำกัดการบริโภคคาร์โบไฮเดรตอย่างเคร่งครัด อาจทำให้เกิดอาการป่วยหรือที่เรียกว่า ไข้คีโต เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายโดยเปลี่ยนจากการเผาผลาญไขมันไปเป็นการเผาผลาญน้ำตาลแทน ซึ่งเริ่มจากการทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ เมื่อระดับอินซูลินต่ำร่างกายจะเริ่มเปลี่ยนไขมันเป็นคีโตน

สาเหตุการเกิดไข้คีโต

1. เมื่อร่างกายเริ่มใช้คีโตเป็นแหล่งพลังงานหลัก
2. เมื่อร่างกายสูญเสียเกลือแร่และน้ำรวดเร็วในช่วงแรก
3. อาการลงแดงจากการขาดน้ำตาล

อาการไข้คีโต

โดยทั่วไปอาการไข้คีโตจะเริ่มเป็นประมาณสองสามวันหรือเป็นสัปดาห์ ขึ้นอยู่กันการเผาผลาญของแต่ละบุคคล หากทานอาหารที่มีน้ำตาลหรือแป้งในปริมาณน้อยจะมีอาการเพียงเล็กน้อย อาการที่พบได้บ่อย คือ เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ตาฝ้าฟาง นอนไม่หลับ หงุดหงิด และอยากน้ำตาล

วิธีรับประทานอาหารคีโตคาร์โบไฮเดรตต่ำที่กินต่อวัน

  • อาหารคีโตเจนิก (ketogenic) คาร์โบไฮเดรตน้อยกว่า 20 กรัมต่อวัน
    เช่น ไข่ ปลา เนื้อสัตว์ทุกประเภท ยกเว้นเครื่องในสัตว์ หอย กุ้ง ทูน่า มีคาร์โบไฮเดรตประมาณ 4 – 5 กรัมต่อ 100 กรัม
  • อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำปานกลางระหว่าง 20 – 50 กรัมต่อวัน
    เมนู : ผักใบเขียว ผักตระกูลกะหล่ำ บรอกโคลี มะเขือเทศ คะน้า หัวหอม ถั่วงอก แตงกวา พริกหยวก หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด อะโวคาโด สตรอเบอร์รี่ เกรปฟรุ้ต แอปริคอต มีคาร์โบไฮเดรตประมาณ 11 – 22 กรัมต่อ 100 กรัม
  • อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำระหว่าง 50 – 100 กรัมต่อวัน
    เมนู : ชีส เมล็ดเชีย ข้าวโอ๊ต ถั่วแดง ขนมปังโฮลวีท มีคาร์โบไฮเดรตประมาณ 66 – 100 กรัมต่อ 100 กรัม

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง สำหรับคนกินอาหารคีโต

  • ขนมปังและขนมอบ : ขนมปังขาวขนมปังโฮลวีตแครกเกอร์คุกกี้โดนัทและม้วน
  • ของหวานและอาหารหวาน : ไอศครีม ขนมไทยกะทิน้ำเชื่อม
  • เครื่องดื่มหวาน : โซดา น้ำผลไม้ ชานมไข่มุก และเครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มบำรุงกำลัง
  • พาสต้า : สปาเก็ตตี้ ก๋วยเตี๋ยว
  • ธัญพืชและผลิตภัณฑ์จากธัญพืช : ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ซีเรียลอาหารเช้า
  • ผักที่มีแป้ง : มันฝรั่ง มันเทศ สควอช ข้าวโพด ถั่ว และฟักทอง
  • ถั่วและพืชตระกูลถั่ว : ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วแดง
  • ผลไม้ : ส้ม องุ่น กล้วย และสับปะรด
  • ซอสคาร์โบไฮเดรตสูง : บาร์บีคิว น้ำสลัดหวาน และน้ำจิ้ม
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิด : เบียร์ และเครื่องดื่มผสมน้ำหวาน

วิธีแก้อาการไข้คีโต

หากคุณได้รับคาร์โบไฮเดรตจากการรับประทานอาหารไม่เพียงพอ ควรเสริมด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่

  • โปแตสเซียม กินปลา เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว ฟักทอง ปริมาณ 1,000 – 3,500 มิลลิกรัมต่อวัน ช่วยป้องกันตะคริว ท้องผูก หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • แมกนีเซียม กินผักโขม ไก่ เนื้อวัว ปลา ปริมาณ 300 – 500 มิลลิกรัมต่อวัน ช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ วิงเวียน และอาการอ่อนเพลีย – โซเดียม กินปลาทะเล ผักบุ้ง ผักคะน้า ผักกาดขาว ควรได้รับโซเดียมในปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน ช่วงป้องกันการเป็นตะคริวได้

การป้องกันการเกิดไข้คีโต

โดยทั่วไปอาการไข้คีโตจะหายไปเองภายใน 2-3 วันหากนานก็อาจเป็นสัปดาห์ เนื่องจากร่างกายกำลังปรับตัว ควรดื่มน้ำและเกลือแร่ให้เพียงพอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเบา ๆ สม่ำเสมอ

เมื่อต้องเตรียมตัวกับการกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตน้อย ซึ่งทำให้น้ำหนักของคุณลดลงและมีสุขภาพดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ควรกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่กำหนดต้องน้อยกว่า 20 – 50 กรัมต่อวัน อย่างไรก็ตามหากรู้สึกอาการไม่ดีหลังจากทำตามคำแนะเบื้องต้น สามารถทานไข่ต้มหากรู้สึกหิวในระหว่างมื้ออาหาร เพราะอาหารคีโตที่ดีควรมีไขมันที่เพียงพอต้องแน่ใจว่าจะไม่หิวหลังมื้ออาหารโดยไม่กินอาหารเลย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

พริกหยวก ประโยชน์ต่อสุขภาพและการใช้งานในครัว

0
พริกหยวก ประโยชน์ และเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ
พริกหยวก ( green pepper ) เป็นพืชที่กินผลอายุสั้น มีสารแคปไซซินอยู่ที่รกตามบริเวณที่มีเมล็ดเกาะ มีรสเผ็ดไม่มาก ให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี

พริกหยวก

พริกหยวก ( Green Pepper ) เป็น พืชที่กินผลอายุสั้น มีรสเผ็ดไม่มาก ซึ่งรสเผ็ดได้จากสารแคปไซซิน ( Capsaisin ) อยู่ที่รกตามบริเวณที่มีเมล็ดเกาะ มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอเมริกามีปลูกทั่วไปในประเทศที่มีอากาศร้อนรวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย สามารถขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด พริกหยวกให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี

ลักษณะของพริกหยวก

พริกหยวก เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กสูงประมาณ 1 เมตร ลำต้นกลม สีเขียว ใบมีลักษณะทรงเรียวรี ปลายใบแหลม ใบเรียบมันสีเขียวอมเหลือง ออกดอกเป็นกระจุกตามซอกใบ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย 3 – 5 ดอก ดอกตูมทรงรูปแตรและดอกบานลักษณะดอกสีขาว 5 – 6 กลีบ มีเกสรเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางด้านใน ผลเป็นผลเดี่ยวทรงกรวยยาวปลายผลเรียวขนาดใหญ่ เมื่อผ่าออกจะเห็นแกนของไส้ที่ลอมด้วยเมล็ดพริกหยวกประมาณ 50 – 70 เมล็ด มีรสเผ็ดร้อน ผิวเปลือกหนาลื่นผิวมันวาว ผลดิบมีสีเขียวอ่อนพริกหยวกจะให้ผลผลิตได้ประมาณ 2 เดือน และสามารถเก็บผลผลิตต่อได้อีกประมาณ 3 เดือน 

ประโยชน์ของพริกหยวก

พริกหยวก นิยมนำมาใช้ประกอบอาหารได้หลากหลาย ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์มากมายและมีสรรพคุณทางยาสมุนไพร ได้แก่

  • ช่วยขับลม
  • ช่วยลดน้ำหนัก
  • ช่วยให้อารมณ์ดี
  • ช่วยให้เจริญอาหาร
  • ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
  • ช่วยบรรเทาอาการหวัด
  • ช่วยให้ไหลเวียนเลือดดี
  • ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน
  • ช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำย่อย
  • ช่วยป้องกันเส้นเลือดหัวใจตีบ
  • พริกหยวกมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการอุดตันของเส้นเลือด
  • ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์

คุณค่าทางโภชนาการของพริกหยวก

พริกหยวก 100 กรัม ให้พลังงาน 27 กิโลแคลอรี่

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 1.7 กรัม
ใยอาหาร 3.4 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม
น้ำตาล 1.9 กรัม
วิตามินเอ 340 IU 
วิตามินซี 82.7 มิลลิกรัม
วิตามินบี1 0.1 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.1 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 1.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี5 0.3 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 32 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 256 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต 5.3 กรัม
สังกะสี 0.3 มิลลิกรัม

เมนูอาหารจากพริกหยวก

  • หมูผัดพริกหยวก
  • ตับไก่ผัดพริกหยวก
  • ผัดพริกหยวกกุ้ง
  • แจ่วพริกหยวก
  • พริกหยวกยัดไส้ปลา
  • ผัดพริกหยวกใส่ไข่
  • หมูกระเทียมพริกหยวก
  • ผักพริกหยวกหน่อไม้สด
  • ปลาดุกผักพริกหยวก
  • ไข่ปลาสลิดผักพริกหยวก

พริกหยวก เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนไม่ทานเผ็ดและต้องการควบคุมน้ำหนัก เพราะพริกหยวกก็เป็นพริกที่ไม่เผ็ดมากให้พลังงานน้อยสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายเมนู มีสารอาหารและแร่ธาตุที่ดีต่อร่างกายหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ปลายประสาทอักเสบ สาเหตุ อาการ และการดูแลรักษา

0
ปลายประสาทอักเสบ อาจทำให้การทำงานของเส้นประสาทผิดปกติไม่สามารถส่งสัญญาณไฟฟ้าได้ปกติเกิดอาการต่าง ๆ
ปลายประสาทอักเสบ สาเหตุ อาการ และการดูแลรักษา
ปลายประสาทอักเสบ อาจทำให้การทำงานของเส้นประสาทผิดปกติไม่สามารถส่งสัญญาณไฟฟ้าได้ปกติเกิดอาการต่าง ๆ

ปลายประสาทอักเสบ

ปลายประสาทอักเสบ ( Peripheral Neuropathy ) คือ เป็นภาวะหนึ่งของระบบปลายประสาท ซึ่งทำหน้าที่รับสัญญาณจากสมองส่งไปยังไขสันหลังและอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย เมื่อปลายประสาทอักเสบทำให้การทำงานของเส้นประสาทผิดปกติไม่สามารถส่งสัญญาณไฟฟ้าได้ปกติเกิดอาการต่าง ๆ เช่น รู้สึกเจ็บแปลบๆ เจ็บคล้ายโดยไฟลน ตะคริว ชาตามมือเท้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง กล้ามเนื้อกระตุกไม่สามารถควบคุมได้ ส่วนใหญ่พบในผู้สูงอายุ 55 ปีขึ้นไป

อาการปลายประสาทอักเสบ

อาการทั่วไปที่พบในผู้ป่วยจะแสดงอาการตามความรุนแรงของโรคปลายประสาทอักเสบ ดังนี้

  • เวียนศีรษะ
  • คลื่นไส้
  • อาเจียน
  • ท้องผูก
  • ท้องเสีย
  • น้ำหนักลด
  • กล้ามเนื้อกระตุก
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • เป็นตะคริว ปวดเกร็ง
  • รู้สึกชาบริเวณมือ เท้า แขน และขา
  • ปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
  • หากอาการรุนแรง อาจทำให้ไม่สามารถขยับอวัยวะบางส่วนได้ เช่น มือ เท้า

สาเหตุปลายประสาทอักเสบ
จากการศึกษาพบว่าโรคเบาหวานเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ป่วยปลายประสาทอักเสบและสาเหตุรองลงมา ได้แก่

  • การกดทับของเส้นประสาทบริเวณมือ
  • โรคภูมิคุ้มกัน
  • การได้รับสารพิษต่าง ๆ
  • โรคความผิดปกติทางพันธุกรรม
  • การติดเชื้อไวรัส เช่น เชื้อ HIV
  • การขาดวิตามิน เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 6 และวิตามิน บี 12
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น เคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็ง ยาต้านไวรัสในผู้ติดเชื้อเอชไอวี
  • การบาดเจ็บ เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์
  • การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์มากเป็นเวลาหลายปี

เมื่อไหร่จึงควรพบแพทย์

หากคุณมีอาการชาบริเวณมือ หรือเท้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง รู้สึกเจ็บปวดมากกว่าปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

การตรวจปลายประสาทอักเสบ

แพทย์ทำการซักประวัติผู้ป่วยประวัติครอบครัว อาการ ตำแหน่งการเกิดของโรคปลายประสาทอักเสบ ร่วมกับการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด ตรวจเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า ตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อ และการเอกซเรย์เพื่อดูความเสียหายของเส้นประสาท หากพบความรุนแรงของอาการปลายประสาทอักเสบต้องทำการรักษาทันที

การรักษาปลายประสาทอักเสบ

แพทย์จะประเมินวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และตำแหน่งของปลายประสาทอักเสบ ซึ่งมุ่งเน้นการฟื้นฟูเส้นประสาทให้กับมาทำงานได้ปกติ

การรักษาทั่วไป

  • อาบน้ำอุ่น ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดอาการชา และความเจ็บปวดได้
  • ควบคุมน้ำหนัก และระดับน้ำตาลในเลือดให้เหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองได้
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ช่วยป้องกันการขาดวิตามิน
  • ลดการสูบบุหรี่
  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง การบำบัด
  • การกระตุ้นเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า
  • กายภาพบำบัดฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
  • การผ่าตัด การใช้ยา
  • ให้ยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบ
  • ทายาและนวดเบา ๆ
  • ฉีดยา

ภาวะแทรกซ้อนของปลายประสาทอักเสบ

ความเสียหายของเส้นประสาทที่ส่งผลให้เกิดปลายประสาทอักเสบ อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น แผลที่เท้า การติดเชื้อจนทำให้เกิดเนื้อตาย และยังส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของหัวใจ รวมทั้ง

การไหลเวียนขอระบบโลหิต

การป้องกันปลายประสาทอักเสบ คุณสามารถลดความเสี่ยงของอาการปลายประสาทอักเสบเหล่านี้ได้โดย หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อป้องกันการขาดวิตามิน ควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารพิษ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

หากคุณเสี่ยงต่อการเกิดโรคปลายประสาทอักเสบ ควรรับการตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ เมื่อพบอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาทันที สามารถลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเส้นประสาททำให้มีโอกาสหายเป็นปกติได้มากขึ้นอีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สาเหตุของโรคฟีนิลคีโตนูเรีย พร้อมทั้ง อาการ และ การรักษา

0
โรคฟีนิลคีโตนูเรีย อาการ สาเหตุ และการดูแลรักษา
โรคฟีนิลคีโตนูเรีย ( Phenylketonuria ) เป็น โรคทางพันธุกรรมมีการถ่ายทอดยีนด้อยเกิดจากความผิดปกติของระบบเผาผลาญ

โรคฟีนิลคีโตนูเรีย

โรคฟีนิลคีโตนูเรียเกิดจากความผิดปกติของระบบเผาผลาญที่ถ่ายทอดยีนด้อย โดยพบได้น้อยในประเทศไทยประมาณ 1 คนต่อ 2 แสนคน ผู้ป่วยจะไม่สามารถสลายกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างโปรตีนและเจริญเติบโตของสมอง กรดอะมิโนนี้จะเปลี่ยนเป็นไทโรซีนที่ช่วยในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทและสมอง การได้รับฟีนิลอะลานีนจากอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไก่ นม ถั่วลิสง อะโวคาโด และกล้วย จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ

อาการของโรคฟีนิลคีโตนูเรีย

  • อาการของโรคฟีนิลคีโตนูเรียชัก
  • ตัวสั่น
  • สมาธิสั้น
  • ทารกจะมีพัฒนาการช้า
  • ปัญญาอ่อนขั้นรุนแรง
  • ผิวหนังซีด และผมเปลี่ยนสี
  • ลมหายใจ ผิวหนัง มีกลิ่นสาบ
  • ร่างกายเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ หรือแคระแกรน

สาเหตุของโรคฟีนิลคีโตนูเรีย

เกิดจากความบกพร่องในยีนที่ช่วยสร้างฟีนิลอะลานีนไฮดรอกซีเลส เมื่อเอนไซม์หายไปร่างกายจะไม่สามารถทำลายฟีนิลอะลานีนได้ทำให้เกิดการสะสมของฟีนิลอะลานีนในร่างกายมากเกินไป อาจเป็นอันตรายนำไปสู่ความเสียหายของประสาทและสมอง เช่น ด้านพฤติกรรม ด้านจิตเวช ด้านพัฒนาการ เป็นต้น

การตรวจโรคฟีนิลคีโตนูเรีย

การตรวจโรคฟีนิลคีโตนูเรียแพทย์จะทำการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ และเลือดด้วยการเจาะส้นเท้าของทารกหลังคลอด 2 วัน และส่งตรวจทางห้องแลปจะทราบผลประมาณ 1 เดือน หากผลตรวจออกมาพบว่า ค่าฟีนิลอะลานีนในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แสดงว่าเป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย

การรักษาโรคฟีนิลคีโตนูเรีย

แพทย์จะทำการรักษามุ่งเน้นเพื่อลดระดับของฟีนิลอะลานีนลงให้ได้มากที่สุด และป้องกันไม่ให้เกิดเป็นภาวะปัญญาอ่อน และภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ในทารกที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย ข้อควรปฏิบัติดังนี้

  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ชีส ถั่วเหลือง ไก่ ปลา
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารให้ความหวาน เช่น น้ำตาลเทียม น้ำอัดลม โซดา
  •  ควรเสริมกรดอะมิโนที่มีสารอาหารจำเป็นต่อร่างกาย
  • ทารกที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย ต้องดื่มนมพิเศษที่สกัดสารฟีนิลอะลานีนออกไปแล้ว
  • ยา วิตามิน หรืออาหารบางชนิดอาจมีสารให้ความหวาน มีกรดอะมิโน หรือนมผง
    พร่องมันเนย ควรสอบถามอย่างละเอียดก่อนซื้อทุกครั้ง

การป้องกันโรคฟีนิลคีโตนูเรีย

แพทย์จะแนะนำให้พ่อแม่ที่เคยมีบุตรคนแรกเป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรียมาแล้ว หากต้องการมีบุตรคนต่อไป ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองโรคฟีนิลคีโตนูเรียก่อน

แม้โรคฟีนิลคีโตนูเรียจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดภาวะปัญญาอ่อนในเด็กที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย ยังช่วยให้เด็กมีพัฒนาการและสติปัญญาเหมือนเด็กปกติได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

วิธีลดกลิ่นตัว ทำยังไงให้กลิ่นตัวอันไม่พึงประสงค์หายไป

0
วิธีลดกลิ่นตัว ทำยังไงให้กลิ่นตัวอันไม่พึงประสงค์หายไป
กลิ่นตัว ( Body odor ) เกิดจากต่อมกลิ่นบริเวณข้อพับต่างๆ ซึ่งต่อมเหงื่อมี 2 ประเภทได้แก่ ต่อมเอกไครน์ ( eccrine glands ) และต่อมอะโพไครน์ ( apocrine glands )
วิธีลดกลิ่นตัว ทำยังไงให้กลิ่นตัวอันไม่พึงประสงค์หายไป
กลิ่นตัว เกิดจากต่อมกลิ่นบริเวณข้อพับต่างๆ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะช่วงวัยรุ่น

กลิ่นตัว

กลิ่นตัว ( Body Odor ) เกิดจากต่อมกลิ่นบริเวณข้อพับต่างๆ ซึ่งต่อมเหงื่อมี 2 ประเภทได้แก่ ต่อมเอกไครน์ ( eccrine glands ) ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย และ ต่อมอะโพไครน์ ( apocrine glands ) ทำหน้าที่ขับของเสียออกมา ซึ่งมีการตอบสนองต่อความเครียด รู้สึกกังวล และอาหารที่รับประทานเข้าไป พบมากบริเวณรักแร้ ฝ่าเท้า ขาหนีบ กลิ่นตัวไม่พึ่งประสงค์สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะช่วงวัยรุ่น

สาเหตุของการเกิดกลิ่นตัว

  • ภาวะเครียด
  • พักผ่อนไม่เพียงพอ
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้ร่างกาย
  • รับประทานอาหารที่มีกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม หัวหอม สะตอ ชะอม พริกไทย ขมิ้น เนื้อแดง แอลกอฮอล์ เป็นต้น

การกำจัดกลิ่นตัว

  • ควรรักษาความสะอาดร่างกาย โดยการอาบน้ำ ล้างรักแร้บ่อย ๆ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
  • หลีกเลี่ยงสถานที่ร้อนชื้น
  • หลีกเลี่ยงอาหารกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม หัวหอม สะตอ ชะอม พริกไทย ขมิ้น เนื้อแดง แอลกอฮอล์ เป็นต้น
  • หมั่นทำความสะอาดเสื้อผ้าเพื่อลดแบคทีเรียและกลิ่นอับชื้น
  • หมั่นโกนขนรักแร้เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย
  • ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับรักแร้ที่มีคุณสมบัติระงับกลิ่นกายตลอดวัน ลดเหงื่อ
  • ควรล้างพิษในร่างกายโดยการดีท็อกซ์อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง

เนื่องจากปัญหากลิ่นตัวแรงเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุอวัยวะที่มีต่อมเหงื่อมากที่สุดคือรักแร้ เป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นตัวแรงดังนั้นวิธีลดกลิ่นตัวควรดูแลความสะอาดบริเวณรักแร้เป็นพิเศษ เพื่อลดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นตัวแรงได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เท้าเหม็น ดับกลิ่นเท้าอันไม่พึงประสงค์ได้ด้วยตัวเองที่บ้าน

0
เท้าเหม็น ( Smelly Feet ) เกิดจากต่อมเหงื่อบริเวณฝ่าเท้ามีการขับเหงื่อออกมาเยอะ เกิดการหมักหมมของเหงื่อ ทำให้แบคทีเรียและเชื้อราเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
เท้าเหม็น ดับกลิ่นเท้าอันไม่พึงประสงค์ได้ด้วยตัวเองที่บ้าน
เท้าเหม็น ( Smelly Feet ) เกิดจากต่อมเหงื่อบริเวณฝ่าเท้ามีการขับเหงื่อออกมาเยอะ เกิดการหมักหมมของเหงื่อ ทำให้แบคทีเรียและเชื้อราเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

เท้าเหม็น

เท้าเหม็น ( Smelly Feet ) เกิดจากต่อมเหงื่อบริเวณฝ่าเท้ามีการขับเหงื่อออกมาเยอะ อาจเนื่องจากอากาศร้อน ใส่รองเท้าเล็กเกินไป จึงเกิดการหมักหมมของเหงื่ออยู่ในรองเท้าเป็นระยะเวลานานๆ ทำให้แบคทีเรียและเชื้อราเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วได้เป็นอย่างดี เมื่อรองเท้าไม่ได้รับการทำความสะอาดหรือตากให้แห้งทำให้เกิดกลิ่นเท้าเหม็นได้ ส่วนใหญ่มักพบในนักกีฬา พนักงานออฟฟิศที่ใส่รองเท้าเป็นเวลานานๆ

วิธีดับกลิ่นเท้า และป้องกันเท้าเหม็น

  • ล้างเท้าด้วยสบู่แอนตี้แบคทีเรียวัน 1 ครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าที่คับ อับชื้น หรือเปียก
  • ควรมีรองเท้า 2 คู่ ใส่สลับกันตากให้แห้งอย่างน้อย 1 วัน
  • ควรเลือกถุงเท้าเป็นผ้าฝ้าย ช่วยระบายอากาศได้ดี
  • ควรเช็ดเท้าให้แห้งก่อนสวมใส่ถุงเท้า รองเท้าทุกครั้ง
  • ตัดเล็บเท้าให้สั้น และทำความสะอาดเป็นประจำ
  • ขัดเซลล์ผิวที่ตายหรือแข็งออกจากเท้า
  • รักษาความสะอาดของเท้าเป็นประจำ
  • ใช้แป้งฝุ่นทาบาง ๆ บริเวณเท้าก่อนใส่ถุงเท้า
  • ใช้แปรงขนนุ่มชุบเบกกิ้งโซดาที่ผสมกับน้ำอุ่น ขัดเบา ๆ ตามซอกนิ้ว เล็บ เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย
  • ใช้สเปรย์ระงับกลิ่นเท้า

เท้าเหม็นเป็นปัญหาที่พบบ่อยเป็นสิ่งน่าอาย กังวลจนกระทั่งขาดความมั่นใจในตัวเอง ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้คนรอบข้าง เท้าเหม็นเกิดจากแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในรองเท้าเป็นเวลานานทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ขึ้นได้ หากมีอาการรุนแรงควรพบแพทย์เพื่อตรวจโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ห้อเลือด เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร

0
ห้อเลือด เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร
ห้อเลือดเป็นลักษณะเลือดออกใต้เล็บมือหรือเล็บเท้า ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อนิ้วมือหรือนิ้วเท้าของคุณถูกสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก ๆ หล่นทับกระแทกอย่างแรง
ห้อเลือด เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร
ห้อเลือดเป็นลักษณะเลือดออกใต้เล็บมือหรือเล็บเท้า ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อนิ้วมือหรือนิ้วเท้าของคุณถูกสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก ๆ หล่นทับกระแทกอย่างแรง

ห้อเลือด

ห้อเลือด ( Subungual Hematoma ) เป็น ลักษณะเลือดออกใต้เล็บมือหรือเล็บเท้า ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อนิ้วมือหรือนิ้วเท้าของคุณถูกสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก ๆ หล่นทับกระแทกอย่างแรง แต่ก็พบอาการห้อเลือดบวมจำนวนไม่น้อยจากคนที่เดินหรือวิ่งบ่อย ๆ ซึ่งเล็บเท้าถูกเสียดสีกับรองเท้าที่มีขนาดเล็กเกินไป เช่น นักวิ่งมาราธอน นักเดินทางไกลมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับบาดเจ็บแบบเฉียบพลันได้

>> เท้าเหม็นเป็นปัญหาที่พบบ่อย ซึ่งวันนี้เรามีวิธีป้องกันเท้าเหม็นมาฝากกันค่ะ

>> อาการที่เกิดขึ้นและพบได้บ่อยที่เล็บเกิดขึ้นจากอะไร มาดูกันค่ะ

อาการและสาเหตุของห้อเลือด

ห้อเลือด มีลักษณะเป็นสีม่วงเข้มหรือสีดำทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่ห้อเลือดเกิดจากอุบัติเหตุบริเวณห้อเลือดที่นิ้วมือ นิ้วเท้าถูกสิ่งของหล่นทับหรือกระแทกอย่างแรง เช่น ประตูหนีบ ของแข็งหล่นกระแทก ถูกค้อนตีนิ้วมือ ใส่รองเท้าคับเกินไป รวมถึงอุบัติเหตุจากการใช้ชีวิตประจำวันของเรานั่นเอง

การวินิจฉัยอาการห้อเลือด

  • แพทย์จะตรวจดูบริเวณนิ้วมือหรือนิ้วเท้าที่ได้รับบาดเจ็บเกิดรอยห้อเลือดโดยรอบอย่างละเอียด เพื่อประมาณอาการเบื้องต้น
  • หากพบห้อเลือดบริเวณนิ้วมือ นิ้วเท้าขนาดใหญ่ อาจต้องเอกซเรย์เพื่อดูการแตกหักของกระดูกว่ามีหรือไม่

ควรไปพบแพทย์เมื่อใด

สังเกตเห็นห้อเลือดคั่งใต้ผิวหนังที่มีขนาดใหญ่ และก่อให้เกิดอาการปวด บวมแดง มีหนอง มีกลิ่นเหม็น บริเวณปลายเล็บมีเลือดออกหรือเล็บหลุดออก ควรไปพบแพทย์จำเป็นต้องได้รับการรักษา

การรักษาอาการห้อเลือด

หากมีรอยช้ำห้อเลือดที่นิ้วซึ่งมีขนาดเล็กและไม่มีอาการเจ็บปวดก็ไม่ต้องรักษา หรือรักษาห้อเลือดด้วยตนเองง่าย ๆ เพียงใช้ผ้าขนหนูบาง ๆ ห่อน้ำแข็งประคบเย็นบริเวณที่รอยช้ำห้อเลือดประมาณ 1-2 วันแรก หรือจนกว่าอาการปวด บวมจะหายไป แต่หากห้อเลือดมีขนาดใหญ่เกิดการอักเสบรู้สึกเจ็บปวด บวมแดง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการเอ็กซ์เรย์ดูว่ามีการแตกหักของกระดูกหรือไม่ หรือเจาะระบายเลือดออก ใส่เฝือก หากอาการรุนแรงมากต้องถอดเล็บออก หากปล่อยทิ้งไว้เล็บของคุณอาจเป็นหนองและหลุดออกในที่สุด

ห้อเลือดเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ซึ่งหากมีอาการรุนแรงควรไปพบแพทย์จำเป็นต้องได้รับการรักษานะคะ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ภูมิแพ้ผิวหนัง เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร

0
โรคภูมิแพ้ผิวหนัง เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร
โรคภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัยมีผื่นบวมแดงและคัน มีตุ่มแดง ตุ่มน้ำ บางรายอาจมีน้ำเหลืองไหลซึมออกมา
โรคภูมิแพ้ผิวหนัง เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร
โรคภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัยมีผื่นบวมแดงและคัน มีตุ่มแดง ตุ่มน้ำ บางรายอาจมีน้ำเหลืองไหลซึมออกมา

ภูมิแพ้ผิวหนัง

ภูมิแพ้ผิวหนัง ( Skin-Allergies ) คือ จะมีผื่นบวมแดงและคัน มีตุ่มแดง ตุ่มน้ำ บางรายอาจมีน้ำเหลืองไหลซึมออกมา สามารถเกิดขึ้นกับผิวหนังได้ทุกเพศทุกวัย จากสถิติส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ประมาณร้อยละ 10 เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ผื่นแพ้ผิวหนัง ผิวแพ้ฝุ่น ภูมิแพ้เหงื่อตัวเอง ภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ตัวเอง ภูมิแพ้อากาศ แพ้ฝุ่น การแพ้อาหาร

อาการของภูมิแพ้ผิวหนัง

  • มีตุ่มน้ำใสๆ
  • ผิวหนังแห้ง
  • คันบริเวณที่ผื่น
  • ผิวหนังเกิดผื่นแดง
  • ผิวหนังหนาและมีรอยคล้ำ
  • มีเหงื่อออกอาการคันจะเพิ่มมากขึ้น
  • อาจมีน้ำเหลืองไหลซึมออกมา

จุดสังเกตและตำแหน่งที่พบได้บ่อย

มักจะพบผื่นผิวหนังอักเสบบ่อยบริเวณใบหน้า ซอกคอ ข้อพับแขน ข้อพับขา ข้อศอก ข้อเข่าและด้านนอกของแขนขา
ภูมิแพ้ผิวหนังในแต่ละช่วงวัย
แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. ทารกระหว่างอายุ 2 เดือน
2. เด็กเล็กอายุระหว่าง 2-12 ปี
3. วัยรุ่นและผู้ใหญ่

การตรวจภูมิแพ้ผิวหนัง

  • แพทย์จะซักประวัติผู้ป่วยผื่นเริ่มเมื่อใด ระยะเวลาที่นานเท่าไหร่ ตำแหน่งของภูมิแพ้ผิวหนัง สิ่งแวดล้อมที่อาจก่อให้เกิดผื่น ซักประวัติครอบครัว ประวัติการแพ้อาหาร และตรวจร่างกายอย่าง
    ละเอียด เช่น อาการคันจมูก จาม น้ำมูกไหล หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงวี้ด เป็นต้น

การดูแลรักษาภูมิแพ้ผิวหนัง

โดยแพทย์จะเลือกใช้วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก และในรายที่
ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยใช้วิธีต่อไปนี้

  • การใช้ยาทาลดการอักเสบของผิวหนัง ลดผื่นแดง
  • การให้ยารับประทาน
  • การฉีดยา

การป้องกันการเกิดภูมิแพ้ผิวหนัง

  • หลีกเลี่ยงการเกา หรือสัมผัสกับบริเวณที่มีผื่นคัน
  • หลีกเลี่ยงสารเคมีที่ทำให้อาการกำเริบ เช่น ผงซักซอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำหอม
  • ควรดูแลความสะอาดร่างกายและมืออย่างสม่ำเสมอ
  • ควรระวังอาหารบางชนิดที่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมหรือการออกกำลังกายที่ทำให้เหงื่อเยอะ

วิธีรักษาภูมิแพ้ผิวหนัง และการดูแล

โดยแพทย์จะเลือกใช้วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก และในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยใช้วิธีต่อไปนี้

  • การใช้ยาทาแก้แพ้ผิวหนัง ลดการอักเสบ
  • การให้รับประทานยาแก้ภูมิแพ้ผิวหนัง เพื่อลดภูมิแพ้ผิวหนังที่มีอาการคัน ปวด บวมแดง
  • การฉีดยา

เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เช่น แพ้อากาศ ไอ จาม หอบหืด หรือมีผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ร่วมด้วย แต่ผู้ที่ไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวก็อาจเป็นโรคนี้ได้เช่นเดียวกัน ผู้ป่วยที่คิดจะซื้อยาแก้ภูมิแพ้ หรืออาหารเสริมสำหรับโรคภูมิแพ้ผิวหนังมารับประทานเอง ควรขอคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เล็บอักเสบ เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร

0
เล็บอักเสบ เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร
เล็บอักเสบ คือการติดเชื้อของผิวหนังระหว่างโคนเล็บมือหรือเล็บเท้า โดยผิวหนังรอบเล็บจะบวมแดง หรืออักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงจะเริ่มเป็นหนองสีเหลืองขุ่น ติดเชื้อราชนิดแคนดิดาจะเป็นหนองสีขาวขุ่น มีกลิ่นเหม็น
เล็บอักเสบ เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร
การอักเสบของเล็บ คือการติดเชื้อของผิวหนังระหว่างโคนเล็บมือหรือเล็บเท้า โดยผิวหนังรอบเล็บจะบวมแดง  เป็นหนอง และมีกลิ่นเหม็น

เล็บอักเสบ

เล็บอักเสบ (Paronychia) เป็น การติดเชื้อของผิวหนังระหว่างโคนเล็บมือหรือเล็บเท้า สังเกตได้ชัดเมื่อเล็บมีการอักเสบเนื้อเยื่อบริเวณที่ติดเชื้อมักจะปรากฏอาการผิวหนังรอบเล็บบวมแดงขึ้นรู้สึกปวดตุบ ๆ บางครั้งเล็บเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงจะเริ่มเป็นหนองสีเหลืองขุ่น ติดเชื้อราชนิดแคนดิดาจะเป็นหนองสีขาวขุ่น มีกลิ่นเหม็น พบได้บ่อยในผู้ที่มีอาชีพต้องอยู่กับน้ำหรือพื้นที่เปียกชื้นเป็นเวลานาน เช่น แม่ครัว พ่อค้าแม่ค้าตามตลาดสด พนักงานล้างจาน เป็นต้น

อาการของเล็บที่อักเสบ

  • ผิวหนังรอบเล็บมีการอักเสบจะปวดตุบ ๆ บวมแดง กดเจ็บ
  • ถ้าพบการติดเชื้อแบคทีเรียจะเป็นหนองสีเหลือง หรือสีเขียว
  • เล็บที่อักเสบจากการติดเชื้อราแคนดิดาจะเป็นหนองสีขาวขุ่น มีกลิ่นเหม็น

สาเหตุของการเกิดเล็บที่อักเสบ

  • การเล็บพิการมาแต่กำเนิด
  • การขาดสารอาหาร เช่น วิตามิน โปรตีน
  • การติดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย
  • เล็บได้รับบาดเจ็บจากถูกกระแทก
  • มือหรือเท้ามักเปียกชื้นอยู่บ่อยครั้ง

วิธีการดูแลรักษาเล็บที่อักเสบ

การรักษาเล็บมีหลายวิธี เช่น
1. ควรดูแลรักษาความสะอาดเล็บมือเล็บเท้า
2. ควรใส่ถุงมือ รองเท้าบูทกันน้ำหากต้องสัมผัสกับน้ำบ่อย ๆ
3. หากมือแห้งควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
4. การใช้ยาปฏิชีวนะ ช่วยบรรเทาอาการอักเสบลดอาการปวดบวมได้
5. การใช้ยาทาภายนอกเพื่อรักษาเชื้อรา
6. หลีกเลี่ยงการกัดเล็บ
7. ควรตัดเล็บให้สั้น
8. หลีกเลี่ยงการแช่มือหรือเท้าในน้ำเป็นเวลานาน
9. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

อย่างไรก็ตามแม้การอักเสบที่เล็บเป็นการติดเชื้อที่ไม่รุนแรง หากไม่ดูแลรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมออาจส่งผลให้เล็บที่อักเสบติดเชื้อแบบเรื้อรังมีอาการรุนแรงมากขึ้นได้การรักษาก็จะใช้เวลานานออกไปอีก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ผึ้งต่อย บรรเทาอาการด้วยวิธีง่ายๆ วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น

0
ผึ้งต่อย บรรเทาอาการด้วยวิธีง่ายๆ วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ผึ้งต่อย บรรเทารักษาอาการจากการโดนผึ้งต่อยอย่างไร
ผึ้งต่อย ( Bee Sting ) คือ อาการที่ผู้ป่วยถูกผึ้งซึ่งเป็นแมลงที่มีเหล็กในต่อย หรืออาจฝังเหล็กในลงบนผิวหนัง คล้ายถูกเข็มแทง รู้สึกปวด ร้อน หรือคันบริเวณที่ถูกต่อยจนเป็นตุ่มบวมขึ้น โดยมีจุดสีแดงอยู่ตรงกลาง

ผึ้งต่อย

ผึ้งต่อย (Bee Sting) คือ อาการที่เกิดจากการที่ผึ้งใช้เหล็กในต่อยหรือฝังเหล็กในลงบนผิวหนัง ทำให้รู้สึกปวด ร้อน หรือคันในบริเวณที่ถูกต่อย หากมีอาการแพ้จะเห็นตุ่มบวมและจุดสีแดงกลางตุ่ม อาการมักจะดีขึ้นเองภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่บางคนอาจมีอาการรุนแรงจากการแพ้พิษผึ้ง ซึ่งเหล็กในของผึ้งเป็นโปรตีนที่กระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ในกรณีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้พิษผึ้ง อาจเกิดอาการรุนแรงถึงขั้นเสี่ยงชีวิต ดังนั้น ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นและสังเกตอาการแพ้เพื่อเข้ารับการรักษาโดยเร็ว

อาการผึ้งต่อยทั่วไป

  • รู้สึกคล้ายถูกเข็มแทง รู้สึกปวด ร้อน หรือคันบริเวณที่โดนต่อย
  • เกิดเป็นตุ่มบวมขึ้นมา ซึ่งมีจุดสีแดงอยู่ตรงกลางและมีผิวหนังสีขาวอยู่โดยรอบ
  • ตุ่มบวมแดงอย่างเห็นได้ชัด
  • บริเวณที่โดนผึ้งต่อยขยายบวมโตขึ้นในวันถัดมา

อาการแพ้ผึ้งต่อยจากพิษเหล็กในอย่างรุนแรง

  • อาการแพ้ผึ้งต่อยจากพิษเหล็กในอย่างรุนแรงอาการปวด บวม แดง คัน ไม่ยุบภายใน 6 ชั่วโมง
  • ผิวหนังมีผดผื่นคันสีแดง หรือผิวซีดขาว
  • อ่อนเพลีย หมดแรง มีไข้
  • แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หายใจไม่ออก หรือหายใจมีเสียงหวีด
  • เสียงแหบ พูดจาติดขัด
  • ลิ้นบวม คอบวม
  • หัวใจเต้นแรง ชีพจรเต้นเร็ว
  • คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องร่วง
  • วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม ไม่รู้สึกตัว หมดสติ
  • กระวนกระวาย
  • มีอาการชัก

สาเหตุผึ้งต่อย

สาเหตุที่ผึ้งจะต่อยนั้นเกิดจากการที่ผึ้งป้องกันตัวจากการรบกวนของมนุษย์ และหลังจากปล่อยเหล็กในแล้ว ผึ้งบางชนิดก็จะตาย โดยในการต่อยแต่ละครั้ง ผึ้งอาจปล่อยเหล็กในฝังอยู่ในผิวหนังของมนุษย์ ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่แพ้เหล็กในของผึ้ง พิษจากเหล็กในจะยิ่งส่งผลให้เกิดอาการที่รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก

ผู้ที่มีความเสี่ยงโดนผึ้งต่อย

  • ผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณที่มีผึ้งทำรังอยู่ หรือไปอยู่ใกล้ ๆ รังผึ้ง
  • ผู้ที่อยู่นอกบ้าน หรือทำงานนอกสถานที่ ไม่ได้อยู่ในที่พักอาศัยที่ปิดมิดชิด

ผู้มีความเสี่ยงเกิดอาการอย่างรุนแรงจากผึ้งต่อย

  • ผู้มีความเสี่ยงเกิดอาการอย่างรุนแรงจากผึ้งต่อยผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่แพ้เหล็กในของผึ้ง
  • ผู้ที่ถูกผึ้งต่อยหลาย ๆ จุดในร่างกาย

การวินิจฉัยอาการผึ้งต่อย

เมื่อผู้ป่วยไปพบแพทย์หลังถูกผึ้งต่อย นอกจากการตรวจร่างกายเพื่อดูปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นตามบริเวณที่ถูกผึ้งต่อยแล้ว หากแพทย์มีข้อสงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีอาการแพ้พิษจากเหล็กใน

แพทย์อาจตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

1. ทดสอบผิวหนัง แพทย์อาจใช้ชุดทดสอบภูมิแพ้ ด้วยการฉีดสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสารพิษจากผึ้งไปบนผิวหนังบริเวณแขนหรือแผ่นหลังด้านบนเพียงเล็กน้อย แล้วรอดูปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นบนผิวหนังบริเวณนั้น วิธีการนี้จะไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ที่รุนแรง แต่ผู้ที่แพ้ต่อสารจริง จะปรากฏเป็นตุ่มนูนขึ้นมา
2. ตรวจเลือด แพทย์อาจนำตัวอย่างเลือดไปตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันในเลือดที่เพิ่มขึ้นในการต้านพิษจากเหล็กในผึ้ง

ผึ้งต่อยทําไงให้หายบวม

การรักษาผึ้งต่อยในผู้ที่ไม่มีอาการแพ้รุนแรงมาก เบื้องต้นสามารถทำได้ดังนี้

1. หากเหล็กในอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัด ผู้ป่วยควรพยายามบีบผิวโดยรอบเพื่อดันเหล็กในออกมาให้เร็วที่สุด
2. ล้างทำความสะอาดผิวบริเวณที่ถูกผึ้งต่อยด้วยสบู่และน้ำสะอาด
3. ใช้น้ำแข็งหรือผ้าเย็นวางประคบในบริเวณที่ถูกผึ้งต่อย
4. หากถูกผึ้งต่อยบริเวณแขนหรือขา ให้ยกแขนหรือขาขึ้น หรือวางแขนขาไว้บนระดับที่สูงกว่าปกติ
5. หากสวมใส่เครื่องประดับอยู่ ให้ถอดเครื่องประดับออก เพราะอาจเกิดอาการบวมจนยากต่อการถอดเครื่องประดับในภายหลัง
6. ไม่เกาบริเวณที่ถูกผึ้งต่อย เพราะจะยิ่งทำให้อาการแย่ลง และเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
7. บรรเทาอาการปวดด้วยการรับประทานยาแก้ปวดที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา เช่น พาราเซตามอล ไอบูโพรเฟน แอสไพริน ( ห้ามใช้แอสไพรินในผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปีเด็ดขาด )
8. ทายาไฮโดรคอร์ติโซน ( Hydrocortisone ) คาลาไมน์ ( Calamine ) ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำเปล่า หรือรับประทานยาต้านฮิสตามีน (Antihistamine) เช่น ไดเฟนไฮดรามีน ( Diphenhydramine ) หรือ คลอร์เฟนิรามีน ( Chlorpheniramine ) เพื่ออรักษาอาการที่เกิดบนผิวหนัง ลดอาการบวมแดงและอาการคัน
9. ผู้ที่มีอาการรุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาทันที

การรักษาอาการผึ้งต่อยสำหรับผู้ที่แพ้พิษเหล็กในรุนแรง

การรักษาอาการผึ้งต่อยสำหรับผู้ที่แพ้พิษเหล็กในรุนแรง1. แพทย์จะให้ยาหรือฉีดยาต้านฮิสตามีน ( Antihistamine ) และคอร์ติโซน ( Cortisone ) เพื่อลดอาการแพ้ที่เกิดขึ้น และอาการอักเสบภายในทางเดินหายใจ ลดภาวะหลอดลมตีบ หรือมีเสมหะในทางเดินหายใจจากฮีสตามีน
2. ฉีดเอพิเนฟรีน โดยเฉพาะในรายที่มีปฏิกิริยาแพ้อย่างรุนแรง ( Anaphylaxis ) เพื่อรักษาและลดการเกิดอาการแพ้ที่เป็นอันตราย
3. พ่นยาขยายหลอดลม ( Beta agonist ) เช่น อัลบูเทอรอล เพื่อบรรเทาอาการหลอดลมตีบจากปัญหาการหายใจ
4. แพทย์อาจให้ออกซิเจนเพื่อช่วยในการหายใจแก่ผู้ป่วยที่มีปัญหาการหายใจอย่างรุนแรงจากอาการแพ้
5. ทำซีพีอาร์ หรือปฏิบัติการช่วยชีวิต ( Cardiopulmonary Resuscitation: CPR ) ในผู้ป่วยที่หยุดหายใจ
6. แพทย์อาจฉีดสารภูมิคุ้มกันบำบัดให้ ซึ่งผู้ป่วยต้องมาฉีดเรื่อย ๆ ทุก 2-3 ปี เพื่อรักษาและลดปฏิกิริยาตอบสนองต่อพิษจากเหล็กในผึ้ง

การป้องกันการโดนผึ้งต่อย

1.กำจัดขยะและเศษอาหารบริเวณบ้านเพื่อไม่ให้มีแมลงพวกนี้มาตอม
2.กรณีที่ต้องเดินทางเข้าไปในที่ที่มีแมลงพวกนี้ชุกชุมหรือออกไปกลางแจ้ง ไม่ควรใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด ลายดอกไม้ หรือใส่น้ำหอม ซึ่งล่อให้ผึ้งมาต่อยได้
3. อย่าแหย่หรือทำลายรังผึ้ง และเตือนเด็ก ๆ อย่าไปแหย่รังผึ้งด้วยความคะนอง
4. ถ้ามีรังผึ้งภายในบริเวณบ้าน ควรตามผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมากำจัดรังแทน
5. สำหรับผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการถูกผึ้งต่อย (เช่น พนักงานป่าไม้ นักเดินป่า ลูกเสือเวลาออกค่าย เป็นต้น) ควรมีชุดปฐมพยาบาล (เช่น ยาฉีด adrenalin ยาแก้แพ้ ครีม steroid )ไว้ปฐมพยาบาลเมื่อถูกผึ้งต่อย
6.ถ้าถูกผึ้งต่อย ควรวิ่งหนีโดยเร็วที่สุด ให้ห่างจากรังเกิน 7 เมตรขึ้นไป และควรใช้ผ้าคลุมศีรษะป้องกันไม่ให้ตัวผึ้งไปติดอยู่ในผมซึ่งจะต่อยซ้ำ ๆ ได้

ทีนี้เพื่อน ๆ คงจะพอทราบวิธีรักษาบรรเทาอาการจากการโดนผึ้งต่อยว่าควรทำอย่างไร และควรอยู่ห่างจากผึ้ง เพราะผึ้งเป็นแมลงอันตรายที่ควรอยู่ให้ห่างไว้จะดีที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม