ผักชีล้อม ประโยชน์ และเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ

0
ผักชีล้อม ประโยชน์ และเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ
ผักชีล้อม เป็น พืชล้มลุกมีกลิ่นหอมฉุนรสเผ็ดร้อนจัดอยู่ในตระกูลผักชีคล้ายขึ้นฉ่าย
ผักชีล้อม ประโยชน์ และเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ
ผักชีล้อม เป็น พืชล้มลุกมีกลิ่นหอมฉุนรสเผ็ดร้อนจัดอยู่ในตระกูลผักชีคล้ายขึ้นฉ่าย สามารถรับประทานสดได้

ผักชีล้อม

ผักชีล้อม ( water-dropwort , Oenanthe ) เป็น พืชล้มลุกมีกลิ่นหอมฉุนรสเผ็ดร้อนจัดอยู่ในตระกูลผักชี พบได้ตามทุ่งหญ้าในที่ราบชอบที่เปียกชื้นหรือบริเวณน้ำท่วมขัง เช่น ในแม่น้ำ หนองน้ำ ขยายพันธุ์โดยเมล็ด แยกกอ เป็นต้น

ลักษณะของผักชีล้อม

ผักชีล้อมเป็นพืชล้มลุกรสชาติคล้ายขึ้นฉ่าย ลำต้นสีเขียวผิวเป็นร่องลำต้นอวบน้ำสูงประมาณ 20 – 60 เซนติเมตร ใบแบบแขนงคล้ายขนนกแตกออกจากลำต้นสลับกันซ้ายขวาขอบใบหยักปลายแหลม ดอกมีก้านแตกออกระหว่างลำต้นและก้านใบเพื่อลองรับช่อดอกขนาดเล็กจำนวนมากสีขาวด้านบนประมาณ 10 – 20 ช่อ ผลเดี่ยวทรงรียาวขนาดประมาณ 3 เซนติเมตร เมื่อแก่แล้วจะแตกออกเป็น 2 ส่วน รากหรือเหง้าอยู่ใต้ดินขนาดเล็กออกรอบลำต้นและมีรากฝอยบริเวณปลายเหง้า 

ประโยชน์ของผักชีล้อม

ผักชีล้อมมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรด้านการรักษาโรคต่าง ๆ มากมายและเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย ได้แก่

  • ช่วยขับเหงื่อ
  • ช่วยบำรุงปอด
  • ช่วยขับเสมหะ
  • ช่วยแก้หอบหืด
  • ช่วยบำรุงเลือด
  • ช่วยบำรุงหัวใจ
  • ช่วยแก้อาการไอ
  • ช่วยแก้อาการคลื่น
  • ช่วยแก้อาการเจ็บคอ
  • ช่วยดับพิษในร่างกาย
  • ช่วยบำรุงรักษาสายตา
  • ช่วยรักษาโรคเหน็บชา
  • ช่วยรักษาโรคน้ำเหลืองไม่ดี
  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้
  • ช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
  • ช่วยปรับสมดุลให้ระบบทางเดินอาหาร

คุณค่าทางโภชนาการผักชีล้อม

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
เส้นใย 39.80 กรัม
ไขมัน 14.87 กรัม 
คาร์โบไฮเดรต 52.29 กรัม
เบต้าแคโรทีน 2,498 ไมโครกรัม
เหล็ก 18.54 มิลลิกรัม
 แคลเซียม 1,196 มิลลิกรัม
 วิตามินเอ 135 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.01 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.35 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 6.05 มิลลิกรัม
วิตามินบี6 0.47 มิลลิกรัม
วิตามินอี 6.60 มิลลิกรัม
วิตามินซี 21 มิลลิกรัม

และใบที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ คลอโรฟิลล์คุณสมบัติต่อต้านสารพิษ และสารต้านอนุมูลอิสระจึงเป็นประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพ

เมนูอาหารจากผักชีล้อม

ผักชีล้อมมีประโยชน์ทางด้านอาหารได้ทั้งต้นอ่อน ยอดอ่อน ดอก เมล็ด นิยมนำมารับประทานเป็นผักสด ผักเคียง เช่น ลู่ ลาบ ยำ ส้มตำ น้ำพริก ใช้ใบผักชีล้อมตกแต่งจานอาหาร เพื่อดับกลิ่นคาว ลดความเลี่ยนของอาหารได้ดีที่สุด เมนูอาหารจากผักชีล้อม ได้แก่ ยำผักชีล้อม ผักชีล้อมชุบแป้งทอด

อย่างไรก็ตามผักชีล้อมถึงแม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม หากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองสำหรับคนแพ้ผักชีล้อม ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการคัน ผดผื่นแดง เป็นต้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

อินนูลิน คืออะไร มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารอย่างไร

0
อินนูลิน คืออะไร มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารอย่างไร
อินนูลินคืออะไร อินนูลินอันตรายหรือไม่ และมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร ?
พรีไบโอติกชนิดที่มีเส้นใยอาหารชนิดหนึ่งช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ ช่วยเพิ่มแบคทีเรียดีในลำไส้

อินนูลิน

อินนูลิน (Inulin) คือ พรีไบโอติก ( prebiotic ) ซึ่งเป็นเส้นใยอาหารชนิดหนึ่งที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ พบได้ตามธรรมชาติในหัวหรือรากของพืช ผัก ผลไม้ และสมุนไพรบางชนิด โดยมีคุณสมบัติพิเศษในการละลายน้ำ และมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น การเพิ่มจำนวนแบคทีเรียดีในลำไส้ และช่วยลดแบคทีเรียที่ไม่ดีที่อาจทำให้เกิดการอักเสบหรือลดการดูดซึมสารอาหาร

ประโยชน์ของอินนูลิน

ประโยชน์ของอินนูลินinulin เป็นอาหารที่มีประโยชน์ และช่วยเพิ่มอาหารที่รับประทานเข้าไปในร่างกายทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้น

  • ช่วยย่อยอาหาร
  • ช่วยลดไขมันในตับ
  • ช่วยรักษาอาการท้องผูก
  • ช่วยลดความอยากอาหาร
  • ช่วยให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น
  • ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
  • ช่วยรักษาลำไส้ให้แข็งแรง
  • ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยป้องกันโรคลำไส้อักเสบ
  • ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
  • ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • ช่วยเพิ่มปริมาตรกากอาหารในลำไส้
  • ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลจากอาหาร
  • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน
  • ช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้
  • ช่วยยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียก่อโรคท้องร่วง
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน
  • ช่วยป้องกันเชื้อโรคที่ไม่พึงประสงค์ ( แบคทีเรียที่ไม่ดี )
  • ช่วยรักษาสมดุลระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลในเลือด
  • ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม และแมกนีเซียม ทำให้มวลกระดูกหนาแน่นยิ่งขึ้น
  • ลดความอยากอาหารทำให้ช่วยควบคุมน้ำหนัก

Inulin กับการใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร

Inulin กับการใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร1. เพิ่มปริมาณใยอาหารของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ขนมปัง โยเกิร์ต
2. ใช้ทดแทนไขมันในมาการีน นม lowfat cake
3. ปรับปรุงเนื้อสัมผัสในอาหาร เพิ่มความกรอบ เช่น cracker cookies แป้งชุดทอด ซีเรียลบาร์
4. ช่วยปกปิดรสขม ฝาด ในเครื่องดื่ม เช่น น้ำผัก น้ำชา หรือกลิ่นที่ไม่ต้องการในอาหาร เช่น กลิ่นถั่วในเต้าหู้
5. เพิ่มรสอร่อย และลดปริมาณโซเดียมในอาหาร เช่น เครื่องปรุง ซอส ซุป
6. ช่วยลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหาร เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง snack
7. ในอาหารสัตว์เป็นพรีไบโอติกช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ทำให้สัตว์แข็งแรง

ปริมาณอินูลินในพืชชนิดต่าง ๆ

งานวิจัยพบว่า inulin ที่พบในพืชประมาณ 36,000 ชนิด ในปริมาณ 100 กรัมของพืชต่อไปนี้
– ชิโครี (ราก) พบปริมาณ 35.7–47.6 กรัม ของน้ำหนักสด
– อาร์ติโชค พบปริมาณอินูลิน 16–20 กรัม ของน้ำหนักสด
– กระเทียม พบปริมาณ 9-16 กรัม ของน้ำหนักสด
– หน่อไม้ฝรั่ง พบปริมาณ 2-3 กรัม ของน้ำหนักสด
– หัวหอม พบปริมาณ 1–8 กรัม ของน้ำหนักสด
– ข้าวสาลี พบปริมาณ 1-4 กรัม ของน้ำหนักสด
– ข้าวบาร์เลย์ พบปริมาณ 0.5–1.5 กรัม ของน้ำหนักสด

อันตราย และมีผลข้างเคียง

การรับประทานอาหารเสริมอินนูลินในปริมาณมากเกินไปจนเกิดการสะสมอยู่ในลำไส้ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบย่อยอาหารได้ เช่น ท้องอืด เกิดแก๊สในลำไส้ ปวดท้อง จุกเสียด รู้สึกอึดอัด เรอ หรือผายลมบ่อย เป็นต้น

ดังนั้น การรับประทานที่เหมาะสม ควรรับประทาน 8 – 12 กรัมต่อวัน เป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุดจะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้และช่วยให้ลำไส้แข็งแรง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โรคด่างขาวเกิดจากอะไร มีวิธีรักษาหายขาดได้หรือไม่ บทความนี้มีคำตอบ

0
โรคด่างขาว โรคผิวหนังที่ไม่อันตราย แต่ควรรักษา
โรคด่างขาว ( Vitiligo ) เป็น ภาวะแพ้ภูมิตัวเองเกิดจากเซลล์ที่ผลิตเม็ดสีเมลานินนั้นถูกทำลายหรือหยุดการทำงานอย่างถาวร ทำให้เกิดจุดสีขาวทั้งขนาดเล็กและใหญ่บนผิวหนัง
โรคด่างขาว โรคผิวหนังที่ไม่อันตราย แต่ควรรักษา
โรคด่างขาว ( Vitiligo ) เป็น ภาวะแพ้ภูมิตัวเองเกิดจากเซลล์ที่ผลิตเม็ดสีเมลานินนั้นถูกทำลายหรือหยุดการทำงานอย่างถาวร ทำให้เกิดจุดสีขาวทั้งขนาดเล็กและใหญ่บนผิวหนัง

โรคด่างขาว

โรคด่างขาว ( Vitiligo ) เป็น ภาวะแพ้ภูมิตัวเองเกิดจากเซลล์ที่ผลิตเม็ดสีเมลานินนั้นถูกทำลายหรือหยุดการทำงานอย่างถาวร ส่งผลให้เกิดจุดสีขาวทั้งขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่บนผิวที่ผิดปกติ ซึ่งสามารถเกิดได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติและทุกสภาพสีผิว แต่โรคด่างขาวจะเห็นได้ชัดเจนในผู้ที่มีผิวคล้ำ สังเกตได้จากผิวหนังด่างขาว หรือมีจุดสีขาวบนผิวหนังเป็นหย่อม ๆ พบตามตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ใบหน้า คอ บนศีรษะ มือ เท้า แขน ขา และลำตัวเป็นต้น

โรคด่างขาวเกิดจากอะไร

โรคด่างขาวเกิดได้จากหลายสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก

  • มีประวัติครอบครัวเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง
  • มีประวัติครอบครัวเป็นโรคด่างขาว ( พันธุกรรม )
  • การบาดเจ็บที่ผิวหนัง เช่น การสัมผัสกับสารเคมี
  • ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
  • การถูกแดดเผาอย่างรุนแรง
  • เป็นมะเร็งผิวหนัง

อาการของโรคด่างขาว

โรคด่างขาว มีลักษณะของจุดสีขาวบนผิวหนังเป็นหย่อม ๆ ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ มักปรากฏครั้งแรกที่ใบหน้า รอบดวงตา ปาก จมูก มือ อวัยวะเพศ และบริเวณรอบ ๆ ร่างกาย บางคนมีขนขาว เช่น ขนตา คิ้ว เครา หรือผมหงอกบนหนังศีรษะก่อนกำหนด รู้สึกคันและรู้สึกเจ็บปวด

วิธีรักษาโรคด่างขาว

แพทย์จะประเมินวิธีการรักษาโรคด่างขาวขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย และอาการทางผิวหนังมากน้อยเพียงใด มีวิธีรักษาดังนี้

  • การทานยา เพื่อลดการอักเสบ และรักษาภูมิคุ้มกัน
  • การทายา เพื่อกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานิน
  • การฉายแสงด้วยรังสียูวีบี ( UVB ) เพื่อช่วยฟื้นฟูสีผิว
  • การรักษาด้วยเลเซอร์ ทำให้เกิดการสร้างเม็ดสีผิวใหม่
  • การทำศัลยกรรม หรือการผ่าตัดปลูกถ่ายผิวหนัง อาจอาจเป็นตัวเลือกสุดท้าย หากการรักษาด้วยแสงและยาที่ใช้กับผิวหนังไม่ได้ผล

โรคด่างขาวรักษาหายขาดได้หรือไม่

หลายคนสงสัยว่าโรคด่างขาว รักษาหายไหม แพทย์ยื่นยันแล้วว่าโรคด่างขาวไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการของโรครุนแรง แต่สามารถป้องกันไม่ให้มีอาการที่รุนแรงได้ เช่น การทาครีมกันแดด ใช้เครื่องสำอางปกปิดผิว รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่เครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

โรคด่างขาวแม้ไม่เป็นอันตราย แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าความเครียดสะสมเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคด่างขาวได้มักจะปรากฏตั้งแต่อายุยังน้อยประมาณร้อยละ 30 ของคนเป็นโรคด่างขาวส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน บางรายเป็นโรคกลัวสังคม ขาดความมั่นใจ วิตกกังวล ประหม่า ไม่พูดคุยกับคนที่ไม่สนิท พบเห็นได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ว่านหางจระเข้ ประโยชน์ และการใช้เพื่อดูแลสุขภาพและความงามว่านหางจระเข้

0
ว่านหางจระเข้ ประโยชน์ และการใช้เพื่อดูแลสุขภาพและความงามว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้ ( Aloe Vera ) คือ พืชสมุนไพรที่อุดมไปด้วย Mannose และ Gibberellin มีกลไกการออกฤทธิ์ในการสมานแผลได้ดี
ว่านหางจระเข้ ประโยชน์ และการใช้เพื่อดูแลสุขภาพและความงามว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้ ( Aloe Vera ) คือ พืชสมุนไพรที่อุดมไปด้วย Mannose และ Gibberellin มีกลไกการออกฤทธิ์ในการสมานแผลได้ดี

ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้ ( Aloe Vera ) คือ พืชสมุนไพรพบได้ทั่วไปตามธรรมชาติพบสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มโพลีฟีนอลที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เกิดจากการติดเชื้อในร่างกาย ว่านหางจระเข้าสดในน้ำยางมีสารแอนทราควิโนนซึ่งเป็นตัวช่วยสมอนแผล ลดการอักเสบ ว่านหางจระเข้มากกว่า 300 สายพันธุ์ ว่านห่างจระเข้สรรพคุณเป็นที่นิยมนำมาใช้ในการรักษาโรคผิวหนัง แผลไฟไหม น้ำร้อนลวก ผิวไหม้จากแสงแดด ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบำรุงผิวหน้าผิวกาย สบู่ว่านหางจระเข้ทาหน้ารักษาสิว หรือนำเนื้อวุ้นของว่านหางจระเข้มามาทำเครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่นก็ได้

ประโยชน์ของว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้สด อุดมไปด้วย Mannose และ Gibberellin ซึ่งมีกลไกการออกฤทธิ์ คุณสมบัติการรักษาทางยาสมุนไพรมากมาย ได้แก่

  • ว่านหางจระเข้สรรพคุณ รักษาสิว ลดรอยดำรอยแดงจากสิวได้
  • ช่วยฆ่าเชื้อ
  • ช่วยเป็นยาระบาย
  • ช่วยลดการอักเสบ
  • ช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน
  • ช่วยรักษาตาปลาบริเวณเท้า
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณทั่วร่างกาย
  • ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
  • ช่วยลดรอยไหม้จากการฉายรังสี
  • ช่วยป้องกันผิวหนังจากรังสี UV
  • ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
  • ช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
  • ช่วยป้องกันความไวต่อแสงจากรังสียูวี
  • ช่วยกระตุ้นการเกิดใหม่ของเซลล์เนื้อเยื่อ
  • ช่วยรักษาแผลทั่วไป แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
  • ช่วยยับยั้งการทำงานของเชื้อรา แบคทีเรียและไวรัส
  • ช่วยป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น ทำให้แผลเป็นแลดูจางลง
  • ช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอ ( DNA ) ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
  • ช่วยกระตุ้นไฟโบรบลาสต์ที่ผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินทำให้ผิวยืดหยุ่น

ไม้ด่างว่านหางจระเข้ ราคาไม้ด่าง ว่านหางจระเข้แคระหาซื้อได้ที่ไหน

พืชอวบน้ำและเป็นไม้ฟอกอากาศขนาดเล็ก ลำต้นประมาณ 20 เซ็นติเมตร กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนรักไม้ด่าง ราคาว่านห่างจระเข้ด่างค่อนข้างแพงหาซื้อได้ตามตลาดต้นไม้ทั่วไปปลูกเป็นไม้ประดับ ไม้สะสม ปลูกเพื่อจำหน่วย ว่านหางจระเข้ชอบแสงแดด และต้องการน้ำเพียงสัปดาห์ละครั้งดูแลง่าย

ลักษณะของว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้ เป็นไม้ล้มลุกลำต้นเป็นข้อปล่องสีน้ำตาลสูงประมาณ 5 – 10 เซนติเมตร ใบทรงสามเหลี่ยมเรียวออกเป็นชั้นสลับกันยาวสูงประมาณ 25 – 40 เซนติเมตร ซึ่งมีตั้งแต่สายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กกว่า 10 เซนติเมตรไปจนถึงขนาดใหญ่ เปลือกนอกสีเขียวอ่อนไปเข้ม มีจุดสีขาวทรงรียาวบนเปลือกด้านนอก เนื้อในมีวุ้นใสเป็นเมือกเหนียว ขอบใบหยักมีหนามแหลมคม ดอกจะออกใต้ใบมีก้านรองรับดอกตั้งขึ้นส่วนด้านบนจะมีช่อดอกออกเรียงกันจากเล็กไปหาใหญ่บานช่วงฤดูหนาว ดอกจะมีสีแตกต่างกันตามสายพันธุ์ เช่น เหลืองสลับแดง เหลือง ขาว ส้ม และแดง เป็นต้น

สูตรทำมาส์กหน้าว่านหางจระเข้น้ำมันมะพร้าวใช้เอง

ส่วนผสมอัตราส่วน 1: 2 ช้อนโต๊ะ

  • น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นบริสุทธิ์ 1 ช้อนโต๊ะ
  • เจลว่านหางจระเข้สด 2 ช้อนโต๊ะ
  • ชามสำหรับผสม

วิธีทำมาส์กหน้าว่านหางจระเข้และน้ำมันมะพร้าว

  • นำเจลว่านหางจระเข้สดผสมเข้ากับน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นบริสุทธิ์
  • ใช้ช้อนคนส่วนผสมทั้งสองอย่างให้เข้ากันดี
  • ใช้แปรงทามาส์กให้ทั่วใบหน้าลำคอ ปล่อยทิ้งไว้ 5-10 นาที (อย่างทิ้งไว้นานเกินไปอาจระคายเคืองต่อผิวได้)
  • ล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วใช้ผ้านุ่มๆเช็ดให้แห้ง
  • ทามอยส์เจอไรเซอร์ปิดท้ายเพื่อบำรุงผิว

เมนูเด็ดที่คุณต้องร้องว้าว ทำจากว่านหางจระเข้สด

  • ว่านหางจระเข้ลอยแก้ว
  • วุ้นว่านหางจระเข้น้ำกะทิ
  • ว่านหางจรเข้ต้มน้ำตาล
  • สมูทตี้น้ำว่านหางจระเข้
  • ว่านหางจระเข้อบกรอบ
  • ว่านหางจระเข้เชื่อม
  • พล่าวุ้นว่านหางจระเข้ทะเล
  • น้ำผลไม้ผสมเนื้อว่านหางจระเข้สด
  • ชาเขียวผสมเนื้อว่านหางจระเข้

คุณค่าทางโภชนาการของว่านหางจระเข้สด

ว่านหางจระเข้ 100 กรัมให้พลังงาน 49 แคลอรี่

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
เถ้า 0.2 กรัม
เส้นใย 0.2 กรัม
น้ำ 88.3 กรัม
ไขมัน 0.6 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 10.9 กรัม
แคลเซียม 31 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 3 มิลลิกรัม
โซเดียม 22 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 12 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.1 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.06 มิลลิกรัม
วิตามินเอ   4.6 I.U
วิตามินซี 4.2 มิลลิกรัม
ไธอามีน 0.004 มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวีน 0.002 มิลลิกรัม
ไนอาซีน 0.038 มิลลิกรัม

ว่านหางจระเข้ข้อควรระวัง

แม้ว่าว่านหางจระเข้สดจะมีสรรพคุณใช้งานที่หลากหลายคนส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแพ้ บางคนแพ้ว่านหางจระเข้สดอาจเกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้ เช่น ทำให้เกิดผื่นแดง แสบร้อนบริเวณผิวหนัง หากคุณไม่แน่ใจว่าแพ้ว่านหางจระเข้หรือไหมควรทำการทดสอบทาบริเวณผิวอ่อน เช่น ข้อพับแขน ท้องแขน ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วเช็ดออกหากไม่พบอาการแสบร้อนก็แสดงว่าไม่แพ้ว่านหางจระเข้ Aloe vera

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ไฝเกิดจากอะไร เกิดตำแหน่งไหนได้บ้าง เอาไฝออกอย่างไร

0
ไฝเกิดจากอะไร เกิดตำแหน่งไหนได้บ้าง เอาไฝออกอย่างไร
ไฝ ( Mole ) เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ในผิวหนังที่สร้างเม็ดสีเติบโตเป็นกลุ่มก้อน มีการกระจายของเซลล์เม็ดสีทั่วผิวหนังและผลิตเมลานินเป็นเม็ดสีธรรมชาติบนผิวหนัง พบตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ไฝเกิดจากอะไร เกิดตำแหน่งไหนได้บ้าง เอาไฝออกอย่างไร
ไฝ ( Mole ) เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ในผิวหนังที่สร้างเม็ดสีเป็นก้อนโต มีการกระจายของเซลล์เม็ดสีทั่วผิวหนังและผลิตเมลานินเป็นเม็ดสีธรรมชาติบนผิวหนัง

ไฝ

ไฝ ( Mole ) หรือขี้แมลงวันเกิดขึ้นจากเซลล์ในผิวหนังที่สร้างเม็ดสีเติบโตเป็นกลุ่มก้อน มีการกระจายของเซลล์เม็ดสีทั่วผิวหนังและผลิตเมลานินเป็นเม็ดสีธรรมชาติบนผิวหนังของเรา ซึ่งมีขนาดเล็กประมาณ 6 มิลลิเมตร ลักษณะกลมนูนหรือเรียบมีสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำรวมถึงไฝแดง ส่วนใหญ่มักพบตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ไฝที่หน้า ไฝที่คอ ไฝที่หลัง ไฝใต้ตา ไฝที่ปาก ไฝที่มือ ไฝที่คาง และไฝที่จมูก โดยไฝอาจมีมาตั้งแต่กำเนิดและจะสังเกตได้ชัดขึ้นในช่วงวัยเด็ก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้สูงอายุเช่นเดียวกัน

ลักษณะของไฝ

ไฝไม่แสดงอาการเจ็บปวด แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนัง ได้แก่

  • ไฝจะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามตัว เป็นวงรี หรือกลม
  • ไฝใหม่จะปรากฏขึ้นใกล้กับไฝที่มีลักษณะปกติ
  • ไฝมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง เช่น ผิวขรุขระไม่สม่ำเสมอ
  • ไฝมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะของสี เช่น สีน้ำตาล สีดำ หรือสีชมพู
  • สีของไฝขยายออกไปเกินขอบ และเข้าสู่ผิวหนัง
  • ไฝที่มีขนาดใหญ่กว่า 6 มิลลิเมตร
  • ไฝที่มีลักษณะเป็นสีแดง หรืออักเสบบริเวณขอบ
  • รู้สึกคัน บวมแดง หรือรู้สึกเจ็บ
  • ไฝมีเลือดซึมออกมา

หากคุณมีอาการใด ๆ ข้างต้นให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมของแต่ละคนไฝเกิดตำแหน่งไหนได้บ้างพบได้บ่อยที่สุดบริเวณ เช่น ใบหน้า คิ้ว ต้นคอ หลังหู หน้าอก แผ่นหลัง รักแร้ ขาท่อนล่าง ใต้ฝ่าเท้า เป็นต้น

สาเหตุของการเกิดไฝ

  • ไฝเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น การตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือน
  • ร่างกายของคุณตอบสนองต่อยาที่ระงับระบบภูมิคุ้มกันของคุณหรือยาปฏิชีวนะฮอร์โมนหรือยากล่อมประสาท
  • มีตอบสนองต่อยาที่ต่อต้านระบบภูมิคุ้มกัน
  • การถูกแสงแดเผาขณะอาบแดด
  • ครอบครัวมีประวัติเป็นไฝผิดปกติ
  • การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม
  • คนผิวขาวโดยกำเนิด
  • อายุที่เพิ่มมากขึ้น

การรักษาหรือเอาไฝออก

  • การจี้ไฟฟ้า
  • การแต้มกรด TCA ( Trichloroacetic Acid )
  • การผ่าตัด

อาการแทรกซ้อนของไฝ

เซลล์ในผิวหนังที่สร้างเม็ดสี อาจทำให้บางคนมีความเสี่ยงสูงที่ไฝจะกลายเป็นมะเร็งผิวหนัง ซึ่งมีปัจจัยดังนี้

  • มีไฝขนาดใหญ่ตั้งแต่กำเนิด ซึ่งเสี่ยงต่อการพัฒนาเป็นมะเร็งผิวหนังได้ในอนาคต
  • ไฝที่ปรากฏกับคนในครอบครัวมีความผิดปกติ มีขนาดใหญ่กว่าปกติ มักเป็นกรรมพันธุ์มีความเสี่ยงสูงในการพัฒนาเป็นเนื้องอก และมะเร็งมากกว่าบุคคลอื่น

การป้องกันการเกิดไฝ

  • หลีกเลี่ยงการอาบแสงแดดที่แรงในระหว่าง 10:00 ถึง 16:00 นาฬิกา
  • ทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด
  • ควรสวมเสื้อผ้าที่มีแขน หรือสวมหมวกปีกกว้างขณะออกแดด
  • งดทำกิจกรรมกลางแจ้งขณะแดดแรง

ไฝที่มีมาแต่กำเนิดมีขนาดใหญ่ขึ้น เปลี่ยนสี เปลี่ยนรูปร่าง และรู้สึกเจ็บปวดอาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ พบได้ในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ แม้ไฝจะไม่เป็นอันตรายหากมีการเปลี่ยนที่ผิดปกติ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยอาการเบื้องต้นอาจต้องทำการทดสอบตามระดับเพื่อยื่นยันว่าไฝกลายเป็นมะเร็งผิวหนังในระยะแรกหรือไม่

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

อาหาร 5 หมู่ มีอะไรบ้าง และแหล่งอาหารของแต่ละหมู่

0
อาหารหลัก 5 หมู่ มีอะไรบ้าง และแหล่งอาหารของแต่ละหมู่
การบริโภคอาหารที่หลากหลายมุ่งเน้นการได้รับสารอาหารในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างเหมาะสม

อาหาร 5 หมู่

อาหาร 5 หมู่ เป็นแนวทางการบริโภคอาหารที่สำคัญซึ่งเน้นการให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลายและเพียงพอ เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตและการทำงานที่เหมาะสมของร่างกาย โดยอาหารที่แบ่งออกเป็น 5 หมู่ ได้แก่ ข้าวและแป้ง, เนื้อสัตว์, ผัก, ผลไม้, และนม ซึ่งแต่ละหมู่มีคุณค่าทางโภชนาการที่แตกต่างกันไป การบริโภคอาหารจากทุกหมู่จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและช่วยป้องกันการขาดสารอาหารที่อาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว

สารอาหารมีกี่ประเภท

สารอาหารที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตด้วยการกิน ซึ่งช่วยสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างการ รวมทั้งระบบการย่อย โดยสารอาหารจะถูกแบ่งออกเป็นอาหารหลักดังนี้

  • อาหารหลักหมู่ที่ 1 ประกอบด้วยเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง
  • อาหารหลักหมู่ที่ 2 ประกอบด้วยมันเทศ ควินัว ข้าวกล้อง ข้าว แป้ง เผือกมัน น้ำตาล
  • อาหารหลักหมู่ที่ 3 ประกอบด้วยฟักทอง มันเทศสีเหลือง ถั่วฝักยาว ผักบุ้ง ตำลึง แครอท คะน้า
  • อาหารหลักหมู่ที่ 4 ประกอบด้วยผัก ผลไม้ ส้มโอ ลูกพีช องุ่น เสาวรส มะละกอ กล้วย แอปเปิ้ล
  • อาหารหลักหมู่ที่ 5 ประกอบด้วยครีม เนย ชีส น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันงา น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันปาล์ม

โภชนาการอาหาร 5 หมู่ ที่เหมาะสมต่อวัน

  • โปรตีน สำหรับผู้ใหญ่ที่แนะนำต่อวัน คือ ระหว่าง 46 – 63 กรัม และสำหรับหญิงตั้งครรภ์ให้นมบุตรต้องการโปรตีนมากถึง 65 กรัมต่อวัน
  • คาร์โบไฮเดรต สำหรับผู้ใหญ่ที่แนะนำต่อวัน คือ ระหว่าง 45 – 65 กรัม
  • เกลือแร่หรือแร่ธาตุ สำหรับผู้ใหญ่ที่แนะนำต่อวัน คือ ระหว่าง 920 – 2300 มิลลิกรัม
  • วิตามิน สำหรับผู้ใหญ่ที่แนะนำต่อวัน คือ ระหว่าง 60 มิลลิกรัม และสำหรับหญิงตั้งครรภ์ให้นมบุตรต้องการวิตามินประมาณ 70 – 96 มิลลิกรัม
  • ไขมัน สำหรับผู้ใหญ่ที่แนะนำต่อวันประมาณ 70 กรัม

แหล่งอาหาร 5 หมู่ ที่สำคัญได้แก่

หมู่ 1 โปรตีน ( เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว )

อาหารหลักหมู่ที่ 1 คือ อาหารประเภทโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแระ ถั่วดำ ถั่วลิสง ผลิตผลที่ได้จากถั่ว เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง ซึ่งโปรตีนที่มีความจำเป็นต่อการทำงานของร่างกายช่วยการเจริญเติบโตของร่างกาย สร้างกล้ามเนื้อ ฟื้นฟูกล้ามเนื้อและซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนที่สึกหรอ คำแนะนำการบริโภคโปรตีนที่เหมาะสม สำหรับคนทั่วไปควรได้รับโปรตีน 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และคนออกกำลังกาย ควรได้รับโปรตีน 2-3 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

หมู่ 2 คาร์โบไฮเดรต ( ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มัน )

อาหารหลักหมู่ที่ 2 คือ อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ได้จาก มันเทศ ควินัว ข้าวกล้อง เป็นแหล่งพลังงานหลักของระบบประสาทและสมอง เมื่อร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตจะแบ่งเป็นน้ำตาลขนาดเล็ก คือ กลูโคส และฟรุกโตสที่ลำไส้เล็กสามารถดูดซึมไปใช้ได้ ซึ่งจะเข้าสู่กระแสเลือดไปยังตับ ตับจะเปลี่ยนน้ำตาลทั้งหมดเป็นกลูโคส ซึ่งไหลผ่านกระแสเลือดพร้อมกับอินซูลิน และแปลงเป็นพลังงานสำหรับการทำงานของร่างกายช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ คำแนะนำการบริโภคคาร์โบไฮเดรตที่เหมาะสม สำหรับคนทั่วไป ควรได้รับคาร์โบไฮเดรต 3 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และคนออกกำลังกาย ควรได้รับโปรตีน 2-3 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

หมู่ 3 เกลือแร่หรือแร่ธาตุ ( พืชผัก )

อาหารหลักหมู่ที่ 3 ที่ได้จากผักใบสีเขียว ผักสีเหลืองเป็นแหล่งรวมเกลือแร่และแร่ธาตุแก่ร่างกาย เช่น ฟักทอง มันเทศสีเหลือง ถั่วฝักยาว ผักบุ้ง ตำลึง แครอท คะน้า แตงกวา บวบ ฟักเขียว ผักกาดขาว ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย ป้องกันการบาดเจ็บของร่างกาย ช่วยปกป้องกระดูกแตกหัก และช่วยป้องกันฟันผุ

หมู่ 4 วิตามิน ( ผลไม้ )

อาหารหลักหมู่ที่ 4 ที่ได้จากผลไม้ชนิดต่าง ๆ อุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญช่วยป้องกันโรค ลดคอเลสเตอรอล ช่วยในระบบย่อยอาหาร ได้แก่ ส้มโอ ลูกพีช องุ่น เสาวรส มะละกอ กล้วย แอปเปิ้ล ส้ม ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ควรกินผลไม้และผลไม้อย่างน้อยให้ถึง 400 กรัมต่อคนต่อวัน ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ

หมู่ 5 ไขมัน ( ไขมันจากพืชและสัตว์ )

อาหารหลักหมู่ที่ 5 โดยแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ไขมันอิ่มตัว และไขมันไม่อิ่มตัว ส่วนใหญ่ไขมันที่ได้จากสัตว์ เช่น น้ำมันหมู น้ำมันไก่ น้ำมันจากวัว ครีม เนย ชีส และไขมันจากพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันงา น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นแหล่งให้พลังงานและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย สามารถช่วยในการดูดซึมของวิตามินบางชนิด ช่วยป้องกันการบาดเจ็บของอวัยวะภายในร่างกาย ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ ช่วยป้องกันเส้นประสาท

การรับประทานสารอาหารหลัก 5 หมู่ ที่อุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่หรือแร่ธาตุ วิตามิน และไขมัน เท่านั้นอาจยังไม่เพียงพอสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำมาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสุขภาพที่ดีลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังร้ายแรงในอนาคตได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ตาปลา เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร

0
ตาปลา เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร
ตาปลา ( Corns ) เกิดจากชั้นผิวหนังบริเวณที่มีกระดูกโดยเฉพาะนิ้วเท้าหรือฝ่าเท้า มีการเสียดสีหรือกดทับมากเกินไป จนเป็นผิวหนังหนาและแข็ง
ตาปลา เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร
ตาปลา ( Corns ) เกิดจากชั้นผิวหนังบริเวณที่มีกระดูกโดยเฉพาะนิ้วเท้าหรือฝ่าเท้า มีการเสียดสีหรือกดทับมากเกินไป จนเป็นผิวหนังหนาและแข็ง

ตาปลา

ตาปลา ( Corns ) เกิดจากชั้นผิวหนังบริเวณที่มีกระดูกโดยเฉพาะนิ้วเท้าหรือฝ่าเท้า มีการเสียดสี หรือแรงกดทับซ้ำ ๆ มีลักษณะเป็นผิวหนังหนาค่อนข้างกลมตรงกลางมีจุดสีดำและแข็งทำให้รู้สึกเจ็บเมื่อมีการเสียดสีกับรองเท้าเป็นระยะเวลานานมักพบได้ที่ข้อต่อนิ้วเท้า ฝ่าเท้า

อาการของตาปลา

  • ผิวหนังหนาเป็นก้อน มีสีเหลืองและเหนียว
  • รู้สึกเจ็บเมื่อสวมใส่รองเท้า
  • ผิวหนังแห้งกราน
  • รู้สึกเจ็บบริเวณเกิดตาปลา

สาเหตุของการเกิดตาปลา

ตาปลาเกิดจากแรงกดทับ หรือแรงเสียดทานที่มากเกินไป เช่น การสวมใส่รองเท้าที่เล็กเกินไป หลวมเกินไป หรือสูงเกินไป

การดูแลรักษาตาปลา

  • ควรล้างเท้าเป็นประจำทุกวัน
  • ใช้หินขัดถูเบา ๆ บริเวณผิวแห้งกร้าน
  • เลือกรองเท้าที่พอดีกับเท้าของคุณเพื่อลดการเกิดตาปลา
  • ควรสวมถุงเท้าเพื่อป้องกันการเสียดสีของเท้า
  • หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูงที่สูงเกินไป
  • เสริมด้วยอุปกรณ์ เช่น ซิลิโคนปลายเปิดกันรองเท้ากัดด้านข้าง และฝ่าเท้าส่วนหน้า แผ่นเจลกันรองเท้ากัด

หากมีตาปลาขึ้นควรสวมถุงเท้าหนา ๆ และเปลี่ยนรองเท้าที่เหมาะกับเท้ามีฟองน้ำรองรับการเสียดสี เพราะตาปลาอาจทำให้เป็นแผลกัดทับเส้นประสาทมีผลกระทบต่อการเดิน ยืน หรือวิ่งออกกำลังกายได้เช่นกัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

หูด เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร

0
หูด เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร
หูด ( Warts ) เป็น โรคติดต่อเกิดจากเชื้อไวรัส Human Papilloma ( HPV ) มีลักษณะเป็นติ่งเนื้อแข็งยื่นออกมาจากผิวหนังมีจุดสีดำ แพร่กระจายได้จากการสัมผัสทางผิวหนัง
หูด เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร
หูด ( Warts ) เป็น โรคติดต่อเกิดจากเชื้อไวรัส Human Papilloma ( HPV ) มีลักษณะเป็นติ่งเนื้อแข็งยื่นออกมาจากผิวหนังมีจุดสีดำ แพร่กระจายได้จากการสัมผัสทางผิวหนัง

หูด

หูด ( Warts ) คือ การเจริญเติบโตของผิวหนังที่ผิดปกติ หูดเกิดจากเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) หรือ ไวรัสฮิวแมนแพพพิลโลมา (Human papillomavirus) ทำให้ผิวหนังชั้นบนหนาขึ้นหูดสามารถแพร่กระจายได้จากการสัมผัสทางผิวหนัง ทางเพศสัมพันธ์โดยตรงกับผู้ที่เป็นหูดหรือใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว มีดโกนหนวด กัดเล็บ หูดมีหลายประเภท คือ หูดหงอนไก่ หรือหูดอวัยวะเพศ หูดข้าวสุก หูดที่นิ้ว หูดชนิดทั่วไป หูดที่ฝ่าเท้าและฝ่ามือ หูดชนิดแบนราบ หูดคนตัดเนื้อ หูดที่เป็นติ่ง มักพบในเด็กและวัยรุ่น หูดสามารถเจริญเติบโตในพื้นที่อับชื้นได้เป็นอย่างดี

ลักษณะของหูดแต่ละประเภท

หูดแต่ละประเภทมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • หูดชนิดทั่วไป (Common warts) คือ หูดที่พบบ่อยเป็นตุ่มเล็กๆ นูนขึ้นบนผิวหนังสัมผัสแล้วรู้สึกผิวหยาบไม่สม่ำเสมอ และมักเกิดขึ้นโดยทั่วไปหูดที่นิ้ว หูดที่เท้า หูดที่เข่า ใบหน้า มากที่สุด
  • หูดที่ฝ่าเท้าและฝ่ามือ (Plamar warts and Plantar warts)
  • หูดชนิดแบนราบ (Plane warts, Flat warts)
  • หูดหงอนไก่ หรือหูดอวัยวะเพศ (Condyloma accuminata)
  • หูดข้าวสุก (Molluscum Contagiosum)
  • หูดคนตัดเนื้อ (Butcher’s warts)
  • หูดที่เป็นติ่ง (Filiform warts)

อาการของหูด

ลักษณะของหูดขึ้นอยู่กับประเภทพบบ่อย คือ

  • มีติ่งนูนยื่นขึ้นมาบนผิวหนังขนาดหูดประมาณ 10 มิลลิเมตร
  • มีผิวหยาบ หรือผิวเรียบ
  • หูดเกิดขึ้นทั้งเป็นตุ่มเดี่ยว และเป็นกลุ่ม
  • มีอาการคัน

หูกเกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง

หูดเกิดจากการที่ร่างกายติดเชื้อไวรัสเอชพีวีนี้มีมากกว่า 100 ชนิดที่ทำให้เกิดหูดโดยส่วนใหญ่แล้วไม่ได้อันตราย แต่เชื้อไวรัส HPV บางสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศหญิง ซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

หูดเกิดที่ตำแหน่งไหนได้บ้าง

หูดเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยมักจะเติบโตตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ พบที่นิ้วมือ หูดสามารถเกิดได้หลายที่ เช่น หูดที่นิ้วมือ หูดที่เท้า หูดที่มือ หูดที่นิ้ว หูดที่ลิ้น หูดที่หน้า หูดที่อวัยวะเพศ หูดในปาก หูดที่คอ

รักษาหูด

แพทย์จะแนะนำหนึ่งในวิธีการรักษาต่อไปนี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งการเกิดหูดของแต่ละบุคคล มีวิธีดังนี้

  • การทายาบริเวณผิวหนังที่เป็นหูด เหมาะสำหรับเด็กจะทำให้ไม่เจ็บปวด
  • การใช้กรดซาลิไซลิกทาบริเวณหูดอย่างสม่ำเสมอทุกวัน จะช่วยให้หูดหลุดออก
  • การฉีดยา ใช้สำหรับการรักษาหูดที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาวิธีอื่น
  • การใช้ไนโตรเจนเหลว
  • การรักษาด้วยเลเซอร์
  • การผ่าตัด

การป้องกันหูด

เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดหูดมีวิธีการป้องกัน ดังนี้

  • ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ Human Papilloma
  • ล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ โดยเฉพาะหากมีการสัมผัสกับคนที่เป็นหูด
  • หลีกเลี่ยงการถูกหูดที่ตำแหน่งใหม่
  • ควรเช็ดมือ และเท้าให้แห้ง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหูดกับผู้ที่เป็นหูดหงอนไก่โดยตรง
  • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับคนอื่น
  • หลีกเลี่ยงการตัด แกะ กัดเล็บ หรือโกนหนวดบริเวณที่มีหูดข้าวสุก
  • ควรใส่รองเท้าเวลาอาบน้ำเพื่อป้องกันหูดที่เท้า หูดตาปลา

หูดรักษาอย่างไร? ยังเป็นข้อสงสัยสำหรับหลายคนแม้เป็นโรคที่ไม่อันตรายแต่เชื้อไวรัสเอชพีวี Human Papilloma ( HPV ) บางสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศหญิง ซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก หากคุณสงสัยว่าเป็นหูดหรือไม่ควรสังเกตลักษณะของหูดที่เกิดขึ้น สามารถรักษาได้ด้วยวิธีที่บทความนี้แนะนำข้างต้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

พริกชี้ฟ้า ประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารและสุขภาพ

0
พริกชี้ฟ้า ประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารและสุขภาพ
พริกชี้ฟ้า ประโยชน์ และเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ
พริกชี้ฟ้า ( Cayenne Pepper ) มีสารแคปไซซินเป็นสารที่ทำให้พริกมีรสเผ็ดร้อนและมีกลิ่นฉุน สามารถลดความอ้วนหรือควบคุมน้ำหนัก และอุดมไปด้วยวิตามินเอ

พริกชี้ฟ้า

พริกชี้ฟ้า (Cayenne Pepper) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Capsicum annuum อยู่ในวงศ์ Solanaceae พบได้ทั่วไปในทุกภูมิภาคของประเทศไทย เป็นพืชไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 50-100 เซนติเมตร อายุ 1-3 ปี รสชาติเผ็ดปานกลาง ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด เติบโตได้ดีในดินร่วนปนทรายและชอบแสงแดด ควรปลูกห่างกันประมาณ 50 x 50 เซนติเมตร ผลผลิตสามารถเก็บได้ใน 2-3 เดือน ราคาของพริกชี้ฟ้ามักสูงขึ้นในช่วงฤดูแล้ง (เมษายน – พฤษภาคม) โดยเฉพาะพริกชี้ฟ้าแดงที่ราคาสามารถพุ่งสูงถึง 150-400 บาทต่อกิโลกรัม

ลักษณะของพริกชี้ฟ้า

ลักษณะของพริกชี้ฟ้าพริกชี้ฟ้ามีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้พุ่มลำต้นเดี่ยวแตกกิ่งกานออกรอบ ๆ ลำต้น กิ่งแก่มีสีน้ำตาล ใบเดี่ยวเรียวยาวปลายใบแหลมฐานใบสอบ ขอบใบเรียบ ดอกเดี่ยวชี้ขึ้นออกดอกตามตาใบส่วนยอดมี 5 กลีบ ออกดอกตลอดปี ผลทรงกลมยาว ปลายเรียวแหลม โค้งงอ ผิวเปลือกหนาลื่นเป็นมัน ผลดิบของพริกชี้ฟ้ามีสีเขียวเข้ม ผลสุกมีสีแดง ภายในผลกลวงมีแกนกลาง จะมีเมล็ดกลมแบนเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อนเกาะแกนอยู่มากมาย ราก เป็นระบบรากแก้ว มีลักษณะกลมๆ แทงลึกลงในดิน มีรากแขนงและรากย่อย รากออกตามรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล

ประโยชน์ของพริกชี้ฟ้า

พริกชี้ฟ้าอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสูงโดยเฉพาะวิตามินซี เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยให้ผิวใส เนียน นุ่มลื่นอย่างเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรมากมาย ได้แก่

  • ช่วยป้องกันโรคหวัด
  • ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
  • ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยลดกรดในกระเพาะ
  • ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
  • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
  • ช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
  • ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง
  • ช่วยปรับระดับ และควบคุมระดับคอเลสเตอรอล
  • ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของกระเพาะอาหาร และการย่อยอาหาร

คุณค่าทางโภชนาการพริกชี้ฟ้า

คุณค่าทางโภชนาการพริกชี้ฟ้าพริกชีฟ้า 100 กรัม ให้พลังงาน 129 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
น้ำ 63.8 เปอร์เซ็นต์
ไขมัน 0.5 กรัม
โปรตีน 1.5 กรัม
เส้นใย 2.2 กรัม
วิตามินซี 204 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 1917 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.07 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.01 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.1 มิลลิกรัม
แคลเซียม 103 กรัม
ฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.5 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 29.8 กรัม

เมนูอาหารจากพริกชี้ฟ้า

  • ส้มตำ
  • แกงป่าไก่
  • ไข่เจียวพริกชี้ฟ้า
  • น้ำพริกตาแดง
  • ผัดกระเพราหมูสับ ไก่ กุ้ง ปลาหมึก
  • ผัดคะน้าหมูกรอบ
  • ผัดพริกแกงถั่ว

พริกชีฟ้าอยู่คู่ครัวไทยมาอย่างยาวนาน นิยมนำมาประกอบอาหารคาวช่วยให้มีรสชาติเผ็ดร้อน มีกลิ่นหอม ใช้เป็นเครื่องปรุงในเมนูรสจัดมากมายใช้ได้ทั้งพริกชี้ฟ้าเขียว และพริกชี้ฟ้าแดง เพียงแค่ทานพริกชี้ฟ้าอย่างเป็นประจำดีต่อสุขภาพยังสามารถลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งและโรคหัวใจได้อีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แอปเปิ้ลไซเดอร์ หรือน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ล ประโยชน์ต่อสุขภาพ

0
แอปเปิ้ลไซเดอร์ หรือน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ล ประโยชน์ต่อสุขภาพ
แอปเปิ้ลไซเดอร์ เป็น น้ำส้มสายชูหมักที่ผลิตจากการนำน้ำแอปเปิ้ลสดหรือน้ำแอปเปิ้ลมาหมักรวมกับยีสต์ จนกลายเป็นแอลกอฮอล์ มีเอนไซม์และแร่ธาตุจากธรรมชาติอุดมไปด้วยสารอาหารมากที่สุด
แอปเปิ้ลไซเดอร์ หรือน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ล ประโยชน์ต่อสุขภาพ
แอปเปิ้ลไซเดอร์ เป็น น้ำส้มสายชูหมักที่ผลิตจากแอปเปิ้ลสดหมักรวมกับยีสต์ มีเอนไซม์และแร่ธาตุจากธรรมชาติที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากที่สุด

แอปเปิ้ลไซเดอร์

น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ล ( Apple Cider Vinegar หรือ ACV ) หรือ แอปเปิ้ลไซเดอร์ คือ น้ำส้มสายชูหมักที่ผลิตจากการนำน้ำแอปเปิ้ลสดหรือน้ำแอปเปิ้ลมาหมักรวมกับยีสต์ จนกลายเป็นแอลกอฮอล์ โดยในกระบวนการนี้จะเกิดกรดอะซิติก ( Acetic Acid ) หรือกรดน้ำส้ม ซึ่งเป็นสารชีวภาพจากการบ่มหรือหมัก ทำให้แอปเปิ้ลไซเดอร์มีรสเปรี้ยวและมีกลิ่นเฉพาะตัว และมีประโยชน์มากมาย ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ เช่น เพคติน ( Pectin ) ไบไอติน ( Biotin ) กรดโฟลิก วิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 โซเดียม แคลเซียม โพแทสเซียม และธาตุเหล็ก

ประโยชน์ของแอปเปิ้ลไซเดอร์

  1. ช่วยลดความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
  2. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  3. ช่วยระบบย่อยอาหาร แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
  4. ช่วยลดน้ำหนักและ ช่วยลดความอยากอาหาร
  5. ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
  6. ช่วยความจำให้ดีขึ้น
  7. แก้โรคคัน กำจัดรังแค แก้ผมแตกปลาย
  8. ช่วยชะลอการเจริญของเซลล์มะเร็ง
  9. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย

รู้จักมาเธอร์คุณประโยชน์ที่คาดไม่ถึง

มาเธอร์ ( Mother  ) คือส่วนที่มีสารอาหารมากที่สุด และดีต่อระบบย่อยอาหารอย่างมาก สิ่งนี้ทำให้น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ล แตกต่างจากน้ำส้มสายชูทั่วไปในท้องตลาด มีคุณสมบัติเป็นกรดสูง มีรสเปรี้ยวจัด มีสีเหลืองคล้ายน้ำชา มีเส้นใยบาง ๆ ลอยอยู่ ซึ่งไม่มีการผ่านความร้อนจึงยังคงเอนไซม์และแร่ธาตุจากธรรมชาติไว้อย่างครบถ้วน 

วิธีทำน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์

วัตถุดิบ และอุกรณ์

  1. แอปเปิ้ล 6 ผล เลือกที่ค่อนข้างมีรสเปรี้ยวอมหวาน และไม่หวานจนเกินไป
  2. หัวเชื้อหรือแม่เชื้อ ( mother หรือ มาเธอร์ ) 2 ช้อนโต๊ะ ( ผงยีสต์ละลายน้ำหรือน้ำหัวเชื้อไซเดอร์เข้มข้นที่มีเส้นใย ) หรือไม่มีจะไม่ใส่ก็ได้
  3. น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำสะอาด
  5. โหลแก้ว
  6. ผ้าขาวบาง
  7. ยางสำหรับรัดปากโหล

ขั้นตอนการทำน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์

  1. ล้างแอปเปิ้ลให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง 
  2. ผ่าแอปเปิ้ลเป็นชิ้น ( ผลละ 8-12 ชิ้น ) ใส่ในโหล
  3. ใส่น้ำผึ้งและหัวเชื้อลงไปในโหล ( หัวเชื้อจะช่วยเร่งในกระบวนการหมักให้เร็วขึ้น )
  4. เติมน้ำเปล่าลงไปให้ท่วมแอปเปิ้ล
  5. ปิดโหลด้วยผ้าขาวบาง วางไว้ในที่ที่มีอาการสถ่ายเทสะดวก มีอุณภูมิอุ่นๆ และไม่ให้สัมผัสแสงแดด เป็นเวลา 2 สัปดาห์ 
  6. เมื่อกระบวนการหมักดำเนินอย่างถูกต้องจะเกิดฟองหรือฝ้า ให้เปิดฝาและหมั่นคนส่วนผสมทุกวัน หากมีราขาวๆขึ้นให้ช้อนออก (ราสีขาวไม่อันตราย ถ้าเป็นราสีดำหรือเทาให้เททิ้งทั้งหมดแล้วเริ่มทำใหม่)
  7. เมื่อผ่านไป 2 สัปดาห์ สีของน้ำจะเข้มข้นขึ้นจนเป็นสีน้ำตาล จากนั้นให้กรองเอาแต่น้ำใส่ขวดโหลที่แห้งและสะอาด แล้วปิดปากขวดโหลด้วยผ้าขาวบางอีกครั้ง แล้ววางไว้ในที่ที่มีอาการสถ่ายเทสะดวก มีอุณภูมิอุ่นๆ และไม่ให้สัมผัสแสงแดด เป็นเวลาอีก 2 สัปดาห์ ( รวมเวลาลาการหมักทั้งสิ้น 1 เดือน )
  8. ลองชิมรสชาติ ว่ามีรสชาติของน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ หรือไม่
  9. เมื่อครบกระบวนการหมัก อาจมีวุ้นสีขาวขุ่น นิ่มๆ เกิดขึ้นด้านบน เราสามารถใช้เป็นหัวเชื้อในการหมักครั้งต่อไปได้
  10. หลังจากนั้นนำน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ที่เรียบร้อยแล้วเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อหยุดกระบวนการหมัก

น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ มีเอนไซม์ครบถ้วนจากธรรมชาติ และยังเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในทางวิทยาศาสตร์ว่า เป็นหนึ่งในอาหารธรรมชาติที่ดี ต่อสุขภาพ ยังมีส่วนช่วยให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้ร่างกายของมนุษย์สามารถรักษาและซ่อมแซมตัวเองได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม