โรคดักแด้ ( Epidermolysis Bullosa )

0
โรคดักแด้ ( Epidermolysis Bullosa )
โรคดักแด้ ( Epidermolysis Bullosa ) คือ โรคความผิดปกติของผิวหนังที่พบได้ยากมากผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีผิวหนังแห้งแตก ผิวหนังเปาะบาง และเกิดการติดเชื้ออย่างรุนแรง
โรคดักแด้ ( Epidermolysis Bullosa )
โรคดักแด้ ( Epidermolysis Bullosa ) คือ โรคความผิดปกติของผิวหนังที่พบได้ยากมากผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีผิวหนังแห้งแตก ผิวหนังเปาะบาง และเกิดการติดเชื้ออย่างรุนแรง

โรคดักแด้

โรคดักแด้ ( Epidermolysis Bullosa ) คือ โรคความผิดปกติของผิวหนังที่พบได้ยากมากผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีผิวหนังแห้งแตก ผิวหนังเปราะบาง และเกิดการติดเชื้ออย่างรุนแรง เนื่องจากโปรตีนในเยื่อบุที่รองรับเซลล์ทำงานผิดปกติในชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ผิวหนังแยกออกจากกัน มักเกิดขึ้นในเด็กหรือเรียกว่า ” เด็กดักแด้ ” เป็นโรคทางพันธุกรรมสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก

ลักษณะการกลายพันธุ์ของโรคดักแด้

1. การสืบทอดทางพันธุกรรมแบบยีนส์เด่นบนออโตโซม ( Autosomal Dominant Inheritance ) ผู้ป่วยได้รับยีนกลายพันธุ์มาจำนวน 1 ยีน อาจมาจากทางพ่อ หรือทางแม่ทางใดทางหนึ่ง
2. การสืบทอดทางพันธุกรรมแบบยีนส์ด้อยบนออโตโซม ( Autosomal Recessive Inheritance) ผู้ป่วยได้รับยีนกลายพันธุ์จากพ่อและแม่ โดยยีนทั้ง 2 จะต้องเกิดการกลายพันธุ์ที่เหมือนกัน

อาการของโรคดักแด้

  • ผู้ป่วยตัวแดง
  • เกิดตุ่มพุพองตามผิวหนัง
  • ผิวเปราะบางหลุดลอกง่าย
  • ผิวแห้งตกสะเก็ดไปทั้งตัว
  • เจ็บบริเวณผิวหนัง
  • ผิวหนังแห้งตึงและหดตัวจนเกิดการดึงรั้ง
  • ตาปลิ้น
  • ปากปลิ้น
  • เกิดแผลที่เยื่อเมือกและอวัยวะภายใน
  • เล็บเปราะง่าย
  • ฟันผุและเกิดแผลซ้ำที่รอบปาก 

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยโรคดักแด้

  • เลี่ยงการถูหรือสัมผัสผิวหนังแรง ๆ
  • หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่รัด หรือเสียดสีผิวหนัง
  • สวมเสื้อผ้าที่ทำมาจากเส้นใยผ้าฝ้าย เพื่อลดความร้อนในร่างกาย
  • ควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เย็นสบาย หลีกเลี่ยงแสงแดด เพื่อให้เหงื่อออกน้อย
  • ไม่ควรแกะ แคะ หรือเกาผิวหนัง รวมทั้งเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ผิวหนังได้รับบาดเจ็บหรือถูกเสียดสี
  • ไม่ควรเดินระยะไกล เนื่องจากจะทำให้เกิดตุ่มพองน้ำใสขึ้นที่ฝ่าเท้าได้
  • เลือกรองเท้าที่สวมใส่สบายและพอดีเท้า ไม่มีที่เสริมส้นอยู่ภายในรองเท้า

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

โรคดักแด้ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : www.pobpad.com [2 พฤษภาคม 2562].

โรคคางทูม ( Mumps ) คืออะไร

0
โรคคางทูม ( Mumps ) คืออะไร ?
โรคคางทูม ( Mumps ) คือ โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสมักจะเกิดขึ้นในวัยเด็กคางทูมสามารถแพร่กระจายได้ง่าย โดยละอองสารคัดหลั่งจากน้ำลายที่เข้าไปในจมูกผ่านการสูดดม
โรคคางทูม ( Mumps ) คืออะไร ?
โรคคางทูม ( Mumps ) คือ โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสมักจะเกิดขึ้นในวัยเด็กคางทูมสามารถแพร่กระจายได้ง่าย โดยละอองสารคัดหลั่งจากน้ำลายที่เข้าไปในจมูกผ่านการสูดดม

คางทูมคืออะไร?

โรคคางทูม ( Mumps ) คือ โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสมักจะเกิดขึ้นในวัยเด็กคางทูมสามารถแพร่กระจายได้ง่าย โดยละอองสารคัดหลั่งจากน้ำลายที่เข้าไปในจมูกผ่านการสูดดมโรคนี้มักใช้เวลา 2 ถึง 3 สัปดาห์จึงจะปรากฏอาการดังต่อไปนี้

อาการของโรคคางทูม

  • มีไข้สูง ( 38 องศาเซลเซียส หรืออาจสูงกว่า )
  • ปวดศีรษะ
  • อ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร
  • อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • กระหายน้ำ
  • ปวดบริเวณข้างแก้มและใบหู
  • อาการปวดเวลาขยับขากรรไกร
  • ต่อมน้ำลายจะบวมมากขึ้นในเวลา 1-3 วัน

สาเหตุของโรคคางทูม

โรคคางทูมเกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มพารามิกโซ ไวรัส ( paramyxovirus ) โดยเชื้อจะอยู่ในน้ำลายของผู้ป่วย และติดต่อถึงกันผ่านการไอ จามรดกัน รวมทั้งสัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนน้ำลายของผู้ป่วย
แพทย์วินิจฉัยโรคคางทูมได้จากประวัติอาการและการตรวจร่างกายแต่ที่แน่นอน คือ จากการตรวจหาไวรัสจากน้ำลายสารคัดหลั่งในช่องปาก เก็บตัวอย่างปัสสาวะ จากการเจาะน้ำไขสันหลัง หรือตรวจสารก่อภูมิต้านทานในเลือด

การรักษาโรคคางทูม

  • รักษาตามอาการอาจให้ยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ
  • การนอนพัก 2-3 วัน หรือจนกว่าอาการไข้จะลดลง
  • ประคบเย็นหรือร้อนบริเวณที่บวมเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด 

ภาวะแทรกซ้อนของโรคคางทูม

โรคคางทูมทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายอย่าง มักพบบ่อยในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก

  • เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือเป็นไข้สมองอักเสบได้ เนื่องจากเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดทำให้เชื้อโรคเข้าสู่เยื่อหุ้มสมองจึงทำให้มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง
  • การอักเสบของอัณฑะหนึ่งหรือทั้งสองข้าง เมื่อผู้ชายเป็นโรคคางทูมจะมีอาการอักเสบที่อัณฑะเจ็บปวด และรู้สึกอึดอัดอาจทำให้เป็นหมัดได้
  • การอักเสบของเนื้อเยื่อเต้านม
  • การอักเสบของต่อมน้ำลายหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
  • มดลูกอักเสบ การอักเสบของรังไข่หนึ่งหรือทั้งสองข้างหากผู้หญิงเป็นโรคคางทูมจะมีอาการปวดท้องน้อย
  • การอักเสบของตับอ่อน
  • อาการหูหนวก เนื่องจากคางทูมอยู่ใกล้ระบบประสาทหูอาจส่งผลกระทบต่อการได้ยินได้

การป้องการโรคคางทูม

โรคคางทูมสามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน ซึ่งต้องฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 9 ถึง 12 เดือน และต้องฉีดซ้ำอีกครั้งในช่วง อายุ 4 ถึง 6 ปี

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
www.hopkinsmedicine.org
www.thaihealth.or.th (สสส)

ไข้หูดับ หรือโรคติดเชื้อ สเตรฟโตคอกคัส ซูอิส ( Streptococcus Suis )

0
ไข้หูดับ หรือโรคติดเชื้อ สเตรฟโตคอกคัส ซูอิส ( Streptococcus suis )
ไข้หูดับ หรือโรคติดเชื้อ สเตรฟโตคอกคัส ซูอิส ( Streptococcus suis ) คือ เชื้อที่ทำให้สุกรป่วย และตายบ่อย ซึ่งในโรคนี้เป็นการติดต่อจากหมูสู่คนได้
ไข้หูดับ หรือโรคติดเชื้อ สเตรฟโตคอกคัส ซูอิส ( Streptococcus suis )
ไข้หูดับ หรือโรคติดเชื้อ สเตรฟโตคอกคัส ซูอิส ( Streptococcus suis ) คือ เชื้อที่ทำให้สุกรป่วย และตายบ่อย ซึ่งในโรคนี้เป็นการติดต่อจากหมูสู่คนได้

ไข้หูดับ หรือโรคติดเชื้อ สเตรฟโตคอกคัส ซูอิส คือ

ไข้หูดับ หรือโรคติดเชื้อ สเตรฟโตคอกคัส ซูอิส ( Streptococcus suis ) คือ เชื้อที่ทำให้สุกรป่วย และตายบ่อย ซึ่งในโรคไข้หูดับเป็นการติดต่อจากหมูสู่คนได้ ผู้ป่วยที่พบเป็นกลุ่มชายวัยกลางคน และผู้สูงอายุ กว่าครึ่งของผู้ป่วยมีประวัติดื่มสุราเป็นประจำ มักพบว่ามีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไต มะเร็ง ยังมีประวัติการรับประทานลาบ หลู้ ส้า ดิบ มีรายงานพบผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมถึง 19 ตุลาคม 2561 มีผู้ป่วยโรคไข้หูดับแล้ว 274 ราย เสียชีวิต 26 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไป รองลงมาอายุ 45-54 ปี ภาคที่มีผู้ป่วยมากที่สุดคือ ภาคเหนือ จำนวน 199 ราย หรือเกือบ 3 ใน 4 ของผู้ป่วยทั้งหมด จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ พะเยา อุตรดิตถ์ กำแพงเพช นครสวรรค์ และสระแก้ว

ผู้ที่เสี่ยงติดเชื้อโรคไข้หูดับ

    1. ผู้ที่สัมผัสกับหมูที่ติดโรคโดยตรง เช่น ผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อหมู และผู้ที่รับประทานเนื้อหมูดิบ เป็นต้น
    2. กลุ่มที่เสี่ยงจะมีอาการป่วยรุนแรงหากติดเชื้อ ได้แก่ ผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ไต มะเร็ง หัวใจ ผู้ที่เคยตัดม้ามออก เป็นต้น
    3. การสัมผัสเนื้อหมู เลือดดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ ของหมูที่ป่วย

อาการโรคไข้หูดับ

    • เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะเวลาฟักตัว 3-5 วัน
    • เวียนหัวจนทรงตัวไม่ได้
    • ปวดหัวอย่างรุนแรง
    • ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
    • อาเจียน
    • หูหนวก
    • คอแข็ง
    • ท้องเสีย
    • กรณีที่เชื้อติดเข้าสู่กระแสเลือดจะส่งผลกระทบไปถึงเยื่อหุ้มสมองจะทำให้เกิดอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ม่านตาอักเสบ
    • ประสาทหูชั้นในทั้ง 2 ข้าง จะทำให้เกิดอาการเป็นหนองบริเวณปลายประสาทรับเสียงและประสาททรงตัว จึงทำให้เกิดอาการหูดับ หูตึง จนถึงขั้นทำให้เกิดอาการหูหนวกตามมาในที่สุด

วิธีป้องกันโรคไข้หูดับ

1. ปรุงอาหารที่ทำจากเนื้อหมูให้สุกจนทั่วต้องไม่มีสีแดง
2. ควรเลือกซื้อเนื้อหมูที่ไม่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากโรงฆ่าสัตว์
3. ผู้ที่สัมผัสกับหมูที่ติดโรค โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อหมู สัตวบาล สัตวแพทย์ ควรสวมรองเท้า บู๊ทยาง สวมถุงมือ รวมถึงสวมเสื้อที่รัดกุมระหว่างทำงาน
4. หากมีบาดแผลต้องปิดแผลให้มิดชิด
5. ล้างมือหลังสัมผัสกับหมูทุกครั้ง

ข้อควรระวัง หากมีอาการดังที่กล่าวมาข้างต้นให้รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที และบอกอาการที่เป็นประวัติการกินหรือสัมผัสกับหมูที่เป็นโรค เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

กรมควบคุมโรค https://ddc.moph.go.th/th/site/newsview/view/978

โรคสังคัง ( Tinea Cruris )

0
โรคสังคัง ( Tinea Cruris )
โรคสังคัง ( Tinea Cruris ) เป็นโรคเชื้อราผิวหนังที่พบได้บ่อยจากเชื้อรา พบได้มากในภูมิอากาศร้อนชื้น ทำให้เกิดอาการคันในร่มผ้า ผื่นแดงอาจเป็นแผ่น หรือเป็นวง
โรคสังคัง ( Tinea Cruris )
โรคสังคัง ( Tinea Cruris ) เป็นโรคเชื้อราผิวหนังที่พบได้บ่อยจากเชื้อรา พบได้มากในภูมิอากาศร้อนชื้น ทำให้เกิดอาการคันในร่มผ้า ผื่นแดงอาจเป็นแผ่น หรือเป็นวง

สังคัง

สังคัง ( Tinea Cruris ) หรือ โรคกลากที่บริเวณขาหนีบและลามมาที่อวัยวะเพศ เป็นโรคเชื้อราผิวหนังที่พบได้บ่อยจากเชื้อราในกลุ่ม Dermatophyte โดยเป็นโรคที่พบได้มากในภูมิอากาศร้อนชื้น พบในผู้ใหญ่มากกว่าในเด็ก และพบในผู้ชายมากกว่าในผู้หญิงเป็น 3 เท่า

การติดเชื้อรานั้น เกิดจากการติดเชื้อรามาจากบริเวณอื่นของร่างกายตนเอง เช่น ติดมาจากเชื้อราบริเวณ มือ เท้า หรือติดมาจากสิ่งของที่ใช้ร่วมกับผู้มีเชื้อรานี้ เช่น ผ้าขนหนู เสื้อผ้า หวี กรรไกรตัดเล็บ เป็นต้น

โรคสังคังเกิดจากอะไร

สังคังเกิดจากการติดเชื้อราในกลุ่มเดอมาโทไฟท์ (Dermatophytes) เช่น เดียวกับโรคกลาก ซึ่งเชื้อเหล่านี้ปกติจะอาศัยอยู่บนผิวหนัง เล็บ และเส้นผม เมื่อผิวหนังมีความชื้นบ่อยๆและอุณหภูมิสูง ทำให้เชื้อราเจริญเติมโตได้ดีจนเกิดการติดเชื้อลุกลามไปยังบริเวณผิวหนังใกล้เคียง หรือแแพร่กระจายติดผู้อื่น

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคสังคัง โรคสังคังเกิดจากอะไร

1. เหงื่อและความอับชื้นจะทำให้เชื้อราเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนมากขึ้น เช่น นักกีฬาที่เหงื่อออกมาก
2. พบในคนอ้วนที่ขาเบียดชิด ทำให้เกิดกลิ่นอับ และมีเหงื่อออกมากตามบริเวณจุดอับของร่างกาย
3. พบในผู้ป่วยเบาหวานที่รางกายติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ

อาการโรคสังคัง

อาการของโรคสังคัง คือ ผื่นแดงอาจเป็นแผ่น หรือเป็นวง มีผื่นแดงคัน มีขุย ขอบของผื่นนูนชัด ขึ้นกับชนิดย่อยของเชื้อรา Dermatophyte ผื่นมักมีอาการคัน และ แสบ บริเวณขาหนีบ อวัยวะเพศ หัวหน่าว รอบปากทวารหนัก
หากมีผื่นแดง คัน โดยเฉพาะที่ขาหนีบ และผื่นไม่หายไป หรือเป็นมากขึ้นควรพบแพทย์ผิวหนัง

ยารักษาโรคสังคัง

1. ยาทา เช่น ยา Ketoconazole, Clotrimazole โดยทาผื่นให้ทั่วหลังอาบน้ำ เช้า-เย็น เป็นเวลานานประมาณ 2-4 สัปดาห์
2. ยารับประทาน ใช้ในกรณีที่รอยโรคมีขนาดกว้าง โรคเป็นเรื้อรัง และ/หรือไม่ตอบสนองต่อยาทา ซึ่งควรต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งยาให้ ยาที่ใช้ในการรักษาเช่น Griseofluvin, Ketocona zole, Itraconazole, Terbinafine ซึ่งยาแต่ละตัวมีผลข้างเคียง เช่น ท้องผูก คลื่นไส้ ท้องเสีย วิงเวียน อาเจียน นอนไม่หลับ ตับอักเสบ และแพ้ยา และระยะเวลาในการรักษาต่างกัน จึงจำ เป็นต้องสั่งยาโดยแพทย์ และรวมทั้งราคายาก็แตกต่างกันด้วย โดยทั่วไประยะเวลาในการรักษาประมาณ 1-4 สัปดาห์ 

ผลข้างเคียงจากโรคสังคัง

ผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนจากโรคสังคัง มีดังต่อไปนี้
1. อาการคันในร่มผ้า
2. แผลถลอกเกิดติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
3. ติดเชื้อราชนิดแคนดิดา ( Candida ) ซ้ำซ้อน
4. เจ็บที่ผื่น อาจมีหนอง มีรอยดำของผื่นหลังการอักเสบ

รักษาโรคสังคัง และการป้องกัน

1. ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น กรรไกรตัดเล็บ หวี เสื้อผ้า แปรงสีฟัน ผ้าขนหนู ชุดชั้นใน
2. สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
3. ในกรณีที่มีเชื้อราที่เท้า หรือ โรคกลาก ฮ่องกงฟุต ร่วมด้วย ควรสวมถุงเท้าก่อนสวมกางเกงชั้นใน เพื่อป้องกันการพาเชื้อราจากเท้าไปที่บริเวณขาหนีบ
4. หลังอาบน้ำ ให้เช็ดบริเวณขาหนีบให้แห้งด้วยผ้าขนหนูแยกชิ้นจากที่เช็ดบริเวณอื่น แล้วจึงค่อยทายา
5. ลดน้ำหนักตัว ไม่ให้ขาเบียดจนเกิดจุดอับชื้น
6. ทำความสะอาดแผลเบาหวาน
7. หมั่นล้างมือให้สะอาด ก่อนสัมผัสจุดติดเชื้อ เพื่อป้องกันเชื้อโรคแพร่กระจาย
8. หมั่นทำความสะอาดเสื้อผ้า เครื่องนุ่มห่ม ผ้าปูที่นอน ด้วยการซักและตากแดดจัดเป็นประจำ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Guideline of management for superficial fungal infection : สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์
Dermatophyte ;

Center of Disease control and prevention ;

http://www.cdc.gov/fungal/dermatophytes/ [2013,Nov25].

ปรียา กุลละวณิชย์, ประวิตร พิศาลบุตร บรรณาธิการ. ตำราโรคผิวหนังในเวชปฏิบัติปัจจุบัน Dermatology 2010 พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ โฮลิสติก พับลิชชิ่ง. 2548, 231-234.

โรคตาแดง ( Conjunctivitis )

0
โรคตาแดง ( conjunctivitis )
โรคตาแดง ( conjunctivitis ) คือ อาการที่เกิดจากการอักเสบหรือการติดเชื้อของเยื่อบุที่บริเวณลูกตา อาจเป็นแบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรัง สาเหตุหลักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ และเชื้อไวรัส
โรคตาแดง ( conjunctivitis )
โรคตาแดง ( conjunctivitis ) คือ อาการที่เกิดจากการอักเสบหรือการติดเชื้อของเยื่อบุที่บริเวณลูกตา อาจเป็นแบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรัง

โรคตาแดง

โรคตาแดง ( conjunctivitis ) คือ อาการที่เกิดจากการอักเสบหรือการติดเชื้อของเยื่อบุที่บริเวณลูกตา สังเกตได้ชัดจากอาการเจ็บและตาแดงที่คลุมหนังตาบนและล่างรวมเยื่อบุตาที่คลุมตาขาว โรคตาแดงอาจเป็นแบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรัง สาเหตุหลักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ และเชื้อไวรัส มักจะติดต่อทางมือ ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวโดยมากใช้เวลาหาย 2 สัปดาห์ ตาแดงจากโรคภูมิแพ้มักจะเป็นตาแดงเรื้อรัง มีการอักเสบของหนังตา ตาแห้ง การใช้คอนแทคเลนส์หรือน้ำยาล้างตาก็เป็นสาเหตุของตาแดงเรื้อรังได้เช่นกัน

สาเหตุของโรคตาแดง

  • โรคตาแดงเกิดจากการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งของผู้ป่วยตาแดง เช่น น้ำตา ขี้ตาที่ติดอยู่ตามสิ่งของ พื้นผิวต่างๆ หรือในน้ำแล้วมาสัมผัสที่ตา
  • การใช้ของส่วนตัวร่วมกันกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แว่นตา เครื่องสำอาง
  • การเล่นน้ำในที่ท่วมขังและสกปรก
  • การได้รับเชื้อโรคจากพาหะ เช่น แมลงหวี่ แมลงวัน

อาการของโรคตาแดง

  • คันตาเป็นหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
  • มีขี้ตาใส สีขาว หรือขุ่น
  • รู้สึกเคืองตาเหมือนมีเม็ดฝุ่นเล็กๆอยู่ในตา
  • ปวดตา แสบตา แพ้แสง

โรคตาแดง คือ อาการที่เกิดจากการอักเสบหรือการติดเชื้อของเยื่อบุที่บริเวณลูกตา สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เยื่อบุตาอักเสบ และเชื้อไวรัส

การป้องกันโรคตาแดง

  • ไม่ควรใช้มือขยี้ตา
  • ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ
  • ไม่คลุกคลีใกล้ชิด หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย
  • ควรล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังการหยอดยาเสมอ
  • ถ้ามีฝุ่นละออง หรือน้ำสกปรกเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที
  • อย่าปล่อยให้แมลงหวี่ หรือแมลงวันตอมตา
  • หมั่นดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ให้สะอาดอยู่เสมอ
  • ไม่ควรใช้ยาหยอดตาร่วมกับผู้อื่น
  • ใส่แว่นตาป้องกันแสงแดด

การรักษาโรคตาแดง

โรคตาแดงมักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ และส่วนใหญ่อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น ควรหยุดเรียน หรือหยุดงานอย่างน้อย 3 วัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรค รักษาตาแดงตามอาการ เช่น

  • แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ หรือยาหยอดตา และอาจมียาป้ายตา
  • การใช้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดอาการคัน ยาลดปวด
  • การประคบเย็นสามารถช่วยลดการอักเสบได้ รวมถึงการหยอดน้ำตาเทียม

ถึงแม้โรคตาแดงจะไม่อันตราย แต่พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกปีมากกว่าแสนรายทั่วประเทศ และพบในผู้ป่วยทุกวัยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นเด็กเล็กและเด็กวัยเรียน โรคนี้มักพบในช่วงหน้าฝน ซึ่งมีสภาพอากาศชื้นและเหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อโรคเป็นอย่างดี

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Conjunctivitis (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.allaboutvision.com [13 พฤษภาคม 2562].
Pink eye (conjunctivitis) (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.allaboutvision.com [13 พฤษภาคม 2562].
โรคตาแดงระบาด (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://beid.ddc.moph.go.th ( กรมควบคุมโรค ) [13 พฤษภาคม 2562].

โรคปอดบวม ( Pneumonia )

0
โรคปอดบวม ( Pneumonia )
โรคปอดบวม ( Pneumonia ) เป็น การติดเชื้อที่ทำให้ถุงลมพองตัวในปอดหนึ่งหรือทั้งสองข้าง บางครั้งถุงอากาศอาจเติมด้วยของเหลวหรือหนอง
โรคปอดบวม ( Pneumonia )
โรคปอดบวม ( Pneumonia ) เป็น การติดเชื้อที่ทำให้ถุงลมพองตัวในปอดหนึ่งหรือทั้งสองข้าง บางครั้งถุงอากาศอาจเติมด้วยของเหลวหรือหนอง

โรคปอดบวม

โรคปอดบวม ( Pneumonia ) คือ การติดเชื้อที่ทำให้ถุงลมพองตัวในปอดหนึ่งหรือทั้งสองข้าง บางครั้งถุงอากาศอาจเติมด้วยของเหลวหรือหนองทำให้เกิดอาการไอมีเสมหะหรือหนองปนออกมาด้วย มีไข้หนาวสั่นหายใจลำบากเกิดจากเชื้อแบคทีเรียไวรัสและเชื้อราสามารถทำให้เกิดโรคปอดบวมได้ โรคปอดบวมจะอันตรายมากหากเกิดขึ้นในทารก เด็กเล็ก ผู้ที่อายุมากกว่า 65 ปี ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ หรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแออาการที่ไม่รุนแรงมักคล้ายคนึงกับอาการหวัดหรือไขหวัดใหญ่

สาเหตุของปอดบวม

    • การติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคปอดบวม
    • การติดเชื้อไวรัส
    • การติดเชื้อรา

อาการปอดบวม

    • เจ็บหน้าอกขณะหายใจหรือไอ
    • ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการน้ำมูกไหล จาม คัดจมูกนำมาก่อน
    • มีไข้สูง เหงื่อออกและหนาวสั่น
    • หายใจหอบเหนื่อย
    • เมื่อยล้า
    • คลื่นไส้อาเจียน
    • ท้องเสีย
    • อ่อนเพลีย
    • เบื่ออาหาร
    • อาการไอแห้งๆ หรือมีเสมหะเหนียว

โรคปอดบวม ( Pneumonia ) เป็นการติดเชื้อที่ทำให้ถุงลมพองตัวในปอดหนึ่งหรือทั้งสองข้าง บางครั้งถุงอากาศอาจเติมด้วยของเหลวหรือหนองทำให้เกิดอาการไอมีเสมหะหรือหนองปน

ผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคปอดบวม

    • ผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 65 ปี
    • เด็กทารก
    • ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
    • ผู้ที่ได้รับเคมีบำบัดหรือทานยาที่ยับยั้งระบบภูมิคุ้มกัน

วิธีการรักษาโรคปอดบวม

    • การรักษาตามอาการทั่วไป เช่น ให้ยาลดไข้
    • การรักษาปอดบวมที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย การให้ยาปฏิชีวนะ
    • การรักษาปอดบวมที่เกิดจากเชื้อไวรัส หากมีภาวะแทรกซ้อนควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

สำหรับผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาหัวใจล้มเหลวหรือปอดเรื้อรัง อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตกระทันหันได้เช่นกัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

โรคปอดบวม (ออนไลน์). สืบค้นจาก : www.mayoclinic.org [11 พฤษภาคม 2562]

โรคซิฟิลิส ( Syphilis )

0
โรคซิฟิลิส ( Syphilis )
โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งมีขนาดเล็กมาก และสามารถอาศัยอยู่ได้เกือบทุกส่วนในร่างกาย
โรคซิฟิลิส ( Syphilis )
โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งมีขนาดเล็กมาก และสามารถอาศัยอยู่ได้เกือบทุกส่วนในร่างกาย

โรคซิฟิลิส

โรคซิฟิลิส ( Syphilis ) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือ กามโรค ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ชื่อว่า ทริปโปนีมา พัลลิดุม ( Treponema Pallidum) มีขนาดเล็กและสามารถอาศัยอยู่ได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย เชื้อแบคทีเรียโรคซิฟิลิสนี้ หากส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์จะเห็นเชื้อตัวนี้มีลักษณะเหมือนเกลียวสว่าน ( Spirochete Bacteria ) 

สถิติการพบเชื้อโรคซิฟิลิสเมื่อต้นปี 2562 จากพบว่าในปัจจุบันประเทศไทยติดโรคซิฟิลิสเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มชายรักชาย โรคซิฟิลิส มีอัตราการติดเชื้อเพิ่มจาก 2.29 ต่อประชากรแสนคนในปี 2552 เป็น 11.91 ต่อประชากรแสนคนในปี 2561 ซึ่งถือว่าจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับโรคอื่น

โรคซิฟิลิสติดต่อกันได้อย่างไร

คนเราสามารถรับเชื้อซิฟิลิสได้ 3 ทาง คือ

1. ซิฟิลิสติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันตัวเอง ไม่ใช้ถุงยางอนามัย โดยเชื้อโรคซิฟิลิสจะฝังตัวและติดต่อผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด หรือ ท่อปัสสาวะ

2. ซิฟิลิสติดต่อผ่านการสัมผัสแผลที่มีเชื้อ โดยผ่านทางผิวหนัง เยื่อบุตา ปาก

3. ซิฟิลิสติดต่อจากแม่สู่ลูก โดยหากมารดาเป็นซิฟิลิส จะถ่ายทอดโรคนี้สู่ทารกในครรภ์ได้ โดยเรียกเด็กที่เป็นซิฟิลิสจากสาเหตุนี้ว่า ซิฟิลิสแต่กำเนิด ( Congenital Syphilis ) จะแสดงอาการหลังคลอดได้ 3-8 สัปดาห์ และเป็นอาการเล็กน้อยมาก จนแทบไม่ทันได้สังเกต เช่น มีตุ่มผื่นขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มาออกอาการมาก ๆ เข้าเมื่อตอนโต ซึ่งก็เข้าสู่ระยะที่สี่แล้ว หรือบางคนอาจแสดงอาการพิการออกมาให้เห็นได้ชัด

อาการของผู้ติดเชื้อโรคซิฟิลิส

อาการของโรคซิฟิลิสระยะที่ 1

ในระยะติดเชื้อระยะที่ 1 ที่มักเรียกว่า ” แผลริมแข็ง ” ( Chancre ) บริเวณช่องคลอด ทวารหนัก องคชาต บริเวณรอบองคชาต หรือ ปาก อาจมีแผลเดียวหรือหลาย ๆ แผลก็ได้ ไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองโตในระยะนี้ด้วย แผลริมแข็ง จะหายไปภายใน 3-6 สัปดาห์ แม้ว่าจะไม่ได้รับการรักษาก็ตาม แต่เชื้อจะยังคงแฝงตัวอยู่ในร่างกาย อาการของโรคก็จะกำเริบรุนแรงกว่าเดิมเมื่อเข้าสู่ระยะถัดไปเชื้อซิฟิลิสสามารถแพร่กระจายได้ง่ายมากในระยะแรก อีกทั้งผู้ติดเชื้อในระยะนี้มักจะไม่แสดงอาการให้เห็นชัดเจน ไม่มีอาการเจ็บปวด หรือแผลที่เกิดขึ้นอยู่ในบริเวณที่มองไม่เห็น เช่น ในปาก ใต้หนังหุ้มปลายองคชาต ปากมดลูก หรือที่ทวารหนัก ทำให้ผู้ติดเชื้ออาจไม่รู้ตัวและแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น

อาการของโรคซิฟิลิสระยะที่ 2

ผู้ป่วยซิฟิลิสจะเริ่มแสดงอาการมากขึ้น โดยมีผื่นขึ้นตามฝ่ามือและฝ่าเท้า แต่ไม่มีอาการคัน นอกจากนี้อาจมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว รู้สึกอ่อนเพลีย ผมร่วง มีผื่นในระยะนี้ จะยังเป็นผื่นจาง ๆ มีลักษณะคล้ายผดผื่นที่เกิดจากการติดเชื้อทั่วไป บางรายอาจมีแผลบริเวณริมฝีปาก ในปาก ในลำคอ ช่องคลอด และ ทวารหนักร่วมด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้ติดเชื้อในระยะนี้จะไม่มีแผลเกิดขึ้นเลย อาการในระยะที่ 2 นี้จะหายไปเองได้ แม้ไม่ได้รับการรักษา แต่อาการของโรคก็จะรุนแรงมากขึ้นอีก และเชื้อซิฟิลิสยังคงแพร่กระจายได้ง่ายในระยะที่ 2 นี้ระยะแฝงเชื้อ ระยะนี้เริ่มขึ้นหลังจากอาการของระยะที่หนึ่งและระยะที่สองผ่านไปแล้ว หากผู้ติดเชื้อยังไม่ได้รับการรักษา อาการต่าง ๆ ของโรคจะหายไป แต่เชื้อจะยังคงแฝงตัวอยู่ภายในร่างกาย และอยู่ต่อไปได้นานหลายปีหรือตลอดชีวิตโดยไม่แสดงอาการใด ๆ

อาการของโรคซิฟิลิสระยะที่ 3

หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยประมาณ 15% จะเข้าสู่ระยะสุดท้ายของโรคซิฟิลิส และแสดงอาการแม้จะผ่านไปแล้ว 10-20 ปี หลังจากที่ได้รับเชื้อ เนื่องจากเชื้อได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกาย และค่อยๆ ทำลายอวัยวะภายในร่างกาย ได้แก่ ดวงตา หัวใจ ไขสันหลัง สมอง เส้นประสาท ปอด ตับ กระดูก เส้นเลือด ทำให้ผู้ติดเชื้อซิฟิลิสในระยะสุดท้ายมีอาการป่วยทางจิต สมองเสื่อม การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อไม่สัมพันธ์กัน อาจเป็นอัมพาต ไม่สามารถเดินได้ตามปกติ ตัวชา ตาบอดลงทีละน้อย และเสียชีวิต

วิธีรักษาโรคซิฟิลิส

ข้อแนะนำวิธีรักษาสำหรับโรคซิฟิลิส คือ การใช้ยาเพนิซิลลิน ( Penicillin ) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่ง โดยสรรพคุณของเพนิซิลลินนั้นอยู่ที่ความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่าทรีโพนีมา แพลลิดัม ( Treponema pallidum ) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคซิฟิลิสนั่นเอง
ในช่วงการรักษา แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะจบการรักษา และผลตรวจเลือดของผู้ป่วยก็ต้องได้รับการยืนยันว่าหายขาดแน่นอนแล้ว
นอกจากนี้ แพทย์ยังอาจแนะนำให้ผู้ป่วยแจ้งคู่นอนของตนเพื่อเข้ามารับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้อง รวมทั้งอาจให้ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี ( HIV ) เนื่องจากการป่วยเป็นโรคซิฟิลิสนั้นจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีที่สูงขึ้น

ผลกระทบจากการติดเชื้อซิฟิลิส

  1. ผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ทำให้เป็นบุคคลน่ารังเกียจเพราะมีโรคติดต่อ หากไม่รีบเข้ารับการรักษา จะไม่สามารถรักษาได้อีกเลยจนกระทั่งเสียชีวิต
  2. การติดเชื้อซิฟิลิส ทำให้ความสามารถต่าง ๆ ลดลงทีละน้อย
  3. หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อและไม่ได้รับการรักษา มีความเสี่ยงสูงที่ทารกในครรภ์จะได้รับอันตราย เสียชีวิตในครรภ์ หรือเสียชีวิตหลังคลอด และยังอาจทำให้เกิดการแท้งบุตรได้ นอกจากนี้เชื้อซิฟิลิสยังส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ติดเชื้อเอชไอวีได้ง่ายเมื่อมีแผลเกิดขึ้น หรือเมื่อแผลซิฟิลิสมีเลือดออกและไปสัมผัสเข้ากับเชื้อเอชไอวี
  4. โรคหลอดเลือดสมองแตก ตีบ ตัน หรือฉีกขาด ( Stroke )
  5. โรคเยื่อหุ้มไขสันหลังอักเสบ ( Meningitis )
  6. การได้ยินผิดปกติ
  7. การมองเห็นผิดปกติ
  8. โรคความจำเสื่อม 

วิธีการป้องกันโรคซิฟิลิส

  1. วิธีการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุดคือ การงดมีเพศสัมพันธ์ แต่หากคุณเลือกที่จะมีเพศสัมพันธ์ คุณจำเป็นต้องป้องกันตัวเองด้วยการใช้ถุงยางอนามัย
  2. และพยายามไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ รวมทั้ง ทั้งนี้แม้การใช้ถุงยางอนามัยจะสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ แต่หากพบว่ามีแผลหรือผื่นเกิดขึ้นบริเวณอื่นนอกเหนือจากบริเวณที่สวมถุงยางอนามัย ก็จะต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ไปก่อน จนกว่าคุณหรือคู่ของคุณจะได้รับการรักษาเสร็จสิ้นแล้ว
  3. เมื่อมีปัจจัยเสี่ยงมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง ต้องสวมใส่ถุงยางอนามัย แม้ oral sex ก็ต้องใส่ถุงยางอนามัย
  4. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการใช้สารเสพติด เพราะเป็นปัจจัยให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์แบบเสี่ยง
  5. อย่าเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หากจริงจังจริงใจ จับมือกันมาตรวจเพื่อความสบายใจ อย่ารอตอนท้อง จนบริจาคเลือดแล้วเพิ่งมาเจอผลเลือด
  6. เวลาเสี่ยงมา แนะนำให้ตรวจทุกโรค เช่น เอชไอวี ซิฟิลิส ไวรัสตับบี ไวรัสตับซี
  7. หากมีอาการผิดปกติ ให้รีบไปพบแพทย์ อย่าซื้อยากินเอง อย่าปล่อยทิ้งไว้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Krishna Wood White, Syphilis ( https://kidshealth.org )

Bangrak STIs Center (โรงพยาบาลบางรัก)

https://www.rsat.info

โรคอีสุกอีใส ( Chickenpox / Varicella )

0
โรคอีสุกอีใส ( Chickenpox / Varicella )
โรคอีสุกอีใส ( Chickenpox / Varicella ) คือ เชื้อที่เกิดจากไวรัสที่ทำให้เกิดผื่นคันที่มีตุ่มเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยของเหลวสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้สำหรับผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคนี้หรือไม่ได้รับวัคซีนป้องกัน
โรคอีสุกอีใส ( Chickenpox / Varicella )
โรคอีสุกอีใส ( Chickenpox / Varicella ) คือ เชื้อที่เกิดจากไวรัสที่ทำให้เกิดผื่นคันที่มีตุ่มเล็ก ๆ ที่มีของเหลว สามารถติดต่อได้

อีสุกอีใส คืออะไร

โรคอีสุกอีใส ( Chickenpox / Varicella ) คือ เชื้อที่เกิดจากไวรัสที่ทำให้เกิดผื่นคันที่มีตุ่มเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยของเหลวสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้สำหรับผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคนี้หรือไม่ได้รับวัคซีนป้องกัน ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นได้บ่อยในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี แต่ก็อาจพบได้ในผู้ใหญ่ซึ่งมีความรุนแรงกว่าเด็กอย่างไรก็ตามสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยอัตราส่วนเพศชาย 1 เท่ากับ เพศหญิง 1.02 เป็นกันมากในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายนของทุกปี 

สาเหตุของการเกิดอีสุกอีใส

การติดเชื้ออีสุกอีใสเกิดจากไวรัส มันสามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับผื่น ตุ่มที่มีของเหลวนอกจากนี้ยังสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นโดยผู้ป่วยมีอาการไอหรือจาม และผู้อยู่ใกล้สูดดมละอองอากาศที่มีเชื้ออีสุกอีใสเข้าสู่ร่างกาย การติดเชื้ออีสุกอีใสปรากฏ 10 ถึง 21 วันหลังจากได้รับเชื้อไวรัสและมักจะใช้เวลาประมาณ 5-10 วัน ถึงจะแสดงอาการอื่น ๆ ซึ่งอาจปรากฏก่อนผื่น 1-2 วัน

โรคอีสุกอีใส ( Chickenpox / Varicella ) คือ เชื้อที่เกิดจากไวรัสที่ทำให้เกิดผื่นคันที่มีตุ่มเล็ก ๆ มีของเหลวภายในตุ่ม สามารถติดต่อกันได้

อาการของอีสุกอีใส

  • ผื่นแดง
  • อาการวิงเวียนศีรษะ
  • หัวใจเต้นเร็ว
  • หายใจถี่
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • อาการไอ จาม
  • อาเจียน
  • มีไข้สูงกว่า 38.9 ํC

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอีสุกอีใส

  • หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส
  • ทารกแรกเกิด และทารกที่มารดาไม่เคยมีโรคอีสุกอีใสหรือวัคซีน
  • วัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน
  • คนที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส
  • ผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง
  • คนที่สูบบุหรี่
  • ผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • ผู้ป่วยที่เคยใช้ยา เช่น เคมีบำบัด ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วย HIV
  • ผู้ที่กำลังใช้ยาสเตียรอยด์
  • ผู้ป่วยโรคหอบหืด

ภาวะแทรกซ้อนของอีสุกอีใส

โรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่ไม่รุนแรง แต่อาจร้ายแรงและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน

  • การติดเชื้อแบคทีเรียของผิวหนังเนื้อเยื่ออ่อนกระดูกข้อต่อหรือกระแสเลือด ( การติดเชื้อ )
  • ภาวะการขาดน้ำและเกลือแร่
  • โรคปอดบวม
  • การอักเสบของสมอง ( โรคไข้สมองอักเสบ )
  • กลุ่มอาการช็อกพิษ
  • ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด

การวินิจฉัยโรคอีสุกอีใส

โรคอีสุกอีใสได้โดยตรวจดูตุ่มผื่นและพิจารณาอาการอื่น ๆ แพทย์สามารถสั่งยาเพื่อลดความรุนแรงของโรคอีสุกอีใสและรักษาโรคแทรกซ้อนหากจำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อสู่ผู้อื่นหรือผู้ใกล้ชิด 

การป้องกันโรคอีสุกอีใส

ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสให้ครบ 2 เข็ม โดยเริ่มฉีดเข็มแรกได้ตั้งแต่อายุประมาณ 1 ปี ( 12-15 เดือน ) และฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4 – 6 ปี หากผู้หญิงกำลังตั้งครรภ์และไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคอีสุกอีใส ควรรีบไปปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงที่มีต่อตนเองและบุตรในครรภ์ที่ยังไม่เกิด

สำหรับโรคอีสุกอีใสจะไม่รุนแรง แต่หากเกิดขึ้นกับผู้หญิงในช่วงตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกซ้อนทารกในครรภ์อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการติดเชื้อที่รุนแรงอันตรายถึงชีวิตได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
Chickenpox – Symptoms and causes (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.mayoclinic.org [7 พฤษภาคม 2562].

โรคสายตาสั้น ( Myopia )

0
โรคสายตาสั้น ( Myopia )
โรคสายตาสั้น ( Myopia )
โรคสายตาสั้น ( Myopia )
สายตาสั้น ( Myopia หรือ nearsightedness ) คือ ปัญหาเกี่ยวกับสายตาชนิดหนึ่ง เกิดจากภาวะความผิดปกติของสายตาที่ไม่สามารถรับแสงหักเหจากวัตถุที่มาโฟกัสตรงจอตา

โรคสายตาสั้น

สายตาสั้น ( Myopia หรือ Nearsightedness ) คือ ปัญหาเกี่ยวกับสายตาชนิดหนึ่ง เกิดจากภาวะความผิดปกติของสายตาที่ไม่สามารถรับแสงหักเหจากวัตถุที่มาโฟกัสตรงจอตาได้อย่างพอดี ( Refractive Errors ) ส่งผลให้มองเห็นวัตถุดังกล่าวไม่ชัด โดยผู้ที่สายตาสั้นจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ระยะไกลไม่ชัด หรือมองเห็นมัวลง แต่จะมองเห็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชัดเจน ปัญหาสายตาสั้นมักเริ่มเป็นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นหรือตอนที่อายุยังน้อย โดยสายตาจะค่อย ๆ สั้นลงจนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งมีแนวโน้มได้รับการถ่ายทอดภาวะนี้ทางพันธุกรรม ในประเทศสหรัฐอเมริกา พบผู้ที่มีภาวะนี้ประมาณ 25% ของประชากรทั้งหมด ผู้ที่สายตาสั้นสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ด้วยการสวมแว่นสายตา ใส่คอนแทคเลนส์ หรือเข้ารับการผ่าตัด

สาเหตุของสายตาสั้น

โดยทั่วไป สายตาสั้นมักเกิดจากลูกตาที่ยาวเกินไป ทำให้แสงไม่สามารถรวมกันด้านหลังของเรตินาได้ ( ฉากรับแสงที่อยู่ด้านหลังของลูกตา ) นอกจากนั้นยังสามารถเกิดจากกระจกตาที่ผิดรูปร่างได้อีกด้วย ทั้งสองสาเหตุนี้ทำให้แสงไม่สามารถมาตกกระทบโดยตรงที่เรตินาได้ แต่จะตกก่อนถึงเรตินา ทำให้ภาพที่อยู่ระยะไกลเกิดความเบลอ ถึงแม้ว่านักวิจัยจะยังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดสายตาสั้น ซึ่งอาจมีผลมาจาก

  • ได้รับการถ่ายทอดจากพันธุกรรม ผู้ที่บุคคลในครอบครัวมีปัญหาสายตาสั้น มีแนวโน้มที่จะสายตาสั้นได้สูง โดยเฉพาะผู้ที่มีพ่อและแม่สายตาสั้นทั้งคู่
  • ใช้สายตามากเกินไป ผู้ที่อ่านหนังสือ เล่นคอมพิวเตอร์ หรือต้องใช้สายตาเพ่งมองสิ่งต่าง ๆ เป็นเวลานาน เสี่ยงต่อการมีสายตาสั้นได้
  • มีพฤติกรรมเสี่ยง ผู้ที่ทำกิจกรรมนอกบ้านน้อย เสี่ยงต่อการเกิดสายตาสั้นได้ โดยเด็กที่เล่นนอกบ้านเป็นประจำจะเสี่ยงสายตาสั้นได้น้อย หรือสายตาสั้นช้าลง ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากระดับแสงข้างนอกสว่างกว่าแสงภายในบ้าน

อาการของสายตาสั้น

สายตาสั้นอาจเกิดขึ้นอย่างช้าๆ หรือรวดเร็วก็ได้ โดยมักจะเริ่มเกิดในช่วงวัยเด็กก่อนที่จะสั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโตขึ้น ซึ่งอาการของสายตาสั้น เช่น

  • มองเห็นภาพไกลๆ ไม่ชัดเจน
  • ต้องหยีตาเพื่อมองให้ชัด
  • ปวดหัว
  • ขับรถลำบากเนื่องจากมีปัญหาทางสายตาโดยเฉพาะเวลากลางคืน

ผู้ที่ประสบภาวะสายตาสั้นจะมีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น และเกิดอาการอื่นร่วมด้วย ดังนี้  

  • มองเห็นสิ่งที่อยู่ระยะไกลมัวลง หรือมองเห็นไม่ชัดเจน
  • ต้องจ้องหรือเพ่งมองใกล้ ๆ หรี่ตา รวมทั้งปิดตาข้างหนึ่งเพื่อมองให้ชัดขึ้น
  • เกิดอาการตาล้าเมื่อเพ่งมองสิ่งที่อยู่ไกลออกไป อาจส่งผลให้เกิดรู้สึกปวดศีรษะ
  • มองเห็นได้ไม่ชัดขณะขับขี่ โดยเฉพาะเมื่อขับขี่ตอนกลางคืน ซึ่งเรียกว่าสายตาสั้นตอนกลางคืน ( Night Myopia )

ส่วนเด็กที่ประสบภาวะสายตาสั้น สามารถเข้ารับการวัดสายตาได้ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนจนกระทั่งเข้าสู่วัยรุ่น เพื่อวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว โดยเด็กที่สายตาสั้น จะเกิดอาการดังนี้

  • มักหรี่ตาเมื่อมองสิ่งที่อยู่ไกล
  • จำเป็นต้องนั่งดูโทรทัศน์หรือหน้าจอภาพยนตร์แบบใกล้ ๆ หรือต้องนั่งหน้าชั้นเรียน เนื่องจากมองกระดานไม่ชัด
  • มองเห็นสิ่งของที่อยู่ระยะไกลไม่ชัด
  • กะพริบตาบ่อยเกินไป
  • มักบ่นปวดศีรษะหรือตาล้า
  • มักขยี้ตาบ่อย ๆ

การวินิจฉัยสายตาสั้น

การตรวจตาอย่างครบถ้วนโดยนักทัศนมาตรศาสตร์สามารถตรวจพบภาวะนี้ได้ โดยส่วนใหญ่พ่อแม่มักจะทราบว่าลูกมีสายตาสั้นจากการตรวจวัดสายตาที่โรงเรียน ในบางครั้งพ่อแม่หรือครูอาจสังเกตอาการสายตาสั้นได้จากการที่เด็กต้องเพ่งตาเพื่อมองสิ่งของที่อยู่ไกล ผู้ใหญ่อาจเริ่มสังเกตว่ามีสายตาสั้นเมื่อเริ่มมีปัญหา ในการดูหนัง ไม่สามารถมองเห็นวัตถุไกลๆ ขณะขับรถ หรือระหว่างการทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องใช้การมองวัตถุไกลๆ หากคุณมีปัญหาด้านการมองเห็นวัตถุที่อยู่ไกลควรเข้ารับการตรวจวัดสายตา หรือแม้ว่าคุณจะไม่มีอาการของสายตาสั้นแต่ก็ควรตรวจวัดสายตาเป็นประจำเมื่อมีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยแนะนำให้มีการตรวจสายตา ดังนี้

  • ตรวจสายตาทุก 2-4 ปี ระหว่างอายุ 40-54 ปี
  • ตรวจสายตาทุก 1-3 ปี เมื่อมีอายุระหว่าง 55-64 ปี
  • ตรวจสายตาทุก 1-2 ปี เมื่อมีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป 

แต่ถ้าคุณมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับตาบางชนิดเช่นต้อหิน หรือหากคุณเป็นโรคเบาหวาน อาจจะต้องมีการตรวจตาถี่กว่าปกติ โดยแนะนำให้

  • ตรวจสายตาทุก 1-3 ปี ระหว่างอายุ 40-54 ปี
  • ตรวจสายตาทุก 1-2 ปี เมื่อมีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป

วิธีการตรวจสุขภาพตา

1. การวัดแรงดันภายในตา
2. การตรวจความสอดประสานในการทำงานของดวงตา
3. การตรวจวัดสายตา แพทย์จะให้อ่านแผ่นที่มีแถวของตัวอักษรขนาดต่าง ๆ เพื่อวัดระดับค่าสายตาของผู้ป่วย
4. การวัดด้วยเรติโนสโคป ( Retinoscopy ) แพทย์จะฉายแสงไปยังดวงตาผู้ป่วย เพื่อดูว่าตาของผู้ป่วยมีปฏิกิริยาต่อแสงอย่างไร รวมทั้งวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีปัญหาสายตาสั้นหรือสายตายาว โดยดูจากแสงที่สะท้อนกลับมา
5. การวัดกำลังสายตา ( Phoropter ) แพทย์จะใช้อุปกรณ์สำหรับวัดกำลังสายตา เพื่อดูว่าสายตาของผู้ป่วยมีความผิดปกติมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งเลือกใช้วิธีรักษาสายตาสั้นให้ผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม

สายตาสั้น คือ ปัญหาเกี่ยวกับสายตาชนิดหนึ่ง เกิดจากภาวะความผิดปกติของสายตาที่ไม่สามารถรับแสงหักเหจากวัตถุที่มาโฟกัสตรงจอตา

การรักษาสายตาสั้น

ผู้ที่สายตาสั้นควรเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี เพื่อช่วยให้กลับไปมองเห็นได้ตามปกติ การแก้ไขปัญหาสายตาสั้น คือทำให้แสงโฟกัสไปที่จอตา ซึ่งประกอบด้วยการใช้เลนส์ปรับค่าสายตาและการผ่าตัด ดังนี้

1.การใช้เลนส์ปรับค่าสายตาด้วยการสวมแว่นสายตา การสวมแว่นสายตาถือเป็นการแก้ไขปัญหาสายตาสั้นที่ง่ายและปลอดภัย โดยควรสวมแว่นสายตาที่มีค่าเลนส์พอดีกับสายตาของตนเอง เลนส์แว่นจะช่วยปรับให้แสงโฟกัสที่จอตาพอดี ทำให้สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ระยะไกลได้ชัดขึ้น ผู้ป่วยจะได้เลนส์สำหรับประกอบแว่นสายตาที่มีความหนาและน้ำหนักแตกต่างกันไปตามระดับค่าสายตาที่มีปัญหา ทั้งนี้ สายตาจะเปลี่ยนไปเมื่ออายุมากขึ้น เลนส์ของแว่นตาจึงมีให้เลือกหลายชนิด ได้แก่ 

  • เลนส์สำหรับสายตาสั้นอย่างเดียว หากอายุมากขึ้น มักจะต้องใส่แว่นเมื่อต้องอ่านหนังสือ ผู้ที่สายตาสั้นจึงต้องมีแว่นสายตา 2 อัน อันหนึ่งสำหรับใส่มองระยะไกล ส่วนอีกอันสำหรับใส่อ่านหนังสือ
  • เลนส์สองชั้น ( Bifocals ) ช่วยให้มองเห็นระยะใกล้และไกลได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องเปลี่ยนไปใส่แว่นสายตาอีกอันเมื่อมองสิ่งที่อยู่ในระยะต่างกัน
  • เลนส์หลายระยะ ( Multifocals ) ช่วยให้มองเห็นสิ่งของได้ในระยะต่าง ๆ ซึ่งปรับโฟกัสได้หลายระยะ
    ใส่คอนแทคเลนส์ ผู้ที่สายตาสั้นอาจเลือกใส่คอนแทคเลนส์ เพื่อปรับค่าสายตาให้เป็นปกติ โดยการใส่คอนแทคเลนส์นั้นสะดวก เนื่องจากเลนส์มีน้ำหนักเบา คอนแทคเลนส์มีให้เลือกหลายแบบ ได้แก่ คอนแทคเลนส์แบบแข็งซึ่งมักเป็นแบบก๊าซผ่านได้ ( Rigid Gas Permeable, RGP ) คอนแทคเลนส์แบบนิ่ม คอนแทคเลนส์แบบใส่ติดต่อกันได้นาน คอนแทคเลนส์รายวัน แพทย์จะไม่แนะนำให้ใส่คอนแทคเลนส์ข้ามคืน เนื่องจากเสี่ยงติดเชื้อที่ดวงตาได้ ทั้งนี้ แพทย์อาจทำโอเคเลนส์ ( Orthokeratology, OK Lens ) โดยให้ใส่คอนแทคเลนส์ชนิดแข็งข้ามคืน เพื่อปรับกระจกตาให้โค้งน้อยลง ผู้ที่สายตาสั้นจะมองเห็นได้ชัดขึ้นโดยไม่ต้องใส่คอนแทคเลนส์หรือสวมแว่นสายตาตลอดทั้งวัน อย่างไรก็ตาม การทำโอเคเลนส์ไม่ใช่วิธีรักษาสายตาสั้น เนื่องจากกระจกตาสามารถกลับไปโค้งได้เหมือนเดิม

2.การผ่าตัด วิธีนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติ รวมทั้งช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องสวมแว่นตาหรือใส่คอนแทคเลนส์ โดยแพทย์จะยิงเลเซอร์เพื่อปรับกระจกตา การผ่าตัดสำหรับปัญหาสายตานั้น จะทำได้เมื่อดวงตาโตเต็มที่ ซึ่งผู้ป่วยอายุครบ 20 ปี การผ่าตัดสำหรับรักษาสายตาสั้นประกอบด้วยเลสิก LASEK พีอาร์เค และฝังแก้วตาเทียม ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

  • เลสิก ( Laser-Assisted In-Situ Keratomileusis: Lasik ) แพทย์จะทำให้กระจกตาบางลง และใช้เลเซอร์เอ็กไซเมอร์ (Excimer Laser) ทำให้กระจกตาแบนลง ทั้งนี้ เลเซอร์เอ็กไซเมอร์ต่างจากเลเซอร์ชนิดอื่น เนื่องจากเลเซอร์ชนิดนี้ไม่ก่อให้เกิดความร้อน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะเข้ารับการทำเลสิกควรมีกระจกตาที่หนาพอสมควร เนื่องจากผู้ป่วยเสี่ยงได้รับผลข้างเคียงจากการผ่าตัดได้ในกรณีที่กระจกตาบางเกินไป
  • LASEK ( Laser-Assisted Subepithelial Keratectomy ) แพทย์จะลอกเนื้อเยื่อบุผิวของกระจกตาที่อยู่ชั้นนอกสุดออกก่อน จากนั้นจะใช้เลเซอร์เอ็กไซเมอร์ขัดใต้ชั้นเยื่อบุผิวกระจกตา เพื่อให้ความโค้งของกระจกตาลดลง แล้วค่อยนำเนื้อเยื่อบุผิวที่ลอกออกไปกลับมาปิดไว้เหมือนเดิม ผู้ป่วยอาจต้องใส่คอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษ ( Bandage Contact Lens ) เป็นเวลาหลายวัน เพื่อให้บาดแผลที่ผ่าตัดสมานกัน
  • พีอาร์เค ( Photorefractive Keratectomy: PRK ) แพทย์จะลอกชั้นเยื่อบุผิวกระจกตาออกไป และยิงเลเซอร์เพื่อทำลายเนื้อเยื่อและเปลี่ยนรูปร่างของกระจกตา โดยเยื่อบุผิวของกระจกตาที่อยู่ชั้นนอกจะเจริญขึ้นมาใหม่เอง ผู้ป่วยจำเป็นต้องใส่คอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษประมาณ 2-3 วัน หลังเข้ารับการทำพีอาร์เค รวมทั้งใช้เวลาพักฟื้นหลายเดือนจนกว่าจะมองเห็นได้ปกติ 

นอกจากนี้ แพทย์จะไม่ผ่าตัดแบบใช้เลเซอร์ให้แก่ผู้ป่วยในกรณีที่มีปัญหาสุขภาพบางอย่างซึ่งเสี่ยงได้รับผลกระทบจากการผ่าตัด ได้แก่ ป่วยเป็นเบาหวาน เนื่องจากดวงตาผู้ป่วยอาจเกิดความผิดปกติจากการได้รับแสงเลเซอร์ที่กระจกต ป่วยเป็นโรคที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันร่างกาย ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือโรคอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ไม่ควรเข้ารับการผ่าตัดแบบใช้เลเซอร์ เนื่องจากปัญหาสุขภาพดังกล่าวจะทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้ไม่ดีหลังเข้ารับการผ่าตัดแล้ว มีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เกี่ยวกับดวงตา ผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพอื่นที่เกี่ยวกับตา จะได้รับผลกระทบจากการผ่าตัด เช่น ผู้ป่วยต้อหินอาจเกิดแรงดันในดวงตาเพิ่มขึ้น หรือผู้ป่วยต้อกระจกอาจเกิดแผ่นสีขุ่นที่เลนส์ตา กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ เนื่องจากร่างกายมีฮอร์โมน ซึ่งส่งผลให้การมองเห็นของผู้ป่วยไม่คงที่ ทำให้ผ่าตัดตาได้ยาก

3.ฝังเลนส์ตาเทียม ( Intraocular Lens Implant: IOL ) วิธีนี้จัดเป็นการผ่าตัดรักษาสายตาสั้นวิธีใหม่ โดยแพทย์จะผ่ากระจกตาเป็นรอยเล็ก ๆ และฝังแก้วตาเทียมเข้าไปในตาของผู้ป่วย แก้วตาเทียมจะช่วยให้แสงโฟกัสมาที่จอตาได้ชัดขึ้น ผู้ป่วยที่สายตาสั้นมาก หรือใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ไม่ได้จะได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้ ทั้งนี้ การฝังแก้วตาเทียมมี 2 ประเภท ได้แก่ การใส่เลนส์เสริม และการใส่เลนส์แบบเข้าไปแทนที่ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

  • การใส่เลนส์เสริม ( Phakic Implant ) แพทย์จะใส่เลนส์ตาเทียมไปในลูกตาผู้ป่วย โดยไม่นำเลนส์ตาจริงออกไป วิธีนี้มักใช้รักษาเด็กที่มีการมองเห็นสำหรับอ่านหนังสืออยู่ในระดับปกติ โดยการใส่เลนส์เสริมจะช่วยปรับการมองเห็นในระยะยาวได้ดีกว่าการใส่เลนส์แบบเข้าไปแทนที่ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยก็เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนได้สูงกว่าเช่นกัน
  • การใส่เลนส์แบบเข้าไปแทนที่ ( Artificial Replacement ) แพทย์จะนำเลนส์ตาจริงออกไป และใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่ ซึ่งเหมือนกับการผ่าตัดต้อกระจก โดยวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อายุมากและมีปัญหาสุขภาพสายตาที่ร้ายแรงกว่าสายตาสั้น เช่น ต้อกระจก หรือต้อหิน

ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดด้วยวิธีต่าง ๆ นี้ จะสามารถมองเห็นได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดอาจไม่สามารถช่วยปรับสายตาให้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับการสวมแว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ ทั้งนี้ การผ่าตัดด้วยเลเซอร์ก็ทำให้เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง ได้แก่ ตาแห้ง เนื้อเยื่อกระจกตาลอกออกมากเกินไป ( ส่งผลให้สายตายาว ) มองเห็นในที่มืดได้ไม่ดี เห็นแสงจ้าในที่แจ้ง ส่วนผู้ที่ฝังเลนส์ตาเทียมก็เสี่ยงเกิดภาวะถุงหุ้มเลนส์เทียมขุ่น ( Posterior Capsule Opacification: PCO ) ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังเข้ารับการผ่าตัดไปแล้วประมาณ 2-3 เดือนหรือหลายปี รวมทั้งเสี่ยงเกิดภาวะกระจกตาลอก ต้อกระจก ต้อหิน เห็นแสงจ้า หรือมองเห็นในที่มืดได้ไม่ดี 

ภาวะแทรกซ้อนของสายตาสั้น

ปัญหาสายตาสั้นก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนกับสุขภาพได้หลายประการ ดังนี้
1.คุณภาพชีวิตลดลง ผู้ที่สายตาสั้นและไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาจได้รับผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น อาจทำงานหรือเรียนหนังสือได้ไม่ดี เนื่องจากมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ไม่ชัด
2.ตาล้า ผู้ที่สายตาสั้นอาจต้องเพ่งมองมากกว่าปกติ เพื่อให้มองสิ่งที่อยู่ระยะไกลได้ชัดขึ้น โดยการเพ่งมองเป็นเวลานานจะทำให้ตาล้าและอาจปวดศีรษะร่วมด้วย
3.ปัญหาสายตาสั้นเป็นอุปสรรคในการทำสิ่งต่าง ๆ ก่อให้เกิดอันตรายอื่น ๆ และเสี่ยงทำให้ผู้ที่สายตาสั้นและผู้คนรอบข้างเกิดอันตรายได้ เช่น ผู้ที่ขับรถหรือควบคุมอุปกรณ์ในโรงงาน เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุหรือทำงานผิดพลาดได้ เนื่องจากมองเห็นระยะไกลไม่ชัด
4. ผู้ที่สายตาสั้นมากเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระจกตาลอก รวมทั้งเป็นต้อหิน หรือต้อกระจกได้สูง

การป้องกันสายตาสั้น

สายตาสั้นเป็นปัญหาสุขภาพที่ไม่สามารถป้องกันได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีป้องกันสายตาไม่ให้สั้นลงอย่างรวดเร็ว หรือเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้การมองเห็นแย่ลงได้บ้าง ดังนี้

  • หมั่นตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ
  • ควรดูแลตัวเองไม่ให้อาการป่วยกำเริบหรือแย่ลง โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง เนื่องจากปัญหาสุขภาพบางอย่างส่งผลให้การมองเห็นแย่ลงในกรณีที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
  • สวมแว่นกันแดดทุกครั้งเมื่อออกไปข้างนอกที่มีแสงจ้า เพื่อปกป้องดวงตาจากรังสียูวี
  • ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตาเมื่อเล่นกีฬา ตัดหญ้า ใช้ผลิตภัณฑ์เคมี หรือทำกิจกรรมที่ดวงตาเสี่ยงได้รับอันตรายได้ง่าย
  • รับประทานผักใบเขียว ผลไม้ และปลาที่อุดมไปด้วยกรดโอเมก้า 3 เพื่อบำรุงดวงตา
  • สำหรับคนที่มีเวลาน้อย อาจเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงสายตา ที่มีส่วนผสมของ ลูทีน, ซีแซนทีน, วิตามินเอ, โอเมเก้ 3, บิลเบอร์รี่สกัด, เบต้าแคโรทีน
  • งดสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่ส่งผลต่อสุขภาพตาและสุขภาพร่างกาย
  • ควรใช้เลนส์ที่เหมาะกับค่าสายตาของตัวเอง โดยหมั่นวัดสายตาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้เลนส์สำหรับประกอบแว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ที่ตรงกับค่าสายตาของตัวเอง และช่วยให้มองเห็นได้ปกติ
  • ควรพักสายตาจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรืออ่านหนังสือเป็นระยะ ๆ เพื่อเลี่ยงอาการตาล้า
  • ควรหมั่นสังเกตว่ามีอาการอื่น ๆ เช่น มองไม่เห็นกะทันหัน ตามัว เห็นแสงจ้า หรือจุดดำเกิดขึ้นหรือไม่ เนื่องจากอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณของต้อหิน โรคหลอดเลือดในสมอง หรือภาวะกระจกตาลอก หากเกิดอาการดังกล่าว ควรพบแพทย์ทันที

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสาร

อ้างอิง

สายตาสั้น (Myopia) คืออะไร? (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.honestdocs.co [1 พฤษภาคม 2562].
ภาวะสายตาสั้น (Myopia) (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.wichaioptic.com [1 พฤษภาคม 2562].
ความหมาย สายตาสั้น (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.pobpad.com [1 พฤษภาคม 2562].

ประโยชน์ของอินทผลัม ( Date Palm )

0
ประโยชน์ของอินทผลัม ( Date Palm )
ต้นอินทผลัม ( Date Palm หรือ Phoenix dactylifera ) คือ ต้นไม้ในตระกูลปาล์มที่ปลูกในสมัยโบราณ เป็นผลไม้ที่มีรสหวาน นิยมทานทั้งแบบสดและแบบแห้ง
ประโยชน์ของอินทผลัม ( Date Palm )
ต้นอินทผลัม ( Date Palm หรือ Phoenix dactylifera ) คือ ต้นไม้ในตระกูลปาล์มที่ปลูกในสมัยโบราณ เป็นผลไม้ที่มีรสหวาน นิยมทานทั้งแบบสดและแบบแห้ง

อินทผลัม

อินทผลัม ชื่อสามัญ Date Palm, Dates
อินทผลัม ชื่อวิทยาศาสตร์ Phoenix dactylifera L. จัดอยู่ในวงศ์ปาล์ม ( ARECACEAE ) ซึ่งแต่เดิมใช้ชื่อวงศ์ว่า PALMAE หรือ PALMACEAE
ต้นอินทผลัม ( Date Palm หรือ Phoenix dactylifera ) คือ ต้นไม้ในตระกูลปาล์มที่ปลูกในสมัยโบราณ เป็นผลไม้ที่มีรสหวาน นิยมทานทั้งแบบสดและแบบแห้ง สามารถเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดีในเขตที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้งอย่างทะเลทราย โดยอินทผลัมมีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง

ลักษณะอินทผลัม

ต้นอินทผลัม มีลำต้นมีความสูงประมาณ 30 เมตร ขนาดของลำต้น 30-50 เซนติเมตร ลักษณะของใบเป็นแบบขนนกยาวแหลมติดอยู่บนต้นประมาณ 40-60 ก้าน แต่ละใบมีทางยาวประมาณ 3-4 เมตร ใบย่อยจะพุ่งออกแบบหลากหลายทิศทาง และดอกจะออกเป็นช่อ ออกดอกบริเวณโคนกาบใบ และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ดและการแยกหน่อจากต้นใหญ่ตัวเมีย
ลูกอินทผลัม มีลักษณะเป็นผลทรงกลมรี ออกเป็นช่อ มีความยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร มีรสหวานฉ่ำ สามารถรับประทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก โดยผลอินทผลัมสดจะมีสีเหลืองไปจนถึงสีส้ม และเมื่อแก่จัดผลจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลถึงน้ำตาลเข้ม ผลอินทผลัมสุกเราสามารถนำไปตากแห้งไว้ในอุณหภูมิประมาณ 8 องศาเซลเซียส สามารถเก็บไว้ได้หลายเดือนถึง 1 ปี และจะมีรสชาติหวานจัด เหมือนกับการนำไปเชื่อมด้วยน้ำตาล 

วิธีการปลูก

1. ควรเลือกพื้นที่ที่มีแดดจัด ไม่มีน้ำขังแฉะ แต่มีปริมาณน้ำอย่างพอเพียง เพื่อให้มีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ
2. เตรียมดินจากการขุดหลุมขนาด 50×50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ต้นที่นำลงปลูกไม่ควรให้ลงลึกใต้ดินมากนัก โคนต้นสูงจากพื้นดินประมาณ 1 ฝ่ามือ จะช่วยให้ต้นโตเร็วขึ้น
3. ระยะปลูกระหว่างต้นและระหว่างแถวประมาณ 8×8 เมตร หรือ 8×7 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกได้ 25-30 ต้น
4. ควรให้น้ำประมาณ 7 วัน ต่อครั้ง การใส่ปุ๋ยควรใช้ปุ๋ยคอกปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 5 กิโลกรัม ต่อต้น พร้อมกับการพรวนดินและกำจัดวัชพืช
5. ควรมีการตัดแต่งใบที่แก่ทิ้ง เพื่อให้ทรงต้นสะอาด ไม่มีแมลงรบกวน

สารอาหารที่พบในอินทผลัม

ผลไม้ชนิดนี้นอกจากให้พลังงานสูงแล้ว ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย ที่สำคัญไม่มีคลอเลสเตอรอล และมีไขมันต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญ เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 และบี 16 วิตามินเค แคลเซียม เหล็ก ซัลเฟอร์ ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และแมงกานีส เป็นต้น นอกจากนี้เรายังพบสารอาหารจำพวกน้ำมันโวลาไทล์ ไฟเบอร์ และเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย และช่วยกำจัดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย ลดการเกิดโรคเรื้องรัง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคอัลไซเมอร์ และป้องกันการเกิดมะเร็งได้เป็นอย่างดี

ประโยชน์ของอินทผลัม

1. การรับประทานอินทผลัมเป็นประจำจะช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง เพิ่มกำลัง ขจัดความเมื่อยล้า ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ
2. ช่วยรักษาโรคผอมผิดปกติ ช่วยเพิ่มน้ำหนักตัว
3. ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน
4. ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยป้องกันโรคตาบอดแสงหรือภาวะมองเห็นไม่ชัดในเวลากลางคืน
5. ช่วยดูแลและควบคุมระบบประสาท
6. ช่วยลดความอยากหรือหิวได้เป็นอย่างดี
7. ช่วยบำรุงตับอ่อน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง รักษาโรคเบาหวาน
8. โพแทสเซียมในอินทผลัมช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดในสมองได้มากถึง 40%
9. อินทผลัมช่วยกำจัดสารพิษและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งในช่องท้องได้
10. อินทผลัมมีประโยชน์ช่วยแก้กระหาย แก้อาการเจ็บคอ ลดเสมหะในลำคอ
11. อินทผลัมอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร จึงช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้ และช่วยในการย่อยอาหาร
นอกจากนี้อินทผลัมเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมแพร่หลายในกลุ่มชาวมุสลิม เนื่องจากในเดือนรอมฎอน หรือเดือนของการถือศีลอด ไม่รับประทานอาหารใดๆ ตลอดเวลากลางวัน ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตกเป็นเวลา 30 วัน ภาวะขาดสารอาหาร จึงเป็นเหตุที่ชาวมุสลิมใช้ผลไม้ชนิดนี้เป็นตัวช่วยรักษาสภาพร่างกายนั่นเอง

อินทผลัมผลไม้ชนิดนี้นอกจากให้พลังงานสูงแล้ว ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย ที่สำคัญไม่มีคลอเลสเตอรอล และมีไขมันต่ำ

วิธีการทำน้ำอินทผลัม หรือน้ำนาบีชของชาวมุสลิม

1. เตรียมทำน้ำก่อนเข้านอน โดยการนำผลอินทผลัม 2-3 ลูก
2. จากนั้นแกะเม็ดออก และฉีกเปลือกนิดๆ เพื่อให้น้ำซึมได้ดี
3. นำผลอินทผลัมที่ฉีกแช่น้ำร้อน 1 แก้ว
4. จากนั้นนำภาชนะมาปิดแก้วที่แช่ผลอินทผลัม ( ไม่ต้องใส่ตู้เย็น )
5. เช้าดื่มน้ำพร้อมกันลูกอินทผลัมที่แช่ผสมไว้ หลังมื้ออาหารเช้าจะช่วยทำให้รูสึกสดชื่น
ซึ่งนอกจากเดือนรอมฎอนแล้วยังสามารถทำดื่มได้ตลอดเพื่อเพิ่มความสดชื่นและลดความกระหายน้ำระหว่างวันได้เช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าในอินทผลัม มีสรรพคุณที่น่าสนใจมากมาย หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะกลายเป็นผลไม้ที่ช่วยบำรุงร่างกาย และยังช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยได้ด้วย

ข้อควรระวังในการทานอินทผลัม

หากมีปัญหาสุขภาพหรือมีความบกพร่องในการขจัดโพแทสเซียมออกจากร่างกายควรระวังในการทาน เพราะอินทผลัมมีโปแตสเซียมสูง อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง เบาหวาน และภาวะหัวใจล้มเหลว

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Date palm fruits (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.feedipedia.org [10 พฤษภาคม 2562].
28สรรพคุณและประโยชน์ของอินทผลัม (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://medthai.com [10 พฤษภาคม 2562].
การปลูกอินทผลัม (ออนไลน์).สืบค้นจาก : www.rakbankerd.com [10 พฤษภาคม 2562].