ความสำคัญของการตรวจเลือดเพื่อหามะเร็ง
โรคมะเร็งในยุคปัจจุบันมักแฝงตัวอยู่โดยไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก การวินิจฉัยที่ล่าช้ามักส่งผลให้การรักษาได้ผลน้อยลง การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง หรือ Tumor Marker จึงเป็นหนึ่งในแนวทางการตรวจคัดกรองที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ
Tumor Marker คืออะไร?
Tumor Marker คือสารประกอบชีวเคมี โปรตีน หรือเอนไซม์ที่ผลิตจากเซลล์มะเร็ง หรือเกิดจากปฏิกิริยาของอวัยวะที่ถูกเซลล์มะเร็งรุกล้ำ ทำให้เกิดการหลั่งสารเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งสามารถนำมาตรวจวิเคราะห์ได้ผ่านการเจาะเลือด
สารเหล่านี้จะ ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้โดยตรง แต่จะช่วย บ่งชี้แนวโน้ม หรือใช้ ติดตามผลการรักษา ได้อย่างมีประสิทธิภาพหากใช้อย่างถูกต้อง
ชนิดของ Tumor Marker ที่พบบ่อย
ชื่อสาร Tumor Marker | บ่งชี้มะเร็ง | ค่าปกติ | ความหมายเมื่อสูงผิดปกติ |
---|---|---|---|
AFP (Alpha-Fetoprotein) | มะเร็งตับ, มะเร็งอัณฑะ | < 10 ng/mL | มีความเสี่ยงต่อมะเร็งตับหรือเนื้องอกชนิดอื่น |
CEA (Carcinoembryonic Antigen) | มะเร็งลำไส้ใหญ่, ปอด, เต้านม | < 5 ng/mL | มีความเสี่ยงมะเร็งระบบทางเดินอาหาร |
CA-125 | มะเร็งรังไข่ | < 35 U/mL | มักใช้วินิจฉัยและติดตามมะเร็งรังไข่ |
CA 19-9 | มะเร็งตับอ่อน, ลำไส้ | < 37 U/mL | ใช้ร่วมกับ CEA เพื่อวินิจฉัยมะเร็งตับอ่อน |
PSA (Prostate Specific Antigen) | มะเร็งต่อมลูกหมาก | < 4 ng/mL | มีความเสี่ยงต่อภาวะโตผิดปกติหรือมะเร็งต่อมลูกหมาก |
β-hCG | มะเร็งอัณฑะ, มะเร็งปอด | < 5 IU/L | ใช้ร่วมกับ AFP ในการติดตามมะเร็งอัณฑะ |
กลไกการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง
เพื่อเข้าใจ Tumor Marker ได้ดีขึ้น เราควรรู้จักพฤติกรรมของเซลล์ที่ผิดปกติต่าง ๆ:
-
Hyperplasia: เซลล์เพิ่มจำนวน → อวัยวะขยายใหญ่ (เช่น ต่อมลูกหมากโต)
-
Hypertrophy: เซลล์ใหญ่ขึ้น → ขนาดอวัยวะโต (เช่น หัวใจโต)
-
Metaplasia: เซลล์ใหม่แทนที่เซลล์เดิม (เช่น ผิวหนังที่ลอก)
-
Dysplasia: เซลล์โตไม่เต็มที่ → สัญญาณก่อนมะเร็ง (พบในปากมดลูกบ่อย)
ประเภทของมะเร็งและร่องรอยที่ตรวจพบได้
1. มะเร็งแบบไม่มีก้อนบวม
ตัวอย่าง: มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) – ไม่มีก้อน ไม่มีอาการบวม
2. มะเร็งที่มีลักษณะเป็นก้อน (Tumor)
-
Benign Tumor (ไม่ร้ายแรง): เช่น ถุงไขมัน
-
Malignant Tumor (ร้ายแรง): เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ ฯลฯ
วัตถุประสงค์ของการตรวจ Tumor Marker
-
คัดกรองผู้มีความเสี่ยงมะเร็ง
-
ใช้เป็นข้อมูลวินิจฉัยร่วมกับภาพถ่ายทางการแพทย์
-
ติดตามผลการรักษา
-
พยากรณ์โอกาสกลับมาเป็นซ้ำ
-
ใช้ตรวจโรคที่ไม่สามารถผ่าตัดเก็บชิ้นเนื้อได้ (เช่น มะเร็งสมอง)
วิธีการตรวจ Tumor Marker
1. การตรวจเฉพาะเจาะจง (Cancer-Specific Marker)
เช่น:
-
ตรวจค่า AFP → มะเร็งตับ
-
ตรวจ CA-125 → มะเร็งรังไข่
2. การตรวจจากอวัยวะเป้าหมาย (Tissue-Specific Marker)
เช่น:
-
มะเร็งลำไส้ → ตรวจ CEA + CA19-9 + CA125
-
มะเร็งตับอ่อน → ตรวจ CA19-9 + AFP
ข้อควรระวังในการแปลผล Tumor Marker
-
ผลอาจคลาดเคลื่อนจากหลายปัจจัย เช่น การอักเสบ โรคเรื้อรังอื่น ๆ
-
ควรตรวจจากห้องแล็บเดียวกันทุกครั้ง เพื่อความแม่นยำ
-
ไม่ควรใช้ Tumor Marker เพียงตัวเดียวเป็นตัวชี้ขาดการวินิจฉัย
-
ระวังผลลวงจาก Hook Effect (สารมากเกินจนตรวจไม่เจอ)
ข้อดีของการตรวจเลือดเพื่อหามะเร็ง
-
ไม่ต้องเจ็บตัวเหมือนการตัดชิ้นเนื้อ
-
สามารถคัดกรองหลายระบบพร้อมกัน
-
เหมาะสำหรับการติดตามการรักษาในผู้ป่วยที่เคยเป็นมะเร็ง
ข้อจำกัด
-
ไม่สามารถยืนยันได้ 100% ว่าเป็นมะเร็งหรือไม่
-
ต้องใช้ควบคู่กับการตรวจอื่น เช่น MRI, CT Scan, Biopsy
แนวทางการใช้ Tumor Marker อย่างปลอดภัย
-
ใช้ตรวจในผู้มีความเสี่ยงสูง
-
ใช้ร่วมกับการตรวจสุขภาพประจำปี
-
ไม่ใช้แทนการวินิจฉัยด้วยแพทย์
-
บันทึกประวัติผลการตรวจเปรียบเทียบอย่างสม่ำเสมอ
สรุป
การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง คือเครื่องมือช่วยชีวิตยุคใหม่ที่สามารถคัดกรองโรคได้ในระยะเริ่มต้น มีความแม่นยำในระดับหนึ่งหากใช้อย่างถูกวิธี ควรใช้ร่วมกับคำวินิจฉัยของแพทย์และการตรวจทางรังสีวิทยาอื่น ๆ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ครบถ้วนและแม่นยำที่สุด
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจ Tumor Marker
Q1: ตรวจเลือด Tumor Marker ต้องงดน้ำหรืออาหารไหม?
A: ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องงดเว้นอาหาร ยกเว้นบางกรณีที่แพทย์กำหนดไว้เฉพาะเจาะจง
Q2: ตรวจพบค่า CEA สูงเสมอว่าป่วยเป็นมะเร็งแน่หรือไม่?
A: ไม่เสมอไป อาจเกิดจากการสูบบุหรี่ การอักเสบ หรือภาวะอื่น ๆ ควรใช้ข้อมูลร่วมกับผลการตรวจอื่น
Q3: การตรวจ Tumor Marker เจ็บไหม?
A: เป็นการเจาะเลือดแบบทั่วไป ใช้เวลารวดเร็วและไม่เจ็บมาก
Q4: ควรตรวจ Tumor Marker บ่อยแค่ไหน?
A: สำหรับผู้ปกติปีละครั้ง ส่วนผู้ที่มีประวัติมะเร็งหรือความเสี่ยงสูงควรตรวจทุก 3–6 เดือน ตามคำแนะนำแพทย์
Q5: ผลตรวจปกติ แปลว่าไม่มีโอกาสเป็นมะเร็งเลยหรือไม่?
A: ไม่แน่นอน ยังควรตรวจร่างกายและติดตามผลทางคลินิกอย่างสม่ำเสมอ
ร่วมตอบคำถามกับเรา
[/vc_column_text]
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
เอกสารอ้างอิง
Cancer causation: association by tumour type”. Journal of Internal Medicine.
Deerfield, Illinois: Baxter International Inc. 2002-08-07.