CoolSculpting

สำหรับผู้ที่ต้องการลดสัดส่วน และมีรูปร่างอย่างที่ต้องการ แต่ลองออกกำลังกาย หรือคุมอาหารอย่างจริงจังแล้ว ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ CoolSculpting ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจครับ เพราะเป็นเทคโนโลยีลดสัดส่วน ที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน และกำลังได้รับความนิยม

บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ CoolSculpting ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ช่วยลดสัดส่วนได้อย่างไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ? เหมาะกับใคร ? สามารถทำจุดไหน ? มีผลข้างเคียงไหม ? กี่ครั้งเห็นผล ? กี่วันเห็นผล ? และทำที่ไหนดี ?

 


 

CoolSculpting คืออะไร ?

CoolSculpting คือ หัตถการสลายไขมันด้วยความเย็น -11°C  (Fat Freezing Technology) ผ่านกระบวนการไครโอไลโปไลซิส (Cryolipolysis) ซึ่งคิดค้นและพัฒนาโดยนายแพทย์ Dieter Manstein และ นายแพทย์ R.Rox Anderson จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ของสหรัฐอเมริกา โดย CoolSculpting จะเป็นหัตถการที่ช่วยลดเฉพาะสัดส่วนเท่านั้นครับ ไม่ใช่การลดน้ำหนักแต่อย่างใด

 


 

CoolSculpting ช่วยลดไขมัน กระชับสัดส่วนได้อย่างไร ? เปิดหลักการทำงานของเครื่อง

หลักการทำงานของ CoolSculpting

เครื่อง CoolSculpting จะมีหัวดูดที่ใช้ระบบสุญญากาศ ดึงไขมันส่วนเกินจากร่างกายในจุดที่คนไข้ต้องการกำจัดออก เช่น หน้าท้อง ต้นแขน และต้นขา ไปรวมไว้ และตัวเครื่องจะส่งพลังงานความเย็นที่อุณหภูมิ -11°C ผ่านผิวชั้นนอกลงสู่ชั้นไขมัน เป็นเวลานาน 35 นาที ส่งผลให้เซลล์ไขมันตายลงครับ เพราะมีความไวต่ออุณหภูมิมากกว่าเซลล์ชนิดอื่น

เมื่อร่างกายขับเซลล์ไขมันที่ตายออก เซลล์ที่เหลืออยู่จะเรียงตัวใหม่ และทำให้ชั้นไขมันบางลง สัดส่วนจึงลดลงไปด้วย ถือเป็นการกำจัดไขมันอย่างถาวร โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังชั้นนอก และเนื้อเยื่ออื่น ๆ

 


 

Cryolipolysis และ CoolSculpting เกี่ยวข้องกันอย่างไร ?

Cryolipolysis คือ ชื่อของเทคโนโลยี หรือกระบวนการสลายไขมันด้วยความเย็น (Fat Freezing Eliminate) แบบ Non-invasive ที่ไม่ก่อให้เกิดรอยแผลในจุดที่ทำ คนไข้จึงไม่เจ็บตัว และไม่จำเป็นต้องพักฟื้นหลังทำครับ

สำหรับ CoolSculpting ที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้จะเป็นชื่อเรียกของเครื่องมือ ซึ่งเครื่องนี้ได้รับการรับรองว่าสามารถช่วยลดไขมันส่วนเกิน และลดสัดส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผ่านการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจากสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) และอย.ไทย

 


 

CoolSculpting ปลอดภัยไหม ?

CoolSculpting มีความปลอดภัยมากครับ เพราะตัวเครื่องผ่านการรับรองเรื่องคุณภาพจาก U.S. FDA และมีการใช้งานเครื่องนี้ไปในหลายประเทศทั่วโลก นอกจากนี้เครื่อง CoolSculpting ที่ได้มาตรฐานยังมีระบบ Freeze Detect ซึ่งเครื่องจะหยุดทำงานทันที เมื่อตรวจเจอว่าผิวชั้นบนมีความเย็นที่มากเกินไป จึงช่วยป้องกันการเกิดปัญหาผิวไหม้จากความเย็น (Freeze Burn) ได้

 


 

CoolSculpting เห็นผลได้จริงไหม ? ทำแล้วไม่เห็นผล ผิวไหม้ เกิดจากอะไร ?

Freeze Burn จาก CoolSculpting ของปลอม

CoolSculpting เป็นหัตถการลดสัดส่วนที่เห็นผลได้จริงครับ ซึ่งมีงานวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้น ที่ยืนยันว่า เครื่องสามารถช่วยลดจำนวนเซลล์ไขมันในชั้นผิวหนังบริเวณที่ทำให้ตายลงได้ถาวร และยังช่วยลดไขมันได้ถึง 25% ต่อการทำ 1 ครั้ง

สำหรับใครที่เคยทำ CoolSculpting แล้ว แต่ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง หรือได้ผลลัพธ์ที่ไม่พึงพอใจ สามารถเกิดได้จาก 2 ปัจจัยหลัก ดังนี้

  • เครื่อง CoolSculpting ของปลอม เนื่องจาก CoolSculpting กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และมีราคาที่ค่อนข้างสูงครับ ทำให้บางคลินิกอาจเลือกใช้เครื่องเลียนแบบที่ไม่มาตรฐานแทน ซึ่งสามารถส่งผลให้เกิดปัญหาทำ CoolSculpting แล้วไม่เห็นผล หรืออาจร้ายแรงถึง Freeze Burn เพราะเครื่องไม่มีระบบ Freeze Detect
  • ไม่เหมาะกับหัตถการนี้ ถ้าคนไข้มีปริมาณไขมันส่วนเกินมากเกินไป จะทำให้ CoolSculpting ไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน หรือไม่ตรงกับที่คาดหวังไว้ครับ ซึ่งสามารถเกิดจากแพทย์ไม่ให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมา หรือบางคลินิกคนไข้ซื้อคอร์สตามคำแนะนำของพนักงานขาย โดยไม่ได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อน

 


 

CoolSculpting เหมาะกับใคร ? สามารถทำได้ทุกคนหรือไม่ ?

CoolSculpting เหมาะกับใคร

CoolSculpting สามารถช่วยลดจำนวนเซลล์ไขมันในร่างกายได้อย่างถาวรครับ แต่เพื่อให้การทำหัตถการมีความคุ้มค่า และให้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ ควรเข้าปรึกษากับแพทย์ที่มากประสบการณ์ เพื่อให้ช่วยประเมินได้ว่า คุณเหมาะสมกับการทำ CoolSculpting หรือไม่ ซึ่ง CoolSculpting จะเหมาะกับบุคคลเหล่านี้

  • ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินระดับปานกลาง โดยจะมีค่าดัชนีมวลกายต่ำกว่า 35 (BMI < 35) เพราะถ้ามากเกินกว่านี้ อาจส่งผลให้ทำ CoolSculpting แล้วเห็นผลน้อย หรือช้ามากครับ ในกลุ่มผู้ที่มีน้ำหนักตัวและไขมันมากเกินไป การดูดไขมันจะเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่า
  • ผู้ที่ต้องการลดสัดส่วนเฉพาะจุด เช่น หน้าท้อง ต้นแขน และต้นขา เพราะบริเวณเหล่านี้จะเกิดการสะสมไขมันเป็นจำนวนมาก แต่ก็เป็นจุดที่ลดได้ยาก
  • ผู้ที่ไม่พอใจผลลัพธ์การลดสัดส่วนด้วยวิธีอื่น การคุมอาหารและออกกำลังกาย สามารถทำให้เซลล์ไขมันในร่างกายมีขนาดที่เล็กลงได้ครับ สัดส่วนก็จะลดลงตามไปด้วย แต่จำนวนของเซลล์ไขมันไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นถ้าขาดวินัยก็สามารถทำให้กลับมาอ้วนได้อีก การทำ CoolSculpting จึงเป็นวิธีลดเซลล์ไขมันอย่างถาวร และลดสัดส่วนได้อย่างตรงจุด
  • ผู้ที่ต้องการลดจำนวนเซลล์ไขมันส่วนเกิน แต่ไม่อยากผ่าตัด การดูดไขมันถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการผ่าตัดครับ ทำให้จำเป็นต้องฉีดยาชา หรือในบางรายที่ดูดไขมันในจุดที่กว้างมาก ๆ อาจจำเป็นต้องดมยาสลบแทน
  • คุณแม่หลังคลอด ที่ต้องการลดและกระชับสัดส่วนให้กลับมาเฟิร์มเหมือนเดิม สามารถทำ CoolSculpting ได้ครับ แต่ควรรอให้ผ่านช่วงของการให้นมบุตรไปก่อน และปรึกษากับแพทย์ร่วมด้วย

ทั้งนี้ จะมีบุคคลบางกลุ่มที่แพทย์จะไม่แนะนำให้ทำ CoolSculpting ครับ เช่น ผู้หญิงในระหว่างการตั้งครรภ์และให้นมบุตร ผู้ที่มีประวัติแพ้ความเย็น ผู้ที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ผู้ที่ติดอุปกรณ์กระตุ้นหัวใจ หรือผู้ที่เพิ่งผ่าตัดในบริเวณที่จะทำการรักษา

 


 

CoolSculpting สามารถทำจุดไหนได้บ้าง ?

CoolSculpting สามารถทำจุดไหนได้บ้าง

CoolSculpting สามารถทำได้ในหลายจุดของร่างกาย เพราะมีหัวให้เลือกใช้งานหลายรูปทรงและหลายขนาด สำหรับจุดที่นิยมจะมีดังนี้

  • หน้าท้อง ถือเป็นตำแหน่งที่ร่างกายสะสมไขมันสูง แต่สามารถลดสัดส่วนได้ยาก ทำให้บางรายอาจมองเห็นเป็นเนื้อย้อยคล้ายมีห่วงยางอยู่รอบเอว CoolSculpting หน้าท้องจะช่วยลดไขมันบริเวณนี้อย่างถาวร ปรับให้รูปร่างมีความกระชับมากขึ้น มองเห็นกล้ามเนื้อได้ชัดเจน ในบางคลินิกสามารถใช้เครื่อง CoolSculpting เพื่อช่วยปั้นหุ่นให้เห็นซิกแพคได้อีกด้วย
  • สะโพก สำหรับผู้ที่มีปัญหาสะโพกใหญ่ ทำให้ขาดความมั่นใจเวลาใส่กางเกงหรือกระโปรง CoolSculpting สะโพก จะช่วยลดขนาดของสะโพกให้ดูเล็กลง และทำให้รูปร่างดูสมส่วนมากขึ้นได้ครับ
  • ต้นขา เป็นหนึ่งในจุดของร่างกายที่ลดไขมันได้ยาก สามารถทำ CoolSculpting ต้นขา ได้ทั้งต้นขาด้านในและด้านนอก ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาต้นขาใหญ่ หรือขาเบียด ที่เกิดจากการสะสมไขมัน และปรับให้ขาดูเรียวสวยได้
  • ต้นแขน เป็นจุดที่มีการสะสมไขมันเยอะ และสามารถลดสัดส่วนได้ยาก เช่นเดียวกับต้นขา CoolSculpting ต้นแขนจะช่วยแก้ปัญหาต้นแขนใหญ่ และปรับให้แขนมีความกระชับมากขึ้นได้
  • เหนียง เป็นจุดที่ค่อนข้างเล็ก สามารถทำ CoolSculpting เหนียงโดยเลือกใช้หัว Mini ได้ครับ แต่จะไม่ค่อยเป็นที่นิยม แพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ทำ Hifu ลดเหนียงมากกว่า เพราะเป็นหัตถการที่สามารถช่วยยกกระชับผิว และปรับให้กรอบหน้าชัดได้ หรือในผู้ที่มีไขมันใต้คางมาก ๆ ก็สามารถฉีดเมโสแฟตเหนียง ซึ่งจะช่วยสลายไขมัน และให้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน

 


 

CoolSculpting เจ็บไหม ?

CoolSculpting ไม่เจ็บครับ เพราะเป็นหัตถการที่เหมือนการทำทรีตเมนต์ทั่วไป จึงไม่ทำให้เกิดรอยแผล และไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา ในระหว่างการทำ CoolSculpting คนไข้สามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ แก้เบื่อได้เลยครับ เช่น เล่นโทรศัพท์มือถือ นอนอ่านหนังสือ หรือดูหนัง

นอกจากนี้คนไข้อาจมีความรู้สึกปวด ๆ เมื่อย ๆ ในตอนนวดเพื่อให้เซลล์ไขมันที่ถูกแช่แข็งตายครับ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2 นาทีเท่านั้น

 


 

CoolSculpting มีผลข้างเคียงอะไร ?

การทำ CoolSculpting มีความปลอดภัยมาก ถ้าทำโดยแพทย์ หรือ Specialist ที่ผ่านการอบรมการใช้งานเครื่องมาอย่างถูกต้องครับ ซึ่งจะมีผลข้างเคียงที่ไม่เป็นอันตราย ดังนี้

  • ผิวเขียวช้ำ หลังการแช่แข็งไขมันด้วย CoolSculpting จำเป็นต้องนวดต่อเพื่อให้เซลล์ไขมันตาย เพราะหากไม่นวดอาจทำให้ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ลดลงถึง 60% ครับ ในบางรายที่ผิวขาว หรือผิวบาง จึงอาจเกิดเป็นรอยเขียวช้ำได้
  • อาการปวดระบม ในช่วงประมาณ 7-10 วันแรก อาจมีอาการปวดระบมในจุดที่ทำ ซึ่งจะคล้ายคลึงกับอาการปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายหนัก ๆ
  • บวมในจุดที่ทำ CoolSculpting ประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพราะเซลล์ไขมันที่ตายยังค้างอยู่ครับ จำเป็นต้องรอให้ร่างกายค่อย ๆ ลำเลียงเซลล์เหล่านี้ออกไปผ่านทางระบบเลือดและระบบน้ำเหลืองก่อน ซึ่งอาการบวมจะลดลงเรื่อย ๆ และเห็นสัดส่วนร่างกายที่เล็กลง ในช่วงเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์
  • อาการชาและคัน ในบางรายอาจมีอาการชาและคันเล็กน้อยในจุดที่ทำ ในช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนแรก
  • เกิดรอยดำชั่วคราวที่ผิวหนัง ซึ่งจะหายได้เองในเวลาไม่เกิน 6 เดือน

 


 

CoolSculpting กี่ครั้งเห็นผล ?

CoolSculpting กี่ครั้งเห็นผล

การทำ CoolSculpting สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยในการทำเพียง 1 ครั้ง จะสามารถสลายเซลล์ไขมันได้ 20-30% และ 1 หนีบสามารถกำจัดเซลล์ไขมันออกไปได้ประมาณ 60-70 CC

 


 

CoolSculpting กี่วันเห็นผล ?

หลังทำ CoolSculpting ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก อาจยังมีอาการบวมอยู่ครับ เพราะเซลล์ไขมันที่ตายและค้างอยู่ภายในร่างกาย จำเป็นต้องรอให้ร่างกายกำจัดเซลล์เหล่านี้ออกไปก่อน โดยจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ว่าสัดส่วนมีขนาดเล็กลง และกระชับขึ้นในเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ และเห็นผลเต็มที่ในเวลา 3 เดือน ซึ่งสามารถกลับมาทำ CoolSculpting ซ้ำได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

 


 

CoolSculpting ที่ไหนดี ? ก่อนทำต้องเช็กอะไร ?

เช็กเครื่อง CoolSculpting ของแท้

การทำ CoolSculpting จะเหมือนกับการทำทรีตเมนต์ทั่วไปครับ ก่อนทำจึงไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรมาก สามารถแต่งหน้า รับประทานอาหาร และทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติเลย แต่สิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือ การเลือกว่า ควรทำ CoolSculpting ที่ไหนดี ? ซึ่งจะให้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ และมีความปลอดภัย

  • คลินิกความงามที่ได้มาตรฐาน เช็กได้จากเลขใบอนุญาต 11 หลักที่แสดงไว้ด้านหน้าของคลินิกความงาม
  • แพทย์หรือ Specialist ที่ผ่านเทรนนิงการใช้งานเครื่อง สามารถเช็กได้จากเว็บไซต์ของคลินิกความงามที่แพทย์ท่านนั้นประจำอยู่ครับ รวมถึงควรนำรายชื่อไปตรวจสอบกับเว็บแพทยสภาอีกด้วย
  • เครื่อง CoolSculpting ของแท้ จะมีหน้าตาเหมือนกับภาพแบนเนอร์ โดยจะมีชื่อเครื่องและโลโก้ CoolSculpting ติดอยู่บนตัวเครื่อง และควรเช็กสติกเกอร์ 4 จุดบริเวณด้านบนสุดและด้านหลังตัวเครื่องว่ามีชื่อของบริษัท Zeltiq Aesthetics USA ซึ่งเป็นผู้จดสิทธิบัตรเทคโนโลยีนี้ครับ
  • ราคาสมเหตุสมผล โดยทั่วไปราคาเริ่มต้นของ CoolSculpting ต่อจุดจะอยู่ที่ 8,000-10,000 บาทครับ
  • รีวิวจากผู้ใช้งานจริง ควรมีทั้งแบบรูปภาพและคลิปวิดีโอ รวมถึงควรอยู่ในสื่อกลางที่ทางคลินิกไม่สามารถลบรีวิวออกได้เอง เช่น Pantips หรือ Facebook Fanpage

 


 

สรุป

หลาย ๆ คนจะเห็นได้ว่า CoolSculpting หรือการสลายไขมันด้วยความเย็น ถือเป็นวิธีที่ช่วยลดสัดส่วนได้อย่างตรงจุด และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน เพราะช่วยลดจำนวนของเซลล์ไขมันในร่างกายลงอย่างถาวรครับ ทำให้เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ

สำหรับใครที่อยากทำ CoolSculpting ให้ได้ผลลัพธ์ดี มีความปลอดภัย ควรให้ความสำคัญกับการเลือกคลินิกความงาม เลือกแพทย์ที่ทำหัตถการ และเลือกเครื่องของแท้ที่ได้มาตรฐาน