เหรียง ผักพื้นบ้านจากทางใต้ ช่วยขับลมในลำไส้ เป็นยาสมานแผล บำรุงร่างกาย

0
1917
เหรียง ผักพื้นบ้านจากทางใต้ ช่วยขับลมในลำไส้ เป็นยาสมานแผล บำรุงร่างกาย
เหรียง ผักพื้นบ้านทางภาคใต้ ลักษณะฝักคล้ายสะตอ เปลือกเมล็ดหนามีสีดำหรือสีคล้ำ ส่วนเนื้อในเมล็ดมีสีเขียวเข้มและมีกลิ่นฉุน
เหรียง ผักพื้นบ้านจากทางใต้ ช่วยขับลมในลำไส้ เป็นยาสมานแผล บำรุงร่างกาย
เหรียง ผักพื้นบ้านทางภาคใต้ ลักษณะฝักคล้ายสะตอ เปลือกเมล็ดหนามีสีดำหรือสีคล้ำ ส่วนเนื้อในเมล็ดมีสีเขียวเข้มและมีกลิ่นฉุน

เหรียง

เหรียง (Nitta tree) เป็นผักพื้นบ้านของทางภาคใต้ที่มีลักษณะคล้ายสะตอและมีกลิ่นฉุน สามารถเจริญเติบโตได้ดีแม้ในสภาพที่ไม่เหมาะสม เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่มีประโยชน์ในด้านเกษตรและนำมารับประทานได้ คนเมืองสมัยใหม่ไม่ค่อยรู้จักหรือนิยมนำมารับประทานนัก เหรียงยังเป็นต้นที่สามารถนำเมล็ดมาเพาะได้ง่ายด้วยตัวเองและเป็นยาสมุนไพรชนิดหนึ่งของคนเมืองใต้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเหรียง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Parkia timoriana (DC.) Merr.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Nitta tree”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคใต้เรียกว่า “กะเหรี่ยง เรียง สะเหรี่ยง สะตือ” ภาคใต้และมาเลย์เรียกว่า “นะกิง นะริง” มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า “เรียง เหรียง เมล็ดเหรียง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)
ชื่อพ้อง : Parkia javanica auct., Parkia roxburghii G.Don

ลักษณะของต้นเหรียง

ต้นเหรียง เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่มีการกระจายพันธุ์ในหมู่เกาะติมอร์และในแถบเอเชียเขตร้อน ในประเทศไทยนั้นจะพบขึ้นได้ทั่วไปทางภาคใต้ มักจะขึ้นตามป่าดิบชื้นทั่วไป
ลำต้น : ลำต้นเป็นเปลาตรง พุ่มใบของต้นเป็นพุ่มกลมเป็นสีเขียวทึบ มีเนื้อไม้สีขาวนวล ไม่มีแก่น เสี้ยนตรงสม่ำเสมอ มีความอ่อนและเปราะ
เปลือกต้น : เปลือกต้นเรียบ กิ่งก้านของต้นมีขนปกคลุมขึ้นประปราย
ใบ : เป็นใบแบบช่อ ใบแคบปลายแหลม ใบแก่มีสีเหลืองร่วงเกือบหมดต้นและจะผลิใบใหม่แทน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกลมที่ปลายยอด ก้านดอกยาวสีเขียวสลับน้ำตาล ออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม
ผล : ผลเป็นฝัก ฝักตรงคล้ายสะตอ เมื่อแก่เต็มที่เปลือกจะแข็งและมีสีดำ มักจะออกผลหรือฝักในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม ฝักจะแก่ในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์
เมล็ด : แต่ละฝักจะมีเมล็ดลักษณะเป็นรูปไข่ หนึ่งฝักมีเมล็ดประมาณ 20 เมล็ด ตัวเมล็ดจะไม่นูนอย่างชัดเจน เปลือกเมล็ดหนามีสีดำหรือสีคล้ำ ส่วนเนื้อในเมล็ดมีสีเขียวเข้มและมีกลิ่นฉุน
ลูกหรือหน่อ : ลักษณะคล้ายกับถั่วงอกหัวโตแต่มีขนาดใหญ่กว่าและมีสีเขียว มีรสมันและกลิ่นฉุน เกิดจากการนำเมล็ดเหรียงของฝักแก่ไปเพาะในกระบะทรายเพื่อให้เมล็ดงอกรากและมีใบเลี้ยงโผล่ขึ้นมาเหมือนกับถั่วงอก สามารถรับประทานได้

การเพาะลูกเหรียง

1. ตัดเมล็ดเป็นรอยเพื่อให้แตกหน่อออกมาได้ โดยตัดปลายด้านที่มีสีน้ำตาลและเป็นรอยบุ๋ม จากนั้นนำไปแช่น้ำ 1 คืน
2. แช่เสร็จให้นำเมล็ดขึ้นมาล้างเมือกที่ติดอยู่ให้หมดโดยใช้มือถูเมล็ดไปมาในน้ำประมาณ 2 ครั้ง
3. ทำการเตรียมตะกร้าพลาสติกโปร่ง โดยการนำผ้าขนหนูหรือผ้าหนา ๆ มาชุบน้ำให้เปียกแล้ววางรองในตะกร้าที่เตรียมไว้ จากนั้นนำเมล็ดที่ล้างเสร็จโรยลงไปบนผ้าเปียก อย่าให้เมล็ดซ้อนกันเพราะอาจทำให้เน่าเสียหายได้ง่าย แล้วนำผ้าเปียกอีกผืนนำมาปิดไว้
4. ทำการรดน้ำเช้าและเย็น ครั้งละ 1 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 4 วัน
5. วันถัดมาให้นำเมล็ดมาแกะเอาเปลือกออก จากนั้นล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปเพาะในกระบะทราย

สรรพคุณของเหรียง

  • สรรพคุณจากเมล็ด ช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้เจริญอาหาร เป็นยาแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง ขับลมในลำไส้
  • สรรพคุณจากลูกเหรียง บำรุงเหงือกและฟันให้แข็งแรง
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น เป็นยาสมานแผล ช่วยลดน้ำเหลือง

ประโยชน์ของต้นเหรียง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นำมารับประทานเป็นผักสดโดยจิ้มกับน้ำพริก นำมาทำเป็นผักดอง นำมาปรุงอาหารในแกงต่าง ๆ หรือนำมาผัดได้
2. ใช้ในการเกษตร นิยมนำต้นเหรียงมาใช้เป็นต้นตอในการติดตาพันธุ์สะตอ ช่วยบำรุงดิน นำใบเหรียงมาปลูกควบคู่กับพืชอื่นอย่างการปลูกกาแฟจะทำให้ผลผลิตของกาแฟสูงขึ้นติดต่อกัน
3. ใช้ในอุตสาหกรรม ทำเป็นโครงร่างของการผลิตต่าง ๆ เช่น การทำรองเท้าไม้ หีบใส่ของ ไม้หนาประกบพวกเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ หรือเครื่องใช้สอยอื่น ๆ เช่น เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น

คุณค่าทางโภชนาการของเหรียง

คุณค่าทางโภชนาการของเหรียงในส่วนที่รับประทานได้ ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 88 แคลอรี

สารอาหาร สารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 6.7 กรัม
โปรตีน 7.5 กรัม
ไขมัน 3.5 กรัม
เส้นใยอาหาร 1.3 กรัม
น้ำ 79.6 กรัม
วิตามินเอ 22 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.06 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.62 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.1 มิลลิกรัม
วิตามินซี 83 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 182 มิลลิกรัม
เหล็ก 2.0 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 3.8 มิลลิกรัม

เหรียง เป็นผักที่มีลักษณะเด่นแต่มีหน่อคล้ายสะตอ สามารถนำมาเพาะได้ง่ายและมีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อร่างกาย เป็นไม้ยืนต้นที่นำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ และมีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ขับลมในลำไส้ เป็นยาสมานแผล บำรุงเหงือกและฟัน เป็นผักที่มีกลิ่นแรงแต่สามารถทานเพื่อบำรุงร่างกายได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “เหรียง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [25 พ.ย. 2013].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย. นวัตกรรมการบริหารงานวิจัย การสร้างขุมความรู้เพื่อรองรับการวิจัยเชิงพื้นที่ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. “เหรียง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: area-based.lpru.ac.th. [25 พ.ย. 2013].
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนครศรีธรรมราช. “ลูกเหรียง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.skns.ac.th. [25 พ.ย. 2013].