กกลังกา
ไม้ล้มลุกยืนต้น ลำต้นเหนือดินสร้างช่อดอกและแตกเป็นกอ ใบเดี่ยวยาว ใต้ท้องใบสาก ดอกเป็นช่อซี่ร่ม

กกลังกา

กกลังกา Umbrella plant, Flatsedge เป็นไม้ล้มลุกยืนต้นที่สามารถเติบโตได้สูงถึง 2 เมตร มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตก มาดากัสการ์ และคาบสมุทรอาหรับ แต่ปัจจุบันพบได้ทั่วโลก ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Cyperus alternifolius L.[1],[2] ส่วนอีกข้อมูลระบุว่า เป็นชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า คือ Cyperus involucratus Rottb. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Cyperus alternifolius subsp. flabelliformis Kük., Cyperus flabelliformis Rottb.)[4] โดยจัดอยู่ในวงศ์กก (CYPERACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ กกขนาก, กกต้นกลม, หญ้าสเล็บ, หญ้าลังกา, กกดอกแดง (พระนครศรีอยุธยา),[1], กกรังกา หญ้ากก หญ้ารังกา (กรุงเทพฯ)[4], จิ่วหลงทู่จู (จีนกลาง), เฟิงเชอเฉ่า (จีนแต้จิ๋ว)[3]

ลักษณะของกกลังกา

  • ลักษณะของต้น[1],[5]
    – จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุก
    – อายุหลายปี
    – ลำต้นเหนือดินสร้างช่อดอกและแตกเป็นกอ
    – มีลำต้นใต้ดินเป็นเหง้าแข็งสั้น ๆ คล้ายจำพวกขิงหรือเร่ว
    – ลำต้นตั้งตรงไม่มีกิ่งก้าน
    – มีความสูงได้ 100-150 เซนติเมตร
    – ลำต้นมีลักษณะเป็นเหลี่ยมค่อนข้างกลมมน มีสีเขียว
    – สามารถขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ
    – เจริญเติบโตได้ดีในดินเหนียวที่ชุ่มชื้นและมีอินทรีย์วัตถุสูง
    – ชอบความชื้นสูงและแสงแดดแบบเต็มวัน
    – มักขึ้นตามบริเวณที่ที่เป็นโคลนหรือน้ำ เช่น ข้างแม่น้ำ สระ ลำคลอง หรือบ่อน้ำ
  • ลักษณะของใบ[1]
    – ใบเป็นใบเดี่ยว
    – แผ่นใบบาง
    – ออกแผ่ซ้อน ๆ กันอยู่ที่ปลายยอดของลำต้น
    – ใบเป็นรูปยาว
    – ปลายใบแหลม
    – ขอบใบเรียบ
    – ใบมีความกว้าง 1 เซนติเมตร และยาว 18-19 เซนติเมตร
    – แผ่นใบเป็นสีเขียว
    – ใต้ท้องใบสาก
    – ในต้นหนึ่ง ๆ จะมีใบ 18-25 ใบ
  • ลักษณะของดอก[1],[2],[4]
    – ออกดอกเป็นช่อซี่ร่มย่อยที่ปลายกิ่ง
    – ช่อดอกแตกแขนงย่อย 20-25 แขนง
    – มีขนาดกว้าง 12-20 เซนติเมตร
    – มีใบประดับรองรับช่อดอก 4-10 ใบ
    – มีขนาดกว้าง 6-10 มิลลิเมตร และยาว 15-25 เซนติเมตร
    – แต่ละแขนงจะมีดอกย่อยช่อละ 8-20 ดอก
    – ดอกย่อยจะมีกาบหุ้ม มีความกว้าง 1 มิลลิเมตร และยาว 1-2 มิลลิเมตร
    – ดอกย่อยมีขนาดเล็กเป็นสีขาวแกมเขียว
    – เมื่อดอกแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน
    – ก้านดอกเป็นเส้นเล็ก ๆ มีสีเขียวอ่อน ยาวได้ 6-7 เซนติเมตร
  • ลักษณะของผล[2],[5]
    – ผลเป็นผลแห้ง
    – ผลเป็นรูปทรงรียาว รูปรี หรือรูปไข่
    – มีความกว้าง 0.4-0.5 มิลลิเมตร และยาว 0.9-1 มิลลิเมตร
    – ผลเป็นสีน้ำตาล
    – เปลือกแข็ง
    – มีเมล็ดเดียว

สรรพคุณของกกลังกา

  • ทั้งต้น สามารถใช้เป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย[3]
  • ทั้งต้น สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้ตัวเหลือง ตาเหลือง แก้ดีซ่าน[3]
  • ดอก สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มหรืออมกลั้วคอ เป็นยาแก้โรคในปาก เช่น ปากเปื่อย ปากเป็นแผล[1],[2],[3],[4],[5]
  • เหง้า สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มหรือบดเป็นผงละลายกับน้ำร้อนดื่มเป็นยาขับเสมหะ แก้เสมหะ เสมหะเฟื่อง และช่วยขับน้ำลาย[1],[2],[4],[6]
  • เหง้า มีรสขม สามารถใช้ต้มเอาน้ำดื่มหรือนำมาบดให้เป็นผงละลายกับน้ำร้อนดื่มเป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ เป็นยาทำให้เจริญอาหาร[1],[2],[4],[6]
  • ทั้งต้น มีรสเปรี้ยว หวาน และขมเล็กน้อย เป็นยาเย็น สามารถนำมาใช้เป็นยาฟอกเลือด ทำให้เลือดลมไหลเวียนดี[3]
  • ใบ มีรสเย็น สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาฆ่าพยาธิ ฆ่าเชื้อโรคภายใน[1],[2],[4],[6]
  • ใบ สามารถนำมาใช้ตำและพอกเป็นยาฆ่าเชื้อโรคหรือพยาธิที่บาดแผล ซึ่งเป็นตัวนำเชื้อโรคทั้งหมดได้[1],[2],[4],[5],[6]
  • ราก สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่ม หรือตำกับเหล้าคั้นเอาน้ำดื่ม เป็นยาแก้ช้ำในและการตกเลือดจากอวัยวะภายใน ช่วยขับเลือดเน่าเสียออกจากร่างกายได้[1],[2],[3],[4],[6]
  • ลำต้น มีรสจืด สามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ท่อน้ำดีอักเสบ ช่วยขับน้ำดีให้ตกลำไส้ และเป็นยาทำลายดีอันผูกไว้ซึ่งพิษ[1],[3],[6]
  • เหง้า สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้พิษงู ด้วยการใช้เหง้าแช่เหล้าไว้นาน 2 อาทิตย์ขึ้นไป นำมาล้างแผลที่โดนงูกัดและใช้เหล้าที่ได้จากนี้รับประทานครั้งละ 1 แก้วยา จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหรือถอนพิษงูได้แค่ชั่วคราว[3]
  • เหง้า สามารถนำมาฝนใส่เหล้า แล้วนำไปคั่วจนเนื้อยาเป็นสีคล้ำ นำข้าวสาร 1 กำมือ และยาที่คั่วแล้วปริมาณ 60 กรัม ใส่หม้อนำไปต้ม ให้รับประทานหลังการคลอดบุตรของสตรี หากมีอาการปวดท้องน้อยหรือตกเลือด[3]

ประโยชน์ของกกลังกา

  • สามารถนำไปใช้เป็นวัสดุในงานหัตถกรรมพื้นบ้านได้[6]
  • นิยมนำมาปลูกไว้เป็นไม้ประดับตามริมสระน้ำในสวนหรือใช้ปลูกในภาชนะร่วมกับไม้น้ำอื่น ๆ[5],[6]
  • การปลูกไว้ริมขอบน้ำจะเป็นแหล่งหลบซ่อนตัวของสัตว์น้ำวัยอ่อน[6]
  • ช่วยบำบัดน้ำเสียและช่วยปรับสมดุลทางระบบนิเวศวิทยาได้[6]

สั่งซื้อ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “กก ลัง กา”. หน้า 1-2.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “กกรังกา”. หน้า 54.
3. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “กกลังกา”. หน้า 16.
4. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “กก ลังกา (Kok Rang Ka)”. หน้า 14.
5. ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “กกลังกา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : agkc.lib.ku.ac.th. [11 ก.ค. 2015].
6. โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม. “กก ลัง กา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.kp.ac.th. [11 ก.ค. 2015].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.britannica.com/
2.https://housing.com/