ขี้อ้าย
เป็นไม้ยืนต้น กิ่งอ่อนมี ขนสั้นนุ่ม เนื้อใบบางคล้ายกระดาษ ดอกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนง สีเหลืองอ่อนและมีกลิ่นหอม

ขี้อ้าย

ขี้อ้าย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อน เขตการกระจายพันธุ์อยู่ในอินเดีย พม่า จีนตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจีน และในคาบสมุทรมลายู ในประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภาค สามารถพบได้ทั่วไปในป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าคืนสภาพ ป่าดงดิบแล้งบนเขาหินทรายและหินปูน จนถึงระดับความสูงประมาณ 1,000 เมตร ชื่อวิทยาศาสตร์ Terminalia nigrovenulosa Pierre[2],[4] (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Terminalia hainanensis Exell, Terminalia obliqua W. G. Craib, Terminalia triptera Stapf, Terminalia tripteroides W. G. Craib)[1],[4] จัดอยู่ในวงศ์สมอ (COMBRETACEAE)[2] ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ กำจาย (เชียงใหม่), สลิว (ตาก), แสนคำ แสงคำ สีเสียดต้น (เลย), หนามกราย (นครราชสีมา), หอมกราย (จันทบุรี), ขี้อ้าย หานกราย (ราชบุรี), เบน เบ็น (สุโขทัย), มะขามกราย หามกราย หนามกราย (ชลบุรี), ประดู่ขาว (ชุมพร), แฟบ เบ็น (ประจวบคีรีขันธ์), ตานแดง (ประจวบคีรีขันธ์, สุราษฎร์ธานี, สงขลา), คำเจ้า พระเจ้าหามก๋าย พระเจ้าหอมก๋าย ปู่เจ้า ปู่เจ้าหามก๋าย สลิง ห้ามก๋าย (ภาคเหนือ), แสงคำ แสนคำ สังคำ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), กำจำ (ภาคใต้), แนอาม (ชอง-จันทบุรี), หนองมึงโจ่ หนองมึ่งโจ่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี)[1],[4]

ลักษณะของขี้อ้าย

  • ต้น[1],[2],[4],[5]
    – เป็นพรรณไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่
    – ลำต้น มีความสูงประมาณ 5-25 เมตร
    – ลำต้นตั้งตรง
    – โคนต้น ที่มีพูพอนขนาดเล็ก จะมีกิ่งย่อยรอบ ๆ ลำต้นทางด้านล่าง
    – เมื่อสับแล้วจะมียางสีแดงส้มชัดเจน
    – เปลือกต้น ค่อนข้างเรียบและเป็นสีน้ำตาลหรือสีเทา
    – เปลือกต้น มีรอยแตกตามยาวแบบตื้น ๆ
    – เปลือกด้านใน เป็นสีน้ำตาลแดง
    – กิ่งอ่อนมี ขนสั้นนุ่ม
    – สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด
  • ใบ[1],[2],[4]
    – เป็นใบเดี่ยว
    – ออกใบเรียงสลับกันหรือออกเกือบตรงกันข้ามกัน
    – ใบ เป็นรูปไข่หรือรูปมนแกมรูปไข่
    – ปลายใบ ค่อนข้างแหลม
    – โคนใบ มีความมนหรือสอบเข้าหากันเป็นรูปลิ่ม
    – ขอบใบ ค่อนข้างเรียบ
    – มีต่อมหนึ่งคู่ที่บริเวณขอบใบใกล้ ๆ กับโคนใบ
    – ใบ มีความกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตร และยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร
    – เนื้อใบ จะบางคล้ายกับกระดาษ
    – ใบอ่อน ถูกปกคลุมไปด้วยขนสีน้ำตาลหนาอยู่หนาแน่น และขนจะร่วงไปเมื่อใบมีอายุมากขึ้น
    – เส้นแขนงใบ จะมีข้างละ 8-10 เส้น
    – ใบแก่ก่อนร่วง จะเป็นสีเหลือง
    – ก้านใบมีขนาดเล็กเรียว มีความยาว 0.5-3 เซนติเมตร
  • ดอก[1],[2],[4]
    – ออกดอกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนง ออก 3-6 ช่อ
    – ออกดอกตามซอกใบหรือที่ปลายกิ่ง
    – ช่อดอกย่อย เป็นแบบช่อเชิงลด มีความยาวประมาณ 3-6 เซนติเมตร
    – แกนกลางช่อ มีขนสั้นค่อนข้างนุ่ม
    – ดอก เป็นสีเหลืองอ่อนและมีกลิ่นหอม
    – ใบประดับ เป็นรูปเส้นด้าย มีความยาวประมาณ 1-1.5 มิลลิเมตร
    – กลีบเลี้ยงที่โคน จะเชื่อมติดกันเป็นหลอด มีความยาวประมาณ 0.8-1 มิลลิเมตร
    – ปลายกลีบแยกออกเป็น 5 แฉกรูปสามเหลี่ยม มีความยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ 10 อัน มีความยาวเท่า ๆ กลีบเลี้ยง
    – จานฐานดอกขอบหยักมน มีขนยาวขึ้นอยู่หนาแน่น
    – มีรังไข่อยู่ใต้วงกลีบ มีความยาวประมาณ 0.8-1 มิลลิเมตร เกลี้ยง
    – มีช่อง 1 ช่อง ในแต่ละช่องมีออวุล 2-3 เมล็ด
    – ก้านเกสรเพศเมีย มีความยาวประมาณ 2.5-3 มิลลิเมตร
    – จะออกดอกในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม
  • ผล[1],[2],[4]
    – ผล เป็นแบบผลผนังชั้นในแข็ง
    – ผล เป็นรูปกระสวย ขอบขนาน หรือเบี้ยว
    – ผล มีปีก 3 ปีก ปีกบาง
    – ในแต่ละปีกทำมุมเกือบเท่ากัน สีน้ำตาลอ่อน
    – เปลือกผล ค่อนข้างเหนียว ผิวเกลี้ยง
    – ผลอ่อน เป็นสีเขียวอมเหลือง
    – ผลแก่ จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
    – ผล มีความกว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 1.5-2.5 เซนติเมตร
    – ผลมีเมล็ด 1 เมล็ด
    – เมล็ดเป็นสีขาว เป็นรูปรี
    – จะออกผลในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  1. จากการศึกษาสารสกัดจากลำต้นด้วย 50% แอลกอฮอล์
    – พบว่ามีสารองค์ประกอบอยู่ในกลุ่มแทนนินส์ที่เป็น hydrolysable tannins มีฟลาโวนอยด์ทั้งประเภท anthocyanidin, leucoanthocyanidin, catechin และ aurone และมีสารในกลุ่มอัลคาลอยด์
    – มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูง (EC50 = 6.55มก./มล.)
    – มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อรา ที่ความเข้มข้น 2-4 มก./มล. ที่เป็นสาเหตุของโรคกลาก
    – มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ที่ความเข้มข้น 0.78 มก./มล. ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคแผลฝีหนอง
    – มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย S. mutans ที่ความเข้มข้น 0.39 มก./มล. ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคในช่องปาก
    – มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อ V. cholerae ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอหิวาตกโรค
    – มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย Shigella และ Salmonella ที่ความเข้มข้น 12.5 มก./มล. ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงและมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อไวรัสโรคเริม Herpes simplex virus type 1 (IC50 = 21.65 มก./มล.)[5]
  2. สารสกัด
    – ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ทั้งในภาวะที่มีและไม่มีเอนไซม์
    – สามารถลดฤทธิ์ในการก่อกลายพันธุ์ของสารมาตรฐานที่ทดสอบได้ดีเมื่อมีการทำงานของเอนไซม์ในตับร่วมด้วย โดยจะมีค่า IC50 เท่ากับ 10.24 และ 8.77 มก./plate
    – สามารถลดการเพิ่มจำนวนของเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดทีเซลล์และบีเซลล์ ที่ความเข้มข้น 3.13-200 มก./มล.
    – มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งตับในระดับปานกลาง (IC50 = 148.7±12.3 มก./มล.) แต่ยังพบว่ามีความเป็นพิษต่อเซลล์ปกติเช่นกัน
    – สามารถเหนี่ยวนำให้เซลล์มะเร็งตับตายแบบอะพอพโทซิส เมื่อเซลล์ได้รับสารสกัดนาน 1 วัน[5]

สรรพคุณของขี้อ้าย

  • ช่วยล้างบาดแผลเรื้อรังและช่วยห้ามเลือด[1]
  • ช่วยคุมธาตุและให้อุจจาระเป็นก้อน แก้อุจจาระเป็นฟอง (เปลือก)[6],[8]
  • ช่วยขับปัสสาวะ[1]
  • ช่วยแก้ท้องร่วง รักษาโรคบิด แก้บิดปวดเบ่ง[1],[8]
  • ช่วยกล่อมเสมหะและอาจม[6],[8]
  • ช่วยแก้ปากเปื่อย[5]
  • ช่วยบำรุงหัวใจ[1]
  • ช่วยแก้อุจจาระเป็นมูกเลือด[8]
  • ช่วยแก้อาการท้องร่วงอย่างแรง เป็นบิด ปวดเบ่ง ท้องเดิน[6]
  • ช่วยแก้เสมหะเป็นพิษ[8]

ประโยชน์ของขี้อ้าย

  • ไม้ นำมาใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือน ทำเครื่องเรือน ต่อเรือ หรือใช้ทำด้ามเครื่องมือกสิกรรมได้[2],[4]
  • น้ำยาง สามารถนำมาใช้หยอดประทานด้ามมีดแทนครั่ง[3]
  • เปลือกต้น สามารถนำมาใช้เป็นสีย้อมผ้า ซึ่งจะให้สีเหลือง[3]
  • เยื่อหุ้มเมล็ด มีรสค่อนข้างหวาน สามารถนำมารับประทานได้[7]
  • เปลือกต้น มีรสฝาด เมื่อนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ สามารถนำมาใช้กินกับหมากแทนสีเสียดได้[2],[4]

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ขี้อ้าย”. หน้า 146-147.
2. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ขี้อ้าย”. อ้างอิงใน : หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 1. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [29 ม.ค. 2015].
3. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ขี้ อ้าย, ปู่เจ้า”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [29 ม.ค. 2015].
4. สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ขี้อ้าย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/botany/. [29 ม.ค. 2015].
5. โครงการจัดทำฐานข้อมูลพืชสมุนไพรที่สำรวจและวิจัยภายใต้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) มหาวิทยาลัยขอนแก่น. “แสนคำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : orip.kku.ac.th/thaiherbs. [29 ม.ค. 2015].
6. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “กราย”. หน้า 40.
7. ศูนย์ปฏิบัติการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ปู่เจ้า, ขี้อ้าย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.goldenjubilee-king50.com. [29 ม.ค. 2015].
8. หนังสือคัมภีร์เภสัชรัตนโกสินทร์. (วุฒิ วุฒิธรรมเวช). “กราย”.

อ้างอิงรูปจาก
1. https://www.ydhvn.com/news/cay-duoc-lieu-cay-chieu-lieu-nuoc-terminalia-calamansanai-blanco-rolfe-t-bialata-stend
2. https://www.ydhvn.com/lists/cay-duoc-lieu-cay-chieu-lieu-chieu-lieu-hong-xang-tieu-terminalia-chebula-retz
3. https://medthai.com/