การดูแลซ่อมแซมและฟื้นฟูสภาพผิวเมื่อมีปัญหา
การมีสภาพผิวที่ดีได้นั้นขึ้นอยู่กับการดูแลใส่ใจตั้งแต่ขั้นพื้นฐานในทุกๆส่วนของร่างกาย

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิว

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผิวพรรณที่ผ่องใสปราศจากริ้วรอยหรือจุดด่างดำ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาและคงปฏิเสธไม่ได้ด้วยเช่นกันว่ามีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้ในสิ่งที่ตนหวังไว้ ในขณะที่คนจำนวนมากต่างก็ประสบปัญหาผิวพรรณด้วยกันทั้งนั้น บ้างก็มีปัญหาเพียงเล็กน้อย บ้างก็มีปัญหามาก คงจะดีไม่น้อยหากสามารถ ดูแลฟื้นฟูสภาพผิว ให้ดูดีได้เท่ากันทุกส่วน เนื่องจากผิวในแต่ละส่วนมีความแตกต่างกัน การที่จะดูผิวให้ถูกต้องจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับผิวในส่วนนั้น ๆ อย่างละเอียดเสียก่อน ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผิวส่วนต่าง ๆ และวิธีการแก้ปัญหาผิวที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ กรณีมีดังต่อไปนี้

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิธีการดูแลฟื้นฟูสภาพผิวต่างๆ

การดูแลฟื้นฟูสภาพผิวหน้าที่มัน

ผิวหน้ามันมีสาเหตุมาจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวมากจนเกินไปเป็นผลให้คนเรามีใบหน้ามัน รูขุมขนกว้าง จนเกิดการอุดตันของรูขุมขน เกิดสิวเสี้ยน และอาจรุนแรงจนถึงขั้นมีผิวหนังอักเสบ ( มีอาการหน้ามันมาก ในขณะที่ไรผม คิ้ว และผิวหนังข้างจมูกกับแห้งจนแตกเป็นขุย ) ตามมา มักพบในคนแถบเอเชียที่มีภูมิอากาศร้อนอบอ้าว ปัญหาหน้ามันสามารถดูแลได้ง่าย ๆ ดังนี้

ควรหลีกเลี่ยงการล้างหน้าบ่อย ๆ นอกจากจะไม่ช่วยลดความมันบนใบหน้าแล้ว ยังอาจเป็นการทำลายไขมันจำเป็นที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องผิว ทำให้ผิวแห้งผาก เกิดอาการระคายเคืองหรืออาการแพ้ได้ในที่สุด หากจำเป็นต้องแต่งหน้า ให้ใช้เครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน ( oil free ) เป็นหลัก

หลีกเลี่ยงการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์หลังล้างหน้า เนื่องจากธรรมชาติของผิวมันจะมีการผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวในปริมาณที่มากอยู่แล้ว ยังผลให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น หากดันทุรังทาลงไปอีกจะยิ่งเพิ่มความมันให้กับผิวมากขึ้น จนอาจทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบได้

สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามันมาก ๆ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Alcohol อาจช่วยหยุดความมันส่วนเกินได้บ้าง
ควรล้างหน้าวันละ 1-2 ครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์หรือสารที่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวได้ เช่น สาร SLS,SLES

ในคนที่มีสิวแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารเคมีจำพวกเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ กรดซาลิไซลิก เนื่องจากมีฤทธิ์ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน และช่วยลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมากเกินไปอาจส่งผลให้ผิวแห้งได้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่รูขุมขนกว้าง

รูขุมขนกว้างเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่มักพบบ่อยและสร้างความปวดหัวให้แก่ผู้ที่ประสบปัญหานี้เป็นอย่างมากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปัญหาผิวในส่วนอื่น ๆ เลย มักพบรูขุมขนขนาดใหญ่บริเวณด้านข้างหรือปลายจมูก รวมไปถึงบริเวณที่มีความมัน
มาก ๆ แม้ว่ารูขุมขนขนาดใหญ่จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติ แต่ผู้หญิงหลายคนอาจไม่ชอบเพราะมันทำให้ผิวแลดูหยาบกร้านไม่น่ามอง
รูขุมขนเป็นทางออกของเส้นขนและไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง เราเรียกส่วนนี้ว่าไพโลซีเบเชียสยูนิต สาเหตุที่ทำให้รูขุมขนมีขนาดใหญ่คือ การที่ต่อมไขมันซึ่งเชื่อมต่อกับรูขุมขนดังกล่าวมีขนาดใหญ่และมีการผลิตน้ำมันออกมามาก

วิธีจัดการกับปัญหารูขุมขนกว้างที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้นั่นก็คือการกระชับรูขุมขนด้วยกรดวิตามินเอหรือกรดเอเอชเอในบริเวณที่มีปัญหา จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวลงได้บ้าง เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทากรดเอเอชเอในตอนเช้าอย่างเบามือ แล้วทากรดวิตามินเอหรือสารผสมกรดวิตามินเอกับกรดไกลโคลิกก่อนนอน อาการรูขุมขนกว้างจะดีขึ้น

มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าการขัดหน้าหรือการประคบหน้าด้วยน้ำแข็งจะช่วยลดขนาดของรูขุมขนได้ แต่แท้จริงแล้ว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่อาจทำให้รูขุมขนแลดูเล็กลงได้ การขัดหน้าเป็นการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก ทำให้รูขุมขนแลดูเล็กลงเท่านั้น ในขณะที่การประคบหน้าด้วยน้ำแข็งก็เพียงแต่ทำให้รูขุมขนหดตัวได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปรูขุมขนก็จะกลับมาขยายใหญ่เท่าเดิม

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวหน้าที่แห้ง

อาการผิวหน้าแห้งโดยทั่วไปเกิดจากการขาดน้ำของเซลล์ผิวหนังชั้นบน หรือความสามารถในการลอกตัวของเซลล์ผิวหนังชั้นบนไม่ดีพอ การถูกแสงแดดแผดเผาเป็นเวลานาน การโดนสารเคมีที่มีความรุนแรงบ่อย ๆ สภาพอากาศที่มีความชื้นต่ำ หรือแม้แต่การดูแลผิวที่มากจนเกินพอดี เป็นต้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

1. วิธีป้องกันมิให้ผิวแห้งคือ
ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ
ปรนนิบัติผิวด้วยวิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสม
หลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดที่ร้อนแรงโดยตรง
หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ร้อนหรือหนาวจัด
การผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี
หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น
หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดผิวแห้ง
หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด หรือผลิตภัณฑ์ถนอมผิวที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรง
ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของน้ำมันเพื่อช่วยสร้างความชุ่มชื้นแก่ผิว มีสารที่ทำให้เกิดแรงตึงผิวอย่างอ่อน ๆ ( Mild Surfactant ) และมีค่าความเป็นกรดด่างที่ใกล้เคียงกับค่าความเป็นกรดด่างของผิวหนัง เป็นต้น

2. สำหรับคนที่ชอบแต่งหน้า
หากจำเป็นต้องแต่งหน้า ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ปราศจากสารกันบูดหรือหัวน้ำหอม

  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารที่เป็นอันตรายต่อผิว
  • ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของปิโตรลาทัม ( Petrolatum ) มิเนอรัลออยล์ ( Mineral Oil ) และแว็กซ์ ( Wax ) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่าโคลด์ครีม ( Cold Cream ) เพื่อล้างเครื่องสำอางออก และชำระล้างผิวหน้าซ้ำอีกครั้งด้วยสบู่สมุนไพรจากธรรมชาติเพื่อทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างหมดจดและสบู่สมุนไพรจากธรรมชาติยังช่วยบำรุงผิวได้อีกด้วย
  • ทามอยส์เจอไรเซอร์หลังล้างหน้าเพื่อบำรุงผิวทุกครั้ง

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่มีริ้วรอยรอบดวงตา

ผิวรอบดวงตาเป็นบริเวณที่มีความบอบบางและมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าส่วนอื่น ๆ รอยเหี่ยวย่นหรือรอยหมองคล้ำที่เกิดขึ้นบริเวณรอบดวงตาจะส่งผลให้ใบหน้าแลดูทรุดโทรมได้ชัดเจนที่สุด ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดรอยย่นรอบดวงตาประกอบด้วย 4 ปัจจัยได้แก่ แสงแดด ภาวะขาดความชุ่มชื้น การกระตุ้นผิวรอบดวงตาด้วยความรุนแรงและบ่อยครั้ง หรือแม้แต่การใช้สายตามาก ๆ เป็นต้น เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยรอบดวงตาควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

  • ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแดดโดยตรงเป็นเวลานาน ๆ หากต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งควรสวมแว่นตาดำ หมวกปีกกว้าง หรือกางร่ม
  • รักษาความชุ่มชื้นรอบดวงตาด้วยการทามอยส์เจอไรเซอร์ที่ออกแบบมาเพื่อดวงตาโดยเฉพาะ
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา ถู หรือขัดผิวรอบบริเวณดวงตาอย่างรุนแรง
  • หลีกเลี่ยงการใช้สายตาที่มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ
  • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมาก ๆ ก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง เพราะอาจทำให้เกิดอาการตาบวม อันจะนำไปสู่การเกิดริ้วรอยรอบดวงตาในที่สุด
  • หลีกเลี่ยงการแสดงอารมณ์ทางสีหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยิ้มที่มากเกินไป เพราะการหดตัวเข้าหากันของกล้าม-เนื้อใบหน้าที่บ่อยครั้งจนเกินไปจะทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณหางตาได้ง่าย
  • ควรพักสายตาเป็นระยะ ๆ ทุก ๆ 1 ชั่วโมงประมาณ 10-15 นาที ควรกระพริบตาบ่อย ๆ เพื่อบริหารกล้ามเนื้อตาและทำให้ลูกตาชุ่มชื้น มองออกไปไกล ๆ หรือมองสิ่งของที่เป็นสีเขียว เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อดวงตาที่อ่อนล้า หรืออาจนั่งหลับตาเพื่อให้กล้ามเนื้อดวงตาได้พักผ่อนเป็นระยะ ๆ เมื่อต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือดูโทรทัศน์ หรือทำกิจกรรมใด ๆ ที่ ต้องใช้สายตามากๆ

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวบริเวณถุงใต้ตาที่หมองคล้ำ

โดยทั่วไปแล้วปัญหาถุงใต้ตาคล้ำมี 4 ลักษณะ ได้แก่ การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ จนทำให้เลือดที่ไปหล่อเลี้ยงผิวรอบดวงตาไหลเวียนไม่สะดวก การที่ผิวบริเวณเปลือกตาล่างหย่อนคล้อยเข้าหากันหรือการที่โพรงเบ้าตาลึกจนทำให้เกิดเงาใต้ตา และดูเหมือนมีถุงใต้ตาคล้ำอยู่ตลอดเวลา การที่ผิวบริเวณใต้ตามีเม็ดสีมากกว่าปกติ ซึ่งมักพบในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ และการที่มีเลือดสีคล้ำ ทำให้ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามีสีคล้ำไปด้วย

วิธีการรักษาอาการถุงใต้ตาคล้ำที่ถูกต้องคือการแก้ไขที่ต้นเหตุของอาการ ได้แก่ การนอนหลับให้เพียงพอ การหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดอาการแพ้ การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของโคเอนไซม์ Q10 การใช้เลเซอร์ในการลบรอยดำ หรือการกินอาหารบางอย่างที่มีฤทธิ์ในการรักษาอาการผิดปกติดังกล่าวให้มากกว่าเดิม

การนอนหลับอย่างเพียงพอ นอกจากจะช่วยลดความคล้ำของผิวหนังใต้ตาได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพทั่วไปให้สมบูรณ์แข็งแรงอีกด้วย ดังจะสังเกตได้จากคนที่ได้นอนอย่างเต็มอิ่มจะมีใบหน้าที่สดใสเปล่งปลั่ง ในขณะที่คนที่อดนอนบ่อย ๆ มักจะพบว่าดวงตาดำคล้ำ ใบหน้าอิดโรยแล้ว แถมสุขภาพยังไม่สู้ดีอีกด้วย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เพื่อป้องกันมิให้เลือดเป็นสีคล้ำ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ให้น้อยลง เนื่องจากเนื้อสัตว์มีฤทธิ์ทำให้เลือดมีสภาพเป็นกรดและมีสีคล้ำขึ้น ควรกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่างเพื่อช่วยปรับเลือดให้มีค่าความเป็นด่างที่สมดุล เช่น ผลไม้รสเปรี้ยวและผักผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากดวงตาเป็นหนึ่งในอวัยวะที่มีความสำคัญที่สุดของร่างกาย และไวต่อสิ่งที่มากระตุ้นมากในระดับหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจใช้สารเคมีหรือทำการรักษาใด ๆ กับผิวหนังใกล้ดวงตาการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวบริเวณคอที่ย่น

คอย่นนอกจากจะเป็นสิ่งที่ไม่น่ามองแล้ว คอที่หย่อนยานยังเป็นสิ่งบ่งบอกถึงอายุที่มากขึ้นของผู้หญิงด้วยเช่นกัน นอกจากใบหน้าที่ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างดีแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าคอก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้าม แม้ว่าจะไม่ต้องปฏิบัติให้มากเท่ากับใบหน้าก็ตาม ด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกที่ดึงกล้ามเนื้อของคอให้หย่อนยานลงในแนวดิ่งทุกวินาที

กิจกรรมที่ทำอยู่ทุกวันก็มีส่วนเร่งให้กล้ามเนื้อและผิวบริเวณคอหย่อนยานและเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นการนอนหนุนหมอนที่ทำให้เกิดริ้วรอยหลังคอ หรือแม้แต่การทาครีมที่ผิดวิธี เพื่อลดอัตราเสี่ยงในการเกิดริ้วรอยก่อนวัย หากเป็นไปได้ให้นอนโดยไม่ต้องหนุนหมอนและทาครีมในทิศทางที่ย้อนขึ้นหาใบหน้า หรือในทิศทางต้านแรงโน้มถ่วง หลีกเลี่ยงการทาในแนวดิ่งหรือทากลับไปกลับมา

ความเสื่อมโทรมเป็นสิ่งที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อคอหย่อนยานก็ถึงเวลาที่เราจะต้องพึ่งตัวช่วยบางอย่างที่นอกเหนือจากการทำใจ วิธีแก้ไขสัญญาณมี 2 วิธี เช่นการทำศัลยกรรมตกแต่ง โดยการผ่าตัดดึงเนื้อที่หย่อนยานให้ตึง และการใช้ Botox ฉีดเข้ากระชับกล้ามเนื้อที่หย่อนยานให้กลับมาตึงอีกครั้ง

ทั้งสองวิธีนี้ต่างก็มีข้อเสียที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนต้องชั่งใจก่อนที่จะทำการผ่าตัด คนไข้ต้องเสียเลือดมาก ต้องนอนพักฟื้นเป็นเวลานานและเสียค่าใช้จ่ายมาก ในขณะที่การฉีดโบท็อกก็มีอันตรายมากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เนื่องจากการทำให้กล้ามเนื้อที่หดตัวคลายตัวกลับมาตึงดังเดิม ผู้เชี่ยวชาญต้องใช้โบทอกซ์ในปริมาณที่มากกว่าที่ใช้กับใบหน้า 5-10 เท่า และอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงตามมา เช่น ทำให้การตั้งศีรษะเสียสมดุลและมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

หากคอมีรอยย่นอยู่บ้างแต่ไม่ถึงกับหย่อนคล้อยจนต้องพึ่งการศัลยกรรม รอยย่นดังกล่าวอาจเกิดจากการขาดน้ำหรือวิตามินมาหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ ยังผลให้ผิวบริเวณคอเหี่ยวย่น แห้งกร้านและไม่สดใสเท่าที่ควรให้แก้ด้วยการ

  • ทาครีมบำรุงอย่างเบามือทุกเช้าและก่อนนอน
  • ดื่มน้ำให้มากๆ
  • กินผักและผลไม้ที่มีวิตามินสูงหรือกินอาหารเสริมที่มีสรรพคุณในการบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
  • บริหารคออย่างสม่ำเสมอด้วยการเงยหัวไปข้างหลัง อ้าปากให้กว้างที่สุด แล้วหุบให้สนิททันที ทำซ้ำประมาณ 10 ถึง 15 ครั้ง จะช่วยคืนความเต่งตึงและกระชับให้แก่ลำคอได้ไม่ยาก

หัวนมดำ

หัวนมดำเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่สร้างความกังวลใจให้กับผู้หญิงจำนวนไม่น้อย แม้ว่าแนวโน้มที่เราจะโชว์ผิวหนังส่วนนี้ให้คนอื่นเห็นจะค่อนข้างน้อยเต็มที แต่การมีหัวนมที่สวยงามย่อมสร้างความมั่นใจและความพึงพอใจให้แก่ผู้หญิงหลายคนได้ไม่น้อยเช่นกัน

ความต้องการที่จะมีหัวนมเป็นสีชมพูหรือแดงแลดูเป็นธรรมชาติ จึงมีบริษัทเครื่องสำอางจำนวนมากผลิตครีมหรือยาที่โอ้อวดอ้างสรรพคุณว่ามีฤทธิ์ในการปรับสีของหัวนมที่หมองคล้ำหรือดำให้มีสีจางหรือมีสีชมพูสวยได้ ยังผลให้ผู้หญิงจำนวนมากหาซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาทากันอย่างแพร่หลาย

อาการหัวนมคล้ำหรือดำเป็นอาการที่สืบเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ทำให้มีการสร้างและการกระจายตัวของเมลานินเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่เมลานินดังกล่าวก็มีขนาดใหญ่มากขึ้นตามไปด้วย

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่ามีสรรพคุณในการรักษาอาการหัวนมดำหรือคล้ำกว่าปกตินั้น อาจไม่ได้ผลดีเท่าใดนัก เนื่องจากเม็ดสีที่เป็นสาเหตุของหัวนมคล้ำจะถูกสร้างขึ้นในชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไป และอาการหัวนมคล้ำก็เป็นอาการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การทายาจะช่วยให้เม็ดสีที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังตื้น ๆ จางลงไปเท่านั้นเอง แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการกระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดสีอีกครั้งหัวนมก็จะกลับมาคล้ำดังเดิม นั่นย่อมหมายความว่าไม่มีทางเลยที่เราจะทำให้หัวนมของเราหายหมองคล้ำได้อย่างถาวร เว้นเสียแต่ว่าเราจะพึ่งการศัลยกรรมด้วยการสักหัวนมให้เป็นสีชมพูหรือแดงระเรื่อตามที่ต้องการ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

แต่เนื่องจากสีเหล่านั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมจึงอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและอาการแพ้ตามมาได้ง่าย ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำเพื่อความปลอดภัยจากอาการระคายเคืองหรืออาการแพ้ดังกล่าว การดูแลทำความสะอาดหัวนมอย่างสม่ำเสมอ และทาครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิงหรือกรดเอเอชเอที่มีฤทธิ์ในการทำให้ผิวสดใสเหมือนผิวหนังส่วนอื่น ๆ ก็นับว่าเพียงพอแล้ว

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวรักแร้

อาการดำคล้ำของรักแร้โดยทั่วไปมีสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัยอัน ได้แก่ การหย่อนคล้อยเข้าหากันของผิวหนังที่มักพบตามข้อพับต่าง ๆ เช่น คอ หรือรักแร้ ยังผลให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวมีสีคล้ำมากกว่าผิวหนังส่วนอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเป็นกันทุกคน การเสียดสีกันไปมาของผิวหนังซึ่งมักเกิดขึ้นบริเวณข้อพับ และการหนาขึ้นของผิวหนังหรือที่เรียกว่า Acanthosis Nigrican ซึ่งมักเกิดขึ้นกับคนอ้วน ผู้ป่วยมะเร็งในช่องท้องหรือผู้ป่วยโรคเบาหวาน สิ่งเหล่านี้ถือว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่สำหรับผู้ที่จากเดิมเคยมีลักแร้ที่ขาวนวลน่ามองแต่วันดีคืนดีกับหมองคล้ำ อาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่นเข้าร่วมด้วย ซึ่งจะต้องทำการสังเกตและพิจารณาถึงสาเหตุของการเกิดนั้นให้ดี
สำหรับผู้ที่มีรักแร้ดำคล้ำขึ้นมา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำวิธีแก้ไขโดยหากจำเป็นต้องขจัดขนรักแร้ให้เลือกใช้วิธีที่นุ่มนวลและสามารถขจัดขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรงอันจะก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองกับผิวหนัง การขจัดขนด้วยเลเซอร์

การเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่ใช้ทารักแร้และสารเคมีบางตัวที่เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์นั้น อาจสร้างความระคายเคืองให้แก่ผิวหนังทีละน้อย ๆ จนทำให้ผิวหนังดำคล้ำขึ้นมาได้

การใช้กรดเอเอชเอหรือผลิตภัณฑ์ปรับผิวขาวประเภทไวท์เทนนิงครีมทาบริเวณที่ดำจะช่วยได้บ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับทําให้รักแร้กลับมาขาวนวลเนียนอย่างที่โฆษณาบอกไว้

หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ปรับสีผิวที่มีกรดเอเอชเอที่เข้มข้นมาก ๆ เพราะกรดที่เข้มข้นมากไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยให้รักแร้ขาวเร็วขึ้นแล้ว แต่ยังอาจทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง อักเสบ เป็นผื่นแดง จนอาจทำให้ผิวหนังดำคล้ำยิ่งกว่าเดิมได้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

คำแนะนำสุดท้ายคือการยอมรับสิ่งที่ธรรมชาติให้มา เนื่องจากรักแร้เป็นส่วนที่คล้ำมากกว่าผิวหนังส่วนอื่น ๆ อยู่แล้ว และยังไม่มีสิ่งใดสามารถแก้ปัญหานี้ได้ การดูแลรักแร้ที่มากเกินไป ไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นมาแล้ว ยังเป็นการรบกวนผิวหนังของรักแร้ที่บอบบางให้ระคายเคืองจนเกิดอาการแพ้ อักเสบ และผลลัพธ์ที่ได้อาจเป็นรักแร้ที่สีคล้ำยิ่งกว่าเดิม

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวบริเวณข้อศอก

เมื่อตอนเราเป็นเด็กผู้ใหญ่มักตักเตือนเสมอว่าไม่ให้คลานเข่าหรือเอาศอกวางไว้ตามที่ต่าง ๆ เพราะจะทำให้ผิวด้าน ธรรมชาติของผิวหนังจะมีการสร้างตัวเองให้มีความหนาขึ้นเพื่อป้องกันตัว หากได้รับแรงเสียดทานหรือแรงกระแทกอย่างต่อเนื่อง ยังผลให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวหยาบกร้าน ซึ่งจะเห็นได้จากผิวหนังบริเวณเท้าและมือ หรือตาตุ่มที่จะมีความหนามากขึ้นหากได้รับการเสียดสีหรือรับแรงกระแทกอยู่บ่อยครั้ง

เพื่อป้องกันผิวหนังด้านหรือหยาบกร้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณข้อศอก หัวเข่า ตาตุ่ม หรือจุดสำคัญอื่น ๆ ในร่างกาย ควรหลีกเลี่ยงการกระทบกระแทกหรือเสียดสีผิวหนังบริเวณดังกล่าวให้มากที่สุด เช่น ไม่วางศอกไว้ตามที่ต่าง ๆ หรือเท้าคาง ใส่รองเท้าก่อนออกจากบ้าน เป็นต้น

การทำเช่นนี้อาจเป็นสิ่งที่ยุ่งยากสำหรับคนที่เคยชินกับพฤติกรรมดังกล่าว แต่หากคุณฝึกตัวเองอยู่เป็นนิจก็จะติดเป็นนิสัย หากเวลานี้ข้อศอก หัวเข่า หรือตาตุ่มด้านแล้ว เพื่อบรรเทาอาการดังกล่าวและทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเนียนนุ่มยิ่งขึ้น ให้ขัดผิวหนังที่ด้านด้วยสครับที่ทำจากธรรมชาติหรือใยบวบขัดอย่างเบามือที่สุด เพื่อป้องกันอาการอักเสบหรือเกิดการบาดเจ็บเป็นแผล การขัดอย่างเบามือจะช่วยลอกผิวหนังที่หนาเกินไปออกทีละน้อย หลังจากนั้นให้ทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดเอเอชเอหรือกรดแลคติกที่มีฤทธิ์ในการลอกเซลล์ผิวให้หลุดออกไปอย่างนุ่มนวล นอกจากนั้นควรทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวเป็นประจำ ผิวที่ด้านและหยาบกร้านก็จะเริ่มเนียนนุ่มน่าสัมผัสมากขึ้น

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่เกิดสิวบริเวณแผ่นหลัง

สิวที่แผ่นหลังเป็นหนึ่งในปัญหาที่พบกันบ่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านเราที่มีภูมิอากาศร้อนชื้น สิวเสี้ยนที่ปรากฏอยู่บนแผ่นหลังเป็นสาเหตุจากการปล่อยให้แผ่นหลังสัมผัสความชื้น ความร้อน เป็นเวลานาน ๆ และบ่อยครั้ง
ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว บวกกับเครื่องแต่งกายที่หนา ระบายความร้อนและความอับชื้นได้ยาก มีตะเข็บและซิปที่เด่นชัด ยังผลให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดการอุดตันจนเกิดเป็นสิวตามมาในที่สุด  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เพื่อขจัดปัญหานี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเผชิญกับความอับชื้น ความร้อน เหงื่อ และการเสียดสีที่มากจนเกินไป หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่หนาหรือรัดแน่นจนทำให้รู้สึกอึดอัด ควรใส่เสื้อผ้าที่เบาสบาย สามารถระบายความร้อนและความอับชื้นได้ดี ใส่เสื้อชั้นในแบบไร้สาย ชุดที่ไม่มีตะเข็บเด่นชัดหรือมากจนทำให้เสียดสีกับผิวไปมา เพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับและการเสียดสีที่อาจนำไปสู่การเป็นสิว ทำความสะอาดแผ่นหลังอย่างทั่วถึงและหมดจดทุกครั้งที่อาบน้ำ นอกจากการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะสมกับสภาพผิวแล้ว อาจใช้อุปกรณ์ที่ใช้ในระหว่างที่อาบน้ำ เช่น แปรงถูหลัง เพื่อให้สามารถทำความสะอาดแผ่นหลังได้อย่างทั่วถึง หลีกเลี่ยงการบีบเค้นสิวหรือขัดผิวอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้สิวอักเสบจนเกิดเป็นรอยแผลได้ แต้มแอสตรินเจนต์ (Astringent) ตรงบริเวณที่เป็นสิวอักเสบทุกครั้งหลังอาบน้ำจะช่วยแก้ปัญหาได้ดี

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวบนใบหน้าที่เกิดสิว

สิวเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฮอร์โมนเพศชายในร่างกาย ระดับน้ำตาลหรือไขมันที่มากเกินไป กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานผิดปกติ การทำความสะอาดผิวที่ไม่ดีพอ ระดับฮอร์โมนขาดความสมดุล อดนอน ท้องผูก ระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศชายจะไปกระตุ้นทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนจากไขมันที่ร่างกายสร้างขึ้น ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่าโคมิโดน ( Comedone ) เมื่อรูขุมขนเกิดการอุดตันจนไม่สามารถระบายไขมันออกมาได้ ทำให้เกิดสิวหัวขาวขึ้นมาให้เห็น และอาจเกิดอาการอักเสบได้ในเวลาต่อมา หากสิวทำปฏิกิริยากับเชื้อแบคทีเรียหรือได้รับการรบกวนจากการดึง บีบหรือเค้น จนในที่สุดสิวดังกล่าวจะหายไป แต่จะเหลือรอยแผลเป็นเอาไว้แทน

วิธีรักษาสิวสามารถทำได้หลายแบบทั้งแบบที่ใช้ยากินและยาทา ยากิน ได้แก่ ยาลดอาการอักเสบ ยาปฏิชีวนะ รวมไปจนถึงวิตามินบางอย่างที่มีสรรพคุณในการซ่อมแซมบาดแผลที่เกิดจากการอักเสบของสิว ยาทาสิว ได้แก่ กรดวิตามินเอชนิดทา กรดอะซีเลอิก เบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ เป็นต้น แต่ในการรักษาสิวใด ๆ นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้รักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวและประเภทของสิวที่คุณเป็นอยู่ หลีกเลี่ยงการนำยาของคนอื่นมาทาโดยพลการ เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นแล้ว ยังอาจทำให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคือง ผิวแห้งจนถึงลอกได้ เพื่อความปลอดภัยและให้แน่ใจว่ารักษาอย่างถูกวิธี ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้องก่อนตัดสินใจ    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เมื่อเป็นสิว ทำไงดี?

  • เมื่อเป็นสิวควรหลีกเลี่ยงการแคะบีบ หรือแกะสิว
  • ปฏิบัติต่อผิวด้วยความระมัดระวัง เพราะผิวที่อักเสบอาจทำให้เกิดแผลเป็นที่ยากต่อการรักษาในภายหลังได้
  • หลีกเลี่ยงการล้าง เช็ด หรือสัมผัสใบหน้าอย่างรุนแรงหรือบ่อยครั้งจนเกินไป
  • หากจำเป็นต้องแต่งหน้าให้ใช้เครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดสิว
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีผลต่อการทำงานของผิวหนังหรือต่อมไขมัน เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
  • หากจำเป็นต้องใช้ยารักษาสิว ให้ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดไม่ควรซื้อยามารักษาเองตามลำพัง

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่เกิดจากฝ้า

ฝ้าเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีมากกว่าปกติ จนทำให้ผิวหนังมีสีเข้มกว่าผิวหนังบริเวณรอบ ๆ โดยมีสาเหตุมาจากการเผชิญหน้ากับแสงแดดจัด ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานและบ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากอนุมูลอิสระในร่างกายที่เพิ่มมากขึ้น การกินยาคุมกำเนิด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ การได้รับรังสียูวีเอและยูวีบีจากแสงแดด ความร้อน และมลภาวะ โดยฝ้าดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อน ๆ ไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม และอาจมีขนาดเล็ก ๆ เป็นจุดไปจนถึง
ปลื้นขนาดใหญ่น่าเกลียดได้ หากปราศจากการดูแลรักษาที่เหมาะสม ฝ้าอาจมีสีเข้มและมีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม

มีการพบว่าคนที่อายุมากกว่า 25 ปี จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นฝ้ามากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากกระบวนการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวหนังด้อยประสิทธิภาพลง ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การเป็นฝ้าได้ ด้วยการเผชิญกับปัจจจัยเสี่ยงดังกล่าวและการอ่อนแอลงของผิว ทำให้กระบวนการทำงานของผิวเสียสมดุลจนนำไปสู่การผลิตเมลานินที่ผิดปกติและเกิดเป็นฝ้าในที่สุด

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

โดยทั่วไปแล้วฝ้าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1. ฝ้าชนิดตื้น
เป็นฝ้าที่เกิดในชั้นหนังกำพร้า มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม สังเกตเห็นได้ชัดเจน พบมากบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก และจมูก

2. ฝ้าชนิดลึก
เป็นฝ้าที่เกิดในชั้นหนังแท้ มีสีอ่อนกว่าชนิดแรก สังเกตไม่ค่อยเห็น ใช้เวลาในการรักษานานกว่าชนิดแรก

3. ฝ้าชนิดผสม
เป็นทั้งฝ้าชนิดตื้นและลึกที่เกิดขึ้นพร้อมกันในบริเวณเดียวกัน

การรักษาฝ้าที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ แบบภายนอกและแบบภายใน แบบภายนอกจะใช้วิธีทายาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานินของเซลล์สร้างเม็ดสีจำพวกปรอท สเตียรอยด์ และไฮโดรควิโนนและยาที่มีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกให้หลุดลอกออกไป เช่น กรดวิตามินเอ บีเอชเอ และกรดซาลิไซลิก รวมไปถึงการรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์ ในขณะที่การรักษาฝ้าแบบภายในผู้เชี่ยวชาญจะให้คนไข้กินอาหารเสริมที่มีสรรพคุณปรับสมดุลของผิว เช่น อาหารเสริมที่สกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและผิวพรรณ แต่เนื่องจากการรักษาฝ้าจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับยาและสารเคมีอันตรายหลายอย่าง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด นอกจากนั้น การรักษาฝ้าไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามอาจไม่ช่วยอะไรเลย หากยังคงดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงต่อการกลับมาเป็นฝ้าอีกครั้ง เพื่อให้ผลการรักษาออกมาดีเยี่ยมและป้องกันการกลับมาเป็นฝ้าอีกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงการออกแดดโดยปราศจากการปกป้องผิวจากรังสีอันตราย ทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกไปกลางแจ้ง สวมหมวกปีกกว้าง ใส่แว่นตากันแดด หรือกางร่มที่ช่วยกรองรังสียูวี เป็นต้น

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่เกิดกระ

กระเป็นกระบวนการป้องกันตัวเองของผิวหนัง มีสาเหตุมาจากเซลล์สร้างเม็ดสีมากกว่าปกติเมื่อถูกแสงแดด ส่งผลให้เกิดจุดสีเข้มเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไปบนใบหน้าในชั้นหนังกำพร้า ผิวหนังจะสร้างเมลานินเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้รับแสงแดดแรง ๆ เป็นเวลานานติดต่อกันเพื่อป้องกันมิให้แสงแดดเข้าไปทำร้ายผิว สามารถเกิดได้ในคนทุกเพศทุกวัย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

กระสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. กระเด็ก
กระเด็กมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาล ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และจะมีสีเข้มมากขึ้นเมื่อโดนแดด มักพบในเด็กฝรั่งช่วง 3 ขวบ มักปรากฏบนผิวที่โดนแดดบ่อย ๆ เช่นใบหน้าและลำคอ เมื่ออายุมากขึ้นก็จะน้อยลงตามลำดับ

2.กระแดด
กระแดดลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเรียบไม่นูนยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งมีมากขึ้น เป็นลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม มักเกิดขึ้นกับผู้ที่ตากแดดบ่อย ๆ

นอกจากกระ 2 ลักษณะนี้แล้ว ยังมีรอยดำอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกับกระ เช่น กระเนื้อ กระลึก ไฝธรรมดา ปานโอตะ ปานเบกเคอร์วีนัส ขี้แมลงวัน ปานน้ำตาล ปานดำ มะเร็งผิวหนัง

การรักษากระที่นิยมทำในปัจจุบันมี 3 วิธี ได้แก่ การใช้ยาแต้ม ยาทาและการรักษาด้วยเลเซอร์ ทั้ง 3 วิธีนี้ จะทำลายเซลล์บริเวณที่เป็นกระ ทําให้กระมีสีจางและหายไปในที่สุด การรักษากระด้วยยาแต้มจะเป็นการแต้มกระด้วยสารเคมีที่มีความเป็นกรดสูง ซึ่งจะทำลายเซลล์เม็ดสีที่อยู่บนผิวหนังชั้นนอกให้หลุดลอกออกไป ส่วนการรักษากระด้วยยาทา แพทย์จะใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์ในการลอกผิวชั้นนอกให้หลุดออกไป เช่น กรดวิตามินเอ กรดเอเอชเอ ทำให้เม็ดสีที่อยู่ในชั้นผิวดังกล่าวหลุดลอกออกไปเร็วขึ้น แต่ยังคงเหลือเซลล์สร้างเม็ดสีที่ทำหน้าที่ในการผลิตเม็ดสีในอัตราเท่าเดิม ทำให้กระแลดูจางลง
นอกจากนั้นแพทย์อาจใช้สารเคมีที่ช่วยลดการทำงานของเซลล์เม็ดสีที่ผิดปกติที่จะออกฤทธิ์ในกระบวนการสร้างเม็ดสี
เช่น นิโคไรซ์ ( Licorice ) อาร์บูติน ( Arbutin ) ไฮโดรควิโนน ( Hydroquinone ) เป็นต้น

ส่วนการรักษากระด้วยเลเซอร์จะเหมาะสำหรับกระเนื้อ ซึ่งมีลักษณะเป็นเนื้อนูนขึ้นมาแต่ไม่เหมาะกับกระธรรมดา เนื่องจากความร้อนจากเลเซอร์อาจไปทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียงให้ได้รับอันตราย ซึ่งอาจก่อให้เกิดรอยดำยิ่งกว่าเดิม เว้นแต่แสงเลเซอร์นั้นจะถูกออกแบบมาให้เหมาะกับกระที่เป็นโดยเฉพาะ

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวมุมปาก

มุมปากดำเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่อาจทำลายความมั่นใจของใครหลาย ๆ คนให้หมดลง เพราะคงดูไม่ดีแน่ที่เมื่อคุณเอ่ยปากพูดหรือฉีกยิ้มแล้วแทนที่คู่สนทนาของคุณจะมองเห็นรอยยิ้มที่สวยงาม เขากลับสะดุดตาที่รอยดำคล้ำน่าเกลียดที่มุมปากสองข้างอย่างช่วยไม่ได้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

รอยดําที่มุมปากทั้งสองข้างเกิดจากการอักเสบเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งมีสาเหตุ 2 ประการ ได้แก่ ภาวะการขาดวิตามินดีที่นำไปสู่โรคปากนกกระจอก และการแพ้สารเคมีที่อยู่ในยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่ทำให้รู้สึกคันปากยิบ ๆ ซึ่งต้องเกาปากบ่อย ๆ จนทำให้ผิวหนังบริเวณมุมปากเกิดการอักเสบ หนา และคล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เพื่อรักษาอาการดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ยาที่มีฤทธิ์ในการรักษารอยดำให้จางหายไป เช่น ขี้ผึ้งวิทฟิลด์ และยาประเภทฮอร์โมนหรือใช้วิธีรักษารอยดำด้วยระบบไอออนโตโฟเรซิส ซึ่งเป็นวิธีที่จะนำสารออกฤทธิ์ในยาซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไปได้ดีกว่าการทาแบบธรรมดา

ทั้งนี้การใช้ยาหรือวิธีการรักษาแบบใดก็ตาม ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด ไม่ควรหาซื้อยามาทานเอง เพราะนอกจากอาการจะไม่ดีขึ้นแล้วยังอาจก่อให้เกิดอันตรายที่คาดไม่ถึงได้

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวริมฝีปาก

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ริมฝีปากดำคือการใช้ลิปสติกแล้วทำความสะอาดออกไม่หมด เหลือคราบลิปสติกตามร่องของริมฝีปาก ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำความสะอาดอย่างถูกวิธี จะทำให้ริมฝีปากหมองคล้ำ เหี่ยว และเห็นรอยแตกอย่างชัดเจน ส่วนการสูบบุหรี่ การเผชิญกับแสงแดดจัด ๆ เป็นเวลานานและบ่อยครั้ง และการปล่อยให้ริมฝีปากแห้งขาดความชุ่มชื้นจนหมองคล้ำแห้งกร้านก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ริมฝีปากดำด้วยเหมือนกัน

วิธีแก้ไขปัญหาริมฝีปากดําที่ดีที่สุดคือ

  • หลีกเลี่ยงการใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมของสี สารกันบูด หรือหัวน้ำหอมที่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ได้
    ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่เซลล์
  • หากมีโอกาสลองหาสครับที่ออกแบบมาเพื่อขัดริมฝีปากมาใช้ดูจะช่วยให้สามารถทำความสะอาดริมฝีปากได้ดียิ่งขึ้น
  • หมั่นทำความสะอาดริมฝีปากอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณทาลิปสติก ให้ใช้โลชั่นที่ออกแบบมาเพื่อทำความสะอาดริมฝีปากโดยเฉพาะต้องเช็ดคราบลิปสติกออกให้หมด
  • หลังทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วให้ทาลิปทรีตเมนต์ก่อนที่จะทาลิปบาล์มเป็นขั้นตอนสุดท้าย เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นของริมฝีปากเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาว หรือหากต้องทำงานอยู่ในห้องปรับอากาศนานๆ เพราะอากาศจะแห้งมาก
  • ใช้แปรงสีฟันที่มีขนนุ่มแปรงริมฝีปากอย่างเบามือเพื่อขจัดคราบลิปสติกรวมไปจนถึงสิ่งสกปรกอื่น ๆ ที่อาจหลงเหลืออยู่ วิธีนี้นอกจากจะช่วยขจัดคราบลิปสติกได้หมดจดแล้ว ยังช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ส่งผลให้ปากนุ่มนวล อิ่มเอิบ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมควรทำทุกวัน
  • ทาลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของสารกันแดด  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
  • หลีกเลี่ยงการเลียริมฝีปาก เพราะจะยิ่งทำให้ริมฝีปากแห้งและคล้ำกว่าเดิม
  • หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดดโดยปราศจากสิ่งป้องกัน

ริมฝีปากแตกเป็นขุย

เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พบเห็นกันบ่อย ๆ อาการแตกหรือแห้งเป็นขุยของริมฝีปาก มาจากหลายสาเหตุ ได้แก่ การดื่มน้ำน้อย การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อากาศหนาว หรืออยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน ๆ หรือแม้แต่การแพ้เครื่องสำอาง เป็นต้น

การแก้ปัญหาอาการแห้งแตกของริมฝีปากให้ใช้เบกกิ้งโซดาผสมน้ำสะอาดสักเล็กน้อยคนให้เข้ากันจนได้ส่วนผสมที่ข้นเหลวป้ายส่วนผสมลงบนริมฝีปากให้ทั่ว ใช้นิ้วถูเบาเบา ๆ ประมาณ 2-3 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดริมฝีปากจะเนียนนุ่มลื่นไม่เป็นขุย ปิดท้ายด้วยการทาวาสลีนบาง ๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและเนียนนุ่มเอาไว้

อีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันและใช้เวลาเพียงน้อยนิดเท่านั้นคือ การทาวาสลีนให้ทั่วริมฝีปาก ทิ้งไว้สักพักแล้วเช็ดออกด้วยผ้าขนหนูนุ่ม ๆ เช็ดขุยแห้ง ๆ ที่เกาะตามริมฝีปากออกให้หมด หลังจากนั้นให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นแล้วนำมาเช็ดริมฝีปากให้ทั่วอีกครั้ง นอกจากจะช่วยขจัดขุยที่ไม่น่าดูออกไปอย่างหมดจดแล้ว ยังทำให้ริมฝีปากเนียนนุ่มชุ่มชื้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองวิธีดังกล่าวเป็นเพียงการแก้ไขยามฉุกเฉินเท่านั้น เพื่อให้ได้ริมฝีปากที่เนียนนุมชุ่มชื้นอย่างถาวรควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นต่ำ
  • เพื่อป้องกันอาการแพ้จากสีสังเคราะห์ เปลี่ยนยี่ห้อลิปติกทันทีที่มีอาการแพ้ ทาผลิตภัณฑ์รักษาความชุ่มชื้นที่ออกมาสำหรับริมฝีปากโดยเฉพาะ เพียงเท่านี้ริมฝีปากที่เนียนนุ่มชุ่มชื้นก็จะอยู่กับคุณไปอีกนานเท่านาน
  • ทดสอบลิปสติกที่จะใช้ก่อนทุกครั้ง หลีกเลี่ยงลิปสติกที่มีส่วนผสมของสี น้ำหอม หรือสารกันบูด ( หากเป็นไปได้ ) เลือกลิปสติกที่มีสีอ่อน หากต้องการได้รับประโยชน์ในการบำรุงเพียงอย่างเดียว
  • หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการเลียริมฝีปาก เพราะจะทำให้ปากแห้งมากยิ่งขึ้น

การที่จะมีผิวในทุกๆส่วนสุขภาพดีทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะแต่ละส่วนจะต้องมีวิธีการดูแลที่ต่างกัน ดังนั้นเราควรมีความรู้พื้นฐานและวิธีแก้ปัญหาให้ละเอียดเสียก่อน แล้วเราก็จะได้ผิวที่ดีครบทุกส่วนตามที่ใจปรารถนา    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวที่แพ้เครื่องสำอาง

อาการแพ้เครื่องสำอางเกิดจากการที่ร่างกายมีอาการระคายเคือง มีอาการแพ้แสงหรือแพ้ส่วนผสมที่อยู่ในเครื่องสำอาง โดยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนและระคายเคืองบริเวณที่ทาเครื่องสำอาง ความรุนแรงของอาการแพ้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของความเข้มข้นและความเป็นกรดด่างของเครื่องสำอาง รวมทั้งตำแหน่งที่ทาเครื่องสำอาง โดยทั่วไปแล้วอาการแพ้เครื่องสำอางมักมีหลายรูปแบบ ได้แก่ อาการระคายเคือง อักเสบ มีสิว มีผื่นขาวเป็นลมพิษ ภูมิแพ้ และอาจรุนแรงจนถึงขั้นผมและเล็บเปลี่ยนสีได้

เมื่อเกิดอาการแพ้เครื่องสำอาง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คุณปฏิบัติดังต่อไปนี้
ทดสอบอาการแพ้เครื่องสำอาง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ลองทาเครื่องสำอางที่คาดว่าจะเป็นสาเหตุของอาการแพ้ลงบนท้องแขนหรือข้อพับวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 อาทิตย์ หากไม่เกิดปฏิกิริยาใด ๆ โอกาสที่จะเกิดอาการแพ้จากเครื่องสำอางชนิดนั้นน่าจะมีน้อย

การทดสอบอาการแพ้เครื่องสำอาง อีกวิธีหนึ่งคือการทาลงบนใบหน้าด้วยเครื่องสำอางครั้งละ 1 ชนิดตามปกติ หากไม่มีอาการแพ้ใน 2 สัปดาห์ให้ใช้เครื่องสำอางนั้นได้

  • หยุดใช้เครื่องสำอางนั้นทันทีที่มีอาการแพ้
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารทำความสะอาดที่รุนแรง ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้น้ำเปล่าและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีความอ่อนละมุน ปราศจากสารเคมีที่ทำให้เกิดอาการระคายเคือง หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมในการทำความสะอาด
  • งดใช้เครื่องสำอางทุกชนิด มาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจสอบการแพ้ และค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ
  • วิธีสุดท้ายคือการใช้แผ่นทดสอบอาการแพ้ ( Patch Test ) มาแปะไว้ที่บริเวณต้นแขนหรือแผ่นหลังเป็นเวลา 3 วัน ไม่ให้ผิวบริเวณดังกล่าวสัมผัสน้ำ เพื่อให้เหงื่อทำปฏิกิริยากับสารเคมีที่อยู่ในแผ่นทดสอบ แต่การทดสอบด้วยวิธีนี้จะต้องทำโดยแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น หากไม่มีอาการแพ้ภายใน 2 สัปดาห์ ให้ใช้เครื่องสำอางนั้นได้

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวแตกลาย

ปัญหารอยแตกลายของผิวหนังสามารถเกิดได้กับทุกที่ เป็นปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ คนอ้วน หนุ่มสาวในช่วงวัยรุ่นที่ร่างกายจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อที่จะลดความรุนแรงของอาการดังกล่าว เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเตรียมตัวป้องกันไว้ล่วงหน้าเพราะหากเกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะรักษาให้หายขาดหรือให้กลับมาดีได้ดังเดิม  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ภาวะผิวแตกลายเกิดจากการที่ผิวหนังชั้นในถูกดึงให้แยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว จนเซลล์ไม่อาจแบ่งตัวตามได้ทันจึงเกิดเป็นริ้วรอยแตก มักพบบริเวณใต้ท้องแขน รอบ ๆ รักแร้ ใต้ราวนม หน้าท้อง โดยเฉพาะสีข้าง ท้องน้อย และต้นขา มีลักษณะคล้ายรอยแตกของต้นมะขาม สำหรับบางคนที่รักการกรอผิวหรือขัดผิวเพื่อขจัดเซลล์ผิวชั้นนอก ที่เป็นริ้วรอยให้หลุดลอกออกไปพบว่าวิธีดังกล่าวช่วยให้อาการดีขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดผิวแตกลาย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์นวดบริเวณหน้าท้องด้วยครีมหรือโลชั่นชนิดใดก็ได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเตรียมความพร้อมของผิวหนังให้คุ้นเคยกับการขยายตัว หมั่นออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ให้แข็งแรงอยู่เสมอก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยแตกให้น้อยลงได้ด้วยเช่นกัน

หากผิวเพิ่งแตกลายควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อหาวิธีรักษาที่เหมาะสมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อการรักษาอย่างทันท่วงที แพทย์จะให้ยามาทาและแนะนำให้คนไข้ออกกำลังกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวแข็งแรงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้รอยแตกดังกล่าวจางและเล็กลงบ้าง ในบางรายอาจหายไปเลยก็ได้ หากอาการดังกล่าวไม่รุนแรงมากนักและสามารถเยียวยา

ตาบวม

ตาบวมเป็นอีกอาการหนึ่งที่มักพบเห็นกันบ่อย ๆ มีสาเหตุ 2 ประการ ได้แก่ การอดนอนติดต่อกันหลายคืน และการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวก่อนนอนบริเวณผิวหนังรอบดวงตามากเกินไป วิธีแก้สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยดูจากสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว

ข้อควรปฏิบัติในการบรรเทาอาการบวมอักเสบของตาให้ลดน้อยลง

  • ให้นำแตงกวามาฝานเป็นแว่น ๆน วางไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง ทิ้งไว้สักพักประมาณ 10 นาที ทำวันละหลาย ๆ ครั้ง ความเย็นชุ่มฉ่ำของแตงกวาจะช่วยลดอาการบวมอักเสบของดวงตาลงได้
  • หากอาการบวมยังไม่ทุเลาลงให้ใช้น้ำแข็งห่อด้วยผ้าขาวสะอาด นำมาวางบนเปลือกตา ความเย็นของก้อนน้ำแข็งจะช่วยลดความร้อนผ่าวที่ดวงตาได้ ทำให้ดวงตาที่บวมอักเสบมีอาการดีขึ้น
  • อีกประการหนึ่งคือการนำผ้าขนหนูสะอาดสะอาดชุบน้ำชาอ่อน ๆ พอหมาดมาประคบที่ดวงตาทั้งสองข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที
  • เพื่อหลีกเลี่ยงอาการดังกล่าว ควรนอนหลับให้เพียงพอ ในระหว่างทำกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องใช้สายตามาก ๆ ให้พักสายตาเป็นระยะ หลีกเลี่ยงการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวก่อนนอนบริเวณผิวหนังรอบดวงตามากเกินไป    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ข้อควรปฎิบัติเพื่อสุขภาพของดวงตา

  • หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ การขยี้ตา หรือการทำกิจกรรมใด ๆ ที่จะกระทบกระเทือนต่อดวงตา
  • ควรนอนหลับให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดให้มาก หมั่นรักษาความสะอาดของใบหน้าและผิวหนังรอบดวงตาด้วยวิธีที่ถูกต้องและเหมาะสม

หลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ๆ หรือแสงแดดจ้า ๆ

  • หากพบว่ามีอาการแพ้เกิดขึ้นที่ผิวหนังรอบดวงตา ให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นทันที หลีกเลี่ยงการนำสารเคมีหรือผลิตภัณฑ์บำรุงหลากหลายชนิดมาทาบริเวณผิวหนังรอบดวงตา เนื่องจากเป็นบริเวณที่อ่อนบางและง่ายต่อการอักเสบและเกิดอันตราย
  • หากจำเป็นต้องแต่งหน้าหรือใช้เครื่องสำอางที่ผิวหนังบริเวณใกล้ดวงตา ให้แน่ใจเสียก่อนว่าเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวดังกล่าวอ่อนโยนและปลอดภัยมากพอ
    หากทำกิจกรรมใดที่ต้องใช้สายตามาก ๆ ให้พักผ่อนกล้ามเนื้อสายตาเป็นระยะ ๆ

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวส้นเท้าที่แตก

ส้นเท้าแตกเกิดจากการที่เท้าสัมผัสกับน้ำบ่อยครั้งเกินไปจนทำให้ผิวหนังที่ส้นเท้าเปื่อย อับชื้น หลุดลอก และแตกเป็นริ้ว วิธีเดียวที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว คือ การลดการสัมผัสน้ำให้น้อยลง ใส่รองเท้าบูททุกครั้งหากต้องทำงานในที่ชื้นแฉะหรือต้องสัมผัสกับสารเคมี หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรงเป็นเวลานาน ๆ ใส่รองเท้าหุ้มส้นเพื่อปกป้องส้นเท้า ซับเท้าให้แห้งเพื่อป้องกันความอับชื้น หลีกเลี่ยงการแช่เท้าในน้ำอุ่นบ่อย ๆ

สำหรับผู้ที่ส้นเท้าแตกไปแล้ว นอกจากการป้องกันมิให้ส้นเท้าสัมผัสกับสิ่งที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการลอกและแตกของส้นเท้ามากขึ้นยังต้องปฏิบัติดังนี้ด้วย

  • เลือกใช้ครีมที่มีฤทธิ์ในการลอกเซลล์ผิวที่แตกให้หลุดออกไป เช่น กรดซาลิไซลิก หรือกรดเบนโซอิก
  • บำรุงส้นเท้าด้วยครีมหรือมาเจอไรเซอร์ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของส้นเท้า ทำให้ผิวที่ส้นเท้าอ่อนนุ่ม มีความยืดหยุ่นและแข็งแรงขึ้น
  • หากต้องใช้ผลิตภัณฑ์ให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญก่อนเพื่อความปลอดภัย การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของกรดในปริมาณที่เข้มข้นเกินไป อาจทำให้ผิวส้นเท้ามีการหลุดลอกมากผิดปกติ ทำให้เกิดการอักเสบ ระคายเคืองและยิ่งทำให้ผิวบริเวณส้นเท้าดำและลอกมากกว่าเดิม  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เท้าเหม็น

เท้าเหม็นเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะทำลายความมั่นใจและทำให้เสียบุคลิกภาพ อาการเท้าเหม็นหรือเท้ามีกลิ่นอับเกิดจากเหงื่อที่ออกมาจากเท้าผสมกับเชื้อแบคทีเรีย มีการหมักหมมจนเกิดเป็นกลิ่นอับขึ้นมา

วิธีแก้ปัญหาเท้าเหม็น

  • ใส่ผงระงับเหงื่อที่เท้าซึ่งจะมีลักษณะเป็นแป้งที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์
  • หมั่นนำรองเท้าออกมาตากแดดอย่างสม่ำเสมอเพื่อฆ่าเชื้อโรค หากรองเท้านั้นสามารถตากแดดจัด ๆ ได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ถุงเท้าหรือรองเท้าที่อับชื้น สกปรกหรือหนาจนเกินไป เลือกใส่ถุงเท้าและรองเท้าที่สามารถระบายอากาศ ความร้อนและความชื้นได้ดี เพื่อลดอัตราการสะสมตัวของเชื้อแบคทีเรีย
  • หมั่นรักษาความสะอาดของเท้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอ่อน ๆ อย่างสม่ำเสมอและเช็ดเท้าให้แห้งทุกครั้ง อย่าปล่อยให้เท้าอับชื้น เพราะนอกจากจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นอับแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดโรคผิวหนังตามมาได้

ดูแลฟื้นฟูสภาพมือเหี่ยว

คนจำนวนมากให้ความสำคัญกับการดูแลผิวหน้าและผิวกาย โดยในแต่ละวันพวกเขาจะใช้เวลาหมดไปกับการดูแลผิวหน้าและผิวกายเป็นเวลาร่วมชั่วโมง ในขณะที่มีเพียงไม่กี่คนที่ให้ความสำคัญกับผิวบริเวณมือ ทั้ง ๆ ที่มือเป็นอวัยวะที่ถูกใช้งานมากที่สุด และยังเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อความสวยงามและความอ่อนเยาว์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จึงเป็นเหตุผลที่เพราะเหตุใดเราจึงพบคนที่แม้ว่าจะมีใบหน้าที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัย แต่มีฝ่ามือที่แห้งเหี่ยวไม่น่ามอง

เช่นเดียวกับฝ่าเท้า มือเป็นอวัยวะที่แทบจะไม่มีต่อมไขมันอยู่เลย ใช้ทำงานอย่างหนัก มือจึงมีแนวโน้มที่จะเกิดการอักเสบและแห้งกร้านได้มากกว่าอวัยวะอื่น ๆ ในแต่ละวันมือของเราต้องสัมผัสกับสิ่งสกปรก คลอรีน สารทำความสะอาดที่รุนแรง แอลกอฮอล์ และสารเคมีที่เป็นอันตรายจากการทำกิจวัตรประจำวัน มือที่ปราศจากการดูแลที่เหมาะสมจะแห้งกร้านและเหี่ยวย่นได้เร็วกว่าปกติ เพื่อคงความสวยงามและความอ่อนเยาว์ของมือเอาไว้ นอกจากการทาครีมบำรุงที่มีความเข้มข้นมากเป็นพิเศษแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากต้องทำภารกิจใด ๆที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีที่มีความรุนแรง เช่น ซักเสื้อผ้า ล้างจาน ควรสวมถุงมือทุกครั้งเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากสารเคมีที่ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหมั่นนวดฝ่ามือเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและกระตุ้นเลือดลมอย่างสม่ำเสมอ [adinserter name=”navtra”]

ดูแลฟื้นฟูสภาพผิวเหี่ยวย่น

แม้ว่าจะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ก็สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้แก่ผู้หญิงจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผิวเหี่ยวย่นนั้นเกิดขึ้นก่อนวัยอันควร โดยทั่วไปแล้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ รอยเหี่ยวย่นในผิวชั้นนอกและรอยเหี่ยวย่นในชั้นหนังแท้ รอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นกับผิวหนังชั้นนอกเกิดจากกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ทำงานลดน้อยลง ยังผลให้ผิวหนังชั้นดังกล่าวมีโอกาสสะสมตัวหนาขึ้น เกิดเป็นรอยหมองคล้ำและเหี่ยวย่นในที่สุด ในขณะที่รอยเหี่ยวย่นที่เกิดในชั้นผิวหนังดังกล่าว มีสาเหตุมาจากแรงโน้มถ่วงของโลกและมีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะนำไปสู่การเกิดริ้วรอย เช่น ขมวดคิ้ว ยิ้ม หยีตา การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการเผชิญกับแสงแดดจ้าเป็นเวลานานและบ่อยครั้ง

เมื่อความเต่งตึงและความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณต่างเป็นสุดยอดความปรารถนาของทุกคน วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ คือการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การเกิดริ้วรอย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในสัดส่วนที่เหมาะสม นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ๆ หากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่าลืมทาครีมกันแดด ปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยการสวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด สวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว เป็นต้น

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสภาพผิว ใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดเอเอชเอซึ่งมีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสลายให้หลุดลอกออกไปหรือใช้กรดวิตามินเอ หากริ้วรอยดังกล่าวเกิดจากการโดนแสงแดดทำลาย ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารที่ต่อต้านการเกิดริ้วรอย เช่น วิตามินซี วิตามินอี โคเอนไซม์ Q10 เป็นต้น

หากริ้วรอยมีมากหรือรุนแรงเกินกว่าที่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะสามารถเยียวยาได้ การพึ่งนวัตกรรมทางการแพทย์อันทันสมัย เช่น การผ่าตัดศัลยกรรม การยิงแสงเลเซอร์ การทำเบบี้เฟส รวมไปจนถึงนวัตกรรมทันสมัยอื่น ๆ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พิมลพรรณ อนันต์กิจไพศาล. Beauty Tips ศาสตร์แห่งการประทินผิว ไร้สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยยับย่น : กรุงเทพฯ : Feel good Publishing, 2560.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

Marino, Bradley S.; Fine, Katie Snead (2009). Blueprints Pediatrics. Lippincott Williams & Wilkins. p. 131. ISBN 9780781782517. Archived from the original on 8 September 2017.