การใช้เครื่องสำอางเป็นประจำอาจทำให้เกิดริ้วรอย
การใช้เครื่องสำอางเป็นประจำอาจทำให้เกิดริ้วรอย

ริ้วรอย

เราไม่อาจสร้างบ้านที่แข็งแกร่งได้หากปราศจากรากฐานที่มั่งคง กองทัพทหารไม่อาจรบชนะข้าศึกได้หากปราศจากการฝึกฝนที่ดีพอ และเช่นเดียวกันผิวของคุณไม่อาจสวยงามหรือแลดูอ่อนกว่าวัยตามที่ใจปรารถนาได้ หากคุณไม่ทราบกฎแห่งการดูแลผิวขั้นพื้นฐานอย่างเข้าใจเสียก่อน การละเลยกฎพื้นฐานของการดูแลผิวที่ถูกต้อง ทำให้โปรแกรมการดูแลผิวที่คุณกำลังทำอยู่นั้น ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร กฎพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการรักษาผิวพรรณและป้องกันการเกิด ริ้วรอย ที่ควรรู้มีดังนี้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

กฎพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการรักษาผิวพรรณและป้องกันการเกิดริ้วรอยที่ควรรู้

สงสัยไหมว่าริ้วรอยความเหี่ยวย่นเกิดขึ้นได้อย่างไร

มีการค้นพบว่า ริ้วรอย ความเหี่ยวย่น รวมไปจนถึงความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยภายนอกมากกว่าปัจจัยภายในหรือกระบวนการทางธรรมชาติ มีคนจำนวนมากที่ต้องการให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง แลดูอ่อนกว่าวัย แต่กลับทำร้ายผิวพรรณของตัวเองอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยพฤติกรรมที่ทำกันเป็นประจำจนติดเป็นนิสัย เช่นการใช้เครื่องสำอางที่มากเกินไป การตากแดดแรง ๆ การสัมผัสคลอรีนและการอาบน้ำร้อน การใช้สารทำความสะอาดที่รุนแรง การดูแลผิวที่ผิดวิธีและมากเกินไป การแสดงออกทางสีหน้า การมีน้ำหนักตัวขึ้น ๆ ลง ๆ หรือแม้แต่การดื่มน้ำหรือนอนน้อยเกินไป ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วร้อยความเหี่ยวย่นทั้งสิ้น

การใช้เครื่องสำอางมากเกินไป สาเหตุการเกิดริ้วรอย

คุณสามารถมีผิวพรรณที่สวยงามแลดูอ่อนกว่าวัยได้ แม้ว่าจะใช้เครื่องสำอางเพียงไม่กี่ชิ้น ขอเพียงแค่รู้จักการใช้มันอย่างถูกวิธีและใช้ในปริมาณที่เหมาะสมก็นับว่าเพียงพอแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มากจนเกินไป โดยเฉพาะเครื่องสําอางที่จำหน่ายอยู่ตามท้องตลาดรวมไปถึงเคาน์เตอร์เครื่องสำอางทั่วไป เพราะมักจะมีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองแอบแฝงอยู่ เพื่อที่คุณจะมีผิวสุขภาพดีแลดูอ่อนกว่าวัยในระยะยาว แนะนำว่าควรใช้เครื่องสำอางแต่พอเหมาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องใช้กับผิวหนังบริเวณรอบดวงตา เพราะเป็นบริเวณที่มีความบอบบางและมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยได้ง่ายที่สุด คุณควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่ติดแน่นทนนานเป็นพิเศษ เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรง และอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองสูงเมื่อต้องล้างออกอีกด้วย

ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงออกทางสีหน้า

การแสดงออกทางสีหน้าส่งผลต่อการเกิด ริ้วรอย และความเหี่ยวย่นอย่างเห็นได้ชัด เช่น การหรี่ตา การขมวดคิ้ว
ใครเลยจะรู้ว่าการแสดงออกทางสีหน้าอาจพัฒนาไปเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ถาวรบนใบหน้าได้ หากถูกแสดงออกบ่อยครั้งจนกลายเป็นความเคยชิน คงไม่มีวิธีใดที่จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากการแสดงสีหน้าได้ดีเท่ากับการเพิ่มความระมัดระวังและหมั่นเตือนตัวเองอยู่เสมอ เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้ตัวว่ากำลังจะเริ่มหรี่ตาหรือขมวดคิ้วอยู่ ก็ให้หยุดทำทันที ควรเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ดีในการผ่อนคลายใบหน้าด้วยการค้นหาสาเหตุของการแสดงออกทางสีหน้าให้แน่ชัด หากคุณมีแนวโน้มที่จะหรี่ตาทุกครั้งเมื่อเจอแสงแดดก็ให้หาแว่นตากันแดด หรือหมวกปีกกว้างมาใส่เพื่อลดอัตราการหรี่ตาให้น้อยลง หากพบว่าสาเหตุของการขมวดคิ้วมาจากการมีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย ชอบชักสีหน้า ก็ให้รู้จักปล่อยวาง สร้างความผ่อนคลาย หมั่นฝึกทำไปเรื่อย ๆ บ่อย ๆ จนเกิดเป็นความเคยชินก็จะช่วยลดอัตราการเกิดริ้วรอยได้อีกทางหนึ่ง  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การตากแดดแรงๆ หนึ่งในสาเหตุของการเกิดริ้วรอย

ไม่เป็นการดีแน่ถ้าคุณต้องเผชิญกับแสงแดดแรง ๆ โดยตรงโดยไร้การป้องกัน รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิด ริ้วรอย รอยหมองคล้ำ และความเสื่อมโทรมของผิว การเผชิญหน้ากับแสงแดดที่ร้อนแรงเป็นเวลานาน ๆ เป็นประจำ เช่น การเดินกลางแจ้งโดยปราศจากเครื่องกำบัง การนั่งริมชายหาด หรือการอาบแดด การทำเช่นนี้จะทำให้ผิวหมองคล้ำเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น เป็นกระ ฝ้า แถมยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังให้มากขึ้นอีกด้วย ถึงแม้ว่ายังไม่มีครีมกันแดดชนิดใดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดริ้วรอยจากแสงแดดที่ดีพอ แต่เป็นการดีที่จะไม่เผชิญหน้ากับแสงแดดโดยตรง จะช่วยป้องกันผิวของคุณจากการถูกแสงแดดทำลายได้บางส่วน ซึ่งร่องรอยที่เกิดจากการทำลายของแสงแดดสามารถรักษาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำว่าเพื่อความปลอดภัยของผิวพรรณจากการถูกแสงแดดทำลาย การหลบไม่ให้ตัวเองโดนแดดมากที่สุดยังคงเป็นวิธีที่ดี

การสัมผัสคลอรีนและการอาบน้ำที่ร้อนจัด

เป็นการดีที่คุณจะหลีกเลี่ยงการนอนแช่น้ำเป็นเวลานานหรือการอาบน้ำที่ร้อนจัดจนเกินไป เนื่องจากในน้ำประปามีการเติมคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค คลอรีนมีฤทธิ์เป็นตัวก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน และเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมของผิวพรรณ ในขณะที่น้ำร้อนก็มีผลต่อความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับผิวพรรณด้วยเช่นกัน เนื่องจากน้ำยิ่งร้อนเท่าใดอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่มีต่อผิวพรรณก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณนอนแช่น้ำร้อนเป็นเวลานานและเป็นประจำทุกวัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณก็จะยิ่งสะสมมากขึ้น จนเกิดเป็นความเสื่อมโทรมที่ยากจะเยียวยาให้หายได้ในระยะยาว ดังนั้น เพื่อสุขภาพผิวที่ดีผู้เชี่ยวชาญแนะนำทางออกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการนอนแช่น้ำร้อนว่า จากเดิมที่ไม่จำกัดจำนวนครั้งในการแช่น้ำร้อน ให้เป็นวันละครั้งหรืออาจน้อยกว่านั้นหากเป็นไปได้ และควรใช้น้ำร้อนที่ไม่ร้อนจนเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจำพวก ยาสระผม น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอกที่มีส่วนผสมของสารซักฟอกที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารซักฟอกชนิดไอออนนิก เพราะโมเลกุลของสารซักฟอกหลังนี้จะเกิดประจุไฟฟ้าเมื่อละลายในน้ำ และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวได้ หากจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้ใช้ในปริมาณน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทางที่ดีควรหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีไอออนิก เช่น สบู่เด็ก สบู่สมุนไพรจากธรรมชาติที่ใช้ได้กับทุกสภาพผิวเพราะมีความอ่อนโยนต่อผิวมาก แชมพูที่ออกแบบมาเพื่อเด็กหรือ SHAMPOO BAR สบู่สมุนไพรที่ใช้สำหรับการสระผมโดยเฉพาะ เพราะจะไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์และกลีเซอรีนแทน และควรสวมอุปกรณ์ป้องกันผิวทุกครั้งหากจำเป็นต้องสัมผัสกับสารซักฟอกที่รุนแรง เช่น สวมถุงมือทุกครั้งเมื่อซักผ้าหรือล้างจาน เป็นต้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากเกินไป

แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องประทินผิวที่มากเกินความจำเป็น การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตามใจชอบโดยปราศจากการพิจารณาให้ดีเสียก่อนอาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าผลดี และยังเป็นการสูญเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายตัวพร้อมกันจะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการบำรุงผิวให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการใช้ครีมบำรุงผิวบางอย่างในปริมาณที่มากกว่าที่ระบุมาในฉลากจะทำให้ผิวได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น

แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะมีผลิตภัณฑ์บางอย่างมีฤทธิ์ในการปิดกั้นผลิตภัณฑ์ตัวอื่นที่มีประโยชน์ไม่ให้ซึมซับเข้าสู่ผิวได้อย่างเต็มที่ จึงทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นเคลือบอยู่ที่ผิวด้านนอกเท่านั้นไม่สามารถซึมซาบเข้าไปบำรุงผิวที่อยู่ข้างในได้อย่างล้ำลึกตามที่ถูกออกแบบมา ทำให้ผิวไม่ได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกัน มีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิดที่มีสารที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวพรรณได้หากนำมาใช้ในปริมาณมากกว่ากำหนด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ หรือกรดเอเอชเอ หากนำมาใช้ผิดวิธี หรือใช้ในปริมาณที่มากเกินไป แทนที่ผิวจะได้รับประโยชน์จากสารเหล่านี้ ผิวอาจได้รับความเสียหายและได้ความเสื่อมโทรมกลับมาแทน

ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณจึงแนะนำว่าเพื่อให้เกิดความคุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ต้องเสียไปและให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ก่อนซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทุกครั้งควรอ่านฉลากให้ดีเสียก่อน โดยทำความเข้าใจวิธีการใช้และปริมาณที่ใช้ในแต่ละครั้งด้วย

การทำความสะอาดและขัดผิวมากเกินไป

การทำความสะอาดผิวและการขัดผิวโดยทั่วไปส่งผลดีต่อผิวพรรณ การทำความสะอาดผิวช่วยชะล้างสิ่งสกปรกที่จะนำไปสู่ปัญหาผิวต่าง ๆ ให้หลุดออกไป การขัดผิวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วไม่ให้เกิดการสะสม ทำให้ผิวกระจ่างใสเกลี้ยงเกลาไม่มี ริ้วรอย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น แต่การกระทำดังกล่าวอาจก่อให้เกิดโทษต่อผิวพรรณได้อย่างคาดไม่ถึงหากนำมาใช้ผิดวิธีหรือมากเกินไป การทำความสะอาดผิวที่มากเกินไปจะชะล้างน้ำมันที่ต่อมไขมันใต้ผิวผลิตขึ้นมาเพื่อปกป้องผิวให้หมดไป ทำให้ผิวแห้ง ไวต่อสิ่งกระตุ้น จนนำไปสู่การเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ได้ในภายหลัง ในขณะที่การขัดผิวบ่อยเกินไปอาจทำลายเซลล์ผิวที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ได้รับความเสียหายหรือหลุดลอกออกไปจนเกิดเป็นริ้วรอย และอาจรุนแรงจนถึงขั้นเป็นแผลเป็นได้ในที่สุด นอกจากนี้ ยังมีการพบว่าการขัดผิวที่มากเกินไปก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิวในระยะยาว และทำให้ความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของผิวที่มีอยู่ตามธรรมชาติลดน้อยลงไปด้วย เพื่อสุขภาพผิวที่ดี ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีสารซักฟอกที่รุนแรงหรือมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่อาจทำให้ผิวแห้ง มีอาการระคายเคืองหรือแพ้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนทำความสะอาดผิว และไม่ควรทำความสะอาดผิวมากกว่า 2 ครั้งต่อวัน   [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ปล่อยให้น้ำหนักขึ้นและลงอย่างรวดเร็วส่งผลให้ผิวเกิดริ้วรอย

การปล่อยให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น แล้วพยายามลดลงอย่างรวดเร็วก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ผิวเกิดริ้วรอยได้เร็วและง่ายพอ ๆ กับการนอนอาบแดด ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ไขมันที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ผิวขยายตัวออก แต่เมื่อใดที่คุณพยายามลดน้ำหนักตัวลง ไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังจะถูกขจัดออกไป ยังผลให้ผิวจากเดิมที่ขยายตัวยืดออกแล้วหดกลับมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด ริ้วรอย เหี่ยวย่น ผิวหย่อนคล้อยตามมา แต่การหย่อนคล้อยของผิวจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น อายุ ลักษณะทางพันธุกรรม เป็นต้น

มีการพบว่าเมื่อคุณปล่อยตัวให้อ้วนและลดน้ำหนักลงเมื่อมีอายุมาก ผิวจะมีแนวโน้มที่จะหย่อนคล้อยมากกว่าปกติ เพื่อป้องกันมิให้ผิวหย่อนคล้อย นักโภชนาการแนะนำว่าไม่ควรปล่อยให้ตัวเองอ้วน ควรระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน ระวังเรื่องแคลอรี่ที่จะได้รับจากอาหาร ไม่ควรปล่อยตามใจปากเพราะแม้ว่าคุณจะไม่สนใจในเรื่องความสวยงามของผิวพรรณ แต่การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักก็จะส่งผลร้ายต่อสุขภาพโดยรวมของคุณได้เช่นกัน

ดื่มน้ำมากเกินไป

เราเคยได้ยินมาว่าการดื่มน้ำจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวพรรณ ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง แลดูมีน้ำมีนวล ซึ่งผิวที่ชุ่มชื้นมีแนวโน้มที่จะมี ริ้วรอย น้อยลง แต่การดื่มน้ำในปริมาณมากในบางเวลาก็อาจให้ผลในทางตรงกันข้ามได้เช่นกัน หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำในปริมาณมาก 2-3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพราะปริมาณน้ำที่มากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดการบวมน้ำในตอนเช้าได้ อาการบวมน้ำเป็นอาการที่เกิดจากการสะสมตัวของของเหลวในเนื้อเยื่อที่อ่อนนุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวพรรณรอบดวงตา เนื่องจากเป็นผิวพรรณที่มีความบอบบาง มีเส้นเลือดฝอยมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น และไม่มีชั้นไขมัน อาการตาบวมในตอนเช้า อันเนื่องมาจากการมีน้ำส่วนเกินมากเกินไปจะทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวมีการยืดและหดตัว ซึ่งจะนำไปสู่การมีริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้ในที่สุด

ริ้วรอยที่เกิดจากการนอน

เป็น ริ้วรอย ที่เกิดจากการนอนผิดพลาดเป็นเวลานาน ๆ มักเกิดขึ้นบริเวณ แก้ม มุมปาก และคาง ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าริ้วรอยดังกล่าวจะเริ่มปรากฏให้เห็นเมื่ออายุ 20 ปี ขึ้นไป และเพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยดังกล่าว ให้หลีกเลี่ยงท่านอนที่ส่งเสริมให้เกิดริ้วรอย เช่น การนอนตะแคงข้าง การนอนคว่ำ การนอนหนุนหมอนที่ไม่พอดีกับศีรษะ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มีการพบว่าการนอนหนุนหมอนจะทำให้เกิด ริ้วรอย บริเวณหลังคอ คนที่นอนไม่หนุนหมอนมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยน้อยกว่าคนที่นอนหนุนหมอน เมื่ออายุยังน้อย ริ้วรอยดังกล่าวอาจหายไปเองหลังจากตื่นนอน แต่เมื่ออายุมากขึ้น ริ้วรอยดังกล่าวจะหายเองได้ช้า และอาจเกิดขึ้นอย่างถาวรหากยังคงนอนท่าเดิมไม่เปลี่ยน นอกจากการเปลี่ยนท่านอนจะช่วยได้บ้างแล้ว การเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ใช้ในการนอนบางอย่างก็อาจช่วยลดการเกิดริ้วรอยได้เช่นกัน ควรเลือกใช้ผ้าปูที่นอนปลอกหมอน หรือผ้าห่มที่ทำมาจากผ้าที่มีความลื่น เช่น ผ้าซาตินแทนผ้าหยาบหรือสาก หรือสวมใส่ชุดนอนที่บางเบาและลื่นแทนชุดที่หนาและหนัก

ผิวจะสวยงาม หรือแลดูอ่อนกว่าวัยได้ดังใจต้องการ ถ้ารู้จักวิธีการดูแลผิวในขั้นพื้นฐานก่อน ซึ่งวิธีดูแลผิวในขั้นพื้นฐานเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับการรักษาผิวและป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

โภชนาการกับผิวสวย

การกินอาหารที่ดีนอกจากจะช่วยให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงปราศจากโรคภัยแล้ว ยังช่วยให้ผิวพรรณสวยเปล่งปลั่งแลดูอ่อนกว่าวัยด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้ประชาชนกินอาหารที่ดีมีประโยชน์และได้สัดส่วนที่เหมาะสม แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดคิดว่าการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและการกินอาหารเสริมที่มีสรรพคุณในการบำรุงผิวพรรณสามารถทดแทนอาหารมื้อหลักได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับมีความเห็นตรงกันข้าม โดยแนะนำว่าแม้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะมีสารบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพมากมายสักเพียงใด แต่สารดังกล่าวกลับไม่เพียงพอที่จะบำรุงผิวให้เปล่งปลั่ง สุขภาพดี แลดูอ่อนกว่าวัยได้อย่างยั่งยืนเท่ากับการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

บำรุงผิวทั้งภายในและภายนอกกุญแจสำคัญสู่การมีผิวสวยที่ยั่งยืน

การกินอาหารที่ดีมีประโยชน์และได้สัดส่วนที่พอเหมาะ นอกจากจะเป็นกุญแจสำคัญสู่การมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ยังมีส่วนสำคัญในการชะลอกระบวนการเสื่อมสภาพของเซลล์และเนื้อเยื่อของผิวอีกด้วย สารอาหารที่ต้องการเพื่อเสริมสร้างความสวยงามและความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิวพรรณ ได้แก่ วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนรวมไปถึงสารอาหารที่จำเป็นอื่น ๆ เพื่อคงความสวยงามและความเต่งตึง เซลล์ของร่างกายต้องการสารอาหารเหล่านี้ในปริมาณมาก ไม่มีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดใดสามารถทดแทนได้ นอกจากนี้ยังมีการพบว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่แม้จะมีสารอาหารบำรุงผิวในปริมาณมากก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าสารอาหารที่อยู่ในครีมเหล่านั้นสามารถซึมซับเข้าสู่ผิวได้อย่างเต็มที่หรือไม่ สารอาหารเหล่านี้อัดเคลือบอยู่แค่ผิวภายนอกและหลุดลอกออกไปเมื่อตอนอาบน้ำ

สารอาหารที่อยู่ในครีมชนิดหนึ่ง จะมีความสามารถในการซึมซับเข้าสู่ผิวได้ดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อันได้แก่ สภาพของผิว ความเข้มข้นของส่วนผสมต่าง ๆ ที่อยู่ในครีมนั้น เทคนิคในการผลิต วิธีการทาครีมที่ถูกต้องและปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งหากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป สารอาหารที่อยู่ในครีมก็จะไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวที่อยู่ลึกภายในได้อย่างเต็มที่

ตรงกันข้ามกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดต่าง ๆ ซึ่งอาหารที่เรากินเข้าไปกลับมีประสิทธิภาพในการบำรุงเซลล์ผิวได้อย่างทั่วถึงและดีเยี่ยมมากกว่า เมื่อร่างกายรับอาหารเข้าไปแล้ว สารอาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งจะแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย นั่นหมายความว่าผิวหนังทุกส่วนของร่างกายจะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างทั่วถึง ไม่ใช่แค่แขนขาหรือผิวหน้าอย่างที่ครีมบำรุงทำ ไม่เพียงแต่จะดีต่อผิวพรรณเท่านั้น การกินอาหารที่ดีและมี  ประโยชน์ในสัดส่วนที่เหมาะสมย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม ช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกายที่เหมาะสม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายโดยรวม ( มิใช่แค่ผิวพรรณ ) สมบูรณ์แข็งแรงทำงานเป็นปกติไม่เสื่อมโทรมหรือร่วงโรยได้ง่ายอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาผิวพรรณ หรือการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์คือวิธีที่สมบูรณ์พร้อมในการบำรุงผิวพรรณให้สวยงามแต่อย่างใด ทั้งนี้ เนื่องจากการกินที่ดีจะช่วยเสริมสร้างผิวพรรณให้ดูดีได้ แต่เนื่องจากการเกิด ริ้วรอย และความหย่อนคล้อยของผิวพรรณเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกาย และปัจจัยทางสภาพแวดล้อม เช่น แสงแดด ลม บุหรี่ และมลภาวะ การมีโภชนาการที่ดีจะช่วยชะลอกระบวนการเกิดริ้วรอยอันมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางธรรมชาติให้เกิดขึ้นช้าลง ในขณะที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดริ้วรอยที่มีสาเหตุมาจากปัจจัยภายนอกได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงเป็นสาเหตุที่ว่าเพราะเหตุใดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจึงยังคงมีความสำคัญต่อการมีผิวสวย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เพื่อที่จะมีผิวสวยปราศจากริ้วรอยและความเสื่อมโทรมอื่น ๆ นอกเหนือจากการกินอาหารที่ดีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปกป้องผิวจากรังสียูวีที่มาพร้อมกับแสงแดด ด้วยการทาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องเซลล์ผิวจากรังสียูวีเอและยูวีบี ซึ่งสารอาหารที่ได้รับจากการกินอาหารเข้าไปไม่อาจช่วยได้

อาหารจากธรรมชาติเป็นสิ่งที่ผิวสวยต้องการ

อาหารที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพคืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพผิวพรรณด้วยเช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังกล่าวไว้ เนื่องจากอาหารที่ดีต่อสุขภาพจะชะลอกระบวนการเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่อให้ดำเนินไปได้ช้าลง เพื่อที่จะมีสุขภาพดี ร่างกายจำเป็นต้องได้รับอาหารที่ได้สัดส่วนและมีความหลากหลาย เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะการขาดโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่ต้องการชะลอกระบวนการเสื่อมโทรมของร่างกาย ต่อต้านการเกิด ริ้วรอย และรักษาความเต่งตึงของผิวไว้ได้นาน ๆ ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหารในปริมาณมากกว่าที่มาตรฐานกำหนด อาหารเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสำหรับทุกคน หากไม่นับการออกกำลังกาย การผ่อนคลายความตึงเครียด การพักผ่อน หรือการควบคุมน้ำหนักแล้ว การกินอาหารถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดคุณภาพชีวิตของแต่ละคน ในขณะที่คนจำนวนมากมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ร่างกายอ่อนแอ ระบบภูมิคุ้มกันโรคบกพร่อง หรือเป็นโรคที่เกิดจากการมีโภชนาการที่ไม่ดี เช่น โรคขาดสารอาหาร โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ รวมไปจนถึงโรคมะเร็งซึ่งเป็นโรคที่คนในสังคมสมัยใหม่เป็นกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมสมัยใหม่มีการเจริญเติบโตมากขึ้น ประชาชนตื่นตัวในความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เกษตรกรรมแบบใช้สารเคมีรวมไปจนถึงอุตสาหกรรมทางการเกษตรมีการเติบโตมากขึ้น ทำให้พฤติกรรมในการบริโภคของประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศอุตสาหกรรมได้มีการเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่พวกเขากินอาหารที่ได้จากธรรมชาติโดยตรง ธัญพืชที่ไม่มีการแปรรูปที่ซับซ้อน กินผักและผลไม้ที่ได้จากแหล่งธรรมชาติ มีการเลี้ยงปศุสัตว์ด้วยอาหารธรรมชาติ และเลี้ยงสัตว์จำนวนน้อยเพียงเพื่อกินกันเองภายในครัวเรือน หรือเพื่อการค้าขายที่ไม่มากนัก กลายเป็นการกินอาหารที่ผ่านการแปรรูปที่ซับซ้อน มีการเติมสารเคมี หรือสิ่งแปลกปลอมลงไปในอาหารเพื่อให้มีรูป รส หรือกลิ่นในแบบที่ต้องการ

มีการใช้ฮอร์โมนและสารเคมีในการเร่งการเจริญเติบโตของสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการของประชากรที่เพิ่มมากขึ้น มีการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาจัดการอาหารการกิน การกินอาหารที่ผ่านการแปรรูป การได้รับสารเคมีและสารพิษที่เพิ่มมากขึ้นพร้อมกับมลภาวะที่เกิดจากอุตสาหกรรมสมัยใหม่ขึ้นควบคู่ไปกับการเกิดโรคแปลก ๆ ที่มนุษยชาติไม่เคยประสบมาก่อน  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อย่างไรก็ตามในช่วงตอนกลางของศตวรรษ มนุษย์เริ่มตื่นตัวถึงพิษภัยที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่ทันสมัย มนุษย์พบว่าการกินอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและคาร์โบไฮเดรตที่แปรรูปจนไม่มีสารอาหารที่จำเป็นหลงเหลืออยู่เลย สารเคมีที่ใช้ในการปรุงแต่งอาหารที่มากเกินไป รวมไปจนถึงอาหารที่ผ่านการดัดแปลงอื่น ๆ เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม ร่วงโรยจนเกิดโรคร้ายตามมาในที่สุด

เฟรดเดอริก แอล ฮอฟมัน แอลแอลดี ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งและที่ปรึกษาทางสถิติของบริษัทประกันชีวิตพรูเดนเชียล ไลฟ์ ได้กล่าวว่าการเสียชีวิตของประชากรที่มีสาเหตุจากโรคมะเร็งมีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมในการบริโภคของมนุษยชาติได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารที่ผ่านการแปรรูป อาหารหมักดอง อาหารที่ดัดแปลง อาหารที่มีส่วนผสมของสารเคมี เช่น สารกันบูด สีสังเคราะห์ สารเคมีที่ช่วยรักษาความสดของอาหารให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้น อาหารแช่เย็น การกินอาหารที่ไม่สด และห่างไกลจากความเป็นธรรมชาติมากขึ้น

ด้วยพฤติกรรมการกินที่ผิดแผกแปลกไปจากเดิม มักพบในคนที่อาศัยอยู่ในเมืองอุตสาหกรรม รวมไปถึงประชากรที่อาศัยอยู่ในชนบท ที่ความเจริญก้าวหน้าของอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ไปถึง ซึ่งพฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไปจากเดิมนั้นเป็นสาเหตุของโรคร้ายและความเสื่อมโทรมของร่างกายที่มนุษยชาติไม่เคยพบมาก่อน

แตกต่างจากสังคมสมัยก่อน ที่มนุษย์ดำรงชีวิตด้วยการทำการเกษตร สัตว์เลี้ยง หรือหาของป่า มนุษย์มีชีวิตอิงแนบกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์ กินผักผลไม้ที่ปลูกขึ้นเอง ดื่มน้ำจากบ่อน้ำแร่ที่สะอาด กินข้าวแดง กินเนื้อสัตว์ที่หากินผักหญ้าตามป่าเขา ปรุงแต่งอาหารด้วยสมุนไพร มนุษย์มีชีวิตกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ ในขณะที่มนุษย์ในสังคมสมัยใหม่มีชีวิตที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บวกกับความอยากไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์กินอาหารและเครื่องดื่มที่ผ่านกระบวนการดัดแปลง หรือแปรรูปให้มีรูปรสและกลิ่นที่ผิดแปลกไปจากลักษณะดั้งเดิมที่ธรรมชาติสร้างมา กินแป้งขัดขาวบริสุทธิ์ เกลือบริสุทธิ์ น้ำตาลทรายบริสุทธิ์ เนื้อสัตว์สีแดงสด ขนมนมเนยที่หวานมัน เครื่องดื่มใส่สีฟองฟูรสชาติหวานชื่นใจ หรือของขบเคี้ยวกรุบกรอบชุ่มน้ำมัน เป็นต้น

มีการพบว่าชาวโอกินาวา ( Okinawans ) ในประเทศญี่ปุ่นเป็นประชากรที่มีอายุยืนที่สุดในโลก จากการสำรวจพบว่าอาหารในแต่ละวันที่ชาวโอกินาวากิน จะประกอบไปด้วยข้าวแดง ซุปมิโซะ และสาหร่ายทะเล ผักโขมนึ่ง และชาจัสมิน เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ชาวแคนาดาซึ่งเป็นหนึ่งในประชากรที่มีอัตราเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งมากที่สุดกับกินขนมเค้ก มัฟฟิน ไข่ เบคอน ไส้กรอก น้ำเชื่อม เมเปิ้ล และกาแฟเป็นส่วนใหญ่  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
นอกจากนี้ยังมีการพบอีกว่า ชาวโอกินาวามีอัตราการเป็นมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าชาวอเมริกันถึงร้อยละ 80 และเป็นมะเร็งรังไข่น้อยกว่าชาวอเมริกาเหนือถึงครึ่งหนึ่ง ด้วยนิสัยนิยมการบริโภค ความอยากที่ไม่รู้จักพอ ในขณะที่ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็คอยหยิบยื่นสิ่งที่เราปรารถนาให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้คุณภาพชีวิตย่ำแย่ลงและเป็นโรคที่เกิดจากการกินมากขึ้นเรื่อย ๆ

ยิ่งเราออกห่างจากธรรมชาติอันเป็นต้นกำเนิดของชีวิตของเรามากขึ้นเท่าไร ร่างกายของเราก็ยิ่งพบกับความเสื่อมโทรม ความร่วงโรยและโรคร้ายมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในความร่วงโรยที่เราค้นพบได้ด้วยตัวเองนั่นก็คือ ความงามของผิวพรรณ การกินอาหารไม่ได้สัดส่วน อาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน อาหารขยะ รวมไปจนถึงสารอาหารที่จำเป็น ทำให้ผิวพรรณร่วงโรยก่อนวัยอันควร มักเป็นสิว ผิวพรรณหยาบกร้าน เป็นรอยกระดำกระะด่าง ขาดความกระชับเต่งตึง

ทั้งนี้ หนึ่งในสาเหตุของความเสื่อมโทรมดังกล่าว มาจากอาหารที่เรากินกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง การกินอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพคือการกินอาหารที่มาจากธรรมชาติ มีความหลากหลาย และอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้ได้สารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างครบถ้วน สารอาหารที่จําเป็นต่อร่างกายได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน แร่ธาตุ และน้ำสะอาด สารอาหารที่ครบถ้วนจะทำให้สุขภาพแข็งแรงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และไม่อ่อนเพลียหรือล้มป่วยง่าย เมื่อปฏิบัติไปพร้อมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การพักผ่อนที่เพียงพอ การจัดการกับความตึงเครียดอย่างเหมาะสม และการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ระดับที่ปลอดภัย ร่างกายของเราก็จะคงความสมบูรณ์แข็งแรงได้เป็นระยะเวลายาวนาน

อาหารที่ทำให้ผิวสวยใส แลดูอ่อนกว่าวัยอย่างยั่งยืน

นักวิจัยพบว่าการกินอาหารบางอย่างส่งผลให้เรามีสุขภาพดี มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่อให้ดำเนินไปช้าลง นักวิจัยแนะนำให้เรากินอาหารหลากหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวก ผลไม้ ผัก และธัญพืช เพื่อว่าร่างกายจะได้รับสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นอย่างเพียงพอ วิตามินช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง บำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง และชุ่มชื้น รักษาเล็บและผมให้แข็งแรงและเงางาม นอกจากนี้วิตามินยังช่วยให้ร่างกายสามารถนำเอาพลังงานจากอาหารที่ร่างกายรับเข้าไปมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในขณะที่แร่ธาตุช่วยให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานอย่างเป็นปกติสุข  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ผักและผลไม้สด

จากการศึกษาพบว่า การกินผักและผลไม้สดโดยเฉพาะอย่างยิ่งผักและผลไม้ที่มีสีเข้มในปริมาณมากอย่างสม่ำเสมอ
จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่อของผิวพรรณได้ อาหารในแต่ละวันควรประกอบด้วยผักสดร้อยละ 25-30 หากไม่ชอบกินผักสด อาจปรุงผักสดด้วยการตุ๋น นึ่ง ต้ม อบโดยใช้แรงดันเพื่อรักษาคุณค่าทางอาหารไว้ ผักและผลไม้มีคุณสมบัติในการช่วยลดกระบวนการร่วงโรยและความเสื่อมโทรมของอวัยวะต่างๆ รวมไปจนถึงผิวพรรณได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากผักและผลไม้มีสารต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidants ) และสารฟลาโวนอยด์ ( Flavonoids ) ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากผักและผลไม้อย่างเต็มที่ ควรกินผักและผลไม้ที่สด หลากหลายชนิดและหลากหลายสีสัน เม็ดสีบางชนิดที่พบในผักและผลไม้ เช่นไลโคปีน ( Lycopine ) ที่มักพบในมะเขือเทศ แตงโม และสารแอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) ที่มักพบในบลูเบอร์รี่จะมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม ช่วยป้องกันดีเอ็นเอและเซลล์จากการทำลายของสารพิษและของเสียซึ่งจะนำไปสู่การกลายพันธุ์ของเซลล์ได้ในที่สุด

นักวิจัยจำนวนมากออกมาแนะนำให้ผู้ป่วยกินผักและผลไม้ 9 ชนิดต่อวัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งให้น้อยลง ในขณะที่นักโภชนาการบางท่านกล่าวว่า ความหลากหลายของผักและผลไม้ที่กินในแต่ละวัน มีความสำคัญต่อการมีสุขภาพดี เนื่องจากผักและผลไม้ที่มีความหลากหลายจะให้สารอาหารที่แตกต่างกัน ซึ่งนั่นจะช่วยเติมเต็มสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายขาดไป

มีการวิจัยพบว่า หากกินผักและผลไม้เพียงชนิดเดียวในปริมาณมาก ร่างกายจะได้รับสารอาหารเพียงไม่กี่อย่าง และวิธีที่จะช่วยทำให้มั่นใจได้ว่าได้รับสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุจากผักและผลไม้อย่างครบถ้วนคือ การกินอาหารที่มีสีสันหลากหลายคล้ายสีของรุ้งกินน้ำ

เพื่อให้ได้อาหารที่มีสีสันหลากหลายและมีสรรพคุณในการต่อต้านความเสื่อมโทรม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินผักและผลไม้ที่มีสีเข้ม เช่น บร็อคโคลี มันเทศ ฟักทอง พริก พริกหวาน มะเขือม่วง กล้วย ส้ม กะหล่ำปลี ผักโขม แครอท ผลเบอร์รี่ชนิดต่าง ๆ พืชผักที่น่าสนใจได้แก่ แครอท หัวหอม กะหล่ำปลี หัวไชเท้า หัวผักกาดแดง ไชเท้าเขียว ถั่วฝักยาว ผักป่าเบอร์ดอก รากบัว ผักกาดหอม แตงกวา กะหล่ำดอก บร็อกโคลี บรัสเซลสเปราต์ ผักกาดขาวปลี ผักกวางตุ้ง เห็ด เห็ดหอม แครอทเขียว ผักกาดหัวเขียว ฟักทอง ผักคะน้า ผักชีฝรั่ง ต้นกระเทียม หัวกระเทียมที่ยังไม่แก่เต็มที่ เซเลอรี ถั่วลันเตา กะหล่ำปลีม่วง ควรหลีกเลี่ยงผักเขตร้อนเว้นเสียแต่ว่าคุณอาศัยอยู่ในเขตร้อน เช่น ซุกีนี มันฝรั่ง มะเขือเทศ พริกไทยเขียว พริกไทยแดง หน่อไม้ฝรั่ง ปวยเล้ง มันเทศ หัวบีต มันฝรั่งหวาน อโวคาโด อาร์ติโชค เนื่องจากพืชผักเหล่านี้ทำให้เกิดกรด ควรกินผลไม้สด 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เลือกผลไม้ตามฤดูกาลที่ปลูกในท้องถิ่น ให้กินผลไม้ในปริมาณปานกลางเป็นครั้งคราวในฤดูกาลของผลไม้นั้น ๆ ผลไม้ที่น่าสนใจได้แก่ สตรอว์เบอร์รี พรุน หม่อน เชอรี่ แอปเปิ้ล องุ่น พีช แพร์ พลัม แตงโม ส้มจีน แอปริคอต แคนตาลูป ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตร้อนควรงดหรือจำกัดปริมาณของผลไม้บางจำพวกลงได้แก่ อินทผลัม สับปะรด มะม่วง มะละกอ มะพร้าว มะเดื่อ กล้วย ส้ม และกีวี  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ธัญพืช

ควรกินธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี เนื่องจากเป็นหนึ่งในอาหารที่ได้สมดุล มีใยอาหารสูง มีสารอาหารที่จำเป็นอยู่อย่างครบถ้วนและมีสรรพคุณในการป้องกันโรคภัยที่เกิดจากความเสื่อมโทรมได้เกือบทุกรูปแบบ ควรกินธัญพืชหลายชนิดผสมกัน จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน เพิ่มกำลังวังชา ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า เสริมภูมิคุ้มกัน ทำให้ระบบต่าง ๆ ทำงานอย่างเป็นปกติ ซึ่งนั่นหมายรวมถึงผิวพรรณด้วยเช่นกัน

ในอาหารที่กินประจำวันประมาณร้อยละ 50-60 ควรประกอบไปด้วยธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี อันได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวหอมมะลิ ข้าวโพด ข้าวบัควีท ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ข้าวกล้อง ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี ปรุงข้าวเหล่านี้ด้วยภาชนะหุงต้มสเตนเลสที่ใช้แรงดัน เพื่อรักษาคุณค่าทางสารอาหารเอาไว้ อาหารจำพวกข้าวหรือธัญพืชควรกินในรูปของเมล็ดข้าวเต็ม ๆ ไม่มีการดัดแปลง หรือได้รับการบดจนกลายเป็นแป้งหรือนำไปทำเป็นขนมปัง เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งแปรรูปเหล่านี้จะย่อยยากและก่อให้เกิดเมือกได้ง่ายกว่าข้าวเต็มเมล็ดที่ไม่ผ่านกระบวนการใด ๆ เลย ธัญพืชที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งถุงน้ำดี มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งไต และมะเร็งเต้านมให้น้อยลงได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินธัญพืชที่ไม่ผ่านการแปรรูปอาทิตย์ละ 3-4 ครั้งเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากการต้านมะเร็งอย่างเต็มที่

ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชาวนอร์เวย์พบว่าผู้ที่กินธัญพืชที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปในปริมาณมากและอย่างสม่ำเสมอ จะมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งและโรคหัวใจลดลงเกือบร้อยละ 25 จากการทดลองที่ทำโดย Mayo Clinic ในปี 2001 พบว่าผู้ที่กินซีเรียลที่มีเส้นใยอาหารสูงมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารน้อยลง นักโภชนาการแนะนำให้ผู้ป่วยกินซีเรียลที่มีเส้นใยอาหารสูง และธัญพืชที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปให้มีความหลากหลาย โดยแนะนำว่าในแต่ละวันควรได้รับ Serial หรือธัญพืชดังกล่าวประมาณ 4-5 หน่วย

ถั่วและผักทะเล

จากการศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่า การบริโภคถั่วบางชนิดอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งให้น้อยลงได้ มีการพบว่าถั่วเหลืองนอกจากจะเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญแล้ว ยังมีสรรพคุณในการลดอัตราการเกิดเนื้องอกให้น้อยลงด้วยเช่นกัน ถั่วเหลืองและถั่วบางชนิดมีสารช่วยป้องกันการเกิดเนื้องอกในเต้านม กระเพาะอาหาร และผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีการพบว่า สาหร่ายทะเลมีสรรพคุณในการขับสารกัมมันตภาพรังสีออกจากร่างกายอีกด้วย ประมาณร้อยละ 5-10 ของอาหารประจําวันควรประกอบไปด้วย ผักทะเลและถั่ว ได้แก่ ถั่วอาซูกิ ถั่วเตอร์เติลสีขาวและดำ ถั่วเขียว ถั่วแขก ถั่วลิมา ถั่วสปลิท ถั่วแบล็กอาย ถั่วเหลือง ถั่วปินโตะ ถั่วเนวี่ ถั่วแดง วุ้น เต้าหู้ เทมเปะ มิโสะ คอมบุ ซีอิ๊วทามาริ นัตโตะ วากาเมะ เป็นต้น ธัญพืช ถั่ว หรือหัวพืชที่ฝังอยู่ในดินจะมีทั้งเส้นใยที่ละลายในน้ำ และไม่ละลายในน้ำที่จะช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบฮอร์โมนภายในร่างกายให้เป็นปกติ ปริมาณสารพิษและของเสียที่ร่างกายได้รับจากสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ในการป้องกันมะเร็งและความเสื่อมโทรม ให้กินข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวบัควีต และข้าวสาลี เนื่องจากมีฤทธิ์ต้านการก่อตัวของเนื้องอก ต้านเชื้อไวรัส และขับสารก่อมะเร็ง กินถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดป่าน เพราะมีฤทธิ์ในการต้านการก่อตัวและการกระจายตัวของเชื้อมะเร็ง นอกจากสีของถั่วจะมีประโยชน์ในการต้านการเกิดมะเร็งแล้ว ผิวของพืชตระกูลถั่วยังมีสารไฟโตเคมิคอล ( Phytochemicals ) ที่ทำหน้าที่ในการป้องกันเซลล์และเนื้อเยื่อจากสารก่อมะเร็งได้

ควรกินบร็อคโคลี กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก และคะน้า เนื่องจากมีสารซัลฟอราเฟน ( Sunforaphane ) ซึ่งทำหน้าที่ในการเสริมสร้างการทำงานของตับในการขจัดสารก่อมะเร็ง หากปราศจากสารชนิดนี้ตับจะต้องทำงานอย่างหนักจนไม่สามารถขจัดสารก่อมะเร็งให้หมดไป ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นมะเร็งในที่สุด เพื่อที่จะห่างไกลจากโรคมะเร็งและความเสื่อมโทรมของร่างกาย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินบร็อคโคลี กะหล่ำปลี ขิง แครอท ชาเขียว ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์มะเขือเทศ บลูเบอร์รี่ ถั่วเลนทิล ถั่วลิสง ข้าวแดง และข้าวกล้องให้มาก

เนื้อสัตว์

ควรกินเนื้อปลาสีขาวหรืออาหารทะเลประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หลีกเลี่ยงการกินปลาเนื้อแดงหรือปลาที่มีหนังสีน้ำเงิน เนื่องจากปลาเหล่านี้จะมีไขมันมากกว่าปลาเนื้อขาว นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการกินปลาน้ำจืด เนื่องจากมีสารพิษสะสมอยู่ในเนื้อมากกว่าปลาทะเล รวมถึงการหลีกเลี่ยงการกินหรือจำกัดปริมาณในการกินหากต้องกินเนื้อสัตว์จำพวกห่าน ไก่ฟ้า วัว ลูกวัว ไก่ แกะ หมู ไก่งวง เป็ด ตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ เช่น ไข่ ไขมัน เนยแข็ง เนย โยเกิร์ต ไอศกรีม นม นมสกัด ครีม และเนยเทียม เป็นต้น

นอกจากอาหารจำพวกผัก ผลไม้ และธัญพืชแล้วผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้กินอาหารจำพวกโปรตีนที่มีคุณภาพให้มาก โปรตีนให้กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยสร้างเซลล์ใหม่ ซ่อมแซมเซลล์และเนื้อเยื่อที่สึกหรอ ช่วยให้แผลหายเร็ว สร้างฮอร์โมนและเอนไซม์ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง หากร่างกายได้รับโปรตีนในปริมาณที่ไม่เพียงพอกับความต้องการของ ร่างกายจะต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วย และร่างกายมีแนวโน้มที่จะกลับมาป่วยได้อีก

แหล่งโปรตีนคุณภาพดี ได้แก่ เนื้อสัตว์ไร้มัน ปลา ไก่ ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ เนื้อ แหล่งของโปรตีนและกรดไขมันที่ร่างกายต้องการเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและสร้างพลังงาน เนื้อแดงมีธาตุเหล็กซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิง [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

นอกจากเนื้อวัวซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่สามารถกินได้ เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา ไข่ หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากถั่วชนิดต่างๆ ก็เป็นแหล่งของโปรตีนและธาตุเหล็กคุณภาพดีที่สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์จากสัตว์ได้ แต่อย่างไรก็ตามแม้เนื้อวัวจะเป็นแหล่งของโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ แต่นักโภชนาการมักแนะนำให้ผู้ป่วยกินเนื้อปลา เนื้อไก่ หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากถั่ว เช่น โปรตีนเกษตร เต้าหู้ เพื่อหลีกเลี่ยงโคเลสเตอรอลและไขมันชนิดอิ่มตัวที่มีอยู่มากเกินไปในเนื้อวัวนั่นเอง

อาหารประเภทน้ำมัน

ควรหลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัวที่ได้จากสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนม รวมไปถึงไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่อยู่ในเนยเทียมและน้ำมันปรุงอาหารบางชนิด จากการศึกษาพบว่าไขมันหรือน้ำมันเป็นหนึ่งในอาหารที่ก่อให้เกิดโรคภัยและความเสื่อมโทรมมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็งและโรคหัวใจ ควรเลือกน้ำมันที่ไม่ผ่านการกลั่นหรือกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ น้ำมันปรุงอาหารที่สามารถใช้ได้ทุกวัน ได้แก่ น้ำมันเมล็ดมัสตาร์ด น้ำมันงา น้ำมันข้าวโพด แต่อย่าใช้มากจนเกินไป สำหรับน้ำมันที่ผ่านกระบวนการกลั่นให้บริสุทธิ์ เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน ควรใช้เป็นครั้งคราว

นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันที่ผ่านกระบวนการทางเคมี เช่น เนย น้ำมันหมู น้ำมันพืช หรือเนยเทียมที่ทำจากถั่วเหลือง ไขมันให้กรดไขมันที่จำเป็นต่อการเติบโตของร่างกาย การสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อใหม่และการสร้างฮอร์โมน ไขมันยังเป็นตัวช่วยละลายวิตามินบางชนิด ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี และเค ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน ทำให้ร่างกายสามารถดูดซับเอาวิตามินเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ไขมันยังทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะจากการบาดเจ็บต่าง ๆ เมื่อร่างกายรับแคลอรี่มากเกินความต้องการ ร่างกายจะเก็บสะสมแคลอรี่ส่วนเกินนั้นไว้ในรูปของไขมัน สำหรับสงวนเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น สำหรับไขมันอีก 2 ชนิดที่เหลือ ได้แก่ ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมเลกุลเดี่ยวและไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหลายโมเลกุล ซึ่งมักพบในอาหารจำพวกพืช เช่น ผัก ถั่ว ธัญพืชรวมไปถึงน้ำมันที่ทำจากถั่วเหลืองและธัญพืชบางชนิด เช่น คาโนลา ข้าวโพด และถั่วเหลือง กรดไขมันโอเมก้า-3 และกรดไขมันโอเมก้า-6 ก็จัดว่าเป็นไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหลายโมเลกุล นอกจากจะพบในผัก ถั่วและธัญพืชแล้ว ยังพบในปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำเย็น เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล งานวิจัยบางชิ้นพบว่า การกินอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมเลกุลเดี่ยวและชนิดหลายโมเลกุลจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลชนิดเลวให้ต่ำลง และยังช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ให้ต่ำลงอีกด้วย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อาหารว่างและเครื่องปรุง

ควรกินอาหารว่างหรือของหวานที่มีส่วนผสมของธรรมชาติในปริมาณปานกลาง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หากอาหารว่างหรือของหวานดังกล่าวมีส่วนผสมของสารให้ความหวานหรือน้ำตาล ให้ใช้น้ำเชื่อมที่ทำมาจากข้าวบาร์เลย์ มอลต์ อามาซาเกะ น้ำแอปเปิ้ล น้ำเชื่อมเมเปิ้ล ลูกเกด เกาลัดและไซเดอร์แทนน้ำตาลทรายขัดขาว ช็อกโกแลต น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลดิบ น้ำเชื่อมข้าวโพด น้ำอ้อย ฟรักโทส แซคคารีน น้ำผึ้ง น้ำตาลเทอบินาโด และน้ำตาลเทียมหรือสารให้ความหวานอื่น ๆ

นอกจากนี้ยังสามารถใช้อาหารธรรมชาติอื่น ๆมาเป็นส่วนผสมในของหวานได้ เช่น เนยที่ทำจากงา เต้าหู้ ผัก วุ้น ที่ทำจากสาหร่ายแทนไข่ ครีม นม และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ได้จากสัตว์ ควรกินถั่ว ธัญพืช และเมล็ดพืชคั่วกับเกลือหรือซีอิ๊วเป็นของว่าง หรือขนมเค้กที่ทำจากข้าวหรือธัญพืชที่ไม่มีส่วนผสมของเนย ซึ่งถั่ว ธัญพืช หรือเมล็ดพืชเหมาะสำหรับกินเป็นของว่าง ได้แก่ อัลมอนด์ เมล็ดงา วอลนัท พีแคน เมล็ดดอกทานตะวัน ถั่วลิสง เมล็ดฟักทอง เป็นต้น

เลือกเครื่องปรุงที่ได้จากธรรมชาติ ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีหรือผ่านกระบวนการแปรรูปใด ๆ เครื่องปรุงรสที่น่าสนใจได้แก่ เกลือทะเลมิโสะ ซีอิ๊วทามาริ โกมาชิโอะ ซึ่งเป็นเครื่องปรุงรสชนิดหนึ่งที่ทำจากงาดำผสมเกลือ ควรหลีกเลี่ยงการปรุงอาหารให้มีรสจัดจ้านจนเกินไป ควรกินอาหารที่มีรสอ่อน ๆ หากเป็นไปได้ให้กินรสธรรมชาติ นอกจากเครื่องปรุงรสแล้วอาจเพิ่มรสชาติให้แก่อาหารด้วยของหมักดองบางชนิดที่ทำขึ้นเองที่บ้าน แต่ควรใช้ในปริมาณน้อยเท่านั้น เพื่อช่วยย่อยอาหาร

พืชผักที่เหมาะสำหรับนำมาทำของหมักดอง เช่น หัวไชเท้า แครอท กะหล่ำปลี ผักกาดหัวแดง ผักกาดหัว กะหล่ำดอก โดยนำมาหมักพร้อมกับเกลือทะเล ข้าวสาลี บ๊วยดอง ซีอิ๊วทามาริ มิโสะ อย่าใส่พริก น้ำตาล หรือน้ำส้มสายชู นอกจากเครื่องปรุงรสและอาหารหมักดองที่ช่วยชูรสให้กับอาหารแล้ว ยังสามารถเติมแต่งอาหารให้แลดูน่ากินเป็นครั้งคราวอีกด้วย

สำหรับไชเท้าฝอย ขิงฝอย ขิงดอง หัวผักกาดแดงฝอย มะรุม นอกจากจะช่วยแต่งเติมรสชาติและหน้าตาของอาหารให้แลดูน่ากินขึ้นแล้ว พืชผักเหล่านี้ยังมีสรรพคุณในการลดความเป็นพิษของปลาและอาหารทะเลได้อีกด้วย อีกประการหนึ่งควรแต่งเติมอาหารด้วยพืชพรรณที่มีรสเผ็ด หรือมีกลิ่นแรง เช่น น้ำส้มสายชู พริกป่น พริกไทย หรือโสมจีน เป็นต้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

กินอย่างไรไม่ให้แก่ ปฏิบัติสู่การมีผิวสวยใสอ่อนวัยอย่างยั่งยืนใน 7 วัน

เป็นความจริงที่ว่าอาหารที่ดีสำหรับสุขภาพคืออาหารที่ดีสำหรับผิวด้วยเช่นกัน เนื่องจากอาหารที่ดีจะทำให้กระบวนการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย ระบบย่อยอาหาร ระบบเผาผลาญอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบขับถ่ายดำเนินไปอย่างเป็นปกติ เมื่อร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง สุขภาพผิวก็ย่อมดีตามไปด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า อาหารที่ดียังมีส่วนช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่อให้เกิดขึ้นช้าลง เพื่อคงความสมบูรณ์ของผิวพรรณ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินอาหารให้ได้สัดส่วนและมีความหลากหลาย โดยเน้นอาหารที่มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวพรรณเป็นหลัก ซึ่งมีตารางอาหารที่ออกแบบมาเพื่อบำรุงร่างกายและผิวพรรณภายใน 1 สัปดาห์ เพียงคุณปฏิบัติตามเมนูอาหารเหล่านี้ รับรองว่าภายใน 1 สัปดาห์คุณจะพบว่าสุขภาพโดยรวมดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพผิวพรรณจะค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

วันที่ 1

มื้อเช้า ข้าวต้มปลากะพง นมแพะ
ตอนสาย น้ำแตงโม
มื้อกลางวัน แกงจืดเต้าหู้ ข้าวกล้อง สลัดผักสีรุ้ง
ตอนบ่าย เมล็ดฟักทอง น้ำแอปเปิ้ล
มื้อเย็น ปลาทูนึ่ง น้ำพริกกะปิ ผักสด ข้าวกล้อง
ตอนค่ำ นมถั่วเหลืองผสมงาดำไม่ใส่น้ำตาล

 

วันที่ 2

มื้อเช้า ข้าวกล้องต้มทะเล นมแพะ น้ำส้มคั้น
ตอนสาย น้ำฝรั่ง
มื้อกลางวัน ปลาช่อนเผา น้ำจิ้มรสเด็ดไม่จัด ผักสดหรือผักลวก ข้าวกล้อง
ตอนบ่าย เมล็ดดอกทานตะวัน ชาสมุนไพร
มื้อเย็น แกงจืดเต้าหู้สาหร่ายทะเล กุ้งนึ่งมะนาว ข้าวกล้อง สลัดผักสีรุ้ง
ตอนค่ำ ชาสมุนไพร

 

วันที่ 3

มื้อเช้า น้ำแร่ผสมน้ำมะนาวคั้นสด แซนวิซทูน่า (ขนมปังโฮวีต) นมแพะ
ตอนสาย น้ำแครอท
มื้อกลางวัน แกงส้มดอกแค ข้าวกล้อง ส้มตำรสไม่จัด
ตอนบ่าย นมถั่วเหลืองไม่ใส่น้ำตาล
มื้อเย็น สลัดทูน่า ข้าวคลุกกะปิ (ข้าวกล้อง) น้ำมะเขือเทศ
ตอนค่ำ แอปเปิ้ลเขียว หรือส้มเขียวหวาน

 

วันที่ 4

มื้อเช้า ข้าวกล้องต้มอกไก่ น้ำเต้าหู้งาดำไม่ใส่น้ำตาล ฝรั่งสด
ตอนสาย ชาสมุนไพร ลูกเกด
มื้อกลางวัน ผัดผักรวมมิตร ต้มจืดเต้าหู้อ่อน ข้าวกล้อง
ตอนบ่าย โยเกิร์ตนมแพะ น้ำแร่
มื้อเย็น สลัดผักสีรุ้ง ต้มยำทะเลรสไม่จัด ข้าวกล้อง
ตอนค่ำ แอปเปิ้ลเขียว หรือแก้วมังกรแช่เย็น

 

วันที่ 5

มื้อเช้า โจ๊กไก่ น้ำแร่บีบน้ำมะนาวคั้นสด นมเปรี้ยว
ตอนสาย ถั่วลิสง น้ำแครอท
มื้อกลางวัน ส้มตำแตงกวารสไม่จัด ก๋วยเตี๋ยวไก่ (เส้นข้าวกล้อง) น้ำมะเขือเทศ
ตอนบ่าย แคนตาลูปแช่เย็น น้ำแร่
มื้อเย็น ยำถั่วพู ปลาช่อนแป๊ะซะ ข้าวกล้อง น้ำสตรอว์เบอร์รี
ตอนค่ำ น้ำข้าวโพด หรือน้ำลูกพรุน

 

วันที่ 6

มื้อเช้า ไข่ต้ม กล้วยน้ำว้า ขนมปังโฮลวีตทาน้ำผึ้ง นมถั่วแดง ผสมงาดำ
ตอนสาย เมล็ดฟักทอง ชาสมุนไพร
มื้อกลางวัน สลัดผักสีรุ้ง น้ำแตงโม พาสต้ามะเขือเทศ
ตอนบ่าย ทอดมันข้าวโพด น้ำแครอท หรือน้ำมะเขือเทศ
มื้อเย็น สลัดผักรวมคลุกน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (ใช้ผัก 4 ชนิดขึ้นไป) ผัดถั่วงอกใส่เต้าหู้ ข้าวกล้อง แกงจืดตำลึงไม่ใส่หมู
ตอนค่ำ น้ำบีทรูต

 

วันที่ 7

มื้อเช้า แซนด์วิซไก่ (ขนมปังโฮลวีต) น้ำลูกเดือย
ตอนสาย เต้าหูทอด แคนตาลูปหั่นชิ้นพอคำแช่เย็น
มื้อกลางวัน ก๋วยเตี๋ยวปลาน้ำใส (เส้นโฮลวีต) สลัดผักรวมคลุกน้ำมันงา (ใช้ผัก 4 ชนิดขึ้นไป) น้ำแร่
ตอนบ่าย น้ำองุ่น หรือน้ำสับปะรด ข้าวโพดอ่อนแช่เย็น
มื้อเย็น หอยทอดใส่ไข่ แกงจืดฟักใส่เห็ดหอม ส้มเขียวหวาน
ตอนค่ำ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ชาเขียว

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อย่างไรก็ตามการที่จะมีผิวสวยแลดูอ่อนกว่าวัยได้อย่างที่ใจต้องการได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง และปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือความอดทนและคุณภาพของผิวที่คุณมีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในขณะที่บางคนอาจได้ผลดีจากการกินอาหารเพื่อสุขภาพ แต่อีกหลายคนกลับไม่พบความแตกต่าง นั่นไม่ได้หมายความว่าอาหารสุขภาพที่คุณกินเข้าไปนั้นไม่ได้ผลแต่อย่างใด มีการพบว่าคนที่มีสุขภาพดี เมื่อกินอาหารที่ดีเขาไปแล้ว สารอาหารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในอาหารเหล่านั้นได้มีโอกาสเข้าไปบำรุงผิวอย่างเต็มที่ ในขณะที่คนที่มีร่างกายทรุดโทรมสารอาหารที่ร่างกายรับเข้าไปจำเป็นต้องไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้กลับมาเป็นปกติเสียก่อน จึงทำให้ไม่อาจนำไปบำรุงผิวได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น การที่ผิวจะสวยใสอย่างที่ใจต้องการจึงจำเป็นต้องอาศัยความอดทนและระยะเวลาอยู่บ้าง

น้ำสะอาดกับผิวสวย

เมื่อพูดถึงในด้านความงามแล้ว ต้องถือว่าน้ำมีประโยชน์ต่อผิวพรรณหลายอย่าง เช่น ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง ช่วยทำความสะอาดร่างกาย ช่วยชำระล้างของเสียและสารพิษออกจากเซลล์และเนื้อเยื่อ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ชุ่มชื้น มีน้ำมีนวลและลดความเสี่ยงในการเกิด ริ้วรอย อันเนื่องมาจากการมีผิวแห้งกร้านอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น น้ำยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านของสุขภาพอีกมากมาย

จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า การดื่มน้ำสะอาด จำนวน 5 แก้วต่อวัน จะช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึงร้อยละ 45 มะเร็งเต้านมถึงร้อยละ 80 และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะถึงร้อยละ 50 และจากการวิจัยอีกหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า การดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้วต่อวัน จะช่วยบรรเทาอาการปวดเรื้อรังตามหลังและตามข้อต่อต่าง ๆ ได้ อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะทราบถึงประโยชน์ของน้ำที่มีต่อสุขภาพของเราเป็นอย่างดีแล้ว แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาร่างกายขาดน้ำโดยพวกเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ อาการขาดน้ำจะนำไปสู่ภาวะโลหิตเป็นพิษเรื้อรัง ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการเจ็บป่วยเป็นส่วนใหญ่ และเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของอาการอ่อนเพลีย การเฉยชาของระบบเผาผลาญอาหาร การขุ่นมัวและหดหู่ของอารมณ์และการไม่มีสมาธิในเวลากลางวัน และเหนือสิ่งอื่นใด เป็นสาเหตุสำคัญที่จะนำไปสู่ความเสื่อมโทรมและร่วงโรยของผิวพรรณได้อีกด้วย

อาการขาดน้ำทำให้เลือดและของเหลวในร่างกายข้นเหนียว ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อเหี่ยวย่น สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุทำให้สารพิษในร่างกายไม่ถูกชะล้างออกไป ในทางตรงกันข้ามของเสียและสารพิษต่าง ๆ กับถูกกักเก็บและสะสมอัดแน่นไว้ภายในร่างกายโดยไม่มีทางปลดปล่อยออกไป  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เมื่อร่างกายต้องรับเอาสารพิษและของเสียจากทั้งภายนอกและจากภายในที่สร้างขึ้นเองมาสะสมเอาไว้และไม่สามารถขับออกไปได้ ของเสียและสารพิษจะก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บและความเสื่อมโทรมของผิวพรรณขึ้นได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่เราดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ เซลล์และเนื้อเยื่อจะขยายและตื่นตัว เลือดและของเหลวต่าง ๆ ในร่างกายจะถูกจัดการและมีการไหลเวียนที่ดีขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถชะล้างสารพิษที่สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อและกระแสเลือดออกมาได้ดียิ่งขึ้น

ถ้าคุณอยากมีความงามและความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ สิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำคือการดื่มน้ำให้มาก เพื่อละลายของเสียและสารพิษที่อยู่ในกระแสเลือดและเนื้อเยื่อ เพื่อเจือจางและปรับค่าพีเอชของของเสียให้มีความเป็นกลาง ก่อนที่จะขับออกไปทางระบบขับถ่าย ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ กาเฟอีน และน้ำตาล เพราะนอกจากจะไม่ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำให้แก่ร่างกายแล้ว เครื่องดื่มบางชนิดยังมีฤทธิ์ในการขับน้ำออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดน้ำมากยิ่งขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าน้ำจะมีบทบาทสำคัญต่อการมีร่างกายที่ปราศจากสารพิษและของเสีย แต่การดื่มน้ำต้องพิจารณาให้ดีเสียก่อนเพราะอาจเป็นการเพิ่มสารพิษให้แก่ร่างกายก่อให้เกิดอันตรายตามมาโดยที่คุณไม่รู้ตัวได้ เมื่อตื่นนอนในตอนเช้า ให้เริ่มต้นด้วยการดื่มน้ำสะอาด 2 แก้ว ก่อนที่จะกินอาหารใดๆ น้ำจะช่วยชะล้างเมือกและเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารและทางเดินอาหารออกมาในช่วงระหว่างวัน ให้ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ระหว่างมื้อเช้าและมื้อกลางวัน 2-3 แก้วระหว่างมื้อกลางวันและมื้อเย็นอีก และอีก 1 แก้ว ระหว่างมื้อเย็นและก่อนเข้านอน ในช่วงระหว่างมื้ออาหารให้ดื่มน้ำแยกจากอาหารที่กินต่างหาก ไม่ควรดื่มน้ำพร้อมอาหาร

นอกจากนี้ควรเลือกเครื่องดื่มที่สามารถดื่มได้ทุกวัน ให้ดื่มน้ำชา น้ำชาพื้นบ้าน กูกิชะ น้ำชาดอก แดนดีเลียน กาแฟที่ทำจากเมล็ดธัญพืช น้ำชาจากข้าวซ้อมมือ น้ำชาจากข้าวบาร์เลย์ น้ำชาจากสาหร่ายทะเล สาระแหน่ สมุนไพรที่มีกลิ่นหอม คาโมไมล์ หลีกเลี่ยงชาดำ โรสฮิป กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และกาเฟอีนทุกชนิด นอกจากเครื่องดื่มแล้ว ควรจะล้างสารพิษซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของความเสื่อมโทรมออกจากร่างกายด้วยน้ำสะอาด

โดยในแต่ละวันควรดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 แก้ว หรือ 1.5-2 ลิตร หรืออาจมากถึง 3 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยปรับของเสียหรือสารพิษที่มีความเป็นกรดจำนวนมากให้เจือจาง และมีความเป็นกลาง น้ำสะอาดจะช่วยเจือจางและชะล้างสารพิษดังกล่าวออกจากร่างกายผ่านทางไต ลำไส้และผิวหนัง น้ำสะอาดจะช่วยทำความสะอาดเลือด ชะล้างสารพิษที่ตกค้างอยู่ในเนื้อเยื่อ คืนความชุ่มชื้นสู่เซลล์ผิวและทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป น้ำที่ดื่มควรเป็นน้ำที่อยู่ในอุณหภูมิห้อง บรรจุอยู่ในขวดแก้ว หลีกเลี่ยงน้ำที่เย็นจัด น้ำประปา น้ำที่บรรจุอยู่ในขวดพลาสติก หรือน้ำที่มาจากเครื่องกรองน้ำที่ไม่ได้ล้างมาหลายเดือน  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เสริมสร้างความแตกต่างให้ผิวด้วยการออกกำลังกาย

โดยธรรมชาติแล้วร่างกายของมนุษย์จะมีการผลิตสารพิษและของเสียออกมาตลอดเวลา อันเนื่องมาจากกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นภายใน ซึ่งสารพิษและของเสียดังกล่าวเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความเสื่อมโทรมของร่างกาย แต่ในภาวะปกติจะถูกระบบขับถ่ายของเสียของร่างกายขับออกมาในรูปของลมหายใจ เหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ จึงทำให้สารพิษและของเสียดังกล่าวไม่อาจสร้างความเสียหายกับร่างกายได้

อย่างไรก็ตาม หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับระบบการขับถ่าย ทำให้ประสิทธิภาพในการจัดการกับของเสียและสารพิษดังกล่าวลดน้อยลง ของเสียและสารพิษจะเกิดการสะสมตัวยังผลให้เกิดความเสื่อมโทรมและความร่วงโรยขึ้นกับระบบ
ต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งนั่นหมายรวมถึงผิวพรรณด้วยเช่นกัน เราไม่อาจทาสีเนื้อไก่ที่กำลังเสียให้แลดูสดใหม่ได้ตลอดเวลาด้วยสีฉันใด ผิวพรรณก็ไม่อาจสวยสดใสแลดูอ่อนกว่าวัยได้อย่างแท้จริงด้วยการแต่งแต้มเครื่องสำอางฉันนั้น

การที่เราจะมีผิวพรรณที่สดใส เปล่งปลั่ง แลดูอ่อนกว่าวัยได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ระบบภายในแข็งแรงเสียก่อน เหมือนอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ ท่านได้แนะนำไว้ว่า ผิวพรรณจะสวยงามอย่างยั่งยืนได้นั้นต้องมาจากสุขภาพภายในที่แข็งแรง

ร่างกายของมนุษย์ถูกออกแบบมาให้เคลื่อนไหว และของเหลวภายในร่างกายก็ได้รับการออกแบบมาให้มีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา ในหนังสือชื่อ Spring and Autumn Annals ที่มีการรวบรวมมานานกว่า 2,000 ปีก่อน ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า “หากร่างกายไม่เคลื่อนไหว ของเหลวที่สำคัญต่าง ๆ ภายในร่างกายจะไม่มีการเคลื่อนที่ เมื่อของเหลวเหล่านั้นไม่เคลื่อนที่ พลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายจะติดขัด และเมื่อพลังงานภายในร่างกายติดขัด ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายก็จะสูญเสียพลังงาน และสิ่งแรกที่จะได้รับผลกระทบคือความสามารถในการทำความสะอาดและซ่อมแซมตัวเองของร่างกาย”

การเคลื่อนที่ของของเหลวบางอย่าง เช่น น้ำเหลือง จะขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย กล่าวคือ หากร่างกายมีการเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ น้ำเหลืองก็จะมีความสามารถในการเคลื่อนที่ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายหยุดนิ่ง น้ำเหลืองก็จะนิ่งหยุด กระแสเลือดจะไหลเวียนได้ช้าลง ระบบการระบายของเสียภายในร่างกายจะหยุดทำงาน ทำให้ของเสียและสารพิษมีการสะสมตัวในเลือดและเนื้อเยื่ออย่างรวดเร็ว

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

นอกจากนี้การไม่ออกกำลังกายหรือการเคลื่อนไหวที่ไม่เพียงพอยังเป็นสาเหตุของการติดกันของข้อต่อ และการขาดความยืดหยุ่นของเส้นเอ็น การอุดตันของลำไส้และการลดลงของกระบวนการเผาผลาญภายในร่างกาย การทำกิจกรรม หรือการออกกำลังกายที่ต้องออกแรงอย่างสม่ำเสมอคือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดพลังงานและก่อให้เกิดชีวิต ในทางกลับกันความเฉื่อยชา หรือการหยุดนิ่งอยู่กับที่จะก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมและความตายในที่สุด

เนื่องจากสารพิษและของเสียจะถูกขับออกจากเซลล์และเนื้อเยื่อเข้าสู่กระแสเลือดและน้ำเหลือง เลือดและน้ำเหลืองที่มีการเคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอ ย่อมระบายของเสียออกสู่อวัยวะขับถ่ายได้ดีกว่าเลือดและน้ำเหลืองที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ดังนั้นถ้าหากไม่คิดที่จะออกกำลังเพื่อกระตุ้นให้ของเหลวภายในร่างกายมีการไหลเวียนเสียบ้าง สารพิษและของเสียที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากเนื้อเยื่อจะยังคงวนเวียนอยู่ภายในร่างกาย

เพื่อเสริมสร้างการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ควรออกกําลังกายในรูปแบบที่ไม่ต้องมีการใช้กำลังมาก ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย หรือเกิดผลลัพธ์ที่ขัดขวางกระบวนการล้างพิษที่กำลังดำเนินอยู่ เช่น การออกกำลังกายแบบตะวันตก การออกกำลังกายแบบตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งของจีน เช่น รำไทเก๊ก โยคะ ชี่กงหรือไทชิ จะมีรูปแบบของการเคลื่อนไหวร่างกายคือเชื่องช้าและนุ่มนวล โดยเน้นไปที่การยืดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่ขดตัวอยู่ให้คลายออก และการผ่อนคลายข้อต่อจากการถูกเสียดสีหรือถูกบดขยี้กันอย่างรุนแรง

การออกกำลังกายแบบนี้จะช่วยร่างกายในการซ่อมแซมตัวเองและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าที่จะทำเพื่อความสนุกสนาน แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันไม่ก่อให้เกิดความตึงเครียด อาการเหนื่อยหอบ หรือก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บของร่างกายแต่อย่างใด

การออกกำลังกายแบบตะวันออกจะช่วยขับสารพิษและของเสียออกไปจากเนื้อเยื่อ กระแสเลือด และน้ำเหลือง ช่วยเพิ่มพลังให้แก่ระบบต่างๆของร่างกาย มากกว่าที่จะใช้พลังงานที่ร่างกายสะสมเอาไว้ หรือทำให้ผู้ออกกำลังกายรู้สึกเหนื่อยอ่อน ช่วยเปิดเนื้อเยื่อทำให้พลังงานและเลือดมีการไหลเวียนอย่างอิสระ ช่วยให้กระบังลมเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ทำให้หายใจได้ลึกและเต็มที่ จึงทำให้กระแสเลือดและเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนในปริมาณมาก ทำให้สภาพแวดล้อมภายในร่างกายมีความเป็นด่าง ซึ่งเป็นสภาพที่เหมาะสมแก่การมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง และเนื่องจากเป็นการออกกำลังกายที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดลมหายใจเข้าออก กระบังลมจึงทำงานได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่หัวใจไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเพื่อที่จะสูบฉีดเลือดให้เต็มไปด้วยออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างจากของตะวันตกโดยสิ้นเชิง  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การออกกำลังกายแบบตะวันตก เช่น ฟุตบอล ยกน้ำหนัก สกี เทนนิส วิ่ง เป็นรูปแบบของการออกกำลังกายที่ใช้พลังงาน ทำให้ผู้เล่นมีเหงื่อออกมามาก หายใจหอบและเร็ว มีการเคลื่อนไหวร่างกายที่รวดเร็ว จนอาจก่อให้เกิดความตึงเครียด และอาการบาดเจ็บขึ้นกับร่างกาย การออกกำลังกายแบบตะวันตกเป็นการออกกำลังกายเพื่อความสนุกมากกว่าที่จะเยียวยาหรือก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย รูปแบบของการออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและมีการกระทบกระแทกด้วยความรุนแรงต่อร่างกายแบบนี้ทำให้กล้ามเนื้อของผู้เล่นหดและเกร็งตัว ข้อต่ออัดกันแน่นและมีการเสียดสีกันตลอดเวลา ของเหลวภายในร่างกายถูกขัดขวาง ทำให้ไม่สามารถไหลเวียนได้อย่างเป็นอิสระเท่าที่ควร เป็นเหตุให้ของเสียและสารพิษที่สะสมอยู่ในเซลล์และเนื้อเยื่อไม่ถูกปลดปล่อยออกมา แต่ยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างกายตลอดเวลา

ซึ่งตรงกันข้ามกับการออกกำลังกายแบบตะวันออก การออกกำลังกายแบบตะวันตกจะทำให้ผู้เล่นมีการหายใจที่เร็วและสั้น และมีอาการเหนื่อยหอบ การหายใจที่สั้นและเร็วจนเกินไปจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนในปริมาณน้อยในขณะที่ร่างกายไม่สามารถปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของเสียออกไปได้มากพอ จึงทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดก๊าซออกซิเจน กระแสเลือดและเนื้อเยื่อจะมีความเป็นกรดสูงเนื่องจากมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมอยู่ในปริมาณมาก

นอกจากนี้การออกกำลังกายอย่างหนักยังทำให้เกิดกรดแลคติกซึ่งเป็นของเสียที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญอันเนื่องมาจากการออกแรงกล้ามเนื้ออย่างหนักและรวดเร็ว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้สภาพแวดล้อมภายในร่างกายมีสภาพเป็นกรด เพื่อคงความแข็งแรงของร่างกายและความสวยงามอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ ควรเลือกวิธีการออกกำลังกายแบบตะวันออกที่มีท่วงท่าที่นุ่มนวล ซึ่งจะเสริมสร้างการทำงานของร่างกายในการขับสารพิษได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นการเต้นของหัวใจในการสูบฉีดโลหิต ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อได้รับสารอาหารและออกซิเจนในปริมาณที่เพียงพอ ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นดีขึ้น

ผิวสวยเริ่มจากการพักผ่อนที่เหมาะสม

เชื่อว่าทุกคนต่างรู้ถึงประโยชน์ของการนอนหลับเป็นอย่างดี (อย่างน้อยก็เข้าใจว่า จะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าหากได้นอนหลับอย่างเต็มที่ หลังจากที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน) มีอยู่หลายครั้งจะเห็นว่าหน้าตาของเราอิดโรย อ่อนล้า และทรุดโทรมทุกครั้งที่พักผ่อนไม่เพียงพอ และอาจล้มป่วยได้หากยังไม่หาเวลาให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ตามความต้องการของร่างกาย ทั้งนี้เนื่องจากการนอนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการมีสุขภาพโดยรวมที่ดี รวมไปจนถึงผิวพรรณที่ดีที่มิอาจปฏิเสธได้ นอกจากจะมีแนวโน้มที่อาจจะเจ็บป่วยได้ง่ายแล้ว คนที่อดนอนบ่อย ๆ จะมีผิวคล้ำ ซูบซีด แห้งกร้าน และมีริ้วรอยง่ายกว่าคนทั่วไป  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เพื่อการมีสุขภาพผิวที่ดีจากการนอน ผู้เชี่ยววชาญกล่าวว่าจำเป็นต้องมีการนอนให้เพียงพอและมีคุณภาพ แต่อย่างไรถึงจะเรียกว่าการนอนที่เพียงพอและมีคุณภาพ การนอนที่เพียงพอคือจำนวนชั่วโมงในการนอนที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามจำนวนชั่วโมงในการนอนของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะอยู่ที่ 7 ถึง 10 ชั่วโมง สิ่งที่จะบอกให้ทราบว่าคุณได้นอนอย่างเพียงพอแล้วได้แก่

  • สามารถตื่นได้เองโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุกหรือให้ใครปลุก
  • รู้สึกแจ่มใสกระปรี้กระเปร่าเต็มไปด้วยพลังเมื่อตื่นขึ้น
  • ไม่ต้องการเพิ่มเวลาอีกซัก 10-20 นาทีเพื่อนอนต่อหลังจากนาฬิกาปลุก
  • ไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องดื่มจำพวกชากาแฟ เพื่อปลุกสมองให้กระปรี้กระเปร่า
  • รู้สึกอารมณ์ดี สมองปลอดโปร่งตลอดทั้งวัน
  • ในช่วงระหว่างวัน สามารถทำงานอย่างกระปรี้กระเปร่า สมองลื่นไหลดี ไม่หาวหรือสัปหงก
  • สามารถตื่นได้ในเวลาเดิมทุกวันโดยไม่จำเป็นต้องนอนเพิ่ม หรือนอนตื่นสายกว่าปกติแม้ว่าจะเป็นช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ตาม

นอกจากการนอนหลับที่เพียงพอแล้ว จำเป็นต้องมีการนอนที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน การนอนที่มีคุณภาพคือการหลับที่ลึกและสนิท ทางการแพทย์จะแบ่งช่วงของการหลับออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ช่วงหลับตื้น (ช่วง 2 ชั่วโมงแรกของการหลับ) และช่วงหลับลึก (หลังจาก 2 ชั่วโมงแรกผ่านไป) ช่วงหลับลึกเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมากเนื่องจากเป็นช่วงที่สมองจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ การที่หลับในช่วงเวลานี้ยาวนาน จะทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าสมองแจ่มใส ความจำดีเมื่อตื่นขึ้น
นอกจากนี้มีผู้เชี่ยวชาญด้านความงามของผิวพรรณออกมายืนยันถึงคุณประโยชน์ของการนอนที่เพียงพอ และมีคุณภาพต่อผิวพรรณอีกว่า การนอนหลับส่งผลดีต่อการฟื้นฟูของเซลล์และเนื้อเยื่อของผิวพรรณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 4 ทุ่มถึงตี 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาทองที่ผิวพรรณจะฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ ทำให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง และเต่งตึง ในช่วงที่เราหลับสนิท ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนบางชนิดที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ เช่น ฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโต และฮอร์โมนเพศซึ่งจะส่งผลต่อความสดใสเปล่งปลั่งของผิวพรรณ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดคนที่นอนหลับอย่างเพียงพอจึงมีผิวพรรณที่ผ่องใส เปล่งปลั่ง และดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ

ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ให้เห็นถึงโทษของการละเลยช่วงเวลาทองดังกล่าวว่า สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทำงานช่วงกลางคืน มีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและทรุดโทรมของผิวพรรณมากกว่าคนทั่วไปที่นอนตามเวลาปกติ เนื่องจากในช่วงที่ทำงานอยู่นั้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 4 ทุ่มถึงตี 2) จะพลาดโอกาสที่จะให้ผิวได้ซ่อมแซมตัวเอง  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

หลังจากที่ต้องเผชิญกับสภาวะที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมมาตลอดทั้งวัน เช่น มลภาวะ ความเครียด แสงแดด ความร้อน หรือแม้แต่การแสดงอารมณ์ทางสีหน้า เช่น การยิ้ม หัวเราะ หรือพูดคุยกันในระหว่างวัน ซึ่งส่งผลให้ผิวพรรณแห้งกร้าน มีริ้วรอยเหี่ยวย่นหยาบและทรุดโทรมเร็วกว่าปกติ และที่สำคัญการนอนช่วงเช้าก็ไม่อาจทดแทนช่วงเวลาทองที่ผ่านไปแล้วได้ การนอนที่เพียงพอและมีคุณภาพจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อการหดเกร็งที่เกิดจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในระหว่างวัน จึงทำให้ผิวเกิดริ้วรอยได้ช้าลง

อย่างไรก็ตามแม้ว่าเราจะทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่าการนอนที่เพียงพอและมีคุณภาพ ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมและสุขภาพของผิวพรรณ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาในการหลับไม่สนิท หรือหลับอย่างเพียงพอหรือหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดทั้งคืน 7-8 ชั่วโมงแล้ว แต่เมื่อตื่นขึ้นมากับรู้สึกอ่อนเพลีย อิดโรย ราวกับไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืน เพื่อการนอนหลับสนิทและยาวนานอย่างเพียงพอ การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนนอนก็เป็นสิ่งที่ส่งผลต่อคุณภาพในการนอนตลอดทั้งคืนที่ไม่ควรละเลย ปัจจัยที่จะส่งผลต่อการนอนเพื่อการนอนที่มีคุณภาพและเพียงพอ ให้ตรวจสอบสิ่งต่อไปนี้ให้ครบก่อนเข้านอนทุกครั้ง

  • นั่งสมาธิก่อนเข้านอนเพื่อทำใจให้สงบ
  • เปลี่ยนหลอดไฟในห้องนอนจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ธรรมดามาเป็นหลอดไฟที่ให้แสงสีเหลืองนวล
  • หากต้องทำงานก่อนนอน ให้หยุดทำงานก่อนเข้านอน 10-15 นาที
  • จัดห้องนอนให้มีบรรยากาศที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนให้มากที่สุด
  • อย่าเอางานไปทำในที่นอน หรือนำหนังสือไปอ่านบนเตียง
  • ไม่นำอุปกรณ์ไฟฟ้าบางอย่าง เช่น ตู้เย็น โทรทัศน์ สเตอริโอ เข้าไปไว้ในห้องนอน
  • แยกอุปกรณ์การทำงาน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โต๊ะทำงาน แฟ้มเอกสาร ฯลฯ ออกจากห้องนอน
  • นอนในห้องที่มืดสนิท
  • กินอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรธรรมชาติที่ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น
  • อย่ากินอาหารก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำในปริมาณมากก่อนเข้านอน
  • หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสจัดหรือย่อยยากก่อนเข้านอน
  • หากหิวให้ดื่มนมอุ่นๆ ผสมผงจันทร์เทศสักเล็กน้อยก่อนเข้านอน
  • เปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศให้ถ่ายเทสะดวก
  • นอนบนที่นอนที่ไม่แข็งหรือนิ่มจนเกินไป
  • ชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนนอนทุกครั้ง
  • เลือกใช้อุปกรณ์ในการนอนที่ระบายความร้อนและความชื้นได้ดี
  • ปรับอุณหภูมิห้องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป
  • หลีกเลี่ยงการใช้นาฬิกาปลุกที่มีลานส่งเสียงดัง แล้วหันมาใช้นาฬิกาแบบดิจิตอลแทน
  • สร้างแสงสลัวที่สงบในห้องนอนด้วยการจุดเทียนหอม
  • เลือกใช้น้ำมันหอมระเหยที่มีสรรพคุณในการผ่อนคลายความตึงเครียด และทำให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น เช่น ลาเวนเดอร์ ( Lavender ) มาร์จอแรม ( Marjoram ) คาโมไมล์ ( Chamomile ) เป็นต้น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

บุหรี่ ตัวการแห่งความเสื่อมโทรมที่ต้องหลีกเลี่ยง

บุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง มีการพบว่าร้อยละ 30 ของปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งที่มาจากภายนอกมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่โดยพบว่า 9 ใน 10 ของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปอดจะมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ มีจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่าการสูบบุหรี่ก่อให้เกิดมะเร็งปอดแต่เพียงอย่างเดียว แท้จริงแล้วบุหรี่ยังเป็นสาเหตุของมะเร็งชนิดอื่นอีกมากมายอันได้แก่ มะเร็งสมอง ระบบประสาท ผิวหนัง ช่องปาก คอหอย กล่องเสียง ตับอ่อน ต่อมน้ำเหลือง ไต กระเพาะปัสสาวะ มดลูก และลำไส้ใหญ่

จากการศึกษาส่วนประกอบของบุหรี่พบว่าบุหรี่ 1 มวนมีสารประกอบทางเคมีมากกว่า 30,000 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดล้วนก่อให้เกิดโทษต่อสุขภาพทั้งสิ้น นอกจากจะมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายจำนวนมากแล้วบุหรี่ยังเป็นแหล่งกำเนิดของอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของความเสียหายและความเสื่อมโทรมของเซลล์และเนื้อเยื่ออีกด้วย

อนุมูลอิสระที่เกิดจากบุหรี่มีฤทธิ์ทำลายเอนไซม์ ให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งนั่นหมายรวมถึงความอ่อนเยาว์และความงามของผิวพรรณที่จะต้องถูกทำลายไปด้วย คนที่สูบบุหรี่จัดจำนวนมากพบว่าผิวพรรณที่เคยเต่งตึง เรียบเนียน และเปล่งปลั่ง ได้ร่วงโรยเหี่ยวย่นและหมองคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อสูบบุหรี่

จากงานวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงต่อการลุกลามของมะเร็งเต้านมไปยังปอดมากกว่าผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมแต่ไม่ได้สูบบุหรี่ นักวิจัยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งศูนย์การแพทย์ดาวิส ได้ทำการตรวจสอบบันทึกการทดลองของอาสาสมัครหญิงจำนวน 87 คน ที่เป็นมะเร็งเต้านมและมีการกระจายของมะเร็งไปยังปอด นักวิจัยได้ทำการจับคู่อาสาสมัครเหล่านี้กับอาสาสมัครอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นมะเร็งเต้านมแต่ไม่พบการกระจายของเชื้อมะเร็งไปยังปอด โดยการจับคู่กันระหว่างอาสาสมัคร 2 กลุ่ม นักวิจัยจับคู่อาสาสมัครที่มีจำนวนปีในการเป็นโรค ขนาดของเนื้องอก ฯลฯ ที่เหมือนกันเข้าด้วยกัน ด้วยผลการตรวจที่ได้

นักวิจัยเห็นพ้องต้องกันว่าการสูบบุหรี่ไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม เนื่องจากการสูบบุหรี่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการกระจายตัวของเชื้อมะเร็งจากเต้านมไปยังปอดได้ การสูบบุหรี่บั่นทอนสุขภาพ และยังก่อให้เกิดโรคภัยที่นอกเหนือจากโรคมะเร็ง เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว แผลหายช้า โรคเส้นเลือดในสมองตีบ เส้นเลือดโป่งพอง แผลเปื่อยที่กระเพาะอาหารและลำไส้ อสุจิไม่แข็งแรง ทารกแรกเกิดไม่แข็งแรง นัยน์ตาเป็นต้อกระจก
เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการพบว่า การหยุดสูบบุหรี่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้ถึงร้อยละ 30    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เพื่อคงความสวยงามและความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณเอาไว้ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณได้ออกมาเตือนสติสิงห์อมควันทั้งหลายถึงพิษภัยของบุหรี่ที่มีต่อสุขภาพและความงาม และรณรงค์ให้หยุดสูบบุหรี่โดยเร็วที่สุดก่อนที่จะสายเกินไป ด้วยกระแสของการรณรงค์และความตั้งใจจริงของผู้สูบบุหรี่ คนจำนวนมากต่างออกมายอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า ความแตกต่างระหว่างช่วงที่สูบบุหรี่ และหลังจากหยุดสูบบุหรี่ไปแล้ว เมื่อหยุดสูบรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดใส เต็มไปด้วยพลังชีวิต และเหนือสิ่งอื่นใด รู้สึกว่าริ้วรอยบนผิวพรรณและใบหน้าเริ่มเลือนหายลงไปเรื่อย ๆ อย่างน่าอัศจรรย์ ในขณะเดียวกันก็ได้สัญญาว่าจะไม่หวนกลับไปสูบบุหรี่อีกต่อไปไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

ความเครียด ต้นตอแห่งริ้วรอยที่คุณไม่เคยรู้

ความเครียดที่มากเกินไปไม่เคยก่อให้เกิดผลดีกับใครทั้งสิ้น รวมไปถึงผิวพรรณด้วย ทุกคนต่างเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับความเครียดมาแล้วทั้งนั้น ส่วนใหญ่มักรู้สึกไม่ค่อยสบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย นอนไม่หลับ กินไม่ลง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุมาจากความตึงเครียดทั้งสิ้น และแน่นอนที่ผิวของเราก็จะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้เมื่อใดก็ตามที่เราเครียด มักแสดงออกทางสีหน้า เช่น ขมวดคิ้ว เม้มปาก ย่นหน้าผาก เป็นต้น

ซึ่งการแสดงออกทางสีหน้าที่ทำบ่อยครั้งจะเป็นการเน้นย้ำกล้ามเนื้อให้หดเกร็ง จนเกิดเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่นลึกถาวรที่ชั้นหนังแท้ วิธีเดียวที่จะป้องกันการเกิดริ้วรอยจากความตึงเครียดก็คือ การรู้จักผ่อนคลายอย่างถูกต้อง หลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียด ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายอย่างเหมาะสม เช่น ออกกำลังกาย โทรศัพท์ ดูโทรทัศน์ พูดคุยกับเพื่อนหรือสมาชิกในบ้าน หรือนั่งวิปัสสนา กำหนดลมหายใจเข้าออก กำหนดสมาธิจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ จะช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดีช่วยทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย

จากการศึกษาพบว่า การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติและระบบการหลั่งฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิงมีความเกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจโดยตรง ฮอร์โมนเพศหญิงมีอิทธิพลต่อสภาพการไหลเวียนของหลอดเลือดฝอย ระบบการขนส่งสารอาหารไปยังผิวหนัง การสะสมไขมันที่ชั้นใต้ผิวหนัง มีการพบว่าในขณะที่เรามีอารมณ์แจ่มใส การทำงานของระบบฮอร์โมนเพศจะดำเนินไปอย่างราบรื่น ส่งผลให้ผิวพรรณของเราเปล่งปลั่งสดใสกว่าปกติ

ในทางกลับกันขณะที่เราอยู่ในสภาวะตึงเครียดระบบการไหลเวียนโลหิตแปรปรวน ยังผลระบบประสาทอัตโนมัติเสียสมดุล ระบบย่อยอาหารผิดปกติ ทำให้การลำเลียงสารอาหารมายังเซลล์ผิวหนังต้องติดขัด ผิวพรรณหยาบกร้าน ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากจนทำให้เกิดปัญหาสิวตามมา มีวิธีเดียวที่จะจัดการกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้ คือการรู้จักรับมือกับความเครียดอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยปรับระบบประสาทอัตโนมัติให้กลับมาอยู่ในสภาวะสมดุลและเป็นปกติอีกครั้ง [adinserter name=”navtra”]

การนั่งวิปัสสนา หนึ่งในวิธีที่จะช่วยจัดการกับความเครียดจะเป็นตัวเชื่อมร่างกายและจิตใจเข้าด้วยกัน ทำหน้าที่ในการรักษาระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาวะสมดุลและทำงานด้วยความราบรื่น ทำหน้าที่เหมือนเครื่องสูบฉีดพลังและเลือดที่เต็มไปด้วยสารอาหารและออกซิเจนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของการทำงานของเซลล์และเนื้อเยื่อ การหายใจที่ดีและถูกต้องจะช่วยป้องกันและรักษาอาการเจ็บป่วยบางอย่างได้ ช่วยเพิ่มความสามารถที่เกี่ยวกับไฟฟ้าให้กับเซลล์ ช่วยขยายสนามพลังงานของร่างกายทั้งหมด ช่วยปรับร่างกายและจิตใจให้มีความสอดประสานกันด้วยการปรับสมดุลของระบบพลังงานทั้งหมดของร่างกาย

นอกจากนี้ยังช่วยขับสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายได้ฟื้นฟูตัวเอง ช่วยลดภาวะติดสารเสพติด ช่วยลดอาการตื่นกลัว ทำให้รู้สึกมั่นคงปลอดภัย ช่วยทำความสะอาดเลือด การหายใจที่ถูกต้องและมีคุณภาพจะทำหน้าที่กระตุ้นเนื้อเยื่อให้ปลดปล่อยสารพิษและของเสียที่สะสมอยู่ภายในออกมา ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อสะอาด ช่วยขับสารพิษและของเสียออกจากร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยลดอาการเจ็บปวด ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้กับฮีโมโกลบิน ทำให้เลือดสะอาดและสดใหม่อยู่เสมอ

นอกจากนี้การหายใจที่ดียังทำให้ร่างกายมีความต้านทานต่อโรคภัยสูงขึ้นและยังช่วยป้องกันร่างกายจากพลังงานบางชนิด เช่น คลื่นไมโครเวฟ กัมมันตภาพรังสี เป็นต้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พิมลพรรณ อนันต์กิจไพศาล. Beauty Tips ศาสตร์แห่งการประทินผิว ไร้สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยยับย่น : กรุงเทพฯ : Feel good Publishing, 2560.

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผัก. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 128 หน้า 1.ผัก-แง่โภชนาการ-ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641.303 ISBN 978-974-484-346-3.

Marino, Bradley S.; Fine, Katie Snead (2009). Blueprints Pediatrics. Lippincott Williams & Wilkins. p. 131. ISBN 9780781782517. Archived from the original on 8 September 2017.