- กระเจี๊ยบเขียว ผักพื้นบ้านแหล่งแคลเซียมจากธรรมชาติ
- น้ำตาลมะพร้าว ที่สายเฮลตี้ ( HEALTHY ) ไม่ควรพลาด
- สรรพคุณและประโยชน์ของพุทราจีน
- ไวรัส RSV อาการ การป้องกัน และการรักษา
- มะม่วงหาวมะนาวโห่ ผลไม้รสเปรี้ยวฆ่ามะเร็งและเนื้องอก
- นมอัดเม็ด ไม่มีน้ำตาลช่วยป้องกันฟันผุ
- ร้อนในเกิดจากอะไร มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง
- วิธีการประเมินความเสี่ยงความเครียด ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตนเอง
- โรคเครียด สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง
- ฟันผุ สามารถรักษาและป้องกันได้
- วิธีแก้ท้องผูกง่าย ๆ บทความนี้ช่วยคุณได้
- ไฟเบอร์พรีไบโอติกมีประโยชน์ต่อระบบขับถ่ายอย่างไร
- แลคโตบาซิลลัส จุลินทรีย์นี้มีประโยชน์อย่างไร
- ชีสกินกับอะไรก็อร่อย คัดเฉพาะเมนูชีสเด็ดๆ มาพร้อมเสริฟ
- มหัศจรรย์นมผึ้ง รักษาอาการวัยทองเห็นผลดีเยี่ยม
- โยเกิร์ตดีต่อคนรักสุขภาพ
- คอลลาเจนคืออะไร กินคอลลาเจนตอนไหนดี บทความนี้มีคำตอบ
- นมเปรี้ยว เครื่องดื่มที่ได้ทั้งสุขภาพและความงามที่สาว ๆ ไม่ควรพลาด
- นม ( Milk ) ป้องกันมะเร็ง หลอดเลือดหัวใจได้จริงหรือไม่?
- กิมจิ ( Kimchi )
- ผักชีล้อม ประโยชน์ และเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ
- ไฝเกิดจากอะไร เกิดตำแหน่งไหนได้บ้าง เอาไฝออกอย่างไร
- วิธีลดกลิ่นตัว ทำยังไงให้กลิ่นตัวอันไม่พึงประสงค์หายไป
- เท้าเหม็น ดับกลิ่นเท้าอันไม่พึงประสงค์ได้ด้วยตัวเองที่บ้าน
- ห้อเลือด เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร
- ภูมิแพ้ผิวหนัง เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร
- เล็บอักเสบ เกิดจากสาเหตุอะไร และดูแลรักษาอย่างไร
- ผึ้งต่อย บรรเทารักษาอาการจากการโดนผึ้งต่อยอย่างไร
- เล็บเป็นคลื่น เกิดจากอะไร บ่งบอกอะไรได้บ้าง
- เชื้อราที่เล็บ เกิดจากอะไร ดูแลรักษาและป้องกันอย่างไร
- เมล็ดเจีย ( Chia Seed ) Super Food ระดับโลก
- หินเกลือดำ ( Volcanic Rock Salt ) คืออะไร
- ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์บี ( Influenza B ) คืออะไร
- ปฏิบัติตามอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันไวรัสโควิด-19
- วัยทองในผู้ชาย ( Male Menopause ) มีอาการอย่างไร
- แอลคาร์นิทีน ( L- Carnitine ) มีประโยชน์อย่างไร
- หนอนไหม ( Silkworm ) อุดมไปด้วยโปรตีน
- งาขี้ม่อน หรือ งาขี้ม้อน มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร
- โควิด 2019 ( COVID19 )
- คอลลาเจนไทพ์ทู ( Collagen Type II ) มีประโยชน์อย่างไร
- L-Arginine ( แอล-อาร์จินิน ) มีประโยชน์อย่างไร
- ช็อกโกแลต หรือดาร์กช็อกโกแลต
- โกโก้ ( Cocoa ) เมล็ดจากต้นคาเคา ( Cacao )
- เพศสัมพันธ์ ( Sex ) สายใยแห่งรัก
- โรคฉี่หนู ( Leptospirosis ) ภัยเงียบที่มากับหน้าฝนและน้ำท่วม
- สบู่สมุนไพร เพื่อสุขภาพ
- ชงโค สมุนไพรไม้ประดับ สรรพคุณเป็นยาดับพิษไข้ แก้ไอ
- โรคภูมิแพ้ ( Allergy ) เกิดจากอะไร
- ลิ้นหัวใจรั่ว ( Heart Valve Regurgitation ) เป็นอย่างไร ?
- โรคถุงลมโป่งพอง ( Emphysema )
- ภาวะวุ้นตาเสื่อม ( Vitreous Degeneration ) เป็นอย่างไร
- โรคหัด ( Measles ) เกิดได้กับใครบ้าง ?
- สาเหตุการเกิด โรคพยาธิใบไม้ตับ ( Opisthorchiasis )
- ดาวน์ซินโดรม ( Down Syndrome ) เกิดจากอะไร
- ตกขาว ( Leukorrhea หรือ Vaginal Discharge )
- กรดไหลย้อน ( Gastroesophageal Reflux Disease : GERD )
- กัญชากับยาแพทย์แผนไทย
- โรคตากุ้งยิง ( Stye หรือ Hordeolum )
- ออทิสติก ( Autistic Disorder ) คืออะไร
- โรคต้อหิน ( Glaucoma ) เป็นอย่างไร
- โรคพิษสุนัขบ้า ( Rabies ) เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
- ผ้าอนามัยกัญชาลดอาการปวดประจำเดือน ?
- โรคไข้สมองอักเสบ ( West Nile )
- ต่อมทอนซิลอักเสบ ( Tonsillitis )
- โรคพิษสุราเรื้อรัง ( Alcoholism )
- โรคคอตีบ ( Diphtheria )
- โรคเริม ( Herpes Simplex )
- ข้อมูลน่ารู้เรื่องกัญชา
- อาหารที่มีส่วนผสมกัญชารสชาติอร่อยจริงหรือ ?
- โรคบาดทะยัก ( Tetanus )
- โรคไบโพลาร์ ( Bipolar Disorder )
- โรคงูสวัด ( Herpes Zoster )
- โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรค SLE ( Systemic Lupus Erythematosus, SLE )
- โรคดักแด้ ( Epidermolysis Bullosa )
- โรคคางทูม ( Mumps ) คืออะไร
- ไข้หูดับ หรือโรคติดเชื้อ สเตรฟโตคอกคัส ซูอิส ( Streptococcus Suis )
- โรคสังคัง ( Tinea Cruris )
- โรคตาแดง ( Conjunctivitis )
- โรคปอดบวม ( Pneumonia )
- โรคอีสุกอีใส ( Chickenpox / Varicella )
- โรคสายตาสั้น ( Myopia )
- โรคต้อลม ( Pinguecula )
- โรคต้อกระจก ( Cataract )
- ตาบอดสี เกิดจากสาเหตุอะไร รวมวิธีทดสอบตาบอดสี
- ตาบอดข้างใดข้างหนึ่ง ( Blindness / Vision Impairment )
- โรคกลาก ( Ringworm )
- ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A ( Influenza A หรือ H1N1 )
- วัณโรค ( Tuberculosis ) เกิดได้อย่างไรกัน
- โรคจอประสาทตาเสื่อม ( Age-related Macular Degeneration – AMD )
- น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็น ( Cold Pressed Pepper Oil )
- ไข้เลือดออก ( Dengue hemorrhagic fever )
- โรคแพ้เหงื่อตัวเอง ( Allergic dermatitis )
- กระจกตาอักเสบเรื้อรัง ( Keratitis )
- โรคลมแดดหรือโรคฮีทสโตรก ( Heat Stroke )
- น้ำมันเมล็ดกระบกสกัดเย็น ( Cold pressed wild almond oil )
- น้ำมันเมล็ดเจียสกัดเย็น ( Cold pressed chia seed oil )
- น้ำมันลูกเดือยสกัดเย็น ( Cold pressed millet oil )
- น้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น ( Cold pressed grape seed oil )
- น้ำมันกระเทียมสกัดเย็น ( Cold pressed garlic oil )
- ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ( SANGYOD RICE )
- น้ำมันมะรุมสกัดเย็น ( Cold pressed Moringa oil)
- ข้าวขาว น้ำตาลต่ำ ข้าวกข 43 ( RD43 )
- น้ำมันงาดำสกัดเย็น ( Cold pressed black sesame )
- น้ำมันถั่วดาวอินคาสกัดเย็น ( Cold pressed sacha inchi oil )
- น้ำมันพริกสกัดเย็น ( Clod Pressed Capsicum )
- น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว ( Cold Pressed Rice Bran Oil )
- กัญชา ( Marijuana ) สมุนไพรทางเลือก
- ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร และส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไร
- รักษาฝ้าด้วยหัวไชเท้า ( Radish Essentials )
- งา ( sesame ) เมล็ดพืชที่ไม่ควรมองข้าม
- กาแฟอาราบิก้า ( Arabica )
- การเลือกรับประทานอาหารตามเวลาที่เหมาะสม
- การคำนวณแคลอรี่จากผลไม้รถเข็น
- ความเครียดมีผลกระทบต่อร่างกาย
- วิธีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบต่างๆ
- เต้านมสองข้างไม่เท่ากันแก้ไขได้ไหม
- มังคุด ประโยชน์และสรรพคุณที่คาดไม่ถึง
- ว่านเพชรหึงสรรพคุณทางยาที่ไม่ธรรมดา
- ถาม-ตอบ ปัญหากล้ามเนื้อตึงรั้งอาการเจ็บปวดเมื่อยล้าจากภาวะโรคออฟฟิศซินโดรม
- ประโยชน์ของกระดูกสันหลังและ 7 พฤติกรรมที่ทำร้ายกระดูกสันหลัง
- อาหารและโภชนาการที่เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย
- วิธีเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันธรรมชาติ
- เล่นน้ำสงกรานต์อย่างไรให้สนุกและปลอดภัย 2019
- ภูมิคุ้มกันในร่างกายคืออะไร
- สเต็มเซลล์ ( Stem Cell ) คืออะไร
- วิธีดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรคข้อและกระดูก
- ทำอย่างไรไม่ให้หิวบ่อย
- ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว
- ลำไส้และจิตใจกำหนดพลังภูมิคุ้มกันที่ใหญ่สุดในร่างกาย
- น้ำมันมะกอกมีคุณประโยชน์อย่างไร ( Olive Oil )
- ประโยชน์ของน้ำมันตับปลา ( Cod Liver Oil )
- ผลิตภัณฑ์นมคืออะไร? ( Milk Product )
- ปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ( Oxidation ) คืออะไร
- อาหารต้านความเสื่อมของร่างกาย
- อาหารที่เหมาะสมเมื่อเป็นโรคปลายประสาทเสื่อม
- มารู้จักสารให้ความหวานกันเถอะ
- เส้นใยอาหาร ประโยชน์จากธรรมชาติช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด
- สาเหตุและอาการของโรคหัวใจ
- ประโยชน์ของน้ำมันคาโนลา ( Canola Oil )
- สาเหตุและอาการของโรคซึมเศร้า
- พลังงานที่พอดีมาจากปริมาณอาหารเท่าใด ?
- วิธีการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุ
- แสงแดดรักษาดวงตาให้คงทน
- แสงแดดช่วยรักษากระดูก
- เตรียมพร้อมช็อปปิ้งอาหารลดโรคคุมเบาหวาน
- เตรียมพร้อมโภชนาการก่อนตั้งครรภ์ สำหรับหญิงที่ต้องการมีบุตร
- อาหารการกินช่วยถนอมเต้า
- เป็นเบาหวาน จะกินอย่างไรในเดือนเราะมะฎอน หรือรอมฎอน
- อาหารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศมีจริงหรือ ?
- อาหารช่วยลดอาการปวดท้องช่วงมีรอบเดือน
- อาหารเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรง
- อาหารช่วยปรับเปลี่ยนอารมณ์ ปรับสมดุลสมอง
- โรคเกาต์ ( Gout ) เกิดขึ้นจากสาเหตุใด ?
- อาหารชะลอสายตาเสื่อม
- อาหารกับต่อมไทรอยด์
- พลังงานที่ร่างกายต้องการ
- โภชนาการสำหรับสุขภาพผมที่ดี
- โภชนาการที่เหมาะสมสำหรับผู้ชาย
- แสงแดดมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด
- แหล่งกำเนิดของน้ำมันไข
- แสงแดดเสริมสร้างกระดูก
- มารู้จักฉลากโภชนาการกันเถอะ
- โภชนาการเพื่อสุขภาพผิวสวย
- อาหารที่ทำให้แก่ช้ามีอะไรบ้าง
- เลือกรับประทานอย่างไรให้นอนหลับง่ายขึ้น
- กินอาหารมังสวิรัติช่วยให้ห่างไกลโรค
- อาหารบำบัดอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง
- การเลือกรับประทานอาหารต้านความเครียด
- พลังงาน 5 ชนิดในร่างกายที่ควรรู้
- 7 ขั้นตอนสร้างสมดุลให้ชีวิต
- การสูญเสียคุณค่าของสารอาหาร ( Nutrient Losses )
- เมื่ออาหารเข้าปาก เกิดกระบวนการอะไรขึ้นในร่างกาย
- 6 พืชผักสมุนไพรกับการช่วยดูแลสุขภาพ
- ดูแลชีวิต พิชิตโรค
- กล้ามเนื้อหัวใจตาย เสี้ยวนาทีแห่งชีวิต
- ประโยชน์ทั่วไปของไขมันบริโภค
- อาหารที่ช่วยเสริมภูมิต้านทาน
- แสงแดดช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจได้อย่างไร?
- ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปใช้สารปรุงแต่งอะไรบ้าง?
- เลือกอาหารให้เหมาะกับผู้สูงวัยอย่างไร?
- มาตรฐานน้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำประปาที่ดีควรเป็นเช่นไร
- ประเภทและประโยชน์ของน้ำมันไขจากพืช
- น้ำมันพืช กับ น้ำมันหมู อะไรดีกว่ากัน ?
- เราควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจริงหรือ?
- อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเลือดจาง
- สารให้รสหวานแทนน้ำตาล
- การจำแนกประเภทของน้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหาร
- อาหารสำหรับผู้ป่วยเป็น อัมพฤกษ์ อัมพาต
- กินน้ำตาลอย่างไร ไม่ให้เสียสุขภาพ
- โรคหลอดเลือดสมอง สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา ( Stroke )
- ชนิดของกรดไขมัน ( Fatty Acid ) และไขมันทรานส์ ( Trans Fat )
- การรับประทานผักประจำวันที่เหมาะกับคนไทย
- โรคเมตาโบลิกซินโดรม ( Metabolic Syndrome )
กระเจี๊ยบเขียว
กระเจี๊ยบเขียว ( Okra ) เป็นพืชล้มลุกขนาดกลางพันธุ์ฝักสีเขียวที่กินได้นิยมนำมาปรุงเป็นอาหาร ฝักอ่อนมีรสชาติหวาน กรอบอร่อย ส่วนฝักแก่จะมีเนื้อเหนียว มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นของกระเจี๊ยบ มะเขือมอญ กระเจี๊ยบมอญ มะเขือทะวาย มะเขือลื่น มะเขือพม่า มะเขือมื่น มะเขือละโว้ ถั่วเละ จัดอยู่ในวงศ์ชบา MALVACEAE ชื่อวิทยาศาสตร์ Abelmoschus esculentus (L.) Moench กระเจี๊ยบมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนแถบแอฟริกาตะวันตกและนำเข้าไปยังยุโรปตะวันตก ปัจจุบันกระเจี๊ยบเขียวเป็นที่นิยมในแอฟริกาตะวันออกกลาง กรีซ ตุรกี อินเดีย แคริบเบียน อเมริกาใต้ และตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา
ผักกระเจี๊ยบเขียวอุดมด้วยสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระหลัก โดยเฉพาะฟลาโวนอยด์ ไอโซเคอร์ซิติ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค เป็นสารประกอบในอาหารที่ป้องกันความเสียหายจากโมเลกุลที่เป็นอันตรายเรียกว่า อนุมูลอิสระ กระเจี๊ยบจึงมีประโยชน์มากมาย นิยมใช้ปรุงเป็นอาหาร หรือช่วยเพิ่มความหวานในอาหาร เช่น น้ำซุป ใบและผลอ่อนใช้เป็นยาพอกแก้ปวดเมื่อย ในบางประเทศนำเมล็ดแก่กระเจี๊ยบมาใช้แทนเมล็ดกาแฟ ฝักอ่อนกระเจี๊ยบเขียวนำมารับประทานสด ผักต้มจิ้มน้ำพริก หรือปรุงเป็นอาหาร ส่วนเมล็ดใช้สกัดน้ำมันได้ ใยกระเจี๊ยบเขียวสามารถใช้ในการผลิตกระดาษได้ รวมถึงในฝักกระเจี๊ยบนั้นยังเป็นแหล่งแคลเซียมธรรมชาติที่ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงปลอดภัยสำหรับการบริโภค ในทางการแพทย์ยังใช้เมือกจากฝักสดกระเจี๊ยบเขียวมาใช้รักษาอาการอาหารไม่ย่อยอีกด้วย
ลักษณะของกระเจี๊ยบเขียว
- ต้นกระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชผักที่ได้รับความนิยมในภูมิภาคเขตร้อนเนื่องจากปลูกง่ายให้ผลผลิตเร็ว ทนต่อสภาพอากาศและมีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช
มีลำต้นตั้งตรงขนาดเล็กสูงประมาณ 2 เมตร และกิ่งก้านที่แตกออกจากลำต้นสลับกันสีเขียวอ่อน มีขนอ่อนสีขาวรอบลำต้นสัมผัสได้ - ใบกระเจี๊ยบเขียว ลักษณะใบกว้างมีความยาว 10–20 เซนติเมตร ใบมี 5-7 แฉก คล้ายรูปหัวใจ ขอบใบหยัก ปลายใบมนแหลม มีขนอ่อน
- ดอกกระเจี๊ยบเขียว ดอกสีเหลืองอ่อนมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-8 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบปลายกลีบโค้งมน ดอกมีเกสรตัวผู้จำนวนมาก มีก้านชูอับเรณูรวมกันลักษณะเป็นหลอดยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตรหุ้มเกสรตัวเมียไว้
- ผลกระเจี๊ยบเขียว หรือ ฝักกระเจี๊ยบเขียว ลักษณะผลอ่อนมีสีเขียวอ่อนไปถึงเข้ม รูปทรงเป็นเหลี่ยมยาว 5 – 9 เหลี่ยม ปลายฝักเรียวแหลม มีขนอ่อนสีขาว เมื่อเวลาผ่านไป ฝักเริ่มแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแล้วจะแตกออก
- เมล็ดกระเจี๊ยบเขียว ลักษณะเมล็ดอ่อนจะมีสีขาวเรียงเป็นแถวยาวตามความยาวของแต่ละฝักมีเมล็ดประมาณ 50-80 เมล็ด เมื่อเวลาผ่านไปเมล็ดเริ่มแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมดำ
- การขยายพันธุ์กระเจี๊ยบเขียว ขยายพันธุ์จากการเพาะเมล็ดโดยนำไปแช่น้ำ 1 คืนก่อนปลูกจะช่วยให้เมล็ดพันธุ์พืชงอกได้เร็วขึ้น ซึ่งกระเจี๊ยบเป็นพืชผักพื้นบ้านที่ชอบความร้อนเติบโตได้ดีที่สุดในสภาพอากาศประเทศไทยและชอบดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดีถึงปานกลาง ดินควรมีอินทรียวัตถุสูงโดยมี pH ระหว่าง 5.8 ถึง 6.8 ควรปลูกในบริเวณที่มีแสงแดดจัด เพราะกระเจี๊ยบเขียวเติบโตได้ดีที่สุดในอุณหภูมิที่ร้อน 35 – 65 องศาเซลเซียส
- การเก็บเกี่ยวฝักกระเจี๊ยบอ่อน จะเริ่มเก็บผลผลิตประมาณ 2 เดือนหลังปลูก โดยทั่วไปฝักกระเจี๊ยบเขียวจะพร้อมเก็บเกี่ยว 4-6 วันหลังดอกบาน
และควรเก็บเกี่ยวฝักกระเจี๊ยบเขียวทุกๆ 2-3 วัน เมื่อมีความยาวถึง 7.6–15.2 เซนติเมตร สามารถนำฝักออกจากต้นได้โดยการตัดด้วยมีดคมหรือหักออกจากต้นก็ได้เช่นกัน
ทางการแพทย์ยังใช้เมือกจากฝักสดกระเจี๊ยบเขียวมาใช้รักษาอาการอาหารไม่ย่อย
สรรพคุณและประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว
กระเจี๊ยบเขียวอ่อนประกอบด้วยเส้นใยอาหารเป็นหลักอีกทั้งมีแคลอรี่ต่ำแทบไม่มีไขมันเลย นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งแคลเซียม วิตามินเค วิตามินเอ สังกะสี และวิตามินซี ที่สำคัญใยอาหารประกอบด้วยส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ เส้นใยที่ไม่ละลายน้ำซึ่งเป็นส่วนประกอบของผักเกือบทุกชนิด และเส้นใยที่ละลายน้ำได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมือกที่กระเจี๊ยบมี เส้นใยที่ละลายน้ำได้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการลดระดับคอเลสเตอรอลรวมทั้งดักจับไขมันส่วนเกินภายในร่างกาย
การรับประทานกระเจี๊ยบเขียวให้ประโยชน์ด้านสุขภาพ ดังนี้
1. ช่วยเพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
2. กระเจี๊ยบเขียวเป็นแหล่งโปรตีนที่ย่อยง่ายและเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับชาวมังสวิรัติ
3. เส้นใยอาหารของกระเจี๊ยบเขียวช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น
4. กินกระเจี๊ยบเขียวช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ช่วยในการลดน้ำได้ได้ลดไม่มันไม่ดี (LDL)
5. ช่วยเพิ่มการทำงานของหัวใจ
6. กระเจี๊ยบเขียวสามารถช่วยให้ทุกคนห่างไกลจากโรคมะเร็งได้
7. ปริมาณโฟเลตที่สูงในกระเจี๊ยบมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งเป็นอาหารชั้นเยี่ยมสำหรับผู้หญิงก่อนตั้งครรภ์
หรือในระหว่างตั้งครรภ์จะช่วยส่งเสริมให้แม่และทารกมีสุขภาพดี
8. ช่วยชะลออัตราการดูดซึมน้ำตาลในทางเดินอาหาร
9. ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในเลือด
10. ช่วยป้องกันโรคไต
11. ช่วยบำรุงสมอง
12. ช่วยลดอาการหอบหืด บรรเทาอาการทางเดินหายใจ
13. ช่วยต้านการอักเสบ เช่น การรักษาปอดอักเสบ เจ็บคอ และอาการลำไส้แปรปรวน
14. ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อม
15. ช่วยในการเจริญเติบโต ฟื้นฟูเซลล์ผิว และเพิ่มปริมาณคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเรียบเนียนอ่อนเยาว์และมีสุขภาพดี
16. เมือกของกระเจี๊ยบเขียวช่วยเคลือบทางเดินอาหาร และช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารให้รู้สึกดีขึ้น
17.ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องของโรคกระเพาะ
18. ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดี
19. ช่วยป้องกันความผิดปกติของท่อประสาท
20. ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
21. ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
22. ช่วยสร้างโปรตีนที่มีประโยชน์ในการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย
23. ช่วยเร่งการสลายกลูโคสและไขมันไม่ดี
24. ช่วยเพิ่มอัลบูมินซึ่งเป็นโปรตีนในเลือดที่มีประโยชน์ในตับ
25. ป้องกันผิวจากแสงแดด
26. ช่วยลดโปรตีนในปัสสาวะ
27. ช่วยลดอาการปวดกราม ลดการอักเสบและความเจ็บปวด
ตารางข้อมูลทางโภชนาการของกระเจี๊ยบเขียวดิบ 100 กรัม
กระเจี๊ยบเขียวดิบ 100 กรัม ให้พลังงาน 43 แคลอรี
สารอาหาร | ปริมาณสารอาหาร |
แคลเซียม | 85 มิลลิกรัม |
ไขมัน | 2.32 กรัม |
โซเดียม | 231 มิลลิกรัม |
คาร์โบไฮเดรต | 5.08 กรัม |
เส้นใยอาหาร | 2.6 กรัม |
น้ำตาล | 2.57 กรัม |
โปรตีน | 1.92 กรัม |
เหล็ก | 0.48 มิลลิกรัม |
โพแทสเซียม | 182 มิลลิกรัม |
วิตามินเอ | 37 มิลลิกรัม |
วิตามินซี | 13.7 มิลลิกรัม |
แคโรทีน ไทอามีน ไรโบฟลาวิน ไนอาซิน |
นอกจากนี้ กระเจี๊ยบเขียวมีสารประกอบที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่ คาเทชิน ฟลาโวนอล กรดไฮดรอกซีซินนามิก แทนนิน สเตอรอล Quercetin, Triterpenes, Pectic rhamnogalacturonan I, Epigallocatechin
การใช้ประโยชน์จากกระเจี๊ยบเขียว
ใบและผลอ่อนกระเจี๊ยบเขียว : ใช้เป็นยาพอกแก้ปวดเมื่อย
ฝักอ่อนกระเจี๊ยบเขียว : กินสดได้ หรือนำมาปรุงเป็นเมนูอาหารได้หลากหลายเมนู
เมล็ดกระเจี๊ยบเขียวแห้ง : ใช้สกัดเป็นน้ำมัน บางประเทศคั่วและบดเพื่อทำกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน
ดอกกระเจี๊ยบเขียว : นำมาตำใช้พอกแผลจากฝีและช่วยรักษาฝีได้
เมือก หรือยางจากผลสดกระเจี๊ยบเขียว : มีสรรพคุณทางยา
รากกระเจี๊ยบเขียว : ใช้เป็นยาสมุนไพรล้างแผลและแผลพุพอง
เส้นใยจากกระเจี๊ยบเขียว : ใช้ในการผลิตกระดาษ
ผงกระเจี๊ยบเขียว : ใช้รักษาโรคกระเพาะ
น้ำกระเจี๊ยบเขียว : ช่วยลดน้ำหนัก ลดความดัน
ผลข้างเคียงจากกระเจี๊ยบเขียว
จากการศึกษาพบว่าการรับประทานกระเจี๊ยบเขียวมีความปลอดภัยสูงในปริมาณอาหารทั่วไป แต่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ในระหว่างการเก็บเกี่ยวผลผลิต เนื่องจากผิวหนังสัมผัสกันขนกระเจี๊ยบเขียวโดยตรงอาจทำให้ผิวหนังเป็นผื่นคัน หรือเกิดการอักเสบได้
ข้อควรระวัง
สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่กินยา Metformin ( เมทฟอร์มิน ) คือ ยาที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน มีคุณสมบัติในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หากผู้ป่วยกินยาชนิดนี้อยู่ไม่ควรกินกระเจี๊ยบเขียวในเวลาใกล้เคียงกัน ควรเว้นระยะห่าง 1-2 ชั่วโมง เพราะกระเจี๊ยบเขียวมีฤทธ์ลดการดูดซึมอาจส่งผลต่อการดูดซึมยาชนิดนี้ได้
ในผลอ่อนกระเจี๊ยบเขียวที่มีแคลเซียมในปริมาณมากเป็นสิ่งจำเป็นไม่เพียงแต่กระดูกและฟันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำงานของร่างกายอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น การหดตัวของกล้ามเนื้อ และการส่งสัณญาณตอบสนองของระบบประสาทที่ดีที่สุด กระเจี๊ยบจึงเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียมสูงที่ได้จากธรรมชาตินอกเหนือจากนม นอกจากนี้แคลเซียมยังมีความสำคัญต่อเด็กอายุระหว่าง 4 – 18 ปี ต้องการแคลเซียม 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับผู้ใหญ่ปริมาณที่แนะนำต่อวันคือแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน และผู้สูงอายุควรรับประทานแคลเซียม 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องจากร่างกายของเราไม่สามารถผลิตแคลเซียมได้ดังนั้นจึงต้องบริโภคอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมเช่นกระเจี๊ยบเขียวนั่นเอง
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม