
มะเร็งในเด็ก หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Pediatric Cancer คือกลุ่มโรคร้ายแรงที่สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ทารกในครรภ์จนถึงเด็กอายุ 14 ปี แม้จะพบได้น้อยกว่ามะเร็งในผู้ใหญ่ แต่ก็เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ในเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายแรง โรคนี้ต้องได้รับการตรวจพบแต่เนิ่นๆ และเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มโอกาสในการหายขาด
ความแตกต่างของมะเร็งในเด็กและในผู้ใหญ่
มะเร็งในเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่ในหลายด้าน โดยเฉพาะชนิดของมะเร็งและธรรมชาติของโรค เด็กมักเผชิญกับมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของการพัฒนาเซลล์ ไม่ใช่จากพฤติกรรมเสี่ยงหรือสิ่งแวดล้อม เช่น การสูบบุหรี่หรือการสัมผัสสารเคมี ซึ่งพบมากในผู้ใหญ่
สถิติการเกิดมะเร็งในเด็ก
-
มะเร็งในเด็กคิดเป็นเพียง 1% ของมะเร็งทั้งหมด
-
ชนิดที่พบมากที่สุดคือ:
-
มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) – 30-35%
-
มะเร็งสมองและระบบประสาทส่วนกลาง – 15-20%
-
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) – 10-15%
-
มะเร็งต่อมหมวกไต, ตับ, กระดูก, จอตา ฯลฯ
-
แม้การวินิจฉัยจะเกิดช้ากว่าผู้ใหญ่ แต่เด็กมีแนวโน้มตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่า
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งในเด็ก
มะเร็งในเด็กยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่อาจมีบทบาท ดังนี้:
1. พันธุกรรม
-
เด็กบางคนมีความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ส่งผ่านจากพ่อแม่ เช่น
-
กลุ่มอาการดาวน์ (Down Syndrome)
-
กลุ่มอาการ Li-Fraumeni
-
Retinoblastoma (มะเร็งจอตา)
-
2. การกลายพันธุ์ของเซลล์
-
เกิดขึ้นแบบสุ่มโดยไม่มีการถ่ายทอด แต่ทำให้เซลล์แบ่งตัวผิดปกติ
3. รังสีและสารเคมี
-
มารดาที่ได้รับรังสีเอกซ์ขณะตั้งครรภ์
-
การสัมผัสยาฆ่าแมลงหรือสารก่อมะเร็ง
4. การติดเชื้อไวรัส
-
HIV, EBV, HTLV-1 อาจเกี่ยวข้องกับมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
อาการของมะเร็งในเด็กที่ควรระวัง
แม้มะเร็งในเด็กไม่มีอาการจำเพาะ แต่พ่อแม่ควรสังเกตอาการเหล่านี้อย่างใกล้ชิด:
-
คลำพบก้อนผิดปกติ
-
มีไข้เรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ
-
น้ำหนักลดผิดปกติ
-
อ่อนเพลีย ไม่สดใส
-
ปวดกระดูกหรือข้อเรื้อรัง
-
เลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดา จุดเลือดตามร่างกาย
-
ตาเหลือง หรือตาบวมแดง
-
เดินเซ หรือพฤติกรรมเปลี่ยนไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
การวินิจฉัยมะเร็งในเด็ก
กระบวนการวินิจฉัยมักใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น:
-
การตรวจร่างกาย โดยกุมารแพทย์เฉพาะทาง
-
การตรวจเลือด โดยเฉพาะค่าซีบีซี (CBC) และค่าไต ตับ
-
การถ่ายภาพรังสี เช่น X-ray, MRI, CT scan, PET scan
-
การเจาะไขกระดูก
-
การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) ตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยันชนิดของมะเร็ง
ระยะของมะเร็งในเด็ก
การแบ่งระยะของมะเร็งในเด็กมีความสำคัญต่อการวางแผนการรักษา โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่:
-
ระยะที่ 1: ก้อนเนื้อมะเร็งยังอยู่เฉพาะที่
-
ระยะที่ 2: ก้อนโตขึ้นและเริ่มลุกลามเข้าเนื้อเยื่อข้างเคียง
-
ระยะที่ 3: มะเร็งลุกลามเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะข้างเคียง
-
ระยะที่ 4: มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะไกล เช่น ปอด สมอง ตับ ไขกระดูก
วิธีการรักษามะเร็งในเด็ก
แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งและระยะโรค โดยอาจใช้วิธีผสมผสานดังนี้:
1. การผ่าตัด
-
สำหรับมะเร็งที่เป็นก้อนและยังไม่แพร่กระจาย
2. เคมีบำบัด (Chemotherapy)
-
ยาเคมีจะฆ่าเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย
-
ใช้ในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายแล้ว
3. รังสีรักษา (Radiation Therapy)
-
ใช้เมื่อมะเร็งดื้อยา หรืออยู่ในจุดที่ผ่าตัดไม่ได้
4. การปลูกถ่ายไขกระดูกหรือสเต็มเซลล์
-
สำหรับเด็กที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดรุนแรง
5. ยาต้านมะเร็งแบบเฉพาะเจาะจง (Targeted Therapy)
-
ใช้ในกรณีที่มะเร็งมีสัญญาณชีวโมเลกุลที่รู้จัก
โอกาสในการรักษาหาย
โอกาสในการหายขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
ปัจจัย | ส่งผลต่อการรอดชีวิต |
---|---|
อายุของเด็ก | เด็กเล็กตอบสนองต่อการรักษาดีกว่า |
ระยะของโรค | ยิ่งพบเร็ว โอกาสหายสูง |
ชนิดของมะเร็ง | มะเร็งบางชนิดมีอัตรารอดมากกว่า 90% |
การเข้าถึงการรักษา | โรงพยาบาลเฉพาะทางมีผลต่อคุณภาพการรักษา |
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด Acute Lymphoblastic Leukemia (ALL) มีโอกาสรอดชีวิตสูงถึง 85–90% หากรักษาเร็วและครบวงจร
การฟื้นฟูและติดตามอาการหลังการรักษา
หลังสิ้นสุดการรักษา เด็กต้องได้รับการติดตามผลอย่างใกล้ชิดเป็นระยะ เพื่อเฝ้าระวัง:
-
การกลับมาเป็นซ้ำ
-
ผลข้างเคียงระยะยาวจากเคมีบำบัด/รังสี
-
ปัญหาด้านพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจ
-
ความสามารถในการเรียนรู้และเข้าสังคม
ทีมสหวิชาชีพ เช่น แพทย์ นักจิตวิทยา พยาบาล และนักสังคมสงเคราะห์ มีบทบาทสำคัญในกระบวนการฟื้นฟู
วิธีป้องกันโรคมะเร็งในเด็ก
เนื่องจากมะเร็งในเด็กมักไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงโดยตรง จึงไม่มีวิธีป้องกันได้ 100% แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ดังนี้:
-
หลีกเลี่ยงสารพิษขณะตั้งครรภ์ เช่น ยาฆ่าแมลง สารเคมี ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็น
-
หมั่นสังเกตอาการผิดปกติในเด็ก
-
หลีกเลี่ยงการสัมผัสรังสีโดยไม่จำเป็น
-
รับวัคซีนที่ป้องกันไวรัสเสี่ยง เช่น HPV, HBV
-
ออกกำลังกายและกินอาหารที่ปลอดภัยตั้งแต่วัยเด็ก
คำแนะนำสำหรับพ่อแม่และผู้ดูแล
-
ตรวจร่างกายสม่ำเสมอ – โดยเฉพาะหากมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง
-
ให้ความรู้และพูดคุยกับลูก – เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ
-
เข้าถึงระบบสนับสนุน – กลุ่มผู้ปกครอง เครือข่ายมะเร็งเด็ก โรงพยาบาลเฉพาะทาง
-
วางแผนฟื้นฟูระยะยาว – การเรียน การเข้าสังคม พัฒนาการทางอารมณ์
สรุป
โรค มะเร็งในเด็ก (Pediatric Cancer) แม้พบได้น้อยแต่เป็นโรคที่ไม่ควรละเลย พ่อแม่ควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติ และไม่เพิกเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในร่างกายของลูก เพราะการตรวจพบและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เด็กสามารถหายขาดจากโรคนี้ และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับมะเร็งในเด็ก
Q1: มะเร็งในเด็กสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?
A: ได้ครับ เด็กส่วนใหญ่มีโอกาสหายขาดจากมะเร็ง หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตามแผน เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (ALL) มีอัตรารอดชีวิตสูงถึง 85–90%
Q2: มะเร็งในเด็กมีอาการเตือนอะไรบ้าง?
A: อาการที่ควรเฝ้าระวังได้แก่ มีไข้บ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ อ่อนเพลีย ซีดจาง จุดเลือดออกผิดปกติ คลำพบก้อน หรือพฤติกรรมเปลี่ยนไปแบบไม่มีสาเหตุ
Q3: มะเร็งในเด็กเกิดจากพฤติกรรมของพ่อแม่หรือไม่?
A: โดยส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของพ่อแม่ แต่มีบางปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยง เช่น การได้รับรังสีสูง สารพิษ หรือการถ่ายทอดพันธุกรรมผิดปกติ
Q4: สามารถป้องกันมะเร็งในเด็กได้หรือไม่?
A: ยังไม่มีวิธีป้องกัน 100% แต่สามารถลดความเสี่ยงได้โดยหลีกเลี่ยงสารพิษ ยา หรือสารเคมีระหว่างตั้งครรภ์ และสังเกตความผิดปกติในเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ
Q5: มะเร็งในเด็กต่างจากมะเร็งในผู้ใหญ่อย่างไร?
A: ต่างกันที่ชนิดของมะเร็ง สาเหตุ และการตอบสนองต่อการรักษา เด็กมักตอบสนองต่อเคมีบำบัดได้ดีกว่า และมะเร็งส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากพฤติกรรมเสี่ยงเหมือนผู้ใหญ่
[/vc_column_text]
ร่วมตอบคำถามกับเรา
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
เอกสารอ้างอิง
Prasad AR, Bernstein H (March 2013). Epigenetic field defects in progression to cancer. World Journal of Gastrointestinal Oncology.