เสริมหน้าอก
การตัดสินใจทำ เสริมหน้าอก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ เพราะเราต้องเลือกซิลิโคนในการเสริมหน้าอกที่มีหลายแบบหลายสไตล์จนตัดสินไม่ถูกเลยล่ะค่ะว่าจะใช้อันไหนกันดี วันนี้ทางเราจึงได้รวบรวมข้อมูลซิลิโคนในการศัลยกรรมเสริมหน้าอกประเภทต่าง ๆ ไว้ในบทความนี้เพื่อให้เพื่อน ๆ ใช้ประกอบการตัดสินใจ
ทรงซิลิโคนศัลยกรรมเสริมหน้าอก
เผยเคล็ดลับการเลือกซิลิโคนศัลยกรรมเสริมหน้าอก
ก่อนไปทำความรู้จักกับประเภทซิลิโคนต่าง ๆ เรามาดูทรงของซิลิโคนที่ใช้ในการทำศัลยกรรม เสริมหน้าอก กันก่อนดีกว่าค่ะ โดยทรงของซิลิโคนเสริมหน้าอกนั้นจะมีด้วยกัน 2 ทรง นั่นคือ ซิลิโคนทรงหยดน้ำ และ ซิลิโคนทรงกลม ซึ่งแน่นอนว่าซิลิโคนแต่ละทรงมีลักษณะและความเหมาะสมที่ต่างกันออกไป
1.1 ซิลิโคนศัลยกรรมเสริมหน้าอกทรงหยดน้ำ
ซิลิโคนศัลยกรรมเสริมหน้าอกทรงหยดน้ำนั้นจะมีลักษณะป่องตรงส่วนล่าง และจะแบนตรงส่วนบนค่ะ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือจะมีลักษณะเหมือนหยดน้ำนั่นแหละค่ะ ซึ่งซิลิโคนเสริมหน้าอกทรงหยดน้ำนี้จะเหมาะกับสาว ๆ ที่มีหน้าอกน้อย เพราะซิลิโคนทรงหยดน้ำจะให้ความรู้ที่เป็นธรรมชาติมากกว่าและดูเนียนกว่าการเสริมด้วยซิลิโคนทรงกลมค่ะ
1.2 ซิลิโคนศัลยกรรมเสริมหน้าอกทรงกลม
ซิลิโคนศัลยกรรม เสริมหน้าอก ทรงกลมนั้นจะมีลักษณะกลมตามชื่อเลยค่ะ นอกจากนี้ขอบจะโค้งมนดูเข้ารูป ซึ่งซิลิโคนเจลภายในจะเหลวกว่าทรงหยดน้ำ ส่งผลให้เวลานั่งหรือยืนนั้นซิลิโคนเจลของทรงกลมนั้นจะไหลลงไปข้างล่างค่ะ แต่จะกลับคืนตัวในท่านอน ซิลิโคนเสริมหน้าอก ทรงกลมนั้นจะเหมาะกับสาว ๆ ที่มีนมอยู่บ้างแต่ต้องการเติมเต็มให้ได้รูปหรือแก้ไขข้อบกพร่อง เช่น หย่อนคล้อย เป็นต้น
ประเภทผิวของซิลิโคนเสริมหน้าอก
สำหรับคนที่ทำนมจะต้องเลือกซิลิโคนเสริมหน้าอกทรงกลมนั้นจะต้องเลือกพื้นผิวของซิลิโคนด้วยค่ะ โดยจะแบ่งออกเป็น ซิลิโคนผิวเรียบ และ ซิลิโคนผิวทราย ซึ่งความต่างกันที่เห็นได้ชัดของซิลิโคนเสริมหน้าอกผิวเรียบและผิวทรายนี้จะเป็นเรื่องของความนิ่มและความหนืดของซิลิโคนค่ะ
ซิลิโคนเสริมนมที่ใช้โดยทั่วไป ด้านล่างมีลักษณะกลม รูปทรงดูเป็นธรรมชาติไม่ว่าจะยืนหรือนอน และใช้เพื่อเพิ่มขนาดของทรวงอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอายุเป็นการเพิ่มเนื้อเต้านมบริเวณส่วนบน
สำหรับผู้ที่มีโครงสร้างหน้าอกแคบ เมื่อทำศัลยกรรมหน้าอก ทำนม ด้วยวัสดุเสริมรูปหยดน้ำไปแล้ว จะได้หน้าอกทรงหยดน้ำตามที่ต้องการ แต่เมื่อเวลาผ่านไปโครงสร้างของหน้าอกก็อาจจะเกิดการหย่อนคล้อยลงไปด้านล่าง ด้วยเหตุนี้ สำหรับผู้ที่มีหน้าอกส่วนบนแคบจึงควรใช้ วัสดุเสริมทรงกลม เพื่อที่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว หน้าอกจะกลายเป็นทรงหยดน้ำอย่างเป็นธรรมชาติ
2.1 ซิลิโคนเสริมหน้าอกผิวเรียบ
ซิลิโคนแบบผิวเรียบนี้จะนิ่มกว่าซิลิโคนผิวทรายค่ะ ใส่แล้วจะดูเป็นธรรมชาติ แถมยังดูแลง่าย และราคาถูกกว่าอีกด้วยค่ะ แต่จะมีโอกาสที่เต้านมไหลหลุดจากทรงได้ง่ายกว่าซิลิโคนผิวทรายค่ะถึงแม้จะเกิดไม่บ่อยก็ตาม
2.2 ซิลิโคนเสริมหน้าอกผิวทราย
มากันที่ซิลิโคน เสริมหน้าอก ผิวทรายกันบ้างค่ะ โดยซิลิโคนผิวทรายนี้เวลาใช้ เสริมหน้าอก จะมีความหนืดมากกว่าซิลิโคนผิวเรียบทำให้ตัวซิลิโคนหลุดออกจากทรงได้ยากกว่า แถมรูปทรงยังเปลี่ยนแปลงได้น้อยอีกด้วยค่ะ
ยังไงก็ตามยังมีความเชื่อที่เล่าต่อกันมาว่าซิลิโคนเสริมหน้าอกผิวทรายนั้นจะลดอาการพังผืดได้มากกว่า ความจริงก็คือขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ใช้เสริมหน้าอกค่ะ หากใส่ซิลิโคนเข้าไปใต้กล้ามเนื้อโอกาสการเกิดพังผืดจะไม่ต่างกัน แต่ถ้าเสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อซิลิโคนผิวทรายจะช่วยลดการเกิดพังผืดได้มากกว่า ทั้งนี้การเกิดพังผืดหลังศัลยกรรมหน้าอกนั้นการเสริมซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อจะมีโอกาสน้อยกว่าการเสริมซิลิโคนเหนือกล้ามเนื้อค่ะ
ตำแหน่งการผ่าตัดทำนม
เสริมหน้าอก แผลผ่าตัดมี 4 ตำแหน่ง รักแร้ ใต้ราวนม รอบปานนม และ สะดือ
เสริมหน้าอกทางสะดือ
เรื่องนี้ผมขอเริ่มจาก สะดือก่อนเลยแล้วกันนะครับ หลายคนยังคงสงสัยว่า เฮ่ย มันจะไปใส่ตรงนั้นได้ยังไง บ้าไปแล้ว .. แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแหละครับ เพราะว่าสามารถทำได้จริง ๆ
แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไร เนื่องจาก จะต้องส่องกล้องและใช้ได้กับเฉพาะถุงซิลิโคนน้ำเกลือ เท่านั้น
แผลรอบปานนม ( Periareolar incision )
แผลรอบปานนม จะมีข้อเสียอีกอย่างนึงก็คือ จะทำให้ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดทำนม อาจจะมีโอกาสชาที่หัวนมจะสูงหน่อย และมีโอกาสที่จะต้องผ่าตัดเนื้อเต้านม ซึ่งในเนื้อเต้านมมักมีแบคทีเรียอาศัยอยู่ทำให้โอกาสเกิดติดเชื้อ และพังพืดรัดถุงซิลิโคนสูงขึ้นมานิดนึง แต่ข้อดีคือปกปิดแผลได้ดีครับ พวกนางแบบที่ต้องโชว์หน้าอก โชว์รักแร้มักจะชอบแผลนี้
แผลใต้ราวนม
กำลังเป็นที่นิยมสุด ๆ สำหรับฝรั่ง ฟื้นตัวเร็ว บวมน้อย สามารถหยุดเลือดได้ง่าย จะมีข้อเสียอยู่นิดหน่อยก็คือ แผลเป็นที่ใต้ราวนม แผลเป็นนูน แผลเป็นคีลอยด์ ( Keloid ) แต่โอกาสที่จะเป็นแผลนูนนั้นน้อยมากครับ อันนี้ก็แล้วแต่ เทคนิคของแต่ละคลินิกแล้วกัน ต้องศึกษาเพิ่มเติมกันดี ๆ เสริมหน้าอก ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เพราะจะอยู่กับตัวเราไปอีกนาน
แผลใต้รักแร้ ( Transaxillary incision )
การผ่าตัดใต้รักแร้ ก็ถือว่า กำลังเป็นที่นิยมเอามาก ๆ โดยในหมู่คนไทย เพราะสามารถซ่อนแผลไว้ใต้รักแร้ซึงเป็นจุดซ่อนเร้นได้ การผ่าตัดผ่านแผลรักแร้มีสองแบบ แบบดั้งเดิมใช้การกระทุ้ง กับ การส่องกล้อง
ข้อเสียของการเสริมนมใต้รักแร้
ข้อเสียชัดเจนของการกระทุ้งคือหลังผ่าเจ็บมาก บวมมาก และช้ำกว่า และ ราคาแพงกว่าครับ เพราะว่าต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ และที่สำคัญ ค่าหมอแพงด้วย
ประเภทของของถุงซิลิโคน
อย่างที่เราได้บอกไปตอนเกริ่นบทความค่ะว่าการศัลยกรรมหน้าอกมีซิลิโคนให้เลือกหลายแบบหลายสไตล์ และนอกจากทรงซิลิโคน และ ผิวของซิลิโคนแล้ว เรายังต้องเลือกประเภทของถุงซิลิโคนด้วยค่ะ ซึ่งถุงซิลิโคนที่ใช้ในการเสริมหน้าอกจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ถุงน้ำเกลือ ถุงซิลิโคนเจล และ ถุงซิลิโคนเบคเกอร์ค่ะ
3.1 ถุงซิลิโคนน้ำเกลือ
ถุงซิลิโคนน้ำเกลือจะแบ่งย่อยออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
3.1.1 ถุงน้ำเกลือแบบสเปคตัม ที่สามารถขยายตัวได้ ซึ่งวิธีการใช้ถุงน้ำเกลือแบบสเปคตัมนี้ก็คือแพทย์จะใส่ถุงเปล่าเข้าไปก่อน และหลังจากนั้นจึงเติมน้ำเกลือไปเพื่อให้ได้ขนาดตามที่ต้องการ ส่วนถุงน้ำเกลืออีกแบบ คือ
3.1.2 ถุงน้ำเกลือที่มีการเติมน้ำเกลืออยู่แล้วก่อนใส่ เสริมหน้าอก ค่ะ แต่ถุงน้ำเกลือประเภทนี้อาจพบปัญหาเรื่องถุงแฟบหรือเกิดการรั่วซึมได้ จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้ในการเสริมหน้าอกเท่าไหร่นัก
ทั้งนี้ข้อดีของการเสริมหน้าอกด้วยถุงน้ำเกลือก็คือสามารถปรับขนาดตามที่ต้องการได้ระหว่างศัลยกรรมด้วยการเติมน้ำเกลือเพิ่มเข้าไปค่ะ และยังเกิดรอยแผลเป็นน้อยกว่า นอกจากนี้หากเกิดการรั่ว ร่างกายก็สามารถดูดซึมได้โดยไม่เป็นอันตราย
3.2 ถุงซิลิโคนเจล
ถุงซิลิโคนเจลจะมีลักษณะภายนอกแข็งเช่นเดียวกับถุงน้ำเกลือค่ะ แต่ต่างกันตรงที่ภายในจะบรรจุซิลิโคนเหลวเพื่อไว้ใช้ในการเสริมหน้าอก ซึ่งให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติมากกว่าการเสริมหน้าอกด้วยถุงน้ำเกลือ นอกจากนี้ถุงซิลิโคนเจลยังแบ่งออกเป็น ผิวเรียบ และ ผิวทราย แบบที่เราได้พูดไปแล้วที่ข้างบน
3.3 ถุงเบคเกอร์
ถุงเบคเกอร์จะเป็นการผสมกันระหว่างถุงน้ำเกลือและถุงซิลิโคนเจลค่ะ โดยภายนอกจะเป็นเจล และภายในจะเป็นน้ำเกลือ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือถุงเบคเกอร์นี้จะเป็นถุงเจลที่สามารถขยายให้ใหญ่ขึ้นได้โดยการใส่น้ำเกลือเข้าไปข้างในค่ะ ซึ่งถุงเบคเกอร์ที่นิยมในการ เสริมหน้าอก จะมีด้วยกัน 2 ประเภท ได้แก่ ถุงเบคเกอร์ที่ประกอบไปด้วยเจล 25% น้ำเกลือ 75% และอีกประเภทก็คือ ถุงเบคเกอร์ที่ประกอบด้วยเจล 50% และน้ำเกลือ 50%
แบรนด์ซิลิโคนต่าง ๆ ที่ใช้ในการเสริมหน้าอก
หลังจากเลือกประเภทและลักษณะซิลิโคนไปแล้ว ครั้งนี้ก็ถึงเวลาในการเลือกแบรนด์ถุงซิลิโคนที่ใช้ในการ เสริมหน้าอก แล้วค่ะ ซึ่งแบรนด์ดัง ๆ ที่คนไทยนิยมใช้กันจะมี 3 แบรนด์ ได้แก่ Slimed, Mentor และ Allergan
4.1 ซิลิโคนเสริมหน้าอกแบรนด์ Slimed
แบรนด์ Slimed ถือเป็นแบรนด์ถุงนมทรงหยดน้ำแบรนด์แรกที่ได้การรับรองจาก FDA หรือ อย. ของประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ ซึ่งการผลิตซิลิโคนของ Slimed นั้นจะเป็นแบบ Two Texture ค่ะ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ
ก็คือเป็นซิลิโคนเสริมหน้าอกที่มีความหนาแน่น และมีความคงทนสูง เวลาเสริมหน้าอกแล้วสามารถอยู่กับตัวเราได้นาน นอกจากนี้จุดเด่นอีกอย่างของซิลิโคนแบรนด์ Slimed ก็คือจะเป็นซิลิโคนเสริมหน้าอกที่มีฐานกว้างค่ะ
4.2 ซิลิโคนเสริมหน้าอกแบรนด์ Mentor
แบรนด์ Mentor นั้นจะมีการผลิตซิลิโคนที่มีความหนาแน่น 3 ระดับด้วยกันค่ะ คือ ความหนาแน่นสูงระดับ 1 ความหนาแน่นสูงระดับ 2 และ ความหนาแน่นสูงระดับ 3 โดยถุงซิลิโคนความแน่นสูงระดับที่ 1 และระดับที่ 2 นั้นจะใช้กับถุง เสริมหน้าอก ทรงกลมค่ะ ส่วนถุงซิลิโคนความหนาแน่นสูงระดับ 3 จะใช้กับทรงหยดน้ำ
ซึ่งในกรณีที่เกิดการรั่วซึม เนื้อเจลที่อยู่ในถุงซิลิโคนที่มีความหนาแน่นพวกนี้จะไม่ไหลออกมานอกถุงค่ะ แต่จะเกาะเป็นเนื้อเดียวกัน นอกจากนี้ยังคงรูป ไม่เปลี่ยนรูปร่างอีกด้วย
ซิลิโคน Mentor ดีไหม
ส่วนตัวก็คิดว่าดีนะ นุ่มดี Mentor ผ่าน อ.ย. ไทย ได้รับการรับรองจาก FDA อเมริกาด้วย รับลองปลอดภัยอย่างแน่นอน
4.3 ซิลิโคนเสริมหน้าอกแบรนด์ Allergan
ซิลิโคนเสริมหน้าอกแบรนด์ Allergan นั้นจะมีทั้งทรงกลม และทรงหยดน้ำค่ะ นอกจากนี้ยังมีทั้งผิวเรียบและผิวทรายอีกด้วย ซึ่งความพิเศษของซิลิโคนเสริมหน้าอกแบรนด์นี้ก็คือไม่จำเป็นต้องนวดหน้าอกบ่อย ๆ และช่วยลดการเกิดพังผืดค่ะ
เสริมหน้าอกกี่ cc ดี
คนส่วนมากมักจะมีความเชื่อว่า เสริมหน้าอก ทั้งทีควรทำให้ใหญ่เข้าไว้ แต่ตามหลักความเป็นจริงแล้วเราควรเสริมหน้าอกโดยอิงจากสรีระเราเป็นหลักค่ะ หากหน้าอกใหญ่เกินตัวไปก็อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ นอกจากนี้ผลสำรวจที่ลงไปสอบถามข้อมูลผู้ชายยังพบอีกว่าขนาดหน้าอกที่พวกเขาชอบมากที่สุดจะอยู่ประมาณคัพ B+ ถึงคัพ C ค่ะ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมให้ได้ขนาดใหญ่โตมหึมาอะไรมากมาย
ซิลิโคนเสริมอก อยู่ได้กี่ปี
เฉลี่ยอายุ ประมาณ 15 ปี ซึ่งจะบอกให้แน่ชัดก็คงจะไม่ได้เพราะต้องขึ้นอยู่กับ ขนาด และ รูปทรงของซิลิโคนเสริมอก ที่เข้าเสริมเข้าไปด้วย แต่ถ้าเป็น ซิลิโคนทรงหยดน้ำ ซึ่งจะมีคุณภาพของเจลจะดี สามารถอยู่ได้เกิน 15 ปีขึ้นไป นั่นเอง
เป็นยังไงกันบ้างกับเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับซิลิโคนเสริมหน้าอกที่ทางเราได้นำเสนอ ซึ่งเพื่อน ๆ อย่าลืมนะคะว่าการทำ ศัลยกรรมเสริมหน้าอก นั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะเราจะต้องอยู่กับมันไปตลอด ดังนั้นเราควรพิถีพิถันกับมันมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการเลือกรูปแบบทรงซิลิโคน ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่ากรณีของเรานั้นควรใช้ซิลิโคนเสริมหน้าอกแบบใด และควรเสริมได้มากสุดกี่ cc เพราะแต่ละคนล้วนมีลักษณะความเหมาะสมที่ต่างกันออกไปค่ะ ก่อนตัดสินใจทำหน้าอก คงต้องหาข้อมูลและรีวิว เสริมหน้าอก ให้มั่นใจก่อนทำนะคะ
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง
เอกสารอ้างอิง
แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข. ต้านมะเร็งเต้านม : กรุงเทพฯ : อมรินทร์สุขภาพ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2554.
แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข. 100 เรื่องน่ารู้ มะเร็งในผู้หญิง : กรุงเทพฯ : อมรินทร์สุขภาพ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2556.
พวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 240 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1647-7.