การดูแลผิวพรรณและความงาม
ความสวยงามดูดีและความอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน ล้วนเป็นสุดยอดความปรารถนาของคนทุกเพศทุกวัยและทุกเชื้อชาติ
จึงเป็นเหตุผลที่ว่า เพราะเหตุใดเราจึงใช้เวลาในแต่ละวันหมดไปกับการดูแลตนเองให้ดูดีอยู่เสมอ (อย่างน้อยในตอนเช้าเราต้องแปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำ สระผม) นอกจากการดูแลตัวเองด้วยการกินอาหารที่ดี การพักผ่อนที่เพียงพอ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการใช้เครื่องสำอางในการแต่งแต้ม หรือลบเลือนจุดบกพร่องต่าง ๆ เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคในด้าน การดูแลผิวพรรณและความงาม ที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ
[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ได้เข้ามามีบทบาทเกี่ยวกับความงามมากขึ้นจากเดิมที่จำกัดอยู่ในวงการสุขภาพเท่านั้น ได้มีการคิดค้นนวัตกรรมในการ การดูแลผิวพรรณและความงาม ขึ้นมากมาย บางอย่างก็ให้ผลเป็น ที่น่าพึงพอใจ ในขณะที่บางอย่างก็ส่งผลร้ายต่อผิวจนก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย ซึ่งการตัดสินใจเลือกใช้วิธีใดนั้น ผู้บริโภคจำเป็นต้องพิจารณาและเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อน
ด้วยการสอบถามข้อมูลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมไปจนถึงผู้ที่เคยเข้าทำการรักษามาแล้ว ถึงผลลัพธ์และผลข้างเคียงที่เกิดจากการรักษาเพราะทุกอย่างย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สิ่งหนึ่งอาจใช้ได้ดีกับบางคน แต่อาจก่อให้เกิดผลร้ายอย่างคาดไม่ถึงกับอีกหลายคน
นวัตกรรมในการดูแลผิวพรรณที่กำลังได้รับความนิยม
1. การฉีดโบท็อกซ์
โบท็อกซ์เป็นชื่อย่อของยี่ห้อยาคลายกล้ามเนื้อชนิดหนึ่ง เป็นวิธีการรักษาริ้วรอยที่กำลังได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีสะดวกปลอดภัย ไม่เสี่ยงหากเปรียบเทียบกับการรักษาริ้วรอยโดยการผ่าตัดแบบอื่น ๆ ทำโดยการฉีดสารโบลิทูนัมทอกซิน ซึ่งเป็นโปรตีนบริสุทธิ์สกัดจากแบคทีเรียที่ใช้ในวงการแพทย์มานานร่วม 50 ปี แต่เพิ่งได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาให้ใช้ในวงการความงามได้
วิธีการรักษาผิวพรรณด้วยโบท็อกซ์
วิธีการใช้โบทอกซ์เพื่อรักษาริ้วรอยทำได้โดยการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในบริเวณที่มีริ้วรอย โบท็อกซ์จะคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งออก ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นเรียบเนียนขึ้น โดยส่วนใหญ่นิยมฉีดเพื่อลบริ้วรอยตีนกา รอยย่นบนหน้าผาก ริ้วรอยข้างมุมปากที่เกิดจากการยิ้มและหัวเราะ ริ้วรอยรอบดวงตา ริ้วรอยบริเวณหัวคิ้ว ซึ่งกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวจะมีการหดเกร็ง เนื่องจากการทำกิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จนกล้ามเนื้อหดเกร็งอย่างถาวร มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่าโบท็อกซ์จะช่วยยกกระชับผิวให้เต่งตึงได้ แท้จริงแล้วโบท็อกซ์จะช่วยลดเลือนริ้วรอยเท่านั้น ไม่อาจทำให้กล้ามเนื้อใบหน้ายกตัวกระชับ หรือแก้ไขปัญหาผิวหย่อนยานได้แต่อย่างใด และการฉีดโบท็อกซ์ไม่อาจทำให้ริ้วรอยหายไปในพริบตา เพราะสารเคมีที่ฉีดเข้าไปจำเป็นต้องใช้เวลา 1 – 2 สัปดาห์ในการออกฤทธิ์ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
ข้อดีของการรักษาด้วยโบทอกซ์
จะแตกต่างจากการทำศัลยกรรม การลบเลือนริ้วรอยด้วยโบท็อกซ์จะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที (ประมาณ 10 นาที) ผิวเป็นร่องลึกจะเรียบตึงดังเดิม ยังผลให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ลง บางรายอาจอ่อนเยาว์ลงได้ถึง 10 ปี นอกจากนี้ยังพบว่าการฉีดโบท็อกซ์ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดแก่ผู้เข้ารับการรักษาแต่อย่างใด คนไข้ไม่จำเป็นต้องนอนพักที่โรงพยาบาลหรือต้องกลับไปรักษาตัวที่บ้าน อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดบาดแผลแต่อย่างใดเพราะโบท็อกซ์จะหมดฤทธิ์เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้น หากไม่พอใจในผลลัพธ์ของการรักษา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามสามารถกลับมาทำใหม่ได้อีกเมื่อยาหมดฤทธิ์แล้ว
ข้อเสียของการรักษาด้วยโบท็อกซ์
ทุกอย่างบนโลกใบนี้ จะต้องมีด้านที่ดีและด้านไม่ดี แม้ว่าโบท็อกซ์จะช่วยในเรื่องของ การดูแลผิวพรรณและความงาม ได้มาก จนผู้หญิงหลาย ๆคนต่างตั้งสมญานามให้ว่า Magic Bottel แต่มันก็มีข้อเสียอยู่บ้างบางประการเหมือนกัน โดยโบท็อกซ์ไม่อาจลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นให้หายได้ตลอดไป สารเคมีที่ฉีดเข้าไปจะหมดฤทธิ์เมื่อเวลาผ่านไป 3-4 เดือน หลังจากนั้นริ้วรอยเหี่ยวย่นจะกลับมาเหมือนเดิม เพื่อที่จะรักษาความเนียนเรียบของผิวหนังเอาไว้ จำเป็นต้องย้อนกลับมาฉีดซ้ำบ่อย ๆ สนนราคาในการฉีดแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน หากริ้วรอยมีจำนวนมากหรือลึกมากก็จำเป็นต้องฉีดมาก ซึ่งนั่นก็อาจทำให้ค่ารักษาแพงตามไปด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีราคาค่อนข้างสูง ( 5,000 บาท ขึ้นไป) เนื่องจากจำเป็นต้องนำยาเข้ามาจากต่างประเทศ แม้ว่าการฉีดโบท็อกซ์จะทำได้ง่ายและไม่มีความเสี่ยง ถ้าเปรียบเทียบกับการเสริมความงามประเภทอื่น ๆ ที่ต้องมีการผ่าตัดใหญ่ แต่การฉีดโบท็อกซ์ต้องอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น คนไข้แต่ละคนแม้ว่าจะมีริ้วรอยอย่างเดียวกันแต่ขั้นตอนในการรักษาอาจแตกต่างกันได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านร่างกายและวิจารณญาณของแพทย์ผู้ให้การรักษาเป็นสำคัญ
2. การฉีดคอลลาเจน
เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โบท็อกซ์ช่วยลบเลือนริ้วรอยตื้น ๆ บนใบหน้า คอลลาเจนนอกจากจะช่วยลดริ้วรอยดังกล่าวให้หายไปแล้วยังช่วยแก้ไขรูปหน้าให้ออกมาตรงตามใจต้องการได้ในเวลาอันสั้นโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดอีกด้วย [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
วิธีรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดคอลาเจน
ความจริงแล้ว การแก้ไขรูปหน้าเดิมที่มีการใช้สารเคมีหลายชนิด เช่น พาราฟิน ซิลิโคนหรือน้ำมันเทียมที่นิยมกันมากที่สุดในขณะนี้นั่นก็คือคือคอลลาเจน ซึ่งเป็นสารสกัดจากคอลลาเจนของวัว การฉีดคอลลาเจนสามารถแก้ไขความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณต่าง ๆ ได้ เช่น ช่วยแก้ไขริ้วรอยเหี่ยวย่น ร่องแก้ม แผลที่เกิดจากสิว นอกจากนี้คอลลาเจนยังช่วยแก้ไขรูปหน้าให้ได้อย่างที่ต้องการแต่อยู่ได้เพียงชั่วคราว เช่น เติมคางให้ยาวขึ้น เติมแก้มให้อวบอิ่มขึ้น เป็นต้น
เช่นเดียวกับการฉีดโบท็อกซ์ แพทย์จะฉีดคอลลาเจนลงไปในผิวบริเวณที่มีปัญหา เนื่องจากคอลลาเจนมีผลข้างเคียงน้อยและได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยา ทำให้คอลลาเจนได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับพาราฟินหรือซิลิโคน ซึ่งเป็นสารเคมีที่เคยนำมาใช้เพื่อแก้รูปหน้าในอดีตที่ถูกห้ามให้ใช้ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากมีผลข้างเคียงสูงหรืออยู่ติดกับร่างกายเป็นการถาวร ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างยิ่งในระยะยาว
ข้อดีของการรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดคอลาเจน
คอลลาเจนที่ฉีดเข้าไปในร่างกายจะอยู่ได้นาน 6 เดือน ถึง 2 ปี แล้วจะสลายตัวไปเอง จึงเป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายในระยะยาว เนื่องจากคอลลาเจนได้รับจากสิ่งมีชีวิตที่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายน้อยและมีความปลอดภัยสูงมาก
ข้อเสียของการรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดคอลาเจน
เนื่องจากคอลลาเจนจะสลายตัวเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน คนไข้จึงจำเป็นต้องไปรับการฉีดอยู่บ่อย ๆ นอกจากจะต้องเสียเงินจำนวนมากหลาย ๆ ครั้งแล้ว คอลลาเจนยังก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายอีกด้วย โดยพบว่าร้อยละ 3 ของผู้ที่ฉีดคอลลาเจนจะมีอาการแพ้ ดังนั้น ก่อนที่จะฉีดคอลลาเจนแพทย์ผู้ชำนาญจะทำการทดสอบคอลลาเจนกับร่างกายของคนไข้เพื่อความปลอดภัยเสียก่อนเสมอ คอลลาเจนไม่สามารถลบรอยแผลเป็นให้หายไปได้ ดังนั้น จึงมีอยู่บ่อยครั้งที่แพทย์ผู้ขาดความเชี่ยวชาญจะฉีดคอลลาเจนให้คนไข้มากจนเกินไป จนทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวบวมนูนขึ้นมาได้ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
3. ไฮยาลูโรนิก
ไฮยาลูโรนิกผลิตมาจากไฮยาลูโรนัน มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับคอลลาเจน ต่างกันตรงที่ไฮยาลูโรนิกไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้อย่างที่คอลลาเจนเป็น เนื่องจากเป็นสารธรรมชาติที่พบในผิวหนังของมนุษย์ ร่างกายจึงไม่แสดงปฏิกิริยาต่อต้านแต่อย่างใด
วิธีการรักษารักษาผิวพรรณด้วยไฮยาลูโรนิก
รักษาเช่นเดียวกับคอลลาเจน แพทย์จะทำการฉีดไฮยาลูโรนิกลงไปยังบริเวณผิวที่มีปัญหา ช่วยในการกระชับโครงหน้า ทำให้หน้าเต่งตึงอุ้มน้ำได้ดีทำให้ผิวชุ่มชื้น ยืดหยุ่นดี และแลดูอ่อนกว่าวัย ช่วยแก้ไขใบหน้าให้ได้รูป ฉีดริมฝีปากให้อวบอิ่ม เติมเต็มร่องแก้ม ลบเลือนรอยเหี่ยวย่นบริเวณหน้าผาก ริมฝีปากร่อง ปีกจมูก รักษารอยแผลเป็นให้เต็มตื้นขึ้น และจะสลายไปเองเมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน ถึง 1 ปี
ข้อดีของการรักษารักษาผิวพรรณด้วยไฮยาลูโรนิก
เนื่องจากเป็นสารธรรมชาติที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ ไฮยาลูโรนิกจึงไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด และเนื่องจากไม่อยู่ในร่างกายตลอดไป จึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาวแก่ร่างกายอย่างซิลิโคนหรือพาราฟิน
ข้อเสียของการรักษารักษาผิวพรรณด้วยไฮยาลูโรนิก
แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการรักษาริ้วรอยที่ดีเยี่ยม แต่ไฮยาลูโรนิคอาจสร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่บางคนที่ปรารถนาจะมีความเต่งตึงและรูปหน้าที่กระชับได้รูปอยู่ไปชั่วกาลนาน เนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน ถึง 1 ปีมันจะสลายไปได้เอง
4. การฉีดไขมัน
เนื่องจากการเติมสารสังเคราะห์ภายในร่างกายอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงและเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงมีความคิดที่จะนำไขมันมาช่วยลบเลือนริ้วรอยและแก้ไขรูปหน้าให้ดีขึ้น เนื่องจากไขมันเป็นสารที่ได้จากร่างกาย เมื่อถูกฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง ร่างกายจึงไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้านแต่อย่างใด [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
วิธีการรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดไขมัน
แพทย์จะนำไขมันของคนไข้ฉีดกลับลงไปยังริ้วรอยหรือบริเวณที่ต้องการในปริมาณมาก เช่น แก้ม เพื่อให้แลดูอวบอิ่ม เป็นต้น
ข้อดีของการรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดไขมัน
เนื่องจากเป็นสารที่ร่างกายของคนไข้ผลิตขึ้นมาเอง จึงหมดปัญหาเรื่องอาการแพ้ไปได้เลย นอกจากนี้ยังพบว่าไขมันมีประสิทธิภาพในการเติมเต็มได้ยาวนานกว่าคอลลาเจนอีกด้วย
ข้อเสียของการรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดไขมัน
หลังจากการฉีดผิวหนังอาจเกิดอาการช้ำ คนไข้ต้องนอนพักที่บ้านสัก 1 – 2 อาทิตย์ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้ชำนาญการอย่างเคร่งครัดอีกด้วย หากฉีดไม่ดีอาจเกิดก้อนตะปุ่มตะป่ำขึ้น หรืออาจไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยก็ได้
5. การผลัดเซลล์ผิว
เป็นนวัตกรรมในการดูแลรักษาผิวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่มีความเสี่ยง สะดวก ปลอดภัย ราคาไม่แพง และไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือใช้กระบวนการทางการแพทย์ชั้นสูงหรือเทคโนโลยีซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีหลายวิธีที่สามารถทำได้เองที่บ้าน การผลัดเซลล์ผิวช่วยแก้ปัญหาผิวที่พบโดยส่วนใหญ่ได้ดี เช่น ผิวหมองคล้ำ สิว จุดด่างดำ ริ้วรอยตื้น ๆ ผิวไม่สดใส ทำให้เซลล์ผิวที่เกิดใหม่แข็งแรง สดใสแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีริ้วรอยลึกหรือผิวที่มีความหย่อนคล้อย
การผลัดเซลล์ผิวจะช่วยรักษาผิวหน้าระดับใดได้บ้าง?
เมื่อกล่าวถึงการผลัดเซลล์ผิว คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเป็นการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่ตายแล้วหรือที่เรียกกันว่าชั้นขี้ไคลออกไปเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วเราสามารถแบ่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวออกเป็น 3 ระดับ ได้ดังต่อไปนี้ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
การผลัดเซลล์ผิวระดับที่ 1 เป็นวิธีที่นิยมกันมากที่สุด เนื่องจากเห็นผลเร็ว ปลอดภัยและไม่เสียเวลามาก เนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวกและปลอดภัย คนไข้สามารถทำเองได้ที่บ้าน นอกจากจะเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง นับเป็นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่อยู่ชั้นบนสุด ซึ่งเป็นเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เมื่อรวมตัวกับฝุ่นละอองและคราบเหงื่อไคลจะกลายเป็นขี้ไคล เซลล์ผิวชั้นนี้จัดเป็นสาเหตุของความหมองคล้ำ การมีแผลเป็นจาง ๆ ไม่ลึกมากนัก การมีจุดด่างดำขนาดเล็ก หรือการมีรอยตื้น ๆ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะหายไปด้วยการใช้กรดผลไม้ (เอเอชเอ) ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวออกไป
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นวิธีที่สะดวกและเห็นผลได้เร็ว แต่เพื่อให้ได้ผลจากการรักษาที่ดีที่สุด คนไข้ต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวน 6 ครั้ง ทุก ๆ 2 – 3 อาทิตย์ วิธีการรักษาดังกล่าวไม่อาจทำให้สภาพผิวหน้ากลับมาดีได้อย่างถาวร หากหยุดทำใบหน้าก็จะกลับมาหมองคล้ำอีกเช่นเคย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อให้ได้ผลในการรักษาที่ดีที่สุดและคงความสวยใสของผิว นอกจากการเข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอแล้ว คนไข้ต้องใส่ใจในเรื่องอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อ การดูแลผิวพรรณและความงาม ขอผิวด้วยเช่นกัน เป็นต้นว่า เรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย การพักผ่อน การดื่มน้ำ การหลบเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำลายเซลล์ผิว เช่น แสงแดด และมลภาวะต่าง ๆ เป็นต้น
ด้วยประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวของกรดเอเอชเอที่ดีเยี่ยม บริษัทเครื่องสำอางจำนวนมากได้เพิ่มความน่าสนใจให้แก่ผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วยการผสมกรดเอเอชเอลงไป ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกอย่างอ่อน ๆ ทำให้ผิวสวยใสและอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างช้า ๆ โดยทั่วไปแล้วกรดที่ผสมลงไปจะมีความเข้มข้นอยู่ที่ร้อยละ 1 – 15 ซึ่งเป็นความเข้มข้นอ่อน ๆ ( เมื่อเปรียบเทียบกับความเข้มข้นที่ใช้ในคลินิกทั่วไปซึ่งจะอยู่ที่ร้อยละ 15 – 20 ซึ่งเป็นระดับที่มีความเข้มข้นมากกว่าและผลัดเซลล์ผิวได้มากกว่า ) ยังผลให้ประสิทธิภาพการผลัดเซลล์ผิวน้อยลงไปด้วย
แต่ถ้ามองในแง่ของความปลอดภัยแล้ว ที่ระดับความเข้มข้นนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัยเพราะเราจะนำมาใช้เอง หากต้องการความเข้มข้นมากและได้ประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวที่ดียิ่งขึ้น ต้องอยู่ภายใต้การแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะหากใช้อย่างไม่เหมาะสมแล้ว อาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าผลดี
การผลัดเซลล์ผิวระดับที่ 2 เป็นกระบวนการรักษาเซลล์ผิวที่อยู่ลึกกว่าการผลัดเซลล์ผิวระดับที่ 1 ปัญหาผิวที่มักเกิดขึ้นกับผิวชั้นนี้คือ จุดด่างดำ แผลเป็นและรอยตีนกา วิธีแก้ปัญหาดังกล่าวคือ การใช้กรดทีซีเอ (TCA) (Trichloroacetic Acid) ช่วยในการผลัดเซลล์ กรดทีซีเอเป็นกรดที่มีความเข้มข้นมากกว่ากรดเอเอชเอและสามารถซึมลึกลงสู่ผิวได้ดีกว่าเอเอชเอ จึงมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวที่อยู่ลึกลงไปได้ดีกว่า การผลัดเซลล์ผิวในระดับที่ลึกลงไปจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญอย่างเข้มงวด เราไม่สามารถทำได้เองที่บ้านเพราะอาจเกิดอันตรายตามมาภายหลังได้ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
กรดทีซีเอเป็นกรดที่มีความเข้มข้นสูง จึงทำให้สามารถรักษาปัญหาผิวในตำแหน่งที่ลึกขึ้น ซึ่งกรดเอเอชเอธรรมดาไม่อาจทำได้ ในระหว่างที่เข้ารับการรักษาคนไข้อาจรู้สึกเจ็บปวด และอาการดังกล่าวอาจกินเวลาในการรักษานานขึ้นอีก 1-2 วัน เนื่องจากผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เมื่อเข้ารับการรักษาคนไข้จำเป็นต้องผ่านการรักษาในระดับที่ 1 ก่อน เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของผิว หากไม่มีปัญหาใด แพทย์จะเพิ่มความเข้มข้นของสารเคมีไปเรื่อย ๆ จนเสร็จสิ้นกระบวนการ เพื่อความปลอดภัย ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้คนไข้หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผิว เช่น แสงแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 5 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าผิวอยู่ในสภาพที่ดีแล้ว มิฉะนั้น ผิวอาจจะหมองคล้ำยิ่งกว่าเดิมได้
การผลัดเซลล์ผิวระดับที่ 3 เป็นการผลัดเซลล์ผิวที่ลึกที่สุด ปัญหาผิวที่มักเกิดขึ้นกับผิวชั้นนี้คือ จุดด่างดำ ริ้วรอยที่มีความลึกและแผลเป็นขนาดใหญ่ แพทย์ผู้ทำการรักษาจะใช้สารฟีนอลมาช่วยรักษาปัญหาผิวในชั้นนี้ สารฟีนอลมีฤทธิ์ในการทำลายเมลาโนไซต์ใต้ผิวหนังที่บรรจุเม็ดสีเอาไว้ ยังผลให้ผิวที่ผ่านการรักษาระดับนี้ขาวสว่างใสเกือบถาวร แต่กระบวนการรักษาในระดับนี้อาจก่อให้เกิดความเจ็บปวดได้หลังจากการทำ ผิวของคนไข้จะแดงเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ( ประมาณ 3 – 4 เดือน)
เนื่องจากการผลัดเซลล์ผิวในระดับที่ 2 และ 3 จะมีการใช้สารเคมีที่มีประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ที่เข้มข้นมากกว่าระดับแรกมาก ทำให้ประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวมีมากไปด้วย ยังผลให้ผิวที่ผ่านการผลัดมีความสดใสและขาวกว่าผิวเดิมอย่างเห็นได้ชัด ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า 2 วิธีหลังจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวขาวมากกว่า เนื่องจากผิวที่ผลัดใหม่กับผิวดั้งเดิมจะไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ในขณะที่ผู้ที่มีผิวคล้ำอาจเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
ยกตัวอย่างเช่น หากผลัดเซลล์ผิวที่หน้า ผิวหน้าจะขาวขึ้นในขณะที่ผิวกายยังคล้ำเช่นเดิม ซึ่งการทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี (เพราะอย่างน้อยก็สูญเสียความมั่นใจไปแล้ว) เพื่อเป็นการป้องกันผิวที่ผ่านการรักษาให้ปลอดภัย และช่วยให้การรักษาประสบความสำเร็จมากที่สุด ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้คนไข้หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของผิว เช่น แสงแดด ฝุ่น ควันและมลภาวะต่าง ๆ เนื่องจากผิวที่เกิดขึ้นมาใหม่ยังบอบบางและง่ายต่อการถูกทำร้าย หากคนไข้จำเป็นต้องออกไปทำธุระข้างนอก อย่าลืมทาครีมกันแดดและหาอุปกรณ์กันแดด เช่น ร่มหรือหมวกปีกกว้างติดตัวไปด้วยเสมอ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดดเป็นเวลานาน มิฉะนั้น จะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่คุ้มค่ากับเงินและเวลาที่เสียไป หนำซ้ำหากโชคร้ายผิวที่เกิดใหม่อาจมีสภาพแย่กว่าเดิมก็ได้ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
ข้อควรระวังในการผลัดเซลล์ผิว
แม้ว่าการผลัดเซลล์ผิวจะมีประโยชน์ในด้าน การดูแลผิวพรรณและความงาม เป็นอย่างมาก แต่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะกับกระบวนการนี้ สำหรับบางคนการผลัดเซลล์ผิวอาจก่อให้เกิดผลร้ายมากกว่าผลดี ซึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดีก่อนทำการผลัดเซลล์ผิวมีดังต่อไปนี้
ไม่ควรผลัดเซลล์ผิวหากมีความจำเป็นต้องอยู่กลางแจ้งตลอดเวลา หรือมีแนวโน้มว่าจะต้องโดนแดด หรือโดนมลภาวะที่ส่งผลต่อความเสื่อมโทรมของเซลล์บ่อยครั้ง
หากคุณเป็นคนที่มีผิวดำหรือผิวคล้ำ ไม่ควรผลัดเซลล์ผิวเพราะจะเห็นความแตกต่างระหว่างผิวที่ทำและไม่ทำอย่างชัดเจน หากเป็นคนผิวคล้ำ การขัดผิวจะช่วยรักษาปัญหาผิวได้ดีกว่าการผลัดเซลล์ผิว สำหรับคนที่มีผิวขาว การผลัดเซลล์ผิวจะมีประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีกว่าการขัดผิว
หลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิวหากมีแนวโน้มที่จะเป็นแผลเป็นได้ง่ายและมีทีท่าว่าจะเป็นแผลเป็นชนิดนูน เพราะกระบวนการผลัดเซลล์ผิวบางอย่างอาจก่อให้เกิดแผลเป็นได้ง่าย
หลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิวหากเป็นโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหัวใจหรือโรคไต เพราะกระบวนการผลัดเซลล์ผิวบางอย่างอาจมีการใช้สารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อโรคดังกล่าว เช่น ฟีนอล เป็นต้น
เพื่อการรักษาปัญหาผิว เช่น รอยแผลเป็น ร่องรอยที่เกิดจากสิว หรือรอยเหี่ยวย่นบริเวณริมฝีปาก การขัดผิวจะช่วยรักษาปัญหาดังกล่าวได้ดีกว่าการผลัดเซลล์ผิวเฉย ๆ
6. การขัดผิวด้วยเกร็ดอัญมณี
เป็นวิธี การรักษาผิว ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ช่วยรักษาปัญหาผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวที่หมองคล้ำ จุดด่างดำ สิว รอยแผลเป็น ผิวแพ้เครื่องสำอางให้กลับมาผ่องใส แข็งแรง และเรียบเนียนได้ดี โดยไม่ก่อให้เกิดแผลเป็น [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
วิธีทำการขัดผิวด้วยเกร็ดอัญมณี
แพทย์จะนำเกร็ดอัญมณีที่มีความละเอียดสูงมาขัดผิวในบริเวณที่มีปัญหา โดยการรักษาแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที คนไข้ต้องทำสัปดาห์ละครั้งเป็นเวลา 2 – 12 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลอย่างดีเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตามจำนวนครั้งในการทำจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพของผิวและปัญหาที่คนไข้มีเป็นหลัก หากคนไข้มีปัญหาผิวมาก อาจต้องใช้เวลาในการรักษามากขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ผู้ทำการรักษาเป็นหลัก
ข้อดีของการขัดผิวด้วยเกร็ดอัญมณี
เป็นขั้นตอนการรักษาปัญหาผิวที่ทำได้ง่าย สะดวก ใช้เวลาไม่มากนักและมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวที่ดีเยี่ยม ไม่ก่อให้เกิดแผลเป็นตามมา ไม่ก่อให้เกิดปัญหาผิวแดงหรือผิวคล้ำหลังจากการทำ มีความอ่อนโยนต่อผิวมากกว่าการต้องไปขัดผิวบ่อย ๆ เมื่อเทียบกับการผลัดเซลล์ผิวระดับ 2
ข้อเสียของการขัดผิวด้วยเกร็ดอัญมณี
มีราคาค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เมื่อทำเสร็จแล้วจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสื่อมโทรมแก่ผิวที่เกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดด เนื่องจากผิวที่เกิดใหม่จะมีความอ่อนแอ อาจเกิดความเสียหายได้ง่ายหากได้รับการกระตุ้นจากปัจจัยเสี่ยงอาจทำให้มีปัญหาผิวใหม่ตามมา
7. การรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์
เป็นการรักษาปัญหาผิวพรรณที่กำลังได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ด้วยการใช้เลเซอร์ CO2 ในการรักษาปัญหาจุดด่างดำ ริ้วรอยรอบดวงตา แผลเป็น กระชับผิวหน้า เป็นต้น เลเซอร์จะทำหน้าที่ในการเผาเซลล์ผิวที่มีปัญหาและจะเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทน
ข้อดีของการรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์
การรักษาผิว ด้วยเลเซอร์ แพทย์สามารถกำหนดขอบเขตความลึกในการรักษาที่แน่นอนได้ จึงไม่ทำให้เซลล์ข้างเคียงที่ไม่มีปัญหาได้รับความเสียหายไปโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังพบอีกว่าเลเซอร์มีฤทธิ์ในการเสริมสร้างคอลลาเจนให้แก่เซลล์ผิวใหม่ ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ยังผลให้ผิวเกิดใหม่มีความยืนหยุ่นและแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้เลเซอร์ยังช่วยให้สีของเซลล์ผิวใหม่กลับมาเรียบเนียนสม่ำเสมอกับเซลล์ดั้งเดิมอีกด้วยเมื่อเวลาผ่านไป 6 – 16 สัปดาห์ จึงเป็นวิธีการรักษาผิวที่เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่มีแผลเป็นหรือมีริ้วรอยมาก ๆ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
ข้อเสียของการรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์
แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวพรรณที่ดีเยี่ยม แต่ การรักษาผิว ด้วยเลเซอร์มีข้อเสียที่ต้องระวังอยู่บ้างเช่นกัน การรักษาด้วยเลเซอร์จะเป็นการใช้แสงเลเซอร์ในการเผาเซลล์ผิวที่มีปัญหาเพื่อสร้างผิวใหม่ อาจก่อให้เกิดแผลขึ้นหลังการรักษา จนคนไข้ต้องหยุดพักและปรนบัติผิวอย่างระมัดระวังมากขึ้น เพื่อป้องกันมิให้ผิวมีอาการรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะ ( ประมาณ 1 สัปดาห์ ) แผลดังกล่าวจะตกสะเก็ด
ในช่วงระหว่างที่รอให้แผลตกสะเก็ดอยู่นั้น คนไข้จำเป็นต้องดูแลผิวให้ดีเป็นพิเศษ ห้ามแต่งหน้า หลบเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ผิวที่ผ่านการรักษาเสื่อมโทรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดด เพราะอาจทำให้ผิวที่ผ่านการรักษามีความไม่สม่ำเสมอ
สำหรับผู้ที่ต้องออกไปทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นประจำ วิธีรักษาด้วยวิธีนี้อาจไม่สะดวกนัก เนื่องจากเลเซอร์จะทำหน้าที่เผาเซลล์เพื่อสร้างเซลล์ผิวใหม่ จึงทำให้ผิวเป็นแผลและรู้สึกแสบร้อนหลังการรักษา ทำให้ใครหลายคนต้องคิดอย่างหนักก่อนล้มเลิกความคิดที่จะรักษาผิวด้วยวิธีนี้ เพราะกลัวทนความเจ็บปวดไม่ไหว
8. การรักษาปัญหาผิวด้วยเลเซอร์เย็น
เนื่องจาก การรักษาผิว โดยใช้เลเซอร์แบบเดิมอาจก่อให้เกิดบาดแผลและอาการระคายเคืองหลังจากการรักษาได้ จึงทำให้มีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการใช้เลเซอร์เพื่อการรักษาปัญหาผิว นวัตกรรมดังกล่าวคือการใช้เลเซอร์เย็น ซึ่งมีประสิทธิภาพในการขจัดปัญหาผิวพรรณที่มีปัญหาได้ดีในขณะที่ไม่ก่อให้เกิดบาดแผลหรืออาการระคายเคืองหลังการรักษาอย่างที่การใช้เลเซอร์แบบเดิมเป็นแต่อย่างใด
วิธีรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์เย็น
วีธีรักษาจะทำเหมือนกับการรักษาสิวด้วยเลเซอร์แบบเดิม ต่างกันตรงที่การรักษาด้วยเลเซอร์เย็น นอกจากจะมีการฉายเลเซอร์ลงไปบนผิวบริเวณที่มีปัญหาแล้ว แพทย์จะฉีดสเปรย์เย็นเข้าไปด้วย ทำให้ผิวบริเวณที่ใช้แสงมีอุณหภูมิอยู่ที่ -5 องศาเท่านั้น ในขณะที่ Lazer จะวิ่งผ่านลงไปยังผิวที่อยู่ลึกลงไปทันที การรักษาสิวด้วยเลเซอร์เย็นนอกจากจะช่วยแก้ไขลักษณะผิดปกติของผิวพรรณได้เป็นอย่างดีแล้ว มันยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ไม่เผาผิวจนไหม้เกรียม ทำให้ผิวตึง รูขุมขนกระชับ แผลเป็นตื้นขึ้น รอยย่นค่อย ๆ เลือนหายไป ไม่ทำลายผิวชั้นนอก จึงไม่ทำให้เกิดแผลเป็นและไม่ก่อให้เกิดอาการแสบร้อนภายหลังการรักษา ทำให้ผิวที่เกิดใหม่สดใส ยืดหยุ่นดี การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะค่อย ๆ เห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
ข้อดีของรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์เย็น
ข้อดีจะแตกต่างจากการรักษาด้วยเลเซอร์แบบเดิมเดิม การรักษาสิวด้วยเลเซอร์เย็นเป็นวิธี การรักษาผิว ที่ทำได้ง่าย สะดวก รวดเร็วและใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที คนไข้ไม่มีอาการปวดหลังจากการรักษาหรือมีบาดแผล หลังจากการรักษาคนไข้อาจมีรอยแดงที่ผิวหนังประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง รอยแดงดังกล่าวจะหายไปได้เอง คนไข้ไม่จำเป็นต้องพักรักษาตัวสามารถกลับไปทำงานได้เลยทันทีและสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ
ข้อเสียของรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์เย็น
แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวที่ได้ผลดีเยี่ยมและไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงหรือรอยแผลเป็นอย่างที่เลเซอร์แบบเดิม ๆ แต่การรักษาด้วยเลเซอร์เย็นคนไข้ต้องปรนนิบัติผิวให้ดีเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน หลีกเลี่ยงการเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผิวเกิดใหม่ไปสู่ความเสื่อมโทรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผชิญกับแสงแดดจัด ๆ โดยตรงเนื่องจากผิวเกิดใหม่ยังมีความบอบบางและอาจถูกทำลายได้ง่ายหากไม่ปรนนิบัติหรือป้องกันให้ดี หลังจากการทำอย่างน้อย 1 สัปดาห์
9. วิธีการรักษาฝ้า กระ และรอยแดงด้วยไอพีแอล
ขั้นตอนการรักษาฝ้า กระ และรอยแดงด้วยไอพีแอล
การรักษาปัญหาผิวด้วยไอพีแอลเป็นการใช้แสงที่มีความเข้มข้นสูงในการเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ช่วยรักษาปัญหาฝ้า กระ รอยแดงและจุดด่างดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไอพีแอลช่วยทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น กระชับรูขุมขนให้เล็กลง ช่วยลบเลือนริ้วรอย จุดด่างดำและรอยแดง โดยอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ เลือนหายไปเมื่อผ่านไป 3 – 5 ครั้ง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อให้ได้ผลในการรักษาที่ดีเยี่ยมคนไข้ควรเข้ารับการรักษา 3 – 5 ครั้ง โดยในแต่ละครั้งควรห่างกัน ประมาณ 3- 4 สัปดาห์
ข้อดีของการรักษาฝ้า กระ และรอยแดงด้วยไอพีแอล
การรักษาผิว ด้วยไอพีแอล คนไข้จะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกับผิวได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ ไอพีแอลมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวที่ดีเยี่ยม คนไข้จะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ นอกจากนี้ไอพีแอลยังไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดหรือมีแผลเป็นหลังจากการรักษาอีกด้วย [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
ข้อเสียของการรักษาฝ้า กระ และรอยแดงด้วยไอพีแอล
ไอพีแอลไม่ได้มีแต่ข้อดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ไอพีแอลยังมีข้อบกพร่องบางอย่างด้วยเช่นกัน โดยไอพีแอลไม่สามารถรักษาปัญหาผิวที่อยู่ในชั้นผิวที่ลึกลงไปให้หายไปได้ทั้งหมด นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำด้วยว่าผู้ที่มีผิวคล้ำมาก ๆ ไม่ควรรักษาด้วยไอพีแอล เพราะอาจจะทำให้เกิดแผลไหม้หลังการรักษาได้ นอกจากนี้หลังจากการรักษาคนไข้ต้องหลบแดดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดผลร้ายต่อเซลล์ผิวที่เกิดใหม่ได้
10. การทำศัลยกรรมดึงหน้า
เป็นการรักษาความอ่อนเยาว์เอาไว้ให้ได้นานที่สุด เหมาะสำหรับผิวอายุมาก เนื่องจากเป็นวิธีที่จะทำให้ผิวหนังที่หย่อนยานและมีริ้วรอยที่ไม่อาจเยียวยาด้วยวิธีใด ๆ ให้กลับมาเต่งตึงหรือเรียบเนียนได้อีกครั้ง
วิธีทำศัลยกรรมดึงหน้า
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการตัดเอาผิวหนังส่วนเกินซึ่งเป็นสาเหตุของการหย่อนคล้อย ริ้วรอยที่ส่วนใหญ่มักพบบริเวณหนังตา ใบหน้า หน้าผาก ลำคอ เป็นต้น ออกไป แล้วทำการยกกระชับให้ตึงแล้วนำผิวหนังมาเย็บเก็บไว้ที่ด้านหลังหูหรือตีนผมซึ่งเป็นจุดลับตาแล้วจึงทำการเย็บเก็บให้เรียบร้อย
ข้อดีของการทำศัลยกรรมดึงหน้า
เห็นผลทันตาจากผิวที่หย่อนคล้อยหรือมีริ้วรอยมาก จะกลายเป็นเรียบเนียน เต่งตึงสมใจ เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นหรือมีผิวหนังที่หย่อนคล้อยที่รักษาหรือเยียวยาด้วยวิธีอื่นไม่ได้แล้ว
ข้อเสียของการทำศัลยกรรมดึงหน้า
การเจ็บตัวอาจเป็นข้อเสียข้อแรกที่ทำให้คนไข้ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจนานหยุดสักหน่อย เพราะการผ่าตัดศัลยกรรมไม่ได้หมายถึงการใช้เคมีหรือเลเซอร์กับผิวหนัง แต่หมายถึงการต้องลงมีดหมอและการเสียเลือดเนื้อ อันเนื่องมาจากการเย็บเก็บ อาจทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้เห็นอย่างชัดเจน จนทำให้บางรายสูญเสียความมั่นใจแม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งที่ลับตาแล้วก็ตาม [adinserter name=”navtra”]
นอกจากนี้การกระชับผิวด้วยการผ่าตัดนี้หากทำในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีได้ หากทำเร็วเกินไปอาจทำให้รูปหน้าผิดไปจากธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้เสียบุคลิกได้ง่าย ๆ นอกจากเป็นการผ่าตัดใหญ่คนไข้จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะอาจเกิดอาการแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมามากมาย หากดูแลรักษาบาดแผลไม่ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้คนไข้ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานานหลังจากการรักษาอีกด้วย
11. การร้อยไหมแอบทอส
เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการคืนความเต่งตึงให้แก่ผิวพรรณแต่กลัวการผ่าตัด ใบหน้าของคนไข้จะกลับมาเต่งตึงริ้วรอยที่หย่อนคล้อยจะหายไปแม้ว่าจะไม่ต้องทำการผ่าตัดใหญ่ก็ตาม
วิธีทำการร้อยไหมแอบทอส
แอบทอสเป็นไหมชนิดหนึ่งที่ใช้ในการผ่าตัด มีลักษณะคล้ายก้างปลาแพทย์จะนำไหมแอบทอสสอดเข้าไปเพื่อยกกระชับผิวหน้า ไหมจะจับเกาะเนื้อเยื่อและชั้นโครงสร้างใต้ผิว ทำให้ใบหน้าของคนไข้ยกตัวกระชับขึ้นเองโดยไม่ต้องผ่าตัด
ข้อดีของการร้อยไหมแอบทอส
ข้อดีคือคุณไม่ต้องเจ็บตัวหรือเสียเลือดมาก เป็นลักษณะพิเศษของไหมแอบทอสที่เป็นที่น่าสนใจสำหรับองค์การทำศัลยกรรมยกกระชับใบหน้ามากที่สุด ไม่เพียงเท่านั้นไหมแอบทอสยังก่อให้เกิดอาการแพ้น้อยมาก ไม่ทำให้เกิดแผลเป็น ใช้เวลาในการทำน้อย (ประมาณ 5 – 10 นาทีเท่านั้น) สำหรับการยกกระชับเพียงบางส่วน อาจใช้เวลาประมาณ 30 นาที นอกจากนี้คนไข้ยังไม่ต้องเสียเวลานอนพักรักษาตัวสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติทันทีหลังการรักษา
ข้อเสียของการร้อยไหมแอบทอส
ไหมแอบทอสมีข้อจำกัดหลายประการ ไหมแอบทอสเหมาะสำหรับคนไข้บางคนเท่านั้น คือผู้ที่มีผิวที่ไม่หย่อนยานหรือเหี่ยวย่นมากนักหรือผู้ที่มีผิวเริ่มหย่อนยาน ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวตึงหรือหย่อนคล้อยมากเกินไป นอกจากนี้ไหมแอบทอสยังไม่สามารถรักษาความเต่งตึงให้แก่ผิวได้ตลอดไป เมื่อเวลาผ่านไป 1 – 2 ปี ใบหน้าก็จะกลับมาหย่อนคล้อยตามเดิม
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง
เอกสารอ้างอิง
ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.
How Products are Made contributors (2002). “Oxygen”. How Products are Made. The Gale Group, Inc. Retrieved December 16, 2007.
Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303