
ภาวะเลือดหนืด (Polycythemia) คืออะไร?
ภาวะเลือดหนืดคือภาวะที่ร่างกายมีจำนวนเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ ทำให้เลือดมีความหนืดและไหลเวียนได้ยากขึ้น โดยปกติคนเรามีเม็ดเลือดแดงประมาณ 4.5-5.5 ล้านเซลล์ต่อไมโครลิตร แต่ในผู้ที่มีภาวะเลือดหนืด จำนวนนี้จะสูงกว่าปกติมาก ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดและโรคแทรกซ้อนต่างๆ
อะไรเป็นสาเหตุของภาวะเลือดหนืด?
ภาวะเลือดหนืดเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากการผลิตเม็ดเลือดแดงมากเกินไป ปัจจัยทางพันธุกรรม โรคเรื้อรังบางชนิด และปัจจัยแวดล้อม โดยมีรายละเอียดดังนี้
การผลิตเม็ดเลือดแดงมากเกินไปเกิดจากอะไร?
การผลิตเม็ดเลือดแดงมากเกินไปอาจเกิดจากความผิดปกติของไขกระดูก เช่น ในโรค Polycythemia vera (PV) ซึ่งเป็นโรคเลือดชนิดหนึ่งที่ทำให้ไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดแดงมากเกินไป นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการที่ร่างกายผลิตฮอร์โมน erythropoietin มากเกินไป ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง
ปัจจัยทางพันธุกรรมเกี่ยวข้องกับภาวะเลือดหนืดหรือไม่?
ปัจจัยทางพันธุกรรมมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะเลือดหนืด โดยเฉพาะในกรณีของ Polycythemia vera พบว่าประมาณ 95% ของผู้ป่วยมีการกลายพันธุ์ของยีน JAK2 ซึ่งเป็นยีนที่ควบคุมการผลิตเม็ดเลือด อย่างไรก็ตาม การกลายพันธุ์นี้มักไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยตรง แต่เกิดขึ้นในภายหลัง
โรคเรื้อรังที่ส่งผลให้เลือดหนืดมีอะไรบ้าง?
โรคเรื้อรังบางชนิดสามารถทำให้เกิดภาวะเลือดหนืดได้ เช่น:
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea)
- โรคไตเรื้อรัง
- มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งไต มะเร็งตับ
ปัจจัยแวดล้อม เช่น ความสูงจากระดับน้ำทะเล มีผลต่อภาวะเลือดหนืดอย่างไร?
การอาศัยอยู่ในที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลมากๆ สามารถกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดแดงมากขึ้นเพื่อรับมือกับภาวะออกซิเจนต่ำ นอกจากนี้ การสัมผัสกับสารเคมีบางชนิด เช่น เบนซีน หรือการได้รับรังสีในปริมาณสูง ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดหนืดได้
ปัจจัยเสี่ยงของภาวะเลือดหนืดมีอะไรบ้าง?
ปัจจัยเสี่ยงของภาวะเลือดหนืดมีหลายประการ ทั้งปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น อายุและเพศ และปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ เช่น พฤติกรรมสุขภาพ โดยมีรายละเอียดดังนี้
อายุและเพศมีผลต่อโอกาสเกิดภาวะเลือดหนืดหรือไม่?
อายุและเพศมีผลต่อโอกาสเกิดภาวะเลือดหนืด โดยพบว่า Polycythemia vera มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง อย่างไรก็ตาม ภาวะเลือดหนืดสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเพศและทุกวัย
การสูบบุหรี่และพฤติกรรมสุขภาพมีบทบาทอย่างไร?
การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของภาวะเลือดหนืด เนื่องจากทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนเรื้อรัง นอกจากนี้ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก การมีน้ำหนักเกิน และการขาดการออกกำลังกาย ก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเลือดหนืดได้
ภาวะขาดออกซิเจน (Hypoxia) เกี่ยวข้องกับเลือดหนืดอย่างไร?
ภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรังกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดแดงมากขึ้นเพื่อพยายามนำออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อให้เพียงพอ สาเหตุของภาวะขาดออกซิเจนอาจเกิดจากโรคปอด โรคหัวใจ หรือการอาศัยอยู่ในที่สูง
ภาวะฮอร์โมนผิดปกติสามารถกระตุ้นให้เลือดหนืดขึ้นได้หรือไม่?
ภาวะฮอร์โมนผิดปกติสามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะเลือดหนืดได้ โดยเฉพาะการมีระดับฮอร์โมน erythropoietin สูงผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากโรคไต มะเร็งบางชนิด หรือการใช้ฮอร์โมนแอนโดรเจนในนักกีฬา
ภาวะเลือดหนืดมีผลต่อสุขภาพอย่างไร?
ภาวะเลือดหนืดส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายด้าน ทั้งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ผลต่อการแข็งตัวของเลือด และอาจนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดสมองตีบตัน
ภาวะเลือดหนืดเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจอย่างไร?
ภาวะเลือดหนืดทำให้เลือดไหลเวียนได้ยากขึ้น เพิ่มแรงต้านในหลอดเลือด ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว และความดันโลหิตสูง
ภาวะเลือดหนืดมีผลต่อการแข็งตัวของเลือดอย่างไร?
ภาวะเลือดหนืดเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด เนื่องจากเม็ดเลือดแดงที่มากเกินไปทำให้เลือดไหลช้าลงและมีโอกาสจับตัวกันเป็นลิ่มได้ง่าย ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดอุดตันในอวัยวะต่างๆ
ภาวะเลือดหนืดอาจนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดสมองตีบตันได้หรือไม่?
ภาวะเลือดหนืดเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดสมองตีบตัน เนื่องจากลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นอาจเดินทางไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง ทำให้เกิดอาการอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้
อาการที่พบบ่อยของผู้ที่มีภาวะเลือดหนืดคืออะไร?
อาการที่พบบ่อยในผู้ที่มีภาวะเลือดหนืด ได้แก่:
- ปวดศีรษะ วิงเวียน
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
- หน้าแดง มือเท้าแดง
- คันตามตัว โดยเฉพาะหลังอาบน้ำอุ่น
- ชาตามปลายมือปลายเท้า
- ม้ามโต ปวดท้อง
วิธีวินิจฉัยภาวะเลือดหนืดทำอย่างไร?
การวินิจฉัยภาวะเลือดหนืดทำได้โดยการตรวจเลือด การตรวจค่าฮีมาโตคริตและฮีโมโกลบิน รวมถึงการตรวจทางพันธุกรรมในบางกรณี
การตรวจเลือดสามารถบอกได้อย่างไรว่าเลือดหนืดเกินไป?
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เป็นการตรวจพื้นฐานที่สามารถบ่งชี้ภาวะเลือดหนืดได้ โดยจะแสดงจำนวนเม็ดเลือดแดง ค่าฮีมาโตคริต และระดับฮีโมโกลบิน หากค่าเหล่านี้สูงกว่าปกติ อาจบ่งชี้ถึงภาวะเลือดหนืด
ค่าฮีมาโตคริต (Hematocrit) และฮีโมโกลบินที่บ่งบอกถึงภาวะเลือดหนืดคือเท่าใด?
ค่าฮีมาโตคริตและฮีโมโกลบินที่บ่งบอกถึงภาวะเลือดหนืดมักสูงกว่าค่าปกติ โดยทั่วไป:
- ค่าฮีมาโตคริตปกติในผู้ชายคือ 40-54% และในผู้หญิงคือ 36-48%
- ระดับฮีโมโกลบินปกติในผู้ชายคือ 13.5-17.5 g/dL และในผู้หญิงคือ 12.0-15.5 g/dL
หากค่าเหล่านี้สูงกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญ อาจบ่งชี้ถึงภาวะเลือดหนืด
การตรวจทางพันธุกรรมมีบทบาทอย่างไรในการวินิจฉัยภาวะเลือดหนืด?
การตรวจทางพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการวินิจฉัยภาวะเลือดหนืดที่เกิดจาก Polycythemia vera โดยเฉพาะการตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีน JAK2 ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยประมาณ 95% ของกรณี นอกจากนี้ ยังอาจมีการตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนอื่นๆ เช่น CALR หรือ MPL ในบางกรณี
วิธีรักษาภาวะเลือดหนืดคืออะไร?
การรักษาภาวะเลือดหนืดมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของภาวะ โดยมีทั้งการรักษาด้วยการปล่อยเลือด การใช้ยา และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การลดความหนืดของเลือดด้วยการปล่อยเลือด (Phlebotomy) คืออะไร?
การปล่อยเลือด (Phlebotomy) เป็นวิธีการรักษาหลักสำหรับภาวะเลือดหนืด โดยเฉพาะใน Polycythemia vera วิธีนี้ทำโดยการเจาะเลือดออกจากร่างกายเพื่อลดจำนวนเม็ดเลือดแดงและความหนืดของเลือด โดยทั่วไปจะทำเป็นระยะตามความจำเป็นเพื่อควบคุมค่าฮีมาโตคริตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ยาลดจำนวนเม็ดเลือดแดงและยาต้านการแข็งตัวของเลือดใช้ในกรณีใด?
ยาลดจำนวนเม็ดเลือดแดง เช่น Hydroxyurea ใช้ในกรณีที่การปล่อยเลือดไม่เพียงพอหรือไม่เหมาะสม โดยยาจะยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดแดงในไขกระดูก ส่วนยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Aspirin ขนาดต่ำ อาจใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมช่วยลดความหนืดของเลือดได้อย่างไร?
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสามารถช่วยลดความหนืดของเลือดได้ดังนี้:
- งดสูบบุหรี่
- ลดการดื่มแอลกอฮอล์
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด
ภาวะเลือดหนืดสามารถป้องกันได้หรือไม่?
แม้ว่าภาวะเลือดหนืดบางชนิดจะไม่สามารถป้องกันได้โดยตรง แต่การดูแลสุขภาพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสามารถช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้
อาหารประเภทใดช่วยลดความหนืดของเลือด?
อาหารที่ช่วยลดความหนืดของเลือด ได้แก่:
- อาหารที่มีโอเมก้า-3 สูง เช่น ปลาทะเลน้ำลึก
- ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง
- อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบอร์รี่ต่างๆ
- น้ำมันมะกอก
- กระเทียมและหัวหอม
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงและอาหารแปรรูป
การออกกำลังกายส่งผลต่อระดับความหนืดของเลือดอย่างไร?
การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยลดความหนืดของเลือดได้โดย:
- เพิ่มการไหลเวียนของเลือด
- ช่วยควบคุมน้ำหนัก
- ลดความเครียด
- ปรับปรุงการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด
ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์
วิธีลดปัจจัยเสี่ยงของภาวะเลือดหนืดมีอะไรบ้าง?
วิธีลดปัจจัยเสี่ยงของภาวะเลือดหนืด ได้แก่:
- เลิกสูบบุหรี่
- ลดการดื่มแอลกอฮอล์
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่สูงเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
เมื่อไรควรพบแพทย์หากสงสัยว่ามีภาวะเลือดหนืด?
การพบแพทย์เมื่อสงสัยว่ามีภาวะเลือดหนืดเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ทันท่วงที
อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าควรรีบพบแพทย์?
ควรรีบพบแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้:
- ปวดศีรษะรุนแรงหรือต่อเนื่อง
- มองเห็นภาพซ้อนหรือมีปัญหาทางสายตา
- หายใจลำบากหรือเจ็บหน้าอก
- ชาหรืออ่อนแรงที่แขนหรือขา
- มีอาการคันตามตัวรุนแรงโดยเฉพาะหลังอาบน้ำอุ่น
- มีอาการบวมหรือปวดที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง
คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดหนืดหรือเสี่ยงต่อภาวะนี้
สำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดหนืดหรือเสี่ยงต่อภาวะนี้ ควรปฏิบัติดังนี้:
- ติดตามการรักษาและพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล
- พกบัตรประจำตัวผู้ป่วยที่ระบุว่ามีภาวะเลือดหนืดติดตัวเสมอ
ภาวะเลือดหนืดเป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง การตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยง อาการ และการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมสามารถช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ หากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีภาวะเลือดหนืด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
เอกสารอ้างอิง
Marchioli,R. et al (2013). N Engl J Med. 368, 22-33.
Sturt,B., and Viera, A. (2004). Am Fam Physician. 69, 2139-2144.
Landolfi, R. et al.(2004). N Engl J Med. 350,114-124
Spivak, J. et al. (2014). N Engl J Med. 371, 808-817.
http://emedicine.medscape.com/article/205114-overview#showall[2017,July8]