ภาวะเลือดหนืด ( Polycythemia )
ภาวะเลือดหนืด ( Polycythemia ) โดยทั่วไปภาวะเลือดหนืดในระยะแรกมักไม่มีอาการ ตรวจพบได้จากการตรวจความสมบูรณ์ ของเม็ดเลือด หรือการตรวจซีบีซี CBC จากการตรวจสุขภาพทั่วไปเอา แต่เมื่อเป็นมากขึ้นคือ ปริมาณเม็ดเลือดแดงสูงขึ้นมาก จะมีอาการมีเม็ดเลือดแดงที่สูงขึ้น ส่งผลให้เลือดข้นหรือเลือดหนืดขึ้น เลือดจึงไหลเวียนได้ช้าลง ทำให้เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดได้ง่าย ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดช้าลงหรือเลือดติดขัด
อาการของเลือดหนืด
อาการของภาวะเลือดหนืด ที่พบได้บ่อยได้แก่ วิงเวียน หน้ามืด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเรื้อรัง ปวดศีรษะรุนแรง หายใจลำบาก มีจุดแดง ๆ เป็นจ้ำ ๆ ทั่วตัว หน้าแดง ตาแดงที่ไม่ได้เกิดจากลูกตาติดเชื้อ ตาพร่า ปวดเมื่อย บวม เป็นต้น
สาเหตุของเลือดหนืด
ภาวะเลือดหนืดมีหลายประเภท แต่ละประเภทจะแบ่งตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เช่น ปัญหาจากการผลิตเซลล์เม็ดเลือด น้ำหนักตัวเกิน การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก หรือเป็นผลมาจากโรคต่าง ๆ ดังนี้
ภาวะเลือดหนืดที่มีสาเหตุจากปริมาณน้ำเลือดหรือพลาสมาลดลง มักมีสาเหตุมาจากการที่มีน้ำหนักตัวเกิน การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก การใช้ยาขับปัสสาวะ หรือเป็นผลมาจากภาวะขาดน้ำในร่างกาย
ภาวะเลือดหนืด ที่มีสาเหตุจากไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงออกมาในปริมาณที่มากเกินไป แบ่งได้ 2 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. ภาวะเลือดหนืดที่ไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ ( Primary Polycythemia ) มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของสารพันธุกรรมเจเอเคทู ( JAK2 ) ทำให้ไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงในปริมาณที่มากผิดปกติ และผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดในปริมาณที่มากผิดปกติด้วยเช่นกัน
2. ภาวะเลือดหนืดที่มีสาเหตุมาจากการผลิตฮอร์โมนอีริโทโพอิติน ( Erythropoietin ) ในปริมาณที่มากเกินไป ( Secondary Polycythemia ) หรืออาจเกิดขึ้นจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น
ปัญหาที่เกี่ยวกับไต เช่น การตีบของหลอดเลือดแดงในไต หรือ เนื้องอกในไต เป็นต้น
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ( Chronic Obstructive Pulmonary Disease – COPD ) และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ( Sleep Apnoea ) ส่งผลให้ออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ไม่เพียงพอ จึงผลิตฮอร์โมนอีริโทโพอิตินมากขึ้น
การรักษาโรคเลือดหนืด
- การลดปริมาณเม็ดเลือดแดง ที่ได้ผลรวดเร็ว ลดอาการต่าง ๆ ได้รวดเร็วคือ การเจาะเลือดออกทิ้งที่เรียกว่า Phlebotomy ซึ่งการเจาะเอาเลือดออกจะทำเป็น ระยะ ๆ ถี่หรือห่างขึ้นกับจำนวนเม็ดเลือดแดงในเลือดสูงมากหรือสูงน้อย อาการ และสุขภาพโดย รวมของผู้ป่วย นอกจากนั้นคือ การให้ยาชนิดต่างๆเพื่อลดการทำงานของไขกระดูก เช่น ยาเคมีบำบัด ยากระตุ้นภูมิคุ้มกันต้านทานโรค ยาน้ำแร่รังสี ซึ่งการจะเลือกยาตัวใด ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ โดยดูจากความรุนแรงของอาการ ปริมาณเม็ดเลือดแดง และการตอบ สนองหรือการดื้อต่อยา ผลการรักษาจากยาชนิดต่าง ๆ
- การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น การให้ยาลดความดันโลหิตที่สูง การให้ยาลดการแข็งตัวของเลือดหรือลดการเกิดลิ่มเลือดเช่น ยา แอสไพริน เป็นต้น
ผลข้างเคียงจากภาวะเลือดหนืด
ภาวะเลือดหนืดอาจเกิดจากการล้มเหลวของการไหลเวียนเลือดจากเลือดที่ข้นขึ้นมากและจากภาวะลิ่มเลือด โดยผลข้างเคียงที่อาจพบได้คือ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า อาการคันผิวหนังโดยเฉพาะ รวมถึงเกิดแผลต่าง ๆ ได้ง่ายที่บริเวณผิวหนังและที่เยื่อเมือกบุอวัยวะภายในต่าง ๆ เช่น หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร นอกจากนั้นยังมีโอกาสที่โรคนี้จะเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ประมาณ 15% โดยมักเกิดหลังการวินิจฉัยโรคเลือดหนืดได้ประมาณ 10 ปีขึ้นไปแล้ว
วิธีดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคเลือดหนืด
กินยาที่แพทย์แนะนำให้ถูกต้อง ครบถ้วน
รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงควันบุหรี่
รักษาความสะอาดผิวหนังเสมอ
รักษาร่างกายให้อบอุ่น ไม่ร้อนจัดหรือหนาวจัด
เมื่อเป็นแผลตามส่วนต่างๆของร่างกาย และแผลไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์ควรพบแพทย์
วิธีป้องกันเลือดหนืด
ปัจจุบันจึงยังไม่มีวิธีป้องกันเลือดหนืด แต่การตรวจสุขภาพประจำปี โดยการตรวจเลือดซีบีซี จะช่วยให้พบโรคนี้ได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การรักษาควบคุมโรคได้ผลดีมากกว่าเมื่อมีอาการมากแล้วจึงไปพบแพทย์
บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
เอกสารอ้างอิง
Marchioli,R. et al (2013). N Engl J Med. 368, 22-33.
Sturt,B., and Viera, A. (2004). Am Fam Physician. 69, 2139-2144.
Landolfi, R. et al.(2004). N Engl J Med. 350,114-124
Spivak, J. et al. (2014). N Engl J Med. 371, 808-817.
http://emedicine.medscape.com/article/205114-overview#showall[2017,July8]