มันฝรั่ง พืชอาหารสารพัดประโยชน์

0
1445
มันฝรั่ง พืชอาหารสารพัดประโยชน์ เป็นพืชกินหัว หัวมีตาอยู่โดยรอบในลักษณะวงกลม สามารถใช้ทดแทนธัญพืชได้และมีคุณทางทางโภชนาการสูง
มันฝรั่ง
เป็นพืชกินหัว หัวมีตาอยู่โดยรอบในลักษณะวงกลม สามารถใช้ทดแทนธัญพืชได้และมีคุณทางทางโภชนาการสูง

มันฝรั่ง

มันฝรั่ง (Potato) เป็นพืชกินหัวที่สำคัญชนิดหนึ่งที่กลายเป็นอาหารหลักและวัตถุดิบสำคัญอันดันที่ 4 ของโลก เนื่องจากสามารถใช้ทดแทนธัญพืชได้และมีคุณทางทางโภชนาการสูง ทำให้มีความต้องการเพื่อบริโภคสูง ถูกจัดอยู่ในวงศ์มะเขือ SOLANACEAE เชื่อว่ามีต้นกำเนินในเทือกเขาแอนดีสอยู่บนพื้นที่ระหว่างเม็กซิโกและชิลี ในประเทศโบลิเวีย หรือเปรู เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุตั้งแต่การปลูกไปจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวประมาณ 4-5 เดือน ซึ่งภายหลังมีการใช้ชื่อสามัญอื่น ๆ เช่น Irish potato, White potato และมีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Solanum tuberosum L. นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มันเทศ มันอาลู มันอีลู (ภาคเหนือ) เป็นต้น

ลักษณะของมันฝรั่ง

  • ลำต้นมีลักษณะเป็นกิ่ง ที่ตั้งตรงและมีความสูงประมาณ 0.6-1 เมตร ลำต้นเป็นครีบ เมื่ออ่อนแล้วจะมีขน หัวเกิดจากลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ใน 1 ต้นนั้นจะได้หัวประมาณ 8-10 หัว สำหรับแหล่งปลูกในประเทศไทยที่ได้ผลดีนั้น คือ จังหวัดทางภาคเหนือซึ่งมีอากาศหนาวเย็น เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ส่วนทางภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้นั้นก็มีปลูกกันบ้างแต่มีผลผลิตน้อยเมื่อเทียบกับจังหวัดทางภาคเหนือ โดยจังหวัดเชียงใหม่เป็นที่มีการปลูกและผลิตมากที่สุด[1],[2]
  • หัว เป็นลำต้นที่เปลี่ยนแปลงไป เกิดเป็นกิ่งหรือเกิดจากส่วนล่างของลำต้น งอกชอนไชลงไปอยู่ในดิน ขยายใหญ่ เพื่อสร้างหัว หัวมีตาอยู่โดยรอบในลักษณะวงกลม ตาแต่ละตานั้นจะสามารถแตกออกได้ 3 กิ่ง ตามีเกล็ดที่มีรูปร่างคล้ายจาน มีไว้สำหรับป้องกันตาไม่ให้ได้รับอันตรายใดๆ และภายในหัวจะมีแกนตรงกลางพุ่งไปยังตาทุกตา[2]
  • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ออกเรียงสลับกัน มีขนขึ้นอยู่เล็กน้อย และจะประกอบไปด้วยใบยอด 1 ใบ และใบย่อยที่มีลักษณะเป็นรูปรีหรือรูปไข่แกมวงรีหรือแกมไข่กลับ ปลายแหลมประมาณ 2-4 คู่ และใบย่อยก็จะสั้นอีก 2 คู่ หรือมากกว่านั้น ใบมีความกว้างประมาณ 1.5-5 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 1.5-7 เซนติเมตร[1],[2]
  • ดอก จะออกดอกเป็นช่อ ช่อดอกเกิดเป็นกลุ่มๆ อยู่ตรงยอดของต้นหรือซอกใบ ก้านดอกยาว จะประกอบไปด้วยดอกฝอยที่มีอยู่ประมาณ 7-20 ดอก ก้านดอกย่อยจะมีขน ดอกหนึ่งมีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบ กลีบดอกเป็นสีขาว สีกุหลาบ สีชมพูม่วง หรือเป็นสีม่วง โคนดอกนั้นจะเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ 5 อัน และเกสรเพศเมียอีก 1 อัน ซึ่งมีก้านชูเกสรยาว[1],[2]
  • ผล เป็นผลสดที่มีหลายเมล็ด ผลจะมีลักษณะเล็กและกลม เป็นสีเขียวหรือสีน้ำตาล มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ผลติดกันเป็นพวงๆ[1],[2]

สรรพคุณของมันฝรั่ง

1. ช่วยขับน้ำนมของสตรี (หัว)[1]
2. หัวมีสรรพคุณเป็นยาระงับประสาท (หัว)[1]
3. ช่วยถอนพิษที่เป็นอันตรายในตับ (หัว)[4]
4. มีวิตามินซีมาก จึงช่วยป้องกันไข้หวัดได้ (หัว)[4]
5. หัวใต้ดินมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยในการย่อย (หัว)[1]
6. ช่วยลดไขมัน ด้วยการใช้หัวมาปรุงเป็นอาหารรับประทาน (หัว)[1]
7. ชาวเปรูจะนำมาทาบริเวณศีรษะเพื่อช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ (หัว)[3]
8. หัวมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตสูงและช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว (หัว)[1],[4]
9. ชาวเปรูเป็นชาติแรกที่นำมาทำเป็นยาพอกกระดูก เมื่อกระดูกหัก (หัว)[3]
10. นอกจากจะช่วยป้องกันหวัดแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดีอีกด้วย (หัว)[5]
11. ตำรับยาแก้คางทูม ให้ใช้ 1 หัว นำมาฝนกับน้ำส้มสายชู แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็น เมื่อแห้งแล้วให้ทาซ้ำจนหาย (หัว)[3]
12. ช่วยป้องกันและรักษาโรคโลหิตจางได้ เพราะร่างกายจะดูดซึมธาตุเหล็กกับวิตามินซีที่มีอยู่ในหัว ซึ่งจะช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงในร่างกาย (หัว)[4]
13. ใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการใช้น้ำคั้นจากหัวนำมาทาบริเวณแผลบ่อย ๆ หรือนำมาตำให้ละเอียดแล้วใช้พอก และให้เปลี่ยนยาหลาย ๆ ครั้ง (หัว)[1],[3]
14. อุดมไปด้วยแคลเซียมมีส่งผลดีต่อหัวใจ ช่วยปรับฮอร์โมนและทำให้ระบบภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยในการดูดซึมอาหารได้ดี ป้องกันการบูดเน่าของอาหารภายในลำไส้ ลดอาการบวมและไตอักเสบ (หัว)[4]
15. ชาวอิตาลีในสมัยก่อนจะปลูกและนำไปต้มหรือเผากิน ครั้นเวลาจะกินก็จะเติมเกลือลงไปด้วยเล็กน้อย ด้วยเชื่อว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นความต้องการทางเพศได้ ทำให้คนที่กินมากจะมีลูกมาก (เรื่องนี้ก็ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นใดนะครับ) (หัว)[5]
16. มีสารจำพวกเพกทิน (เป็นสารที่พบในผนังเซลล์และเนื้อเยื่อของพืชบางชนิด) ประกอบด้วยกรดกาแล็กทูรอนิก ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของกาแล็กโทสเป็นหลัก (ในผลไม้จะมีเพกทินเป็นตัวเชื่อมผนังเซลล์ทำให้แข็งและคงรูป เมื่อผลไม้สุกงอม เพกทินจะสลายตัวเป็นน้ำตาลที่ละลายได้ดี ทำให้ผลไม้นิ่มและเสียรูป) ซึ่งมีประโยชน์ช่วยทำให้การบีบตัวและการคลายตัวของลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น (หัว)[4]
17. ใบมีสรรพคุณช่วยทำให้หลับ (ใบ)[1]
18. ใบมีสรรพคุณแก้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อ (ใบ)[1]
19. ช่วยบำรุงสมองได้ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบี 6 ที่เป็นตัวช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง ทำให้ผลิตสารสื่อประสาทได้อย่างเป็นปกติ เช่น เซโรโทนิน (ช่วยกระตุ้นอารมณ์), กาบา (ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย), และอดรีนาลิน (ช่วยลดความเครียด) โดยปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ ครึ่งถึงหนึ่งถ้วยตวง (ทั้งแบบบดและแบบต้ม) และไม่ควรรับประทานมากกว่านี้ เพราะมีวิตามินซีอยู่ จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร จนทำให้รู้สึกท้องอืดเฟ้อได้

ประโยชน์ของมันฝรั่ง

1. นอกจากจะใช้เป็นอาหารของมนุษย์โดยตรงแล้วยังนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้อีกด้วย ด้วยการใช้หัวสดต้มหรือหมักเป็นอาหารของวัว ควาย และสุกร[2]
2. ใช้ 2-3 หัว และนมอุ่น 3-4 ช้อนโต๊ะ ขั้นตอนแรกต้มให้สุก ปอกเปลือกและบดให้เละ แล้วใส่นมลงไปคนให้เข้ากัน เสร็จแล้วให้นำมาพอกมือให้หนา ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วค่อยล้างออก มือจะมืออ่อนนุ่ม[7]
3. หัวเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีปริมาณของแป้ง โปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินบางชนิดอยู่ในเกณฑ์สูง จึงใช้เป็นอาหารประจำวันได้เป็นอย่างดี ซึ่งประชากรในยุโรปและอเมริกาจะรับประทานเป็นอาหารหลักแทนข้าว ด้วยวิธีการนำมาต้ม ทอด อบ ฯลฯ[2]
4. โลชั่น (สำหรับผิวมันและผิวธรรมดา) ให้ใช้น้ำคั้นจากหัวดิบ 1 แก้ว และน้ำมะเขือเทศ 1 แก้ว ชั้นตอนแรกให้ไสและคั้นเอาแต่น้ำโดยใช้ผ้ากรองคั้นอีกครั้ง จากนั้นให้คั้นเอาแต่น้ำมะเขือเทศ นำมาผสมเข้าด้วยกัน แล้วใช้สำลีชุบโลชั่นที่ได้เช็ดหน้าเช้าเย็น ส่วนที่เหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็น[7]
5. โปรตีนที่ได้มีคุณภาพสูงกว่าโปรตีนที่ได้จากถั่วลิสงอีกด้วย และอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ทำให้นักโภชนาการเชื่อว่าหากคนที่ติดอยู่บนเกาะร้างปลูกไว้กินเป็นอาหารพวกเขาจะไม่มีวันอดตาย และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดกัปตันเรือในสมัยก่อนจึงนิยมบรรทุกไว้เป็นเสบียงสำหรับการเดินทาง[5]
6. นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง เช่น การนำมาทำแป้ง นำมาหั่นๆ บางแล้วทอดกรอบ ทำเป็นขนมขบเคี้ยว ทำน้ำตาลกลูโคสและเดกทริน (ใช้สำหรับทำกาวและสารให้ความเหนียวต่างๆ) หรือใช้อุตสาหกรรมการหมักเพื่อผลิตแอลกอฮอล์และกรดซิตริก ล้อยาง พลาสติก ฟิล์ม สีน้ำมัน และใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมทอผ้า เป็นต้น[2],[3]
7. ลดความอ้วนได้ หลายๆ คนอาจเคยเข้าใจผิดว่าหากรับประทานมากก็จะยิ่งทำให้อ้วน แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้อย่างที่คุณคิดทั้งหมด ซึ่งความจริงก็คือ ช่วยในการลดน้ำหนักและความอ้วนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เพราะจะช่วยทำให้อิ่มท้องได้นาน ทำให้ไม่รู้สึกหิวง่าย และช่วยลดการกินจุกจิก
8. เป็นอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำและอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด แต่อย่างไรก็ตามถ้านำมาปรุงแบบผิดวิธี มันก็ทำให้อ้วนได้เหมือนกัน เพราะสามารถดูดซับเครื่องปรุงต่างๆ โดยเฉพาะน้ำมันได้มากถึง 30-40% คุณอาจจะเคยชินกับการกินฝรั่งในรูปของการทอด เฟรนช์ฟรายด์
9. ทำเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างถูกวิธีนั้นก็สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การนำมาต้มให้สุกแล้วบด โรยเกลือและพริกไทยป่นเล็กน้อย (ถ้าอยากให้มีกลิ่นหอมก็ให้ใส่ส่วนผสมที่ได้ห้อในกระดาษฟรอยด์แล้วค่อยนำเข้าเตาอบ) หรือจะนำมาต้มให้สุกผสมในน้ำแกง เช่น ในเมนูหัวปลาต้มเผือก เป็นต้น หรือนำมาทำเป็นขนม เช่น บัวลอย เป็นต้น
10. ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้ ด้วยการใช้น้ำมันฝรั่งต้ม 4 ช้อนโต๊ะ และนม 140 มิลลิกรัม ขั้นตอนแรกให้นำมาต้ม แล้วกรองเอาน้ำต้มที่ได้มา 4 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงไปในนมแล้วคนให้เข้ากัน เก็บใส่ขวดแล้วนำไปแช่เย็น เมื่อจะนำมาใช้ก็ให้เขย่าขวดก่อน แล้วนำมาทาหน้าด้วยการนวดเบาๆ เป็นวงกลม ทิ้งไว้สักครู่แล้วจึงใช้ผ้าซับออก[7]
11. ใช้น้ำต้มมันฝรั่ง 2 ช้อนชา, สบู่ป่น 2 ช้อนชา, เนย 2 ช้อนชา, และน้ำมันอัลมอนด์ 8 ช้อนโต๊ะ ขั้นตอนแรกให้นำสบู่และน้ำมันอัลมอนด์ใส่ถ้วย และอุ่นในน้ำร้อนจนผสมเข้ากัน จากนั้นใส่เนยลงไปคนและตามด้วยน้ำต้ม แล้วนำออกจากเตาและคนต่อไปอีกจนส่วนผสมเย็นตัวลง เสร็จแล้วเก็บไว้ในขวด เมื่อจะใช้ก็ให้นำครีมที่ได้มาใช้ทำความสะอาดใบหน้าเหมือนโลชั่น ด้วยการนวดคลึงใบหน้าเบา ๆ เป็นวงกลม ทิ้งไว้สักครู่ แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น[7]
12. มาส์กหน้าสูตรผิวกระชับผิวเต่งตึงมาส์กหน้ากระชับรูขุมขน และทำให้เลือดไหลเวียนดี ด้วยการป่น 2 ช้อนโต๊ะ แล้วให้เทน้ำอุ่นลงในถ้วย คนเข้ากันจนเนื้อข้น ก่อนมาส์กหน้าให้ใช้ครีม หรือน้ำมันเบบี้ออยล์เล็กน้อยทาใบหน้าให้ทั่ว และให้ใช้พู่กันจุ่มมาส์กมาทาใบหน้าและคอ ยกเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที เมื่อครบแล้วให้ใช้ผ้าอุ่นประคบใบหน้าให้มาส์กอ่อนตัวก่อน แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น (สูตรนี้จะทำให้ผิวแห้ง จึงไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป)[7]
13. มาส์กหน้าสูตรบำรุงผิวหน้า ให้ใช้น้ำต้ม 7ช้อนโต๊ะครึ่ง, ขี้ผึ้ง 3 3/4 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันโจโจ้บา 1/4 ช้อนโต๊ะ, และบอแร็กซ์ 1/4 ช้อนโต๊ะ ขั้นตอนแรกให้ใช้ความร้อนอ่อนๆ ละลายขี้ผึ้งและน้ำมันให้เข้ากัน ใส่ผงบอแร็กซ์ตามลงไปในน้ำต้ม แล้วค่อยๆ ใส่ส่วนผสมดังกล่าวลงไปคนกับขี้ผึ้งที่ละลายแล้ว เสร็จแล้วเอาขึ้นจากเตาและคนต่อไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมเย็นตัว แล้วนำมาทาใบหน้าด้วยการนวดเบาๆ เป็นวงกลม เสร็จแล้วทิ้งไว้สักครู่ แล้วใช้ผ้าซับออก (สูตรนี้สามารถนำมาใช้ทามือ ทาผิว เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวอ่อนนุ่มได้อีกด้วย)[7]
14. ช่วยลดรอยคล้ำใต้ตา ลดรอยคล้ำใต้ตาเพราะ มีเอนไซม์ที่ทำให้สีผิวดูอ่อนและจางลงได้ จึงช่วยลดความหมองคล้ำลงได้ชั่วคราว วิธีนี้จึงเหมาะกับสาวๆ ที่ต้องการแก้ปัญหาตาคล้ำอย่างเร่งด่วนได้เป็นอย่างดี วิธีการก็คือให้นำมาฝานบางๆ นำมาแปะดวงตาไว้ประมาณ 15-20 นาที (หากนำไปแช่เย็นก่อนนำมาใช้ก็จะยิ่งดี เพราะจะช่วยลดปัญหาตาบวมและทำให้ตาสดชื่นได้ด้วย) สำหรับผู้ที่มีอาการคันยุบยิบเล็กน้อย ก็ไม่ต้องเอามือไปเกา เพราะตามข้อมูลบอกไว้ว่าอาจรู้สึกคันยิบๆ เพียงเล็กน้อย แต่ไม่มีผลร้ายแต่อย่างใด[6]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของหัวดิบ ต่อ 100 กรัม พลังงาน 77 กิโลแคลอรี่

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 17.47 กรัม
แป้ง 15.44 กรัม
ใยอาหาร 2.2 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
โปรตีน 2 กรัม
น้ำ 75 กรัม
วิตามินบี1 0.08 มิลลิกรัม 7%
วิตามินบี2 0.03 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี3 1.05 มิลลิกรัม 7%
วิตามินบี5  0.296 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี6 0.295 มิลลิกรัม 23%
วิตามินบี9 16 ไมโครกรัม 4%
วิตามินซี 19.7 มิลลิกรัม 24%
วิตามินอี 0.01 มิลลิกรัม 0%
วิตามินเค 1.9 ไมโครกรัม 2%
แคลเซียม 12 มิลลิกรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.78 มิลลิกรัม 6%
แมกนีเซียม 23 มิลลิกรัม 6%
แมงกานีส 0.153 มิลลิกรัม 7%
ฟอสฟอรัส 57 มิลลิกรัม 8%
โพแทสเซียม  421 มิลลิกรัม 9%
โซเดียม 6 มิลลิกรัม 0%
สังกะสี (ซิงค์)  0.29 มิลลิกรัม 3%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ต้านการเป็นพิษต่อตับ ลดคอเลสเตอรอล ลดน้ำในเลือด[1]
2. สารสำคัญที่พบ ได้แก่ Barogenin, Chaconine, Erytoxanthin, Glucinol optatolectin, Glucoside, Patatin, Stearic acid, Tuberoside, Zeaxanthin[1]
3. Yamakawa และคณะ (1999) ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการทดลอง Sweetpotato พบว่ามีสาร angiotensin converting enzyme ที่ช่วยลดความดันโลหิตสูงและลดไขมันได้[1]
4. จากการทดสอบความเป็นพิษ โดยให้แกะกินส่วนที่อยู่เหนือดินในขนาด 2.8 กิโลกรัม และ 3.85 กิโลกรัม เป็นระยะเวลา 9 วัน ไม่พบพิษ[1]
5. Noguchi และคณะ (2007) ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการทดลองสารสกัดจาก Potato snacks จำนวน 1.7 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ในหนูถีบจักรทดลอง ผลการทดลองพบว่าสามารถลดความดัน SBP ได้ 35 มิลลิเมตรปรอท และลดไขมันได้[1]
6. มีสาร Solanine โดยในมันฝรั่ง 1 กิโลกรัม จะมี Solanine ประมาณ 20-100 มิลลิกรัม โดย Solanine จะมีมากในรากและเปลือกมันฝรั่ง ในมันฝรั่งเปลือกแดงจะมี Solanine มากกว่ามันฝรั่งเปลือกเหลือง และมันฝรั่งดิบจะมี SOlanine มากกว่ามันฝรั่งสุก นอกจากนี้มันฝรั่งเมื่อโดนแสงแดดเปลือกจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียว และทำให้ปริมาณของ Solanine เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย[3]
7. เฉพาะในเนื้อของมันฝรั่งที่มีรากงอกออกมาหรือเปลือกเปลี่ยนเป็นสีเขียวจะมีปริมาณของ Solanine น้อย เมื่อกินแล้วจะไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าหากมีปริมาณของ Solanine เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติเป็น 4-5 เท่า หรือมากกว่า 0.4 กรัมต่อกิโลกรัม เมื่อกินแล้วจะเกิดอาการเป็นพิษได้ แต่ก็ไม่ถึงกับตาย และเคยมีรายงานว่า เด็กที่กินมันฝรั่งที่เปลือกเปลี่ยนเป็นสีเขียวจะทำให้เกิดอาการกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบถึงตาย[3]

การเลือกซื้อมันฝรั่ง

1. ในการเลือกซื้อควรเลือกหัวที่มีผิวสวย เนื้อแน่น ผิวเป็นสีเหลืองทอง ไม่มีรากงอกออกมา ไม่มีการเปลี่ยนสี ไม่มีรอยแผลเน่าเป็นสีดำ สีเขียวหรือเนื้อนิ่ม เนื่องจากจะทำให้ปริมาณของสารพิษ Solanine มีเพิ่มมากขึ้น[3]
2. โดยเฉพาะในส่วนของราก ตาราก เปลือก และบริเวณที่เน่า เพราะเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะเกิดอาการเป็นพิษต่อร่างกาย โดยพิษของ Solanine ถ้าได้รับจะทำให้มีอาการคอแห้ง ชา ปวดแสบปวดร้อนในลำคอ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องร่วง ทำให้มึนงง การเต้นของหัวใจอ่อนลง ตัวเย็นชืด การหายใจล้มเหลว ชักมีไข้ สลบ เป็นต้น (ส่วนการรักษาคือการทำให้อาเจียน หรือให้ Activated chacoal เพื่อช่วยดูดซึมสารพิษ และทำการรักษาไปตามอาการ)[3]
3. มีรายงานว่าถ้าสตรีตั้งครรภ์กินสาร Solanine เข้าไปจะทำให้แท้งบุตรได้ ถ้ามีรากงอกออกมาหรือมีตาราก ให้ตัดส่วนรากและตารากออก แล้วนำไปแช่น้ำสักพัก ก็สามารถนำมาใช้ปรุงเป็นอาหารได้[3]
4. การปรุงอาหาร ก่อนนำมาปรุงอาหารต้องนำมาล้างให้สะอาดก่อนนำไปอบหรือต้ม และให้ปรุงทั้งเปลือก เพราะเปลือกจะช่วยรักษากลิ่นหอมไว้และช่วยรักษาคุณค่าของสารอาหารต่าง ๆ ที่มีอยู่ไม่ให้เสื่อมสลายไปด้วย ส่วนน้ำที่ต้มสามารถเก็บไปทำเป็นน้ำซุปได้
5. ไม่ควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพราะความเย็นจะไปกระตุ้นให้เกิดการงอกของรากได้ ดังนั้นควรเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องปกติจะดีที่สุด

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “มัน ฝรั่ง” หน้า 153.
2. โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. “มัน ฝรั่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: kanchanapisek.or.th/kp6/. [25 พ.ค. 2014].
3. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 90 คอลัมน์: อาหารสมุนไพร. (วิทิต วัณนาวิบูล). “มัน ฝรั่ง อาหารหลักของชาวยุโรป”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [25 พ.ค. 2014].
4. เดลินิวส์. “มัน ฝรั่ง สุดยอดอาหารสุขภาพ”. อ้างอิงใน: หนังสือสมุนไพร 91 ชนิด พิชิตโรค ชุด ตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน (สำนักพิมพ์อินสปายร์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dailynews.co.th. [25 พ.ค. 2014].
5. ราชบัณฑิตยสถาน. (ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน). “มัน ฝรั่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.royin.go.th. [25 พ.ค. 2014].
6. ผู้จัดการออนไลน์. “พิสูจน์! ฝานมัน ฝรั่งมาแปะตา ลดอาการรอยคล้ำใต้ตาได้ทันใจ?”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [25 พ.ค. 2014].
7. เอ็มไทย. “ผิวสวย 6 วิธี ด้วย.. มัน ฝรั่ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: women.mthai.com. [25 พ.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.livescience.com/
2.https://www.gardeningknowhow.com/