มันสำปะหลัง
เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก รากจะค่อยๆ สะสมแป้ง ทำให้รากมีขนาดโตขึ้น

มันสำปะหลัง

มันสำปะหลัง (Cassava) มีถิ่นกำเนิดในแถบที่ลุ่มเขตร้อน มีหลักฐานแสดงว่ามีการเพาะปลูกกันในประเทศโคลัมเบียและเวเนซุเอลามานานกว่า 3,000-7,000 ปีแล้ว โดยมีการสันนิษฐานอีกว่าแหล่งกำเนิด น่าจะมาจาก 4 แหล่งด้วยกัน คือ แถบประเทศกัวเตมาลาและเม็กซิโก, ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้, ทางทิศตะวันออกของประเทศโบลิเวียและทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอาร์เจนตินา, หรือทางทิศตะวันออกของบราซิล จัดอยู่ในวงศ์ยางพารา (EUPHORBIACEAE) ใช้ชื่อสามัญ คือ Bitter Cassava, Manioc, Sweet Potato Tree, Tapioca plant, Yuca[1],[2]และมีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Manihot esculenta Crantz (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Manihot utilissima Pohl) [1],[2],[5] ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มันหิ่ว (พังงา), มันสำโรง มันไม้ (ชื่อเดิม), ต้าวน้อย, ต้าวบ้าน (ภาคเหนือ), มันต้นเตี้ย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), สำปะหลัง มันสำโรง (ภาคกลาง), มันเทศ มันต้น มันไม้ (ภาคใต้), ต้าง (คนเมือง, ไทลื้อ), ก๋อนต้ง (ม้ง), โคร่เซาะ (กะเหรี่ยงแดง), หน้อยซิ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), หน่วยเซ่ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), ลำหม่อน ไคว่ต้น (ลั้วะ), กวายฮ่อ (ขมุ), ม่ะหนิ่ว (ปะหล่อง), ต้างน้อย, ต้างบ้าน, มันตัน, อุบีกายู เป็นต้น[2],[6]

มันสำปะหลังแบ่งออกเป็น 2 ชนิด

1. ชนิดหวาน จะใช้เพื่อบริโภคหรือใช้ทำอาหารได้โดยตรง เช่น การนำไปนึ่ง เชื่อม ทอด ซึ่งมีปริมาณของกรดไฮโดรไซยานิคต่ำและไม่มีรสขม[7]
2. ชนิดขม จะไม่เหมาะสำหรับนำมาบริโภคหรือใช้เลี้ยงสัตว์โดยตรง เนื่องจากมีปริมาณของกรดไฮโดรไซยานิคสูง ซึ่งมีความเป็นพิษต่อร่างกาย การนำมาใช้ต้องผ่านการแปรรูปก่อน แต่ในประเทศไทยจะมีการปลูก ชนิดขมเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมกันมากกว่าชนิดหวาน[7]

ลักษณะของต้นมันสำปะหลัง

  • ต้น เป็นไม้พุ่ม มีลำต้นตั้งตรง เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความสูงประมาณ 1-5 เมตร มีการแตกกิ่ง กิ่งที่แตกจากลำต้นหลักเรียกว่า “กิ่งชุดแรก” ส่วนกิ่งที่แตกจากิ่งชุดแรกเรียกว่า “กิ่งชุดที่สอง” ต้นมันสำปะหลังจะแตกกิ่งเป็นแบบ 2 กิ่ง หรือ 3 กิ่ง ตามลำต้นจะเห็นรอยก้านใบที่หลุดร่วงไปจะเรียกว่า “รอยแผลใบ” และในระหว่างแผลใบจะมีชื่อเรียกอีกว่า “ความยาวของชั้น” ส่วนที่อยู่เหนือรอยแผลใบจะมีตาอยู่ ทุกส่วนของต้นเมื่อนำมาสับจะมีน้ำยางสีขาวไหลออกมา และรากสะสมอาหารเป็นแท่งหนาอยู่ใต้ดิน มีอยู่ประมาณ 5-10 รากต่อต้น รากมันสำปะหลัง (หัวมันสำปะหลัง) ระบบรากเป็นแบบรากฝอย รากจะเกิดจากข้อของลำต้นที่ใช้ปลูกและขยายใหญ่จนเป็นหัว โดยหัวมันสำปะหลังเมื่อนำมาตัดตามขวางแล้วจะมีส่วนประกอบดังนี้ คือ เปลือกชั้นนอก เปลือกชั้นใน และส่วนสะสมแป้งหรือที่เรียกว่าไส้กลาง และจะมีอีกข้อมูลหนึ่งระบุว่าราก มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ รากจริง และรากสะสมอาหาร (ทั่วไปเรียกว่าหัว) ที่มีปริมาณแป้งอยู่ประมาณ 15-40% รากสะสมอาหารจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-15 เซนติเมตร และยาวประมาณ 15-100 เซนติเมตร[1],[3],[4] ,[5],[6]
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนสลับอยู่รอบลำต้น ใบมีลักษณะคล้ายกับรูปโล่ ขอบใบจะแยกเป็นแฉกประมาณ 3-9 แฉก เว้าลึกเกือบถึงโคนใบ ในแต่ละแฉกนั้นจะมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ แกมรูปใบหอก หรือแกมรูปดาบ ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบ มีความกว้างประมาณ 3-5 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ด้านบนเกลี้ยง และจะส่วนที่เป็นสีแดง และด้านล่างเป็นสีขาวนวล และอาจมีขนเล็กน้อยตามเส้นใบ ก้านใบเป็นสีแดงเข้ม มีความยาวประมาณ 5-30 เซนติเมตร ที่โคนก้านใบติดกับลำต้นมีหูใบ หูใบมักจะเป็นแฉกคล้ายรูปหอก 3-5 แฉก มีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร และร่วงได้ง่าย[1],[4],[6]
  • ดอก จะออกดอกเป็นช่อ โดยจะออกตามซอกใบและปลายกิ่ง มีความยาวประมาณ 3-10 เซนติเมตร ใบประดับเป็นรูปยาวแคบ ร่วงง่าย ในแต่ละช่อจะมีดอกย่อยจำนวนมาก โดยช่อดอกจะเป็นแบบ Panicle ช่อดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน แต่อยู่คนละตำแหน่ง ดอกเพศผู้มีก้านดอกที่ยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร และมีกลีบเลี้ยงดอกยาว 3-8 มิลลิเมตร เชื่อมติดกันเป็นรูประฆัง ที่ปลายจะแยกเป็นแฉกสามเหลี่ยม 5 แฉก แต่ไม่มีกลีบดอก ดอกเพศผู้มีก้านเกสรเพศผู้ เกสรเพศผู้มี 10 อัน เรียงเป็น 2 วง สั้นและยาวสลับกัน ก้านเกสรจะไม่ติดกัน อับเรณูมีขนาดเล็ก ส่วนดอกเพศเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าดอกเพศผู้ และมีก้านดอกที่ยาวประมาณ 1-2.5 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ติดกันที่โคนเพียงเล็กน้อย มีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร รังไข่มีสันอยู่ 6 สัน และไม่มีขน มีความยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร ท่อรังไข่เชื่อมติดกัน ปลายจะแยกเป็น 3 กลุ่ม ในแต่ละกลุ่มจะแยกเป็นแขนงเล็กๆ น้อยๆ อีกเป็นจำนวนมาก ดอกเพศเมียจะไม่มีกลีบดอก และดอกจะประกอบไปด้วยรังไข่ 3 คาร์เพล ในแต่ละคาร์เพลมี 1 ออวุล[1],[4],[6]
  • ผล เป็นแบบแคปซูล มีลักษณะกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ประมาณ 1.5 เซนติเมตร และมีปีกแคบ ๆ ตามยาว เมล็ดมีอยู่ 3 เมล็ด เมล็ดเป็นสีน้ำตาลลายดำ ลักษณะคล้ายกับเมล็ดละหุ่งแต่มีขนาดที่เล็กกว่า เมล็ดมีลักษณะรี มีความยาวประมาณ 12 มิลลิเมตร รอยของก้านออวุลที่เหลืออยู่มีลักษณะเป็นสันนูนขึ้นทางด้านหนึ่งของเมล็ด ส่วนด้านล่างของเมล็ดมีลักษณะคล้ายฟองน้ำ มีสีขาว สีชมพู หรือสีม่วง[4],[5],[6]

สรรพคุณของมันสำปะหลัง

1. ใบอ่อน นำมาต้มให้สุกใช้รับประทาน ช่วยแก้โรคขาดวิตามินบี1 (ใบ))[6]
2. ส่วนของรากหรือหัวเมื่อนำมาใช้ปรุงเป็นอาหาร จะสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ (ราก)[1]

ประโยชน์ของมันสำปะหลัง

1. ลำต้นสามารถนำมาใช้ทำเป็นท่อนพันธุ์ได้ โดยนำมาตัดเป็นท่อนๆ แล้วนำไปปลูก[3]
2. เมล็ดนำมาใช้สกัดเป็นน้ำมันที่มีคุณภาพดีที่สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมยาได้[3]
3. นอกจากจะใช้หัวเป็นอาหารแล้ว เรายังใช้ใบมันสำปะหลังมารับประทานแบบสดๆ หรือนำมาต้มจิ้มกับน้ำพริก นำมาทำแกงก็ได้ อีกทั้งใบยังมีประโยชน์ในการช่วยลดคอเลสเตอรอลอีกด้วย[1],[3]
4. สามารถทำรายได้ให้กับเกษตรกรชาวไทยได้มากเป็นอันดับ 4 (รองจากข้าว ยางพารา และอ้อย) โดยผลผลิตครึ่งหนึ่งจะถูกนำมาทำมันเส้นและมันอัดเม็ด ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนำไปแปรรูปเป็นแป้ง ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งออกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับมันสำปะหลังมากที่สุดในโลก[3]
5. เป็นพืชอาหารที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 5 ของโลก (รองจากข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าว และมันฝรั่ง) โดยเป็นพืชอาหารที่มีความสำคัญอย่างมากของประเทศในเขตร้อน ด้วยการนำมารับประทานสด ต้ม นึ่ง ย่าง อบ เชื่อม หรือทำเป็นแป้งแล้วแปรรูปเป็นอาหารชนิดต่างๆ ตลอดจนนำมาฝานเป็นแผ่นแล้วทอด[3]
6. นอกจากนี้ใช้เป็นวัตถุดิบประกอบในอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกด้วย เช่น อุตสาหกรรมทอผ้า อุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมไม้อัด อุตสาหกรรมกาว อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต่าง ๆ เส้นก๋วยเตี๋ยว วุ้นเส้น สาคู ซอสต่างๆ ไอศกรีม ก็ใช้แป้งเป็นส่วนผสมแทบทั้งสิ้น[3]
7. หัวสด ใบสด และลำต้นเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ได้อีกด้วย โดยส่วนของหัวสามารถใช้ได้ทั้งหัวสด เปลือกของหัว และกากที่เหลือจากการทำแป้ง ในส่วนใบจะใช้ใบสดนำมาตากแห้งป่นผสมกับอาหารข้นเลี้ยงสัตว์และเป็นอาหารผสม และในส่วนของลำต้น จะนำมาตัดส่วนยอดผสมกับใบสดใช้เลี้ยงสัตว์เคี้ยวเอื้อง ตากแห้งเป็นอาหารหยาบ[3]
8. ใช้ในอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง (แป้งนำมาทำอาหาร เครื่องปรุง วุ้นเส้น เบียร์ ใช้เป็นทำให้สารติดแน่นคงรูปร่าง ทำเป็นตัวให้ผงฝุ่นในอุตสาหกรรมทอผ้า ซักรีด ทำกาว กระดาษ แอลกอฮอล์ แป้งเปียก ยา อะซีโตน กลูโคส ใช้ในอุตสาหกรรมเจาะน้ำมัน แป้งแปรรูป ฯลฯ), แป้งดิบ (ใช้สำหรับทำขนมอบชนิดต่าง ๆ คล้ายกับแป้งสาลี สามารถใช้ทดแทนแป้งสาลี แป้งข้าวจ้าวได้ ฯลฯ), อุตสาหกรรมมันเส้น (ใช้เป็นอาหารสัตว์), อุตสาหกรรมมันอัดเม็ด ฯลฯ[3]
9. เป็นวัตถุดิบหลักในการแปรรูป ก็ได้แก่ ผงชูรส (monosodium glutamate), ไลซีน (กรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้), และสารให้ความหวาน ซึ่งได้แก่ กลูโคสเหลว (ใช้เป็นวัตถุในการผลิตลูกกวาดและเครื่องดื่มหลายชนิด), กลูโคสผง (แบ่งเป็น เดกซโตสโมโนไฮเดรส (ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง) และเดกซโตสแอนไฮดรัส (ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยา)), และซอร์บิทอล (ใช้ในอุตสาหกรรมยาสีฟันและเครื่องสำอาง) เป็นต้น[3]
10. ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ได้จากแป้งมันสำปะหลัง ก็ได้แก่ พลาสติกที่สลายได้ทางชีวภาพ, สารดูดน้ำ (ใช้ในด้านอนามัยทางการแพทย์ ได้แก่ ผ้าอ้อมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ และใช้ในอุตสาหกรรมเป็นสารข้นสำหรับหมึกสกรีนระบบน้ำ วัสดุดูดน้ำออกจากเชื้อเพลิง เป็นต้น), แอลกอฮอล์ (สามารถนำมาผสมกับน้ำมันเบนซินใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ที่เรียกว่า “ก๊าซโซฮอล์” (gasohol) ได้ ซึ่งเป็นพลังงานทดแทนที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่ง)[3]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

1. สารสำคัญที่พบได้แก่ amento flavone, linamarin, linustatin, glucoside, querecetin, yucalexin[1]
2. มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อไวรัส ยับยั้งคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ยับยั้งการมีไขมันในเลือดสูง ยับยั้งการสร้างเอสเตอร์ของคอเลสเตอรอล แต่มีฤทธิ์ทำลายไตและเป็นพิษต่อปลา[1]
3. เมื่อปี ค.ศ.1985 ได้มีการศึกษาทดลองในกระต่าย โดยให้กระต่ายกินรากเป็นอาหาร หลังการทดลองพบว่ากระต่ายมีระดับไขมันในเลือดลดลง[1]
4. เมื่อปี ค.ศ.1982 ที่ประเทศอินเดีย ได้ทำการศึกษาทดลองในหนูทดลองที่ถูกกระตุ้นให้มีไขมันในเลือดสูง ด้วยการให้รากมันสำปะหลังเป็นอาหาร หลังการทดลองพบว่าหนูทดลองมีระดับไขมันในเลือดลดลง[1]
5. เมื่อปี ค.ศ.2002 ที่ประเทศเกาหลี ได้ทำการศึกษาทดลองผลการลดไขมันในเลือด ด้วยการนำแป้งที่ได้จากรากมันกับโอ๊ตไฟเบอร์ โดยทำการทดลองในหนูแฮมสเตอร์ที่ถูกทำให้อ้วน (ให้อาหารที่มีไขมัน 17%, คอเลสเตอรอล 2% เป็นเวลา 20 วัน) แล้วนำหนูดังกล่าวมาให้มันสำปะหลัง พบว่าหนูทดลองในกลุ่มที่ให้มันสำปะหลัง สามารถลดคอเลสเตอรอลได้ โดยให้ 916 mg./dl. และข้าวโอ๊ต 964 mg./dl. พบว่าสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลได้ถึง 32.4% ในกลุ่มที่ให้มันสำปะหลัง และลดไขมันได้ 51.7% ในกลุ่มที่ให้ข้าวโอ๊ต[1]
6. เมื่อปี ค.ศ.2007 ที่ประเทศบราซิล ได้ทำการศึกษาทดลองผลในการลดไขมันของใบ จากการทดลองพบสาร Polyphenol และสาร Saponins ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและลดไขมันจำพวกไตรีกลีเซอไรด์ คอเลสเตอรอล และไขมันอื่น ๆ โดยทำการศึกษาทดลองกับหนูวิสตร้าเพศผู้เป็นระยะเวลา 7 สัปดาห์ ด้วยการนำใบมาอบแห้งที่ 30-35 ≥ และนำใบในขนาด 5%, 10%, 15% มาผสมในอาหารที่ให้หนูทดลองกิน ผลการทดลองพบว่าในขนาด 10% และ 15% สามารถช่วยลดไขมันในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ[1]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการ 100 กรัม ให้พลังงาน 160 กิโลแคลอรี่

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 38.06 กรัม
น้ำตาล 1.7 กรัม
ใยอาหาร 1.8 กรัม
ไขมัน  0.28 กรัม
โปรตีน 1.36 กรัม
น้ำ 59.68 กรัม
วิตามินเอ 13 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.087 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.048 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.854 มิลลิกรัม
วิตามินบี6 0.088 มิลลิกรัม
วิตามินบี9 27 ไมโครกรัม
วิตามินซี 20.6 มิลลิกรัม
วิตามินอี 0.19 มิลลิกรัม
วิตามินเค 1.9 ไมโครกรัม
แคลเซียม 16 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.27 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 21 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 271 มิลลิกรัม
โซเดียม 14 มิลลิกรัม
สังกะสี (ซิงค์) 0.34 มิลลิกรัม

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

โทษของมันสำปะหลัง

1. มันชนิดหวานจะมีพิษน้อยกว่าชนิดขมที่ปลูกกันอยู่ทั่วไป ถ้านำมากินแบบดิบๆ ระบบย่อยจะดูดซึมพิษไซยาไนด์ โดยไซยาไนด์จะอยู่ในรากที่เป็นกรดไฮโดรไซยานิก (HCN) หรือกรดพรัสซิก (Prussic acid) ซึ่งมีความเป็นพิษ และจะมีอยู่ในเปลือกมากกว่าเนื้อ การนำมาแช่น้ำและการนำมาต้ม จะทำให้กรดเหล่านี้ระเหยไปได้
2. โดยสารไซยาไนด์ชนิดนี้จะเป็นสาเหตุของ Cyanogens พิษของรากหากไม่นำมาปรุงให้สุกจะมีพิษ ซึ่งการนำมาปรุงอาหารก็ต้องเอาเปลือกออก ส่วนการต้มโดยเฉพาะในส่วนของรากควรต้มประมาณ 30-40 นาที แล้วทิ้งน้ำที่ต้ม ถ้าเป็นส่วนของใบให้ต้มมากกว่า 10 นาที ยิ่งถ้าเป็นใบแก่ก็ยิ่งต้องต้มนานมากขึ้น[5],[7]
3. ทั้งต้น ราก ใบ และหัวดิบมีสารพิษที่ชื่อว่า Cyanogenic glycoside เป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้ออกซิเจนเข้าสู่เซลล์สมองได้น้อยลง[2],[7]
4. เมื่อกินพืชที่มีสาร Cyanogenic glycoside สด ๆ จะทำให้เกิดอาการอาเจียน หายใจลำบาก กล้ามเนื้ออ่อนเพลีย กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน กล้ามเนื้อกระตุก มีอาการมึนงง ไม่รู้ตัว มีอาการชักก่อนจะหมดสติ มีอาการขาดออกซิเจน ตัวเขียว ลมหายใจมีกลิ่นไซยาไนด์[2],[7]
5. หากได้รับ Cyanogenic glycoside เข้าไปในปริมาณมากจะมีอาการโคม่าภายใน 10-15 นาที และทำให้เสียชีวิตได้ และยังพบอาการเป็นพิษแบบเฉียบพลัน คือ อาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อาเจียน ปวดท้อง และอุจจาระร่วง โดยทั่วไปอาการที่พบมี 2 อาการสำคัญ คือ อาการ Konzo หรือ tied legs (อัมพาตฉับพลันที่ขาทั้งสองข้าง เป็นโรคที่เกิดจากความบกพร่องในการควบคุมการเคลื่อนไหวของประสาทสวนบน), และอาการ Tan หรือ Tropical ataxic neuropathy (อาการที่เกิดจากพิษโดยมีอาการชา ความรู้สึกผิดปกติ สูญเสียการมองเห็น ตาพร่ามัว หูหนวก ขาลีบ สูญเสียการทรงตัว)[2],[7]
6. สำหรับวิธีการรักษา ให้รีบทำให้ผู้ป่วยอาเจียน แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการล้างท้อง ในกรณีที่มีอาการรุนแรงให้ดม amyl nitrite แล้วรีบล้างท้องด้วย 5% sodium thiosulfate หรือทำให้อาเจียน แล้วตามด้วยการฉีด odium nitrite (3% solution at 2.5-5 ml/min.) ร่วมกับ sodium thiosulfate (50 ml of 25% solution,IV) โดยอาจจะต้องให้ยาซ้ำ และให้ออกซิเจนและเครื่องช่วยหายใจกับผู้ป่วย[2]

สั่งซื้ออาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “มันสำปะหลัง” หน้า 154.
2. ระบบวินิจฉัยและการรักษาอาการอันเนื่องจากพืชพิษในประเทศไทย, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “มันสำปะหลัง” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th/tpex/. [26 พ.ค. 2014].
3. ระบบข้อมูลทางวิชาการ, กรมวิชาการเกษตร. “มันสำปะหลัง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: it.doa.go.th/vichakan/. [26 พ.ค. 2014].
4. ภาควิชาพืชไร่นา, คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน. “มันสำปะหลัง (cassava)” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agri.kps.ku.ac.th/agron/. [26 พ.ค. 2014].
5. ศูนย์สารสนเทศชุมชน มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “มัน สำปะหลัง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 202.28.48.140. [26 พ.ค. 2014].
6. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “Cassava, Manioc, Tapioca”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 5 (ลีนา ผู้พัฒนพงศ์), หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว เล่ม 6 : สมุนไพรที่เป็นพิษ (สมพร ภูติยานันต์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [26 พ.ค. 2014].
7. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสิงห์บุรี. (วันทนีย์ วัฒนาสุรกิตต์). “Cassava (มันสำปะหลัง)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.sbo.moph.go.th. [26 พ.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://toplist.info/top-list/