มะยม
มะยม (Star gooseberry) เป็นผลไม้รสเปรี้ยวเมื่อผลเริ่มแก่สามารถนำมารับประทานได้ทั้งแบบดิบหรือจะนำมาแปรรูป เช่น เชื่อม ดอง แช่อิ่ม ออกผลในช่วงฤดูฝน นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรพื้นบ้านทั้ง เปลือก ราก ผล และดอก ประกอบด้วยสารอาหารสำคัญ เช่น วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม และแร่ธาตุอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งผลไม้ชนิดนี้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Phyllanthus acidus (L.) Skeels จัดอยู่ในวงศ์มะขามป้อม (PHYLLANTHACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า หมากยม หมักยม (ภาคอีสาน), ยม (ภาคใต้) เป็นต้น
ลักษณะของมะยม
- ต้น ไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง เปลือกของลำต้นมีลักษณะขรุขระ มีสีเป็นสีเทาปนน้ำตาล
- ใบเป็นใบประกอบ มีใบย่อยออกเรียงสลับกันเป็น 2 แถว
- ดอก ต้นตัวผู้จะออกดอกเต็มต้นแต่ไม่ติดลูก ส่วนต้นมะยมตัวเมียนั้นจะมีดอกที่น้อยกว่า ในทางการแพทย์นั้นจะนิยมใช้มะยมตัวผู้เป็นหลักทั้งในส่วนของใบและราก เพราะมีสรรพคุณทางยาค่อนข้างสูงกว่ามะยมตัวเมีย
- ผล เมื่ออ่อนผลจะเป็นสีเขียว แต่เมื่อผลแก่แล้วจะเป็นสีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง เนื้อมีความฉ่ำน้ำเป็นอย่างมาก ในผลมีเมล็ดกลม ๆ 1 เมล็ด เป็นสีน้ำตาล ในส่วนของรสชาตินั้นจะมีรสหวานอมฝาด
ข้อควรระวัง : น้ำยางจากเปลือกของรากมะยมนั้นจะมีพิษเล็กน้อย หากรับประทานเข้าไปอาจมีอาการปวดท้อง ปวดศีรษะ และมีอาการง่วงซึมได้ ควรระวังน้ำยางจากเปลือกรากให้ดี
สำหรับความเชื่อในตำราพรหมชาติฉบับหลวง ระบุเอาไว้ว่า ถ้าปลูกในทางทิศตะวันตกจะช่วยป้องกันสิ่งไม่ดีไม่ให้มากล้ำกรายได้ และเชื่อกันว่าเป็นต้นไม้มงคลนาม ซึ่งคล้ายกับคำว่า “นิยม” ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่ปลูกจะมีเมตตามหานิยม
ประโยชน์ของมะยม
1. ผลมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่ จึงช่วยในการชะลอวัยและความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้
2. ผลมีฤทธิ์ช่วยในการดับร้อนและปรับสมดุลในร่างกายได้
3. สามารถใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยการใช้ผลแก่นำมาดองในน้ำเชื่อมเป็นเวลา 3 วัน (การผสม : น้ำ 1 ส่วน ต่อ น้ำตาล 3 ส่วน) จากนั้นก็นำมารับประทานวันละ 1 ช้อนโต๊ะ
4. มีฤทธิ์ช่วยในการแก้ไข้ (ราก)
5. ช่วยต้านหวัดได้ เพราะมีวิตามินซีสูง
6. ผลมีฤทธิ์กัดเสมหะ และดับพิษเสมหะได้ ด้วยการรับประทานผลแบบสุกหรือแบบดิบก็ได้เช่นเดียวกัน
7. ช่วยในการบำรุงโลหิต โดยการใช้ผลแก่นำมาดองในน้ำเชื่อมจนครบ 3 วัน (น้ำ 1 ส่วน / น้ำตาล 3 ส่วน) แล้วนำมารับประทานวันละ 1 ช้อนโต๊ะ
8. ดอกสดนำมาต้มกรองเอาแต่น้ำสามารถใช้แก้โรคตา ชำระล้างดวงตาได้ (เป็นสูตรในสมัยโบราณ ในปัจจุบันไม่ขอแนะนำให้ทำ)
9. มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ทับระดู ระดูทับไข้ ด้วยการใช้เปลือกต้นนำเอามาต้มกับน้ำดื่ม (เปลือกของลำต้น)
10. ผลสามารถใช้เป็นยาระบายได้
11. สามารถใช้แก้น้ำเหลืองเสียให้แห้งได้ (ราก)
12. สามารถใช้ช่วยรักษาเม็ดผดผื่นคันหรือแก้โรคประดง (โรคผื่นคันตามผิวหนัง) ด้วยการใช้รากประมาณ 1 กิโลกรัมนำมาต้มกับน้ำ 10 ลิตร ต้มให้เดือดประมาณ 10 นาที แล้วทิ้งไว้ให้อุ่นจากนั้นก็นำมาอาบ และควรทำควบคู่ไปกับการใช้รากที่ฝนกับน้ำซาวข้าวทาบริเวณที่เป็นผดผื่นคัน (ราก)
13. นิยมนำมารับประทานเป็นผลไม้สด และได้มีการนำมาประกอบอาหาร เช่น ใช้ทำส้มตำ ส่วนของยอดอ่อนก็นำมาใช้รับประทานเป็นผักสดทานกับน้ำพริก ลาบ ขนมจีน ส้มตำ
14. ใช้ช่วยรักษาโรคผิวหนังได้ (ราก)
15. ช่วยแก้อาการปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ โรคไขข้ออักเสบ ด้วยการนำผลมาตำรวมกับพริกไทยแล้วพอกบริเวณที่ปวด
16. สามารถนำมาแปรรูปได้หลากหลาย เช่น แช่อิ่ม ดอง เชื่อม น้ำผลไม้ แยม กวน หรือจะนำมาใช้ทำเป็นน้ำส้มสายชูก็ได้เช่นกัน
สรรพคุณของมะยม
1. ใบ สามารถแก้เบาหวานได้ ด้วยการใช้ใบสดและรากใบเตยพอประมาณนำมาใส่หม้อ เติมน้ำแล้วต้มเอาน้ำมาดื่ม ซึ่งจะช่วยในการไปกระตุ้นตับอ่อนให้แข็งแรง และสามารถผลิตน้ำตาลในภาวะที่สมดุลโดยไม่ต้องพึ่งอินซูลินจากภายนอกได้อีกด้วย
2. มีฤทธิ์ในการช่วยลดความดันโลหิต ด้วยการใช้ใบแก่พร้อมก้านประมาณ 1 กำมือ นำมาใส่ในหม้อเติมน้ำให้พอท่วม จากนั้นใส่น้ำตาลเล็กน้อยเพื่อดับรสเฝื่อน แล้วต้มให้เดือดประมาณ 5 นาที จากนั้นนำมาดื่มจนความดันเป็นปกติแล้วจึงหยุดรับประทาน (ส่วนท่านใดที่รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันอยู่แล้วไม่ควรหยุดยาที่แพทย์ให้รับประทาน)
3. ใบมีส่วนช่วยบำรุงประสาท
4. ใบ ช่วยรักษาโรคอีสุกอีใสได้ โดยการนำใบมาต้มกับน้ำแล้วนำมาอาบ
5. ใบสามารถนำมาใช้ต้มน้ำอาบแก้พิษคันได้
6. สามารถนำมาใช้ปรุงเป็นส่วนประกอบของยาเขียวได้
7. นำมาทำเป็นอาหารได้
8. ใบ มีสรรพคุณทางยา ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ ด้วยการใช้ใบแก่รวมก้าน 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาลกรวดพอประมาณไม่ให้หวานมาก ต้มจนเดือด ดื่มครั้งละ 1 แก้ว เช้า-เย็น
9. มีฤทธิ์แก้ไข้เหือด ไข้หัด โดยการนำใบมาต้มกับน้ำแล้วนำมาอาบ
10. ใบสามารถช่วยแก้สำแดงได้
11. ใช้ช่วยทำให้ผู้ที่มีอาการติดเหล้า สามารถเลิกเหล้าได้โดยเด็ดขาด ด้วยการใช้รากมะยมตัวผู้ นำมาสับเป็นชิ้นบาง ๆ จำนวน 10 ชิ้น ชิ้นละ 2 ข้อมือ จากนั้นก็นำไปย่างไฟก่อน แล้วเอามาตากแดด 3 แดด แล้วจึงนำไปดองในเหล้าขาวพอท่วมยาประมาณ 5 วัน แล้วนำมาดื่ม ยิ่งช่วงกำลังเมาจะยิ่งออกฤทธิ์ได้ดี เมื่อดื่มไปได้ไม่ถึงครึ่งแก้ว จะคลุ้มคลั่งและอาเจียนออกมา ซึ่งช่วงนี้ให้ระวังเอาไว้ให้มาก เพราะอาจจะดิ้นคลุ้มคลั่งมีอาการประสาทหลอนกันเป็นพักใหญ่ ต้องหาคนมาช่วยกันจับไว้ ถ้าหมดช่วงนี้ไปได้แล้วละก็จะเป็นปกติ และไม่อยากดื่มเหล้าอีกเลย (อ้างอิง : คุณจำรัส เซ็นนิล, คุณสมจิต คำน้อย )
สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth
แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, หนังสือผลไม้ 111 ชนิด คุณค่าอาหารและการกิน (นิดดา หงส์วิวัฒน์, ทวีทอง หงส์วิวัฒน์), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.floraofbangladesh.com/