กรวยป่า
ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Casearia grewiaefolia Vent.[2],[3] ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Casearia kerri Craib, Casearia oblonga Craib[4] ปัจจุบันได้ถูกย้ายมาอยู่ในวงศ์สนุ่น (SALICACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ ตวย (เพชรบูรณ์), ตวยใหญ่ ตานเสี้ยน (พิษณุโลก), คอแลน (นครราชสีมา), ขุนเหยิง บุนเหยิง (สกลนคร), ผ่าสาม หมากผ่าสาม (นครปฐม, อุดรธานี), ก้วย ผีเสื้อหลวง สีเสื้อหลวง (ภาคเหนือ), คอแลน ผ่าสามตวย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), สีเสื้อ, หมูหัน[1],[3],[4],[6]
ลักษณะของกรวยป่า
- ลักษณะของต้น[2],[3],[4]
– เป็นพรรณไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ขนาดเล็กถึงกลาง
– มีความสูงได้ 5-15 เมตร
– รูปทรงโปร่ง
– ออกกิ่งตั้งฉากกับลำต้น
– ลำต้นเปลาตรง มีลายสีขาวปนดำ
– คล้ายตัวแลนหรือตะกวด
– บางท้องที่จึงเรียกว่า “คอแลน”
– เปลือกลำต้นค่อนข้างเรียบเป็นสีเทา สีน้ำตาลอ่อน หรือสีน้ำตาลเข้ม
– มีขนสีน้ำตาลแดงทั่วไป
– กิ่งอ่อนมีขนสั้น หนานุ่ม สีน้ำตาลแดง
– มีน้ำยางสีขาวใส
– เนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลอ่อนเกือบขาว
– ต้นที่มีอายุมาก โคนต้นจะมีพูพอน
– เขตการกระจายพันธุ์อยู่ในภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย จนถึงหมู่เกาะในภูมิภาคเมลานีเซีย
– ในประเทศไทยพบขึ้นทุกภาคของประเทศ
– มักขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบ และป่าทุ่งทั่วไป - ลักษณะของใบ
– เป็นใบเดี่ยว
– ออกเรียงสลับกัน
– ใบเป็นรูปรียาว ขอบขนาน
– ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม
– โคนใบมนกว้าง
– เว้าเล็กน้อยที่รอยต่อก้านใบ
– ขอบใบหยักเป็นถี่ตื้น ๆ
– แผ่นใบมีความกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตร และยาว 8-13 เซนติเมตร
– เนื้อใบหนา
– แผ่นใบเรียบ
– หลังใบเรียบเกลี้ยงเป็นมันหรือมีขนเล็กน้อยที่เส้นกลางใบ
– ท้องใบมีขนสั้นขึ้นปกคลุมทั่วไป
– เส้นกลางใบเรียบหรือเป็นร่องทางด้านบน
– ด้านล่างนูนเห็นได้ชัด
– เส้นแขนงใบมีข้างละ 8-14 เส้น
– แผ่นใบมีต่อมเป็นจุดและขีดสั้น ๆ
– กระจัดกระจายทั่วไป
– เมื่อส่องดูกับแสงสว่างจะโปร่งแสงก้านใบสั้น
– ยาวได้ 0.6-1.2 เซนติเมตร
– มีขนสั้นนุ่มหรือเกือบเกลี้ยง
– หูใบมีขนาดเล็ก เป็นรูปสามเหลี่ยม[2],[3],[4] - ลักษณะของดอก[2],[3],[4]
– ออกดอกเป็นกระจุก
– กระจุกละ 2-8 ดอก
– จะออกตามซอกใบที่หลุดร่วงไปแล้ว
– ก้านดอกยาว 5-6 มิลลิเมตร
– มีขนสั้นนุ่ม
– ดอกเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศสีขาวหรือสีเหลืองแกมเขียว
– ใบประดับมีจำนวนมาก
– มีขนสั้นนุ่ม ไม่มีกลีบดอก
– กลีบเลี้ยงดอกขนาดเล็ก มี 5 กลีบ
– กลีบเลี้ยงเป็นสีเขียว
– แต่ละกลีบจะไม่เท่ากัน ด้านนอกมีขนแน่น ด้านในเกลี้ยง
– ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวน 8-10 อัน
– ก้านชูอับเรณูยาวไม่เท่ากัน มีขนสั้นนุ่มเล็กน้อยหรือเกลี้ยง
– ตรงกลางมีแกนเป็นรูปเจดีย์คว่ำ
– เกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน
– เป็นรูปขอบขนาน
– มีขนหนาแน่น
– รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ เป็นรูปกลมเกลี้ยง
– ก้านเกสรเพศเมียสั้น
– ออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม - ลักษณะของผล[2],[3],[4]
– ผลเป็นผลแบบมีเนื้อ
– เมื่อแห้งจะแตกออก
– ผลเป็นรูปทรงกลมรีหรือรูปไข่
– มีความกว้าง 1.5-2 เซนติเมตร และยาว 2.5-5 เซนติเมตร
– ผิวผลทั้งมันและเรียบ
– เปลือกผลหนา
– เมื่อสุกแล้วจะมีสีเหลืองและจะแตกออกเป็น 3 ซีก
– บางท้องถิ่นจึงเรียกว่า “ผ่าสาม” - ลักษณะของเมล็ด[2],[3],[4]
– ผลมีเมล็ดจำนวนมาก
– เนื้อหุ้มเมล็ดเป็นสีแดงสด
– เมล็ดเป็นรูปเหลี่ยม
– มีขนาด 1 เซนติเมตร
– รูปร่างดูคล้ายผีเสื้อ
– หัวท้ายมน
– ผิวเมล็ดแข็งและเรียบเป็นมัน
– ออกผลในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม
สรรพคุณของกรวยป่า
- ราก สามารถใช้เป็นยาบำรุงธาตุเช่นเดียวกับเปลือก[4]
- ราก สามารถใช้เป็นยาแก้บิดมูกเลือด[4]
- ราก สามารถใช้เป็นยาบำรุงตับ แก้ตับพิการ[1],[2],[4],[5]
- ราก สามารถใช้เป็นยาแก้ผื่นคันเช่นเดียวกับใบ[1],[2],[4]
- ผล สามารถใช้เป็นยาฟอกโลหิต[4]
- ผล สามารถใช้เป็นยาแก้น้ำลายเหนียว แก้เสมหะเป็นพิษ แก้เลือดออกตามไรฟัน [4]
- ผล สามารถใช้เป็นยาแก้บิดปวดเบ่ง แก้ลงท้อง[4]
- เมล็ด มีรสเมาเบื่อ สามารถใช้เป็นยาแก้พยาธิผิวหนัง[4]
- เปลือก สามารถใช้เป็นยาสมานแผล[4]
- เปลือก สามารถใช้เป็นยาขับผายลม[4]
- เปลือก มีรสเมาขื่น ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง บำรุงโลหิต เป็นยาคุมธาตุ[1],[2],[4],[5]
- ดอกและใบ มีรสเมาเบื่อ สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้พิษหรือพิษไข้ตัวร้อน[1],[2],[4]
- ราก ใบ และดอก สามารถใช้เป็นยาแก้ไข้กาฬ พิษกาฬ พิษอักเสบจากหัวกาฬ[1],[2],[4]
- รากและเปลือก มีรสเมาขื่น สามารถใช้เป็นยาแก้ท้องร่วง[1],[2],[4],[5]
- ใบและราก สามารถใช้เป็นยาแก้ท้องร่วง[4]
- รากและเมล็ด สามารถใช้เป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร[1],[2],[4],[5]
- ใบและดอก สามารถใช้เป็นยาแก้พิษที่เกิดจากการติดเชื้อ[5]
ประโยชน์ของกรวยป่า
- น้ำมันจากเมล็ด สามารถใช้เป็นยาเบื่อปลาได้[4],[5]
- เนื้อไม้ สามารถนำมาใช้ทำเครื่องจักสาน เครื่องใช้สอย และเฟอร์นิเจอร์ได้[6]
สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “กรวยป่า (Kruai Pa)”. หน้า 17.
2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “กรวยป่า”. หน้า 55.
3. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กรวยป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [09 ก.ค. 2015].
4. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ผ่าสาม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [09 ก.ค. 2015].
5. อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “กรวยป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [09 ก.ค. 2015].
6. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “กรวย ป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [09 ก.ค. 2015].
อ้างอิงรูปจาก
1.https://efloraofindia.com/2011/02/13/casearia/