ต้นซาก สรรพคุณมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ

0
1538
ต้นซาก
ต้นซาก สรรพคุณมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ เป็นไม้ผลัดใบยืนต้นขนาดใหญ่ เนื้อไม้สีขาว ผิวท้องใบมีขนสั้นปกคลุม ดอกสีเหลือง สีเหลืองนวล หรือสีขาวปนเหลืองอ่อน ฝักคล้ายกับฝักประดู่
ต้นซาก
เป็นไม้ผลัดใบยืนต้นขนาดใหญ่ เนื้อไม้สีขาว ผิวท้องใบมีขนสั้นปกคลุม ดอกสีเหลือง สีเหลืองนวล หรือสีขาวปนเหลืองอ่อน ฝักคล้ายกับฝักประดู่

ซาก

ซาก หรือพันซาด ชื่อวิทยาศาสตร์ Erythrophleum succirubrum Gagnep. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Erythrophleum teysmannii var. puberulum Craib)[1] จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)[4],[5]
ชื่อเรียกอื่น ๆ ผักฮาก (ภาคเหนือ), ชาด พันชาด ไม้ชาด ซาด พันซาด (ภาคอีสาน), ตะแบง (อุดรธานี), ซาก คราก (ชุมพร), ตร้ะ (ส่วย-สุรินทร์), เตรีย (เขมร-สุรินทร์)[1],[2],[3],[4]

ลักษณะของต้นซาก

  • ต้น [1],[2],[4],[5]
    – เป็นไม้ผลัดใบยืนต้นขนาดใหญ่
    – เรือนยอดเป็นพุ่มกลม
    – ลำต้นตั้งตรง มีความสูงประมาณได้ถึง 20-35 เมตร
    – ลำต้นมีขนาดใหญ่
    – ออกใบเยอะจนหนาทึบ
    – เปลือกลำต้นเป็นสีดำ แตกเป็นร่องค่อนข้างลึกตามยาวและตามขวางของลำต้น
    – เนื้อไม้ด้านในเป็นสีขาว
    – แก่นกลางไม้มีเนื้อแข็งเป็นสีน้ำตาล
    – กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุมเล็กน้อย
    – สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง
    – เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดด
    – สามารถพบขึ้นได้ตามป่าราบและป่าผลัดใบ
    – สามารถพบได้มากในจังหวัดนครราชสีมา หรือทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และทางภาคใต้ตอนบน
  • ใบ [1],[3],[5]
    – ใบมีรูปร่างคล้ายกับใบมะค่าหรือใบประดู่
    – เป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น
    – ออกเรียงสลับกัน
    – มีช่อใบด้านข้าง 2-3 คู่
    – ในช่อใบมีใบย่อยประมาณ 8-16 คู่ ออกเรียงสลับกัน
    – ใบเป็นรูปไข่ รูปใบหอก รูปหัวใจ หรือรูปข้าวหลามตัด
    – ปลายใบมน
    – โคนใบสอบหรือเบี้ยว
    – ขอบใบเรียบ
    – ใบมีความกว้าง 2-5 เซนติเมตร และมีความยาว 3-10 เซนติเมตร
    – แผ่นใบเป็นสีเขียวสด
    – ผิวท้องใบมีขนสั้น ๆ ปกคลุม
    – มีเส้นแขนงใบข้างละประมาณ 5-7 เส้น
    – ก้านใบย่อย มีความยาว 2-3 มิลลิเมตร
  • ดอก [1],[3],[5]
    – ออกดอกเป็นพุ่มหรือจะออกเป็นช่อยาวใหญ่
    – จะออกดอกตามซอกใบใกล้กับปลายกิ่ง
    – จะมีช่อดอก 1-3 ช่อต่อหนึ่งซอกใบ
    – มีดอกย่อยจำนวนมากอยู่ตามแกนดอก
    – ดอกเป็นสีเหลือง สีเหลืองนวล หรือสีขาวปนเหลืองอ่อน
    – ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ติดกันเป็นรูปถ้วยสีเขียว
    – ขอบถ้วยแยกเป็นแฉก 5 แฉก
    – กลีบดอกมี 5 กลีบ เป็นรูปใบพายแคบ ๆ สีเขียวแกมขาวติดกันเล็กน้อยที่ฐาน
    – กลีบดอกเมื่อบานเต็มที่จะมีความกว้างประมาณ 2-3 มิลลิเมตร
    – ดอกมีเกสรเพศผู้ 10 อัน
    – เกสรเพศเมียมี 1 อัน
    – สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี
    – จะออกดอกพร้อมกับการผลิใบอ่อน
    – ดอกจะมีกลิ่นเหม็นคล้ายกับกลิ่นซากเน่าตายของสัตว์ จึงถูกเรียกชื่อว่า “ต้นซาก“
  • ผล [1],[2],[3],[5]
    – ผลจะออกเป็นฝัก
    – ฝักจะรูปร่างกลมคล้ายกับฝักประดู่
    – มีความกว้าง 2-3.5 เซนติเมตร และยาว 10-20 เซนติเมตร
    – มีเมล็ดประมาณ 5-8 เมล็ดต่อฝัก
    – เมล็ดมีรูปร่างกลมและแบน

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของซาก

  1. สารสกัดจากลำต้นของซากด้วย 50% แอลกอฮอล์[5]
    – มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
    – ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์
    – มีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ทั้งในภาวะที่มีและไม่มีการทำงานของเอนไซม์ร่วมด้วย
    – ไม่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยตรง
    – สามารถกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดที่เซลล์
    – มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus (เชื้อที่ทำให้เกิดโรคแผลฝีหนอง)
    – มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Shigella (เชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคบิด)
    – มีฤทธิ์ต้านเชื้อ V. cholerae (เชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคอหิวาตกโรค) ที่ความเข้มข้น ≤ 0.78 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร
    – มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Salmonella ที่ความเข้มข้น 1.56 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร
    – มีฤทธิ์ต้านเชื้อ E. coli และ Ps. aeruginosa ที่ความเข้มข้น 6.25 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร
    – มีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคกลาก ที่ความเข้มข้น 4 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร
    – มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสเริม Herpes simplex virus type 1
    – มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งตับปานกลาง
    – สามารถชักนำการตายของเซลล์มะเร็งตับแบบอะพอพโทซิต่ำเมื่อเซลล์ได้รับสารสกัดนาน 1 วัน
  2. มีสารในกลุ่มแนนนินส์ ฟลาโวนอยด์ อัลคาลอยด์ และคาร์ดิแอคไกลโคไซด์เป็นองค์ประกอบ[5]
  3. จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์[4]
    – มีฤทธิ์ในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ กระตุ้นหัวใจ
    – กระตุ้นการหดตัวและคลายของกล้ามเนื้อเรียบและกล้ามเนื้อลาย
    – เพิ่มความดันโลหิต และเป็นพิษต่อหัวใจ อาจทำให้ตายได้

พิษของต้นซาก

  1. ส่วนที่เป็นพิษของต้นซาก[2]
    – เปลือกไม้
    – เนื้อไม้
    – ราก
    – ใบ
    – สารที่เป็นพิษของต้นซาก[2]
    – เป็นสารในกลุ่ม alkaloids คือ
    – acetylcassaidine
    – cassainecassaidine
    – coumingine
    – coumidine
    – erythrophleine, ivorine
  2. สาเหตุในการเกิดพิษ
    – ส่วนมากจะเป็นความเข้าใจผิดว่าเมล็ดของซากเป็นเมล็ดของไม้แดง
  3. อาการของพิษ[2]
    – ในอาการแรกจะเริ่มเมื่อกินเมล็ดเข้าไป มีอาการอาเจียน อาการจะเกิดขึ้นหลังการกินเข้าไปประมาณ 30-60 นาที จากนั้นจะมีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ ต่อมาจะมีผลต่อระบบประสาท อาจจะทำให้เสียชีวิตได้
  4. การรักษาพิษ[2]
    – ควรรีบให้สารน้ำ, NaHCO3, atropine และ dopamine เข้าหลอดเลือดดำ
    – ทำการให้ออกซิเจน

ข้อควรระวัง[3]

  • หากนำมารับประทานเดี่ยวหรือต้มกับน้ำดื่มอาจจะทำให้เสียชีวิตได้
  • ก่อนนำมาปรุงเป็นยาจึงต้องนำเนื้อไม้มาเผาให้เป็นถ่านก่อน เพื่อทำลายพิษให้หมดไป
  • ด้วยความเป็นพิษของต้น ในบรรดามิจฉาชีพจึงนำเอาไปใช้ในทางที่ไม่ดี
  • ทำให้ต้นไม่เป็นที่นิยมในการปลูกและหาได้ยากในปัจจุบัน

ตัวอย่างผู้ป่วยที่ได้รับพิษ

  1. เด็กหญิงอายุ 12 ปี[2]
    ได้รับประทานเมล็ด 3 เมล็ด 1 ชั่วโมงก่อนมาถึงโรงพยาบาล หลังรับประทานเด็กมีอาการอาเจียนหลายครั้ง ปวดท้อง วิงเวียนศีรษะ ผลการตรวจร่างกายพบว่า มีอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ความดันโลหิต 130/90 มิลลิเมตรปรอท หายใจ 24 ครั้งต่อนาที ชีพจรเต้น 94 ครั้งต่อนาที ต่อมาผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ผู้ป่วยกลับบ้านได้ในวันที่ 3 ของการรักษา
  2. เด็ก 4 คน อายุประมาณ 10 ขวบ[2]
    ได้กินเมล็ดเข้าไปตั้งแต่ตอนเที่ยงจนถึงเวลา 9 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ได้พาเด็กมาโรงพยาบาล เนื่องจากเด็กมีอาการอ่อนเพลียมากเกือบไม่รู้ตัว มีอาการหอบ และเสียชีวิต 1 คน ในขณะที่มาถึงโรงพยาบาลได้ประมาณ 5-10 นาที ก่อนจะได้รับการรักษา ผลการตรวจร่างกายพบว่า เด็กไม่ค่อยรู้สึกตัว มีอาการหอบ หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอม่านตาหดเล็กมาก เด็กอีก 3 คนที่เหลือได้ทำการรักษาแบบประคับประคองไปตามอาการ ผลการรักษาหายเป็นปกติ
    – จากการสอบถามเด็กที่รอดชีวิตพบว่าได้กินเมล็ดเข้าไปคนละประมาณ 2-3 เมล็ดเท่านั้น
  3. เด็กหญิงอายุ 6 ปี[2]
    ได้รับประทานเมล็ด 2 เมล็ด ในภายหลังการรับประทานเด็กมีอาการอาเจียนหลายครั้งและซึมลง
    จึงมารับการรักษาที่โรงพยาบาล ผลการตรวจร่างกายพบว่า อุณหภูมิของร่างกายเป็นปกติ ความดันโลหิต 100/60 มิลลิเมตรปรอท หายใจ 40 ครั้งต่อนาที ชีพจรเต้น 100 ครั้งต่อนาที ผู้ป่วยมีอาการซึมลงเล็กน้อย
    หายใจไม่สม่ำเสมอ หัวใจเต้นเร็วเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ วันต่อมาผู้ป่วยรู้สึกตัวดี สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  4. เด็กอายุ 5 ปี[2]
    ได้รับประทานเมล็ดประมาณ 10-15 เมล็ด ผ่านไป 7 ชั่วโมงก่อนจะมาถึงโรงพยาบาล หลังรับประทานไปได้ 30 นาที เด็กมีอาการอาเจียนหลายครั้งและซึมลง เมื่อตรวจร่างกายพบว่าอุณหภูมิเท่ากับ 36.8 องศาเซลเซียส
    ความดันโลหิต 80/50 มิลลิเมตรปรอท หายใจ 40 ครั้งต่อนาที ชีพจรเต้น 50 ครั้งต่อนาที หายใจไม่สม่ำเสมอหัวใจเต้นช้าและจังหวะไม่สม่ำเสมอแพทย์ทำการรักษาผู้ป่วยโดยให้สารน้ำ NaHCO3 atropine และ dopamine เข้าทางหลอดเลือดดำ และทำการให้ออกซิเจน ผลการรักษาพบว่าหัวใจของผู้ป่วยเต้นช้าอยู่ตลอดเวลา ผู้ป่วยมีอาการซึมลงเรื่อย ๆ 3 ชั่วโมงต่อมาเริ่มหายใจช้าลง ความดันโลหิตลด และได้เสียชีวิตในที่สุด
  5. เด็กชายอายุ 3 ปี[2]
    ได้รับประทานเมล็ด ประมาณ 15 เมล็ด ผ่านไป 12 ชั่วโมงก่อนจะมาถึงโรงพยาบาล หลังการรับประทานไปได้ 30 นาที เด็กมีอาการอาเจียนหลายครั้ง ปวดท้อง ผลการตรวจของแพทย์พบว่าเด็กมีอาการซึมเล็กน้อย ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ มีอุณหภูมิของร่างกายปกติ ความดันโลหิต 100/100 มิลลิเมตรปรอท หายใจ 32 ครั้งต่อนาที
    ชีพจรเต้นเบาเร็วไม่สม่ำเสมอ หัวใจเต้นผิดจังหวะ แพทย์ทำการรักษาผู้ป่วยโดยให้สารน้ำและ NaHCO3 เข้าทางหลอดเลือดดำ ให้ออกซิเจน 30 นาที ต่อมาผู้ป่วยมีอาการหมดสติและหัวใจหยุดเต้น คลื่นหัวใจมีลักษณะ cardiac standstill ไม่ตอบสนองต่อการรักษา ผู้ป่วยได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา
  6. เด็กชายอายุ 2 ปี[2]
    – มีประวัติรับประทานเมล็ดพร้อมผู้ป่วยรายที่ 1 รับประทานเพียงแค่ 3-4 เมล็ด หลังการรับประทานไปได้ 30 นาที เด็กมีอาการอาเจียนประมาณ 3-4 ครั้ง มีอาการปวดท้อง ผลการตรวจของแพทย์พบว่าเด็กมีอาการซึมลงเล็กน้อย ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ อุณหภูมิของร่างกายเป็นปกติ ความดันโลหิต 90/50 มิลลิเมตรปรอท หายใจ 32 ครั้งต่อนาที ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นประมาณ 100 ครั้งต่อนาที แพทย์ทำการรักษาโดยให้สารน้ำเข้าทางหลอดเลือดดำ วันต่อมาผู้ป่วยรู้สึกตัวดีขึ้น สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ และผู้ป่วยกลับบ้านได้ในวันที่ 3 ของการรักษา

สรรพคุณของซาก

– ช่วยแก้ไข้สันนิบาต[4]
– ช่วยดับพิษโลหิต[4]
– ถ่าน ช่วยแก้โรคผิวหนัง[4]
– ถ่าน ช่วยแก้พิษไข้ แก้อาการเซื่องซึม[1]
– ถ่าน ช่วยดับพิษตานซาง[4]
– ถ่าน ช่วยแก้โรคเกี่ยวกับเด็กได้[1]
– ลำต้น ช่วยแก้ไข้ที่มีพิษร้อน กระสับกระส่าย[4]
– ลำต้น ช่วยแก้ไข้เซื่องซึม[4]

ประโยชน์ของซาก

  • ต้น สามารถนำมาใช้ปลูกเพื่อเป็นไม้อนุรักษ์หรือปลูกเพื่อฟื้นฟูสภาพป่า[3]
  • ต้น สามารถช่วยรักษาหน้าดินได้ดี เพราะเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่[3]
  • เนื้อไม้ สามารถนำไปใช้ทำหมอนรองรางรถไฟ ทำเสาอาคารบ้านเรือน เสาเข็มได้[3]
  • แก่น สามารถนำมาใช้ทำด้ามขวานหรือเครื่องมือทางการเกษตร[4]
  • เนื้อไม้ สามารถนำมาเผาให้เป็นถ่านได้ จะทำให้ไฟแรงได้ดี เรียกว่า “ถ่านทำทอง“[1]
  • ชาวบ้านชนบทในสมัยก่อน จะตัดเอาต้นไปเผาทำถ่านบรรจุกระสอบขาย เนื่องจากเป็นถ่านที่ให้แรงและไม่มอดง่าย ทำให้ได้รับความนิยมมาก[3]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ซ า ก”. หน้า 280-281.
2. ระบบวินิจฉัยและการรักษาอาการอันเนื่องจากพืชพิษในประเทศไทย, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “หูปลาช่อน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th/tpex/. [14 ก.ย. 2014].
3. ไทยรัฐออนไลน์. (นายเกษตร). “ซ า ก กับที่มาชื่อประโยชน์และโทษ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaicrudedrug.com. [14 ก.ย. 2014].
4. ศูนย์ปฏิบัติการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ซ า ก, ชาด, พันชาด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.goldenjubilee-king50.com. [14 ก.ย. 2014].
5. โครงการจัดทำฐานข้อมูลพืชสมุนไพรที่สำรวจและวิจัยภายใต้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.), มหาวิทยาลัยขอนแก่น. “พันซาด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : home.kku.ac.th/orip2/thaiherbs/. [14 ก.ย. 2014].
6. https://medthai.com/

อ้างอิงรูปจาก
1. https://commons.wikimedia.org
2. https://www.malawiflora.com