มะแว้งเครือ
มะแว้งเครือ มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Solanum trilobatum L. จัดอยู่ในวงศ์มะเขือ (SOLANACEAE)[1]
นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า แขว้งเคีย (ตาก), มะแว้งเถา (กรุงเทพฯ), มะแว้ง มะแว้งเถาเครือ (ทั่วไป) เป็นต้น[1],[3]
หมายเหตุ : นิยมใช้ทำเป็นยา นำมาจิ้มกับน้ำพริกรับประทาน แพทย์แผนไทยในอดีตจะนิยมใช้ทั้งมะแว้งเครือและมะแว้งต้นร่วมกัน โดยเรียกว่า “มะแว้งทั้งสอง”[8]
ลักษณะของมะแว้งเครือ
- ต้น เป็นไม้เถาขนาดเล็ก มีลักษณะกลมเป็นเถาสีเขียว ตามลำต้นนั้นจะมีหนามแหลมขึ้นอยู่ สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดหรือจากสัตว์ (โดยเฉพาะนก) ที่กินผลแล้วถ่ายเมล็ดออกมา เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ต้องการน้ำและความชื้นอยู่ในระดับปานกลาง มักจะขึ้นเองโดยธรรมชาติในบริเวณที่ราบชายป่า ที่โล่งแจ้ง และบริเวณที่รกร้างริมทาง สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย[1],[5],[8]
- ใบ จะเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน มีลักษณะเป็นรูปไข่ ขอบใบเว้า ใบมีความกว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตรและมีความยาวประมาณ 5-8 เซนติเมตร หลังใบเรียบมัน ส่วนท้องใบนั้นจะมีหนามตามเส้นใบ[1],[2],[3]
- ดอก จะออกดอกเป็นช่ออยู่ตามซอกใบและตรงปลายกิ่ง ในช่อดอกหนึ่งนั้นจะมีดอกอยู่ประมาณ 5-12 ดอก ซึ่งดอกย่อยจะเป็นสีม่วงอมชมพู ที่มีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกมีลักษณะย่น ปลายกลีบแหลม โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน แต่ละดอกจะมีขนาดประมาณ 2-3 เซนติเมตร ส่วนกลีบเลี้ยงดอกนั้นมี 5 กลีบ มีเกสรเพศผู้สีเหลืองอยู่ 5 ก้าน ส่วนก้านดอกและก้านช่อเป็นสีเขียว[1],[3],[5]
- ผล จะออกเป็นช่อคล้ายกับมะเขือพวง มีลักษณะที่ค่อนข้างกลม ผิวผลเรียบเกลี้ยง ผลมีขนาดที่เล็กกว่าผลของมะเขือพวง หรือมีขนาดประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร ผลอ่อนจะเป็นสีเขียวมีลายเป็นสีขาวๆ ตามยาว แต่เมื่อแก่หรือสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด ผลจะมีเมล็ดลักษณะแบนๆ อยู่หลายเมล็ด และผลจะมีรสขม[1],[2],[3],[5]
สรรพคุณของมะแว้งเครือ
1. ช่วยขับเหงื่อ (ทั้งต้น)[4]
2. ช่วยบำรุงน้ำดี (ผล)[4]
3. ช่วยบำรุงโลหิต (ผล)[4]
4. ผลใช้เป็นน้ำกระสายยากวาด (ผล)[1]
5. ผล แห้งมีฤทธิ์ช่วยทำให้น้ำตับอ่อนเดินได้สะดวก (ผล)[3]
6. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด แก้เบาหวาน ด้วยการใช้ผลที่โตเต็มที่ประมาณ 10-20 ผล นำมารับประทานเป็นอาหาร เป็นผักจิ้มกับน้ำพริก (ผล)[1],[3],[4]
7. ช่วยขับเสมหะ ตำรายาไทยจะใช้ผลสด 4-10 ผล นำมาโขลกพอแหลกคั้นเอาแต่น้ำมาใส่เกลือเล็กน้อย ใช้จิบบ่อย ๆ หรือเคี้ยวกลืนเฉพาะน้ำจนหมดรสขมเฝื่อน (ผล)[1],[2],[3],[4]
8. ทั้งผลสุกและผลดิบเป็นยาขมช่วยทำให้เจริญอาหาร ด้วยการใช้ผลสดประมาณ 5-10 ผล นำมาโขลกให้พอแหลก คั้นเอาแต่น้ำผสมกับเกลือใช้จิบบ่อย ๆ หรือจะใช้ผลสดนำมาเคี้ยวแล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อ (ผล)[1],[2],[3],[4]
9. ต้นมีสรรพคุณขับเสมหะ (ต้น)[4]
10. ต้นช่วยแก้หญิงท้องขึ้นในขณะตั้งครรภ์ (ต้น)[4]
11. เปลือกต้น ใช้ฝนกับสุราปิดแผล รับประทานแก้พิษงู (เปลือกต้น)[7]
12. ช่วยแก้กระหายน้ำ (ราก)[4]
13. รากมีสรรพคุณกัดและขับเสมหะให้ตก (ราก)[3],[4]
14. รากมีรสขมขื่นเปรี้ยว เป็นยาแก้ไข้สันนิบาต (ราก)[3],[4]
15. สรรพคุณของรากมะแว้งในบางตำราระบุว่า ใช้ระงับความร้อน (ราก)[8]
16. ช่วยกระทุ้งพิษไข้ให้ลดลง (ต้น,ราก)[4],[8]
17. ใบและรากใช้เป็นยารักษาวัณโรค (ใบและราก)[3],[4]
18. ใบและรากนำมาทำเป็นยาลูกกลอน หรือต้มและทำเป็นผง ทำเป็นยาแก้ไอ (ใบและราก)[3]
19. ช่วยแก้น้ำลายเหนียว (ต้น, ราก, ใบ, ผล)[3],[4]
20. กากทิ้ง จะช่วยบำบัดอาการไออย่างได้ผลชะงัด (บ้างก็ใช้ผลแห้งปรุงเป็นยาแก้ไอ) (ราก, ใบ, ผล, ทั้งต้น)[1],[2],[3],[4]
21. ช่วยแก้โลหิตออกทางทวารหนัก ทวารเบา (ราก, ผล)[4]
22. ช่วยแก้หืด หืดหอบ ด้วยการใช้ผลสดประมาณ 5-10 ผล โขลกพอแหลก คั้นเอาแต่น้ำและใส่เกลือ นำมาจิบบ่อย ๆ หรือใช้ผลสดเคี้ยวแล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อ (ราก, ทั้งต้น)[4]
23. ใบ รากมีรสขม เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย (ราก, ใบ, ผล)[3],[4],[5]
24. ต้น ราก ผลสด ผลแห้ง และทั้งต้นใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (ต้น, ราก, ผลสด, ผลแห้ง, ทั้งต้น)[1],[2],[3],[4]
25. ราก ใบ ผล และทั้งต้นใช้เป็นยาแก้ไอ ตำรายาไทยจะใช้ผลสดเป็นยาแก้ไอ แก้เจ็บคอ ด้วยการใช้ในผลสด 4-10 ผล นำมาโขลกพอแหลกคั้นเอาแต่น้ำมาใส่เกลือเล็กน้อย ใช้จิบบ่อย ๆ หรือใช้ผลสดเคี้ยวกลืนเฉพาะน้ำจนหมดรสขมเฝื่อน แล้วคาย
ประโยชน์ของมะแว้งเครือ
1. ผลอ่อน ใช้รับประทานสดหรือลวก ต้ม เผาไฟ ใช้เป็นผักร่วมกับน้ำพริก
2. ผลอ่อนและยอดอ่อน สามารถใช้รับประทานเป็นผักได้เช่นกัน แต่ต้องนำมาต้มให้สุกเสียก่อน แล้วจึงนำไปใช้เป็นผักจิ้ม (ส่วนผลอ่อนดิบจะใช้เป็นผักจิ้มได้เลย) นิยมรับประทานกับปลาร้า แต่ก็ใช้จิ้มกับน้ำพริกได้เหมือนกัน[8]
3. ในปัจจุบันนั้นสรรพคุณของมะแว้งในด้านการเป็นยาแก้ไอ ได้ถูกพัฒนาเป็นยาสำเร็จรูปโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ รักษาแผลในลำคอ โดยถือเป็นตำรับยาแผนโบราณที่มีประสิทธิภาพสูงอีกตำรับหนึ่ง กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้เป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณขนานหนึ่ง มีการผลิตออกมาจำหน่ายอย่างจริงจัง และได้มีการปลูกต้นมะแว้งเพื่อนำมาผลิตเป็นยาโดยเฉพาะกันบ้างแล้ว[8]
4. ผลสุกของมะแว้ง ยังช่วยดึงดูดนกให้มาเยี่ยมเยียนขอชิมอยู่บ่อยๆ ด้วย นอกจากนั้นต้นมะแว้งยังมีหนามอยู่มากมายที่จะทำหน้าที่เป็นรั้วได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น[8]
คุณค่าทางโภชนาการ
โดยคุณค่าทางโภชนาการของผลมะแว้ง เครือต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 59 แคลอรี
สารอาหาร | ปริมาณสารที่ได้รับ |
น้ำ | 82.3% |
โปรตีน | 2.6 กรัม |
ไขมัน | 1 กรัม |
คาร์โบไฮเดรต | 9.9 กรัม |
ใยอาหาร | 3.3 กรัม |
เถ้า | 0.9 กรัม |
วิตามินเอ | 1,383 หน่วยสากล |
วิตามินบี 1 | 0.04 มิลลิกรัม |
วิตามินบี 2 | 0.1 มิลลิกรัม |
วิตามินบี 3 | 8.4 มิลลิกรัม |
วิตามินซี | 6 มิลลิกรัม |
แคลเซียม | 50 มิลลิกรัม |
ฟอสฟอรัส | 68 มิลลิกรัม |
ธาตุเหล็ก | 1 มิลลิกรัม |
ข้อมูลทางเภสัชวิทยา
1. ใบมะแว้งเครือมีสาร Tomatid-5-en-3-ß-ol, ส่วนดอกมะแว้งเครือมีสาร Alkaloids, Cellulose, Pectins Unidentified organic acid Lignins, Unidentified saponins, และผลมะแว้งเครือมีสาร Enzyme oxidase, Vitamin A ค่อนข้างสูง[4]
2. จากการทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง โดยทำการเปรียบเทียบสารสกัดจากมะแว้งเครือด้วยคลอโรฟอร์ม ปิโตรเลียมอีเทอร์ เอทิลอะซิเตทและเอทานอล พบว่าสารที่สกัดด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์มีความเป็นพิษต่อเซลล์ Leuk-L292 และ Vero มากที่สุด และเมื่อทำการแยกส่วนสกัดต่อก็พบว่าส่วนที่มีความเป็นพิษต่อเซลล์มากที่สุดคือส่วน Sobatum โดยมีค่า LD50 เมื่อทดสอบกับเซลล์ Leuk-L292 และ Vero มีค่าเท่ากับ 7 และ 7.5 ไมโครกรัมต่อมิลลิกรัมตามลำดับ[6]
3. เมื่อให้สาร Sobatum เข้าทางช่องท้องในขนาด 100, 200 และ 400 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม พบว่าสารดังกล่าวไม่มีฤทธิ์เหนี่ยวนำ micronucleus ของเซลล์เม็ดเลือดแดงในไขกระดูก หรือทำให้เกิดความผิดปกติในโครโมโซม และเมื่อทำการทดสอบความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลันและแบบเฉียบพลันของส่วนสกัดดังกล่าว ก็ไม่พบว่าก่อให้เกิดอาการพิษ หรือความผิดปกติในเนื้อเยื่อ หรือทำให้หนูตาย[6]
4. จากการทดสอบความเป็นพิษของสารสกัดด้วยเอทานอลและน้ำ ในอัตราส่วน 1:1 ด้วยการฉีดเข้าทางช่องท้องของหนูขาวทดลอง พบว่าในขนาดที่ทำให้หนูทดลองตายครึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่าเท่ากับ 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม[6]
สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “มะแว้งเครือ”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 641-642.
2. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “มะ แว้ง เครือ”. หน้า 191.
3. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “มะ แว้ง เครือ (Ma Waeng Khruea)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 237.
4. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “มะ แว้ง เครือ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [18 พ.ค. 2014].
5. ผักพื้นบ้าน ในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. “มะแว้งเครือ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: area-based.lpru.ac.th/veg/. [18 พ.ค. 2014].
6. ฐานข้อมูลความปลอดภัยของสมุนไพรที่มีการขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณ, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “มะ แว้ง เครือ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th/poisonpr/. [18 พ.ค. 2014].
7. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “Solanum trilobatum L.”. อ้างอิงใน: หนังสือสารานุกรมสมุนไพร เล่ม 1, หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [18 พ.ค. 2014].
8. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 235 คอลัมน์: ต้นไม้ใบหญ้า. “มะแว้ง : ทั้งต้นและเครือล้วนเชื้อพันธุ์เดิม”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [18 พ.ค. 2014].
อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.comdept.cmru.ac.th/
2.https://tropical.theferns.info/