ต้นหลิว
เป็นต้นไม้ผลัดใบ กิ่งอ่อนมีขนนุ่ม ใบเรียวยาวกิ่งก้านที่ห้อยย้อย ออกเป็นดอกเดี่ยวไม่มีกลีบดอก

ต้นหลิว

ต้นหลิว เป็นต้นไม้ผลัดใบขนาดกลางอายุยืนประมาณ 20-30 ปี ใบเรียวยาวกิ่งก้านที่ห้อยย้อยสวยงามจัดอยู่ในตระกูล Salicaceae หรือตระกูลสนุ่นต้นไม้นี้มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกชอบแดดจัดไม่ชอบสภาพอากาศหนาวจัด ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Salix babylonica L. ชื่อเรียกอื่น ๆ ลิ้ว (จีนแต้จิ๋ว), หยั่งลิ้ว หลิว (จีนกลาง)[1],[2]

ลักษณะของต้นหลิว

  • ต้น[1],[2]
    – ลำต้นสูง 10-20 เมตร
    – เรือนยอดโปร่ง
    – เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาล
    – กิ่งก้านสาขาเป็นสีเขียวหรือสีน้ำตาลอ่อน
    – ตามกิ่งอ่อนมีขนนุ่มขึ้นเล็กน้อย
    – เป็นไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดดจัด
    – สามารถขยายพันธุ์โดยวิธีการตอนกิ่งและวิธีการปักชำกิ่ง
    – เติบโตได้ดีในดินเกือบทุกประเภท
    – สามารถพบได้ตามริมแม่น้ำ
  • ใบ[1],[2]
    – เป็นใบเดี่ยว
    – ใบเป็นรูปใบหอกแคบยาวรี
    – ปลายใบยาวแหลมเรียว
    – โคนใบแหลม
    – ขอบใบหยักเล็กน้อยหรือเป็นจักละเอียดเกลี้ยง
    – ใบมีความกว้าง 2-6 นิ้ว และยาว 3.5-6.5 นิ้ว
    – หลังใบเป็นสีเขียว
    – ท้องใบเป็นสีขาว
    – มีก้านใบยาว 6-12 มิลลิเมตร
  • ดอก[1],[2]
    – ออกเป็นดอกเดี่ยว
    – ดอกเป็นแบบแยกเพศ
    – ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะแยกกันอยู่คนละต้น
    – ดอกเพศผู้จะมีความยาว 1.5-2 เซนติเมตร
    – ดอกเพศเมียจะมีความยาว 5 เซนติเมตร
    – ไม่มีกลีบดอก

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  • สารเคมีที่พบ คือ ในใบหลิวมีสารแทนนิน, delphinidin, cyanidin, fragilin, salicin, salicortin, salidroside, triandrin, vimalin, ในกิ่งก้านหลิวมีสาร salicin 3-4%, ในเปลือกต้นหลิวมีสารแทนนิน 3-9% และใบหลิวมีสารแทนนิน 4.9%[3]
  • การสกัดเนื้อเยื่อที่เพาะเลี้ยงจากตากิ่ง จะพบสารชนิดที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis[1]
  • จากการรักษาผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวกจนถึงชั้นหนังแท้ ผิวหนังถูกทำลายจนเป็นหนังพุพอง โดยการทดลองใช้กิ่งหลิวสดมาเผาไฟให้เป็นถ่าน ป่นให้เป็นผงละเอียด แล้วนำมาผสมกับน้ำมันงา ทำให้เหลวข้น แล้วนำมาใช้เป็นยาทาบริเวณแผลโดยไม่ต้องปิดแผล เป็นระยะเวลา 3-14 วัน พบว่าสามารถทำให้แผลหายได้[1]
  • จากการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบชนิดเอ จำนวน 253 ราย ด้วยการทดลองใช้กิ่งและใบหลิวสดประมาณ 60 กรัม (ถ้าใช้ 30 กรัม) นำมาเติมน้ำ 500 มิลลิลิตร แล้วต้มจนเหลือ 300 มิลลิลิตร จากนั้นนำมาแบ่งให้ผู้ป่วยกินเป็น 2 ครั้ง กินติดต่อกันจนอาการดีขึ้น ผลการทดลองพบว่า มีผู้ป่วยหายขาดจากโรคชนิดนี้ คิดเป็น 96.3% ใช้เวลาในการให้ยาโดยเฉลี่ยคิดเป็น 28.5 วัน อาการอาเจียน กินไม่ได้ แน่นท้องจะหายไปภายในเวลา 2.7, 3.7, และ 7 วัน ตามลำดับ ปัสสาวะที่มีสีเข้มจะจางลงและมีปริมาณของปัสสาวะเพิ่มขึ้น[1]
  • จากการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง จำนวน 82 ราย โดยการใช้กิ่งของต้นหลิว 120 กรัม นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ล้างให้สะอาด แล้วนำมาต้มกรองเอาแต่น้ำกินเป็นยาติดต่อกัน 10 วัน ผลการทดลองพบว่า มีผลในการรักษาอาการไอ เสมหะ และหอบได้ชั่วคราว จากการรักษาพบว่าได้ผลดีหากไม่มีอาการแทรกซ้อน และจากการสังเกตอาการของผู้ป่วยหลังจากดื่มยาแล้ว พบว่า ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นและไม่แสดงอาการชั่วคราว 34 ราย มีอาการดีขึ้น 26 ราย มีอาการดีขึ้นบ้าง 21 ราย ส่วนอีก 1 ราย ไม่ได้ผล หลังจากกินยาชนิดนี้แล้วผู้ป่วยส่วนใหญ่กินอาหารได้มากขึ้นและนอนหลับดีขึ้น แต่บางรายที่กินยาเกินขนาดพบว่ามีอาการท้องร่วง ปวดท้อง ในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ไม่จำเป็นต้องรักษาก็หายเองได้[1],[3]
  • เมื่อนำ salicin ที่สกัดได้มาต้มกับกรดเกลือเจือจางหรือกรดกำมะถัน จะได้ saligenin และ glucose โดย saligenin เป็นสารที่มีรสขม ออกฤทธิ์ต่อกระเพาะอาหาร หลังจากดูดซึมแล้วส่วนหนึ่งจะกลายเป็น salicylate ซึ่งมีฤทธิ์แก้ปวดลดไข้ เนื่องจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงจาก salicin เป็น saligenin และ salicylate ในร่างกายนั้นไม่แน่นอน การจะหวังผลในการลดไข้แก้ปวดโดยใช้ salicin อาจจะไม่ได้ผลเต็มที่นัก ส่วน saligenin เข้มข้น 4-10% สามารถนำมาใช้เป็นยาชาเฉพาะที่ได้โดยไม่เกิดพิษ[3]
  • การรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบแข็ง ด้วยการใช้กิ่งหลิวสด 180 กรัม นำมาทำเป็นน้ำเชื่อม 100 มิลลิลิตร ให้ผู้ป่วยกินวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 50 มิลลิลิตร ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2 เดือน
  • หลังจากกินยานี้ถ้าผู้ป่วยมีอาการท้องอืดหรือมีอาการอาหารไม่ย่อย จะให้ยาช่วยย่อย ด้วยการเติมเมล็ดข้าวสาลีที่เริ่มงอก ในขนาด 30 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จากการสังเกตผู้ป่วย 40 ราย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด (มีอาการใจสั่น หายใจเร็ว แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ แขนขาชาและบวม) จำนวน 31 ราย พบว่าอาการหายไป 14 ราย อาการทุเลาลง 13 ราย อาการคงที่ 4 ราย โดยส่วนใหญ่อาการจะค่อย ๆ ลดลงหรือหายไปภายใน 2-56 วัน และยังพบว่าผู้ป่วยบางคนมีปัสสาวะเพิ่มขึ้น ทำให้อาการขาบวมหายไป นอนหลับได้ดีขึ้น เฉพาะผู้ป่วย 24 ราย ที่มีอาการความดันโลหิตสูงร่วมด้วย ส่วนใหญ่แล้วจะพบว่าความดันโลหิตลดลงในระดับต่าง ๆ กัน
  • เมื่อตรวจสอบการรักษาด้วยการตรวจคลื่นหัวใจให้ผู้ป่วย 35 ราย พบว่าดีขึ้นจำนวน 15 ราย (ดูเหมือนว่าผลการรักษาจะดีกว่าในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง) ส่วนระดับคอเลสเตอรอลในพลาสมาของผู้ป่วย 38 ราย ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลง ส่วนผลข้างเคียงที่พบได้จากการใช้ยานี้ คือ อาจทำให้ถ่ายอุจจาระเหลว แต่อาการจะหายไปเองภายใน 7-14 วัน และบางรายอาจเกิดผื่นคันและพรายย้ำ (จ้ำเขียว) ถ้าใช้ยาแก้แพ้ก็จะหายไปภายใน 7-14 วัน[3]

สรรพคุณของกิ่งหลิว

  • ช่วยแก้โรคปวดตามข้อ[1],[2]
  • ช่วยรักษาบริเวณที่เป็นฝีคัณฑสูตร รำมะนาด และไฟลามทุ่ง[1],[2]
  • ช่วยรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก[3]
  • ช่วยแก้อาการบวมน้ำ[1]
  • ช่วยแก้ตับอักเสบ[1],[2]
  • ช่วยขับลมได้1],[2]
  • ช่วยป้องกันโรคตับอักเสบชนิดเอ[3]
  • ช่วยแก้ขัดเบา[1],[2]
  • ช่วยขับนิ่ว[1],[2]
  • ช่วยขับปัสสาวะ[1],[2]
  • ช่วยขับลม[1],[2]
  • ช่วยแก้ปวด[1],[2]
  • ช่วยลดไข้[1],[2]

ประโยชน์ของหลิว

  • สามารถนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปได้[2]
  • กิ่ง สามารถนำมาใช้เตรียมเป็นผงถ่านพิเศษหรือกัมมันต์ได้ (Activated Charcoal)[3]
  • สาร salicin ที่สกัดได้จากต้นหลิวนั้นสามารถใช้ในการระงับอาการไข้และแก้ปวดได้[4]
  • มีการนำสาร salicin นำมาใช้เป็นแหล่งกำเนิดของกรดชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Acetyl salicylic acid ซึ่งใช้เป็นสารที่ใช้สำหรับทำยาแอสไพริน (Aspirin) หรือยาแก้ปวด[4]
  • เป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภ ความสุข ความร่ำรวย การได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง[4]
  • เป็นพืชวิเศษที่ชาวจีนเคารพบูชา
  • คนจีนไม่นิยมปลูกต้นหลิวไว้ในบ้าน เนื่องจากใบหลิวมีลักษณะลู่ห้อยลงมา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคนโศกเศร้า ดูแล้วทำให้อารมณ์เศร้าซึม
  • มีความเชื่อที่ว่าบ้านใดมีลูกสาวและปลูกต้นหลิวไว้ในบ้าน ลูกสาวบ้านนั้นจะไม่มีคนมาสู่ขอ

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “หลิว”. หน้า 822-823.
2. สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “หลิว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/kp_bot_garden/kpb.htm. [25 ส.ค. 2014].
3. ไทยเกษตรศาสตร์. “สรรพคุณของหลิว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaikasetsart.com. [25 ส.ค. 2014].
4. SciMath. (สุนทร ตรีนันทวัน). “สารซาลิซิน ( SALICIN ) ในเปลือกของต้นหลิว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.scimath.org. [25 ส.ค. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1. https://kingco.co.uk/
2. https://blog.irontreeservice.com/