โรคจอประสาทตาเสื่อม ( Age-related Macular Degeneration – AMD )

0
4241
โรคจอประสาทตาเสื่อม ( Age-related Macular Degeneration - AMD )
โรคจอประสาทตาเสื่อม หรือ โรคขั้วประสาทตาเสื่อม คือ ภาวะที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป
โรคจอประสาทตาเสื่อม ( Age-related Macular Degeneration - AMD )
โรคจอประสาทตาเสื่อม หรือ โรคขั้วประสาทตาเสื่อม คือ ภาวะที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป

โรคจอประสาทตาเสื่อม

โรคจอประสาทตาเสื่อม หรือ โรคขั้วประสาทตาเสื่อม ( Age-Related Macular Degeneration – AMD ) คือ ภาวะที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสาเหตุจากจุดรับภาพตรงกลางของจอประสาทตาเสื่อม โรคจอประสาทตาเสื่อมเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและประเภท

ประเภทจอประสาทตาเสื่อม

โรคจอประสาทตาเสื่อม แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

1. จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง ( Dry AMD ) มีจุดสีเหลืองบริเวณจอรับภาพตรงกลางของประสาทตาซึ่งเรียกว่า ดรูเซ่น  ( Drusen ) สะสมอยู่ใต้จอประสาทตา จุดสีเหลืองนี้ทำลายเซลล์รับแสง ซึ่งนำไปสู่การมองเห็นที่บิดเบี้ยว โรคมักแสดงอาการอย่างช้า ๆ และในบางกรณีอาจกลายเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกได้

2. จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก ( Wet AMD ) พบเพียง 10 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด เกิดจากเส้นเลือดฝอยด้านหลังจอประสาทตาผิดปกติ ซึ่งมีของเหลวในหลอดเลือดรั่วไหลไปโดนจุดรับภาพ ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างมากทั้งแบบถาวรและเฉียบพลัน

จอประสาทตาเสื่อมมีอาการอย่างไร

อาการจอประสาทเสื่อมชนิดแห้ง อาการในช่วงแรก ผู้ป่วยอาจมองเห็นภาพเบลอและจุดดำหรือจุดบอดตรงกลางภาพ เมื่อเวลาผ่านไป จุดดำในภาพจะเริ่มขยายใหญ่ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็น ทำให้อ่านหนังสือลำบากหรือมองเห็นรายละเอียดไม่ชัด

อาการจอประสาทเสื่อมชนิดเปียก ทำให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพบิดเบี้ยว พร่ามัว เห็นจุดดำขนาดใหญ่ในภาพซึ่งเป็นผลมาจากการที่เลือดไหลไปอยู่ในจุดรับภาพ

โรคจอประสาทตาเสื่อม หรือ โรคขั้วประสาทตาเสื่อม คือ ภาวะที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป

อาการโดยทั่วไปที่เหมือนกันของโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้ง 2 ประเภท คือ

  1. เห็นสีผิดเพี้ยนหรืออาการคล้ายตาบอดสี 
  2. มองภาพเป็นลักษณะบิดเบี้ยว
  3. ปรับสายตาจากการมองเห็นในที่มืดมาที่สว่างไม่ได้
  4. มีอาการตาแพ้แสง มองในที่สว่างไม่ชัด
  5. เริ่มสูญเสียความสามารถในการมองเห็น ตาพร่ามัว มีจุดดำหรือเงาบังอยู่ตรงกลางภาพ

สาเหตุที่ทำให้จอประสาทตาเสื่อม

โรคจอประสาทตาเสื่อมนี้เป็นไปตามวัย สาเหตุเกิดจากจุดรับภาพซึ่งอยู่ตรงกลางจอประสาทตามีปัญหา โดยจุดรับภาพนี้เป็นจุดที่มีความไวต่อแสง ช่วยในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ให้เห็นได้ชัดเจนที่สุดของจอประสาทตา

จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง เกิดจากเซลล์รับแสงในจุดรับภาพเริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ ตามวัยที่เพิ่มขึ้น อาจมีของเสียสะสมอยู่ในจอประสาทตาซึ่งเรียกว่าดรูเซ่น และเซลล์รับแสงในจุดรับภาพมีจำนวนน้อยลง การมองเห็นบริเวณกลางภาพแย่ลง ทำให้ต้องใช้แสงสว่างมากกว่าปกติเมื่อต้องอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมระยะใกล้

จอประสาทเสื่อมชนิดเปียก เส้นเลือดฝอยเกิดใหม่ใต้จุดรับภาพขยายจำนวนมากขึ้น ถ้าเส้นเลือดฝอยก่อตัวผิดตำแหน่ง ทำให้ส่งผลเสียมากกว่าผลดีเพราะของเหลวในเส้นเลือดจะไหลซึมเข้าตา และทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของบริเวณจุดรับภาพลดลง

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม

โรคจอประสาทตาเสื่อมนั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย ได้แก่

  1. ผู้ป่วยมีอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
  2. มีประวัติบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม
  3. ผู้ที่เป็นโรคหัวใจหลอดเลือด เช่น คอเลสเตอรอลในหลอดเลือดสูง หรือ ความดันโลหิตสูง
  4. ถูกแสงแดดหรือแสงอัลตราไวโอเลตเรื้อรัง
  5. มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน
  6. ชอบสูบบุหรี่และดื่มสุราเป็นประจำ

การวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคจอประสาทตาเสื่อม 

  1. ใช้ยาหยอดขยายม่านตาและอุปกรณ์ขยายส่องจอตา เพื่อดูความผิดปกติของจอประสาทตาด้านหลัง
  2. ทดสอบสายตาด้วยตารางชนิดพิเศษ จักษุแพทย์จะให้ผู้ป่วยทดสอบดูตารางชนิดพิเศษ หรือที่เรียกว่า ตารางแอมสเลอร์ ซึ่งตารางนี้มีทั้งเส้นแนวตั้งแนวนอน โดยมีจุดอยู่ตรงกลาง ถ้าผู้ป่วยมองเห็นเส้นบางเส้นไม่ชัด หรือเส้นจางหายไป แพทย์จะสันนิษฐานว่าผู้ป่วยอาจเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม
  3. ตรวจจากภาพจอประสาทตา ซึ่งการถ่ายภาพจอประสาทตาทำได้หลายวิธี อย่างการใช้กล้องฟันดัสซึ่งเป็นกล้องสำหรับใช้ถ่ายภาพจอประสาทตาแบบดิจิตอล
  4. เอกซเรย์ตรวจเส้นเลือดดวงตา แพทย์อาจวินิจฉัยโดยการเอกซเรย์ตรวจเส้นเลือดซึ่งทำให้เห็นภาพหลอดเลือดและการไหลเวียนของเลือดอย่างชัดเจน โดยฉีดสีซึ่งเรียกว่า ฟลูออเรสเซนเข้าไปในเส้นเลือดผ่านทางแขนซึ่งสีที่ว่าจะวิ่งผ่านหลอดเลือดไปยังจอประสาทตา แพทย์ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นชุดภาพซึ่งจะทำให้เห็นว่าสีที่ฉีดไว้รั่วไหลออกจากหลอดเลือดบริเวณใดบ้างเพื่อระบุชนิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมต่อไป

การรักษาจอประสาทตาเสื่อม

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาจอประสาทตาเสื่อมให้หายขาดได้

การรักษาจอประสาทเสื่อมชนิดแห้ง

  1. หลีกเลี่ยงแสงแดดจ้า
  2. สวมแว่นกันแดดเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต
  3. มาตามแพทย์นัดเพื่อประเมินอาการอย่างใกล้ชิด
  4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ โดยเพิ่มอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี สังกะสี และลูทีนเสริมช่วยด้วย
  6. การรักษาด้วยเลเซอร์อาจมีประโยชน์ในผู้ป่วยบางราย

การรักษาจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก

  1. การใช้ยาประเภทยับยั้งการสร้างหลอดเลือดจำพวก ยาลูเซนทิส ยามาคูเจน เบวาซิซูแมบ อะฟลิเบอร์เสบ แรนิบิซูแมบ ยาอาวาสติน ยาอายลี เป็นต้น
  2. การรักษาด้วยโฟโตไดนามิก เป็นการรักษา 2 ขั้นตอนโดยใช้ยาไวต่อแสงไปทำลายหลอดเลือดที่ผิดปกติ โดยแพทย์จะฉีดยาเข้าไปในกระแสเลือดเพื่อให้ซึมบริเวณที่หลอดเลือดมีความผิดปกติของดวงตา แล้วจึงฉายแสงเลเซอร์เย็นเข้าไปในตาเพื่อกระตุ้นยาให้ทำลายหลอดเลือดที่ผิดปกติอีกทีหนึ่ง
  3. การผ่าตัด เป็นการผ่าตัดเอาเส้นเลือดเกิดใหม่ออกมา  

ภาวะแทรกซ้อนของจอประสาทตาเสื่อม

ภาวะแทรกซ้อนของโรคจอประสาทตาเสื่อม คือ ผู้ป่วยไม่สามารถทำงานหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองได้ดีเท่าเดิม เนื่องจากการมองเห็นลดลง เช่น การอ่าน และการขับขี่ เป็นต้น โดยประมาณร้อยละ 30 ของผู้ป่วยที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด จะประสบกับความวิตกกังกล หรืออาจมีภาวะโรคซึมเศร้า ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ไม่สามารถขับรถยนต์ได้ หรือหากจำเป็นต้องขับรถ แพทย์จะให้ผู้ป่วยทดสอบการมองเห็นก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยสามารถควบคุมรถได้ ซึ่งเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้

การป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม

โรคจอประสาทตาเสื่อมยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล แต่มีวิธีช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคได้ โดยการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เช่น ออกกำลังกายให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ดีต่อร่างกาย ควบคุมน้ำหนัก และ เลิกบุหรี่ แม้จอประสาทตาเสื่อมจะไม่สามารถป้องกันหรือรักษาได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

http://www.med.cmu.ac.th/
ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ. “กระจกตาอักเสบ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.bangkokhealth.com. [18 ธ.ค. 2016].