หิ่งเม่น
ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Crotalaria pallida Aiton ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Crotalaria mucronata Desv.
จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE) ชื่อเรียกอื่น ๆ คือ ฮ่งหาย (ชุมพร)[1]
ลักษณะของต้นหิ่งเม่น
- ต้น
– เป็นพรรณไม้ล้มลุก
– มีอายุอยู่ได้หลายปี
– มีลำต้นตั้งตรง
– ต้นมีความสูงได้ถึง 1-1.5 เมตร
– แตกกิ่งก้านย่อย
– ลำต้นเป็นสีเขียวอ่อนและจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม
– ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 9.06-17.4 มิลลิเมตร
– สามารถพบขึ้นได้ทั่วไปในแถบทวีปเอเชียเขตร้อน ตามป่าหญ้าข้างทาง ชายป่าดิบเขา หรือตามป่าผลัดใบ
– ขึ้นในที่ระดับความสูงถึง 1,500 เมตร จากระดับน้ำทะเล - ใบ
– เป็นใบประกอบ
– มีใบย่อย 3 ใบ
– ออกเรียงสลับกัน
– ก้านช่อใบยาว 3-5 เซนติเมตร
– ก้านใบข้างยาว 2-2.5 มิลลิเมตร
– ใบย่อยด้านปลายเป็นรูปวงรีหรือรูปไข่กลับ
– ปลายใบมนทู่หรือโค้งเว้า
– ปลายยอดมีติ่งเป็นเส้นสั้น ๆ
– โคนใบสอบ
– ขอบใบหยักแบบขนครุย
– ใบมีความกว้าง 2-4.5 เซนติเมตร และยาว 4.5-7.5 เซนติเมตร
– หลังใบเป็นสีเขียวเข้ม ไม่มีขน
– ท้องใบเป็นสีเขียวอ่อน มีขนสีขาวขึ้นอยู่หนาแน่น
– ผิวใบค่อนข้างนุ่ม
– เส้นใบปลายโค้งจรดกัน
– ใบย่อยด้านข้างจะมีความกว้าง 1.5-3.5 เซนติเมตร และยาว 3.5-7.5 เซนติเมตร
– หูใบแหลม เล็กและสั้น เป็นสีม่วงแดง - ดอก[1],[2],[3]
– ออกดอกเป็นช่อกระจะที่ปลายกิ่ง
– ช่อดอกยาว 15-30 เซนติเมตร
– ช่อดอกมีดอกย่อย 27-44 ดอก
– เป็นดอกเดี่ยว
– ออกดอกเรียงตรงข้ามกัน
– ออกดอกบนแกนช่อดอก
– มีก้านยาว 2-2.5 มิลลิเมตร
– ดอกย่อยเป็นรูปถั่ว มีกลีบดอก 5 กลีบ
– กลีบบนเป็นรูปไข่ปลายมน
– กลีบด้านข้างจะคล้ายปีก รูปขอบขนาน
– กลีบล่างเชื่อมกันเป็นรูปท้องเรือ
– ปลายแหลมโค้ง
– กลีบดอกด้านในเป็นสีเหลืองเข้ม
– กลีบดอกด้านนอกเป็นสีเหลือง มีลายเส้นสีแดงเข้มพาดตามยาว
– ดอกเมื่อบานจะมีขนาดกว้าง 1.4-1.6 เซนติเมตร
– ดอกมีเกสรเพศผู้เป็นมัด 10 อัน
– มีอับเรณูเป็นสีส้ม - ผล
– ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอก
– มีฝัก 7-16 ฝักต่อช่อ
– ฝักจะโค้งงอเล็กน้อย
– มีความกว้าง 0.5 เซนติเมตร และยาว 3-9.5 เซนติเมตร
– ปลายยอดฝักมีติ่งเป็นเส้นยาว 7 มิลลิเมตร
– ฝักจะมีขนขึ้นปกคลุม
– เส้นกลางฝักด้านนอกเป็นแนวยาวลึกลง
– ฝักอ่อนเป็นสีแดง
– ฝักเมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
– ผลเมื่อแก่แล้วจะแตกออกเป็นฝา
– ฝักจะมีเมล็ดจำนวนมาก มีถึง 56-58 เมล็ด
– เมล็ดเป็นรูปไต สีน้ำตาล
– เมล็ดมีขนาด 2-4 มิลลิเมตร
– จะออกฝักในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม
สรรพคุณของรากหิ่งเม่น
- ช่วยทำให้มีบุตรง่าย[1]
- ช่วยกระตุ้นกำหนัด[1]
- ช่วยแก้อาการอาเจียน[1],[3]
- ช่วยแก้นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ[1],[3]
- ช่วยรักษาอาการร้อนใน
- ช่วยแก้โรคทางเดินปัสสาวะ[1],[3]
ตำรับยาพื้นบ้านล้านนา ( ใช้ผสมกับสมุนไพรอื่น ๆ )
– รากเจตพังคี
– รากเจตมูลเพลิงแดง
– รากละหุ่งแดง
– รากมหาก่าน
– รากหิงหายผี
– เปลือกต้นหรือรากเดื่อหว้า
– ต้นพิศนาด
– หัวกระชาย
– หัวกำบัง
– เหง้าว่านน้ำ
– ผลยี่หร่า
– เมล็ดพริกไทย
– เมล็ดเทียนคำหลวง
– วุ้นว่านหางจระเข้
– เทียนทั้งห้า
ให้ใช้ในปริมาณที่เท่ากัน นำมาบดให้เป็นผง แล้วผสมกับน้ำมะนาวและใส่เกลืออีกเล็กน้อย ใช้สำหรับรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ[1],[3]
ประโยชน์ของหิ่งเม่น
- ตัน สามารถนำมาใช้ทำเป็นปุ๋ยพืชสดได้[2]
- เป็นแหล่งของอาหารตามธรรมชาติของโคกระบือ
ปริมาณสารอาหาร
ยอดอ่อน ใบ และก้านใบ ในระยะที่เริ่มมีดอก
– โปรตีน 23.94%
– ไขมัน 2.65%
– เถ้า 2.65%
– เยื่อใย 21.01%
– เยื่อใยส่วน ADF 38.6%
– NDF 47.67%
– ลิกนิน 15.11%[3]
สั่งซื้อ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “หิ่งเม่น”. หน้า 84.
2. หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 5. “หิ่ ง เ ม่ น”.
3. สำนักพัฒนาอาหารสัตว์ กรมปศุสัตว์. “หิ่งเม่น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : nutrition.dld.go.th. [24 ก.ย. 2014].