วิธีดูแลถุงใต้ตา ให้สดใสไม่หมองคล้ำ

0
5195
วิธีดูแลถุงใต้ตาให้สดใสไม่หมองคล้ำ
ถุงใต้ตา คือ ถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตาหรือบริเวณเบ้าตาด้านล่าง
วิธีดูแลถุงใต้ตาให้สดใสไม่หมองคล้ำ
ถุงใต้ตา เกิดขึ้นแล้วย่อมจะทำให้ดวงตาที่สวยงามดูหม่นหมอง ใบหน้าหมองคล้ำแลดูแก่กว่าวัย

ถุงใต้ตา

ถุงใต้ตา ( Eye bags ) คือ ถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตาหรือบริเวณเบ้าตาด้านล่าง มีจำนวนทั้งหมด 3 ถุง แต่ถุงที่มีการคั่งค้าของน้ำหรือของเหลวจนกลายเป็นถุงใต้ตา คือ ถุงไขมันที่อยู่ส่วนกลาง ( Middle Fat ) และถุงไขมันที่อยู่ส่วนด้านใน ( Inner Fat ) ซึ่งโดยปกติถุงไขมันที่อยู่ใต้ดวงตาจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้จากภายนอก แต่เมื่อมีสิ่งมากระตุ้นจะทำให้ถุงไขมันมีการขยายขนาดขึ้น วันนี้เรารู้จักประเภทของถุงใต้ตา และวิธีลดถุงใต้ตาตามฝากเพื่อน ๆ ทุกคนมาดูกันเลย

ประเภทของถุงใต้ตา

รอยคล้ำบริเวณถุงใต้ตาเป็นรอยที่สามารถพบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ลักษณะที่พบคือถุงใต้ตาบวมมีสีคล้ำก่อให้เกิดปัญหาใบหน้า ทำให้ใบหน้าหมองคล้ำแลดูแก่กว่าวัย โดยเฉพาะถุงใต้ตาเยอะและรอยคล้ำเห็นได้ชัดเจนอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ โรตภูมิแพ้ อ่อนเพลียเรื้อรัง ผิวแพ้ง่าย ริ้วรอยก่อนวัย พันธุกรรม ปัญหาถุงใต้ตาจากแสงแดด ซึ่งสามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้

1.ถุงใต้ตาเทียม

คือ ถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบการไหลเวียนของเหลวภายในร่างกาย ทำให้เกิดการสะสมของไขมัน เลือดและน้ำที่บริเวณถุงไขมันที่บริเวณเบ้าตาด้านล่าง ทำให้ถุงไขมันดังกล่าวมีขนาดใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นถุงใต้ตาที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน ซึ่งสาเหตุของถุงใต้ตามเทียมเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ การร้องไห้เสียน้ำตาในปริมาณมาก การใช้สายตามากจนดวงตาเกิดความเหมื่อยล้า อาการแพ้หรือการอักเสบเนื่องจากได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่บริเวณเบ้าตาจนทำให้เบ้าตาเกิดการระคายเคือง จนส่งผลให้ระบบไหลเวียนของเหลวเกิดความผิดปกติ

2.ถุงใต้ตาแท้

เป็นถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่ผิดปกติของต่อมไร้ท่อ ( Endocrine Gland ) ที่ทำหน้าที่ในการผลิตและหลั่งฮอร์โมน ( Hormone ) ที่ควบคุมการไหลเวียนของเหลวภายในร่างกาย เช่น เลือด ไขมัน น้ำเหลือง เป็นต้น ถ้าระบบมีการทำงานที่ผิดปกติเกิดขึ้นจะทำให้มีการสะสมของเหลวหรือไขมันที่บริเวณถุงไขมันใต้ตา ส่งผลให้ถุงใต้ตามีขนาดใหญ่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งสาเหตุของความผิดปกติที่ทำให้เกิดถุงใต้ตาแท้ คือ

2.1กรรมพันธุ์

ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อสามารถทำการถ่ายทอดทางพันธุ์กรรมจากพ่อแม่สู่ลูกได้ ถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมนี้สามารถสังเกตเห็นได้ตั้งแต่อายุยังน้อย 

2.2 อายุ

เมื่ออายุมากขึ้นระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อเกิดการเสื่อมประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการสะสมของไขมันและน้ำที่บริเวณถุงไขมันใต้ดวงตากลายมาเป็นถุงใต้ตา

ถึงแม้ว่าการที่ถุงใต้ตามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นมาจนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนจะไม่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อร่างกาย แต่ว่าการมีถุงใต้ตาที่ใหญ่ก็ทำให้สูญเสียความมั่นใจในใบหน้าของตนเอง เพราะถุงใต้ตาที่มีขนาดใหญ่และมีสีคล้ำจะทำให้ใบหน้าหม่อนหมองแลดูแก่กว่าวัย โดยเฉพาะถุงใต้ตาเทียมที่เกิดขึ้นได้ง่ายในยามที่ร่างกายและดวงตาอ่อนล้า ดังนั้นการดูแลให้ระบบการไหลเวียนของเหลวที่เกิดขึ้นในร่างกายและบริเวณเบ้าตาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดการคั่งค้างของของเหลว น้ำหรือไมมันในถุงไขมันที่บริเวณใต้ตาก็จะสามารถลดขนาดและป้องกันการเกิดถุงใต้ตา ซึ่งการดูแลร่างกายมีวิธีการดังนี้

วิธีลดถุงใต้ตา เพื่อรักษาถุงใต้ตาได้อย่างถูกต้อง

  • ใช้ช้อนแช่น้ำเย็นประคบถุงใต้ตาประมาณ 30 วินาที เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ถุงใต้ตา
  • ใช้ไข่ขาว ทารอบบริเวณถุงใต้ตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือจนแห้ง ล้างออกด้วยน้ำเย็น
  • ใช้เกลือครึ่งช้อนโต๊ะผสมละลายกับน้ำอุ่น จากนั้นนำสำลีแผ่นกลมชุบแปะที่ดวงตาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
  • ใช้ถุงชาแช่ไว้ในตู้เย็น แล้วนำไปวางบนเปลือกตาทั้ง 2 ข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที
  • ใช้แตงกวาแช่เย็น หั่นเป็นแว่นแปะรอบดวงตาและถุงใต้ตา เพื่อผ่อนคลายเพิ่มความชุ่มชื่นผิวถุงใต้ตา
  • กดนวดลดถุงใต้ตาบวม โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางให้ปลายนิ้วอยู่บนเนินจมูกค้างทำซ้ำประมาณ 10 วินาที

วิธีการดูแลร่างกายเพื่อป้องกันการเกิดถุงใต้ตา

1. พักผ่อนให้เพียงพอ

การที่ระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อ มักเริ่มมาจากร่างกายได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ มีการนอนน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการหรือนอนหลับไม่สนิท ดังนั้นเพื่อรักษาถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นมานั้นจะต้องทำการพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งสังเกตได้จากหลังจากตื่นนอนแล้งยังรู้สึกอ่อนเพลียหรือไม่ ถ้าร่างกายยังรู้สึกอ่อนเพลียแสดงว่ายังพักผ่อนไม่เพียงพอ และควรนอนเป็นเวลาตั้งแต่ 22.00 – 06.00 น. เป็นเวลาที่เหมาะสมกับการนอนหลับที่ดีที่สุด โดยช่วงเวลาประมาณ 24.00 – 01.30 น. เป็นเวลาที่ร่างกายมีการหลั่งโกรทฮอร์โมน ( Growth Hormone: GH ) ที่มีหน้าที่ในการซ่อมแซมเซลล์และระบบการทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพ และท่าการนอนควรนอนหงาย อย่านอนคว่ำหรือนอนตะแคงตลอดทั้งคืน

2. การนวดคลึงเบ้าตา

การนวดที่บริเวณถุงใต้ตาจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด น้ำ น้ำเหลืองที่มีการคั่งค้างอยู่ในถุงไขมันให้มีการกระจายตัวและช่วยให้มีการไหลเวียนดีขึ้น กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทที่บริเวณเบ้าตา ลดความเหมื่อยล้าและเกร็งของกล้ามเนื้อ การนวดสามารถนวดโดยใช้มือนวดคลึงเป็นรูปก้นหอยที่บริเวณเบ้าตาด้านล่างไปจนถึงบริเวณหางตา การนวดควรนวดทุกวันจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำ

ร่างกายมีระบบการควบคุมความเป็นกรด-ด่างภายในร่างกาย โดยค่าความเป็นกรดของร่างกายอยู่ที่ 7.35 -7.45 ถ้าร่างกายมีความเป็นกรดหรือด่างมากกว่าค่ามาตราฐาน ซึ่งมักเกิดจากการร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่น้อย ร่างกายจึงทำการสะสมน้ำไว้ภายในร่างกายเพิ่มขึ้นเพื่อเจือจางความเป็นกรดและด่างให้อยู่ในค่ามาตราฐาน ส่งผลให้มีการสะสมน้ำที่บริเวณถุงใต้ตาเพิ่มขึ้น ถุงใต้ตาจึงมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ดังนั้นการดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำวันวันละประมาณ 7-8 แก้วจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาให้มีขนาดเล็กลงได้ เพราะร่างกายมีการไหลเวียนของน้ำและเลือดในสภาวะสมดุลไม่จำเป็นต้องกักเก็บน้ำไว้ในร่างกาย

ถุงใต้ตา ( Eye bags ) คือ ถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตาหรือบริเวณเบ้าตาด้านล่าง มีจำนวนทั้งหมด 3 ถุง แต่ถุงที่มีการคั่งค้าของน้ำหรือของเหลวจนกลายเป็นถุงใต้ตา

4. งดสูบบุหรี่

สารพิษที่อยู่ในบุหรี่ เช่น สารนิโคติน ก็าซคาร์บอนมอนอกไซด์ สารแคดเมี่ยม ไนตริคออกไซด์ ไฮโดรเจนไซยาไนด์คาร์บอนไดซัลไฟด์ จะมีคุณสมบัติที่ทำให้ผนังของเส้นเลือดมีขนาดที่หนาขึ้น ทำให้ของเหลวไม่สามารถไหลผ่านไปได้ จนเกิดการสะสม โดยเฉพาะที่บริเวณเส้นเลือดฝอยที่บริเวณผิวหนังใต้ดวงตา จึงทำให้มีการสะสมของเหลวที่ถุงไขมันใต้เบ้าตาจนทำให้เกิดถุงใต้ตาเกิดขึ้น สังเกตได้ว่าคนที่สูบบุหรี่จัดถุงใต้ตาจะมีขนาดใหญ่กว่าคนทั่วไป ดังนั้นการงดสูบบุหรี่จึงสามารถช่วยลดขนาดและป้องกันการเกิดถุงใต้ตาได้เป็นอย่างดี

5. ลดใช้สายตา

การใช้สายตาในการเพ่งหรือมองจนกล้ามเนื้อบริเวณเบ้าตาเกิดความเหมื่อยล้าจะทำให้ถุงใต้ตามีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ดังนั้นเมื่อต้องทำงานหรือเพ่งมองควรหยุดพักสายตาทุก 15 -20 นาทีเพื่อลดความเหมื่อยล้าของกล้ามเนื้อบริเวณรอบเบ้าตา 

6. ประคบเย็น

เมื่อเกิดถุงใต้ตาขึ้นการประคบเย็นจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาได้ เนื่องจากความเย็นที่เกิดขึ้นจะเข้าไปกระชับถุงไขมันใต้ตาให้มีขนาดที่เล็กลงและทำการขับของเหลวที่อยู่ภายในถุงใต้ตาออกมา โดยการประคบเย็นสามารถประคบด้วยถุงน้ำแข็ง แผ่นเจลประคบเย็น ผ้าชุบน้ำเย็น หรือจะเป็นผัก ผลไม้ที่หั่นเป็นชิ้น ๆ ที่แช่เย็นจัด เช่น แตงกวา มันฝรั่ง มะเขือเทศ ถุงชา มาวางบนเบ้าตาทั้งสองข้าง วางไว้ประมาณ 15- 20 นาทีต่อครั้ง และควรทำเป็นประจำทุกวัน นอกจากจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาให้เล็กลงแล้ว ยังสามารถป้องกันไม่ให้ถุงใต้ตาเกิดขึ้นได้อีกด้วย

7. การทาครีมบำรุงผิวและลบถุงใต้ตา

การทาครีมบำรุงผิวที่ออกแบบมาเพื่อบำรุงรอบดวงตา สามารถช่วยลดขนาดและการเกิดถุงใต้ตา ซึ่งครีมบำรุงรอบดวงตาควรเลือกที่มีส่วนผสมที่อ่อนโยนต่อผิวและดวงตา เพราะการทาที่บริเวณรอบดวงตามีความเสี่ยงที่สารในเนื้อครีมจะเข้าไปทำให้เกิดการระคายเคืองกับดวงตาได้ ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยลดถุงใต้ตาแล้วอาจจะทำให้ถุงใต้ตามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นอีกด้วย และครีมบำรุงใต้ตาควรแช่เย็นไว้ เพื่อที่เวลาทาครีมนอกจากจะได้ผลจากสารบำรุงที่อยู่ในเนื้อครีมแล้ว ความเย็นที่ได้จากเนื้อครีมก็จะคล้ายกับการประคบเย็นนั่นเอง

8. การใช้คลื่นวิทยุ ( Radio Frequency หรือ RF )

การใช้คลื่นวิทยุที่อยู่ในช่วงความถี่ 0.3 – 0.5 MHz ยิงเข้าไปสู่ที่บริเวณเบ้าตาด้านล่างที่มีถุงใต้ตาเกิดขึ้น คลื่นวิทยุที่ยิงเข้าไปจะเข้าไปจะเข้าไปสู่ผิวหนังชั้นในสุด ( Subcutaneous fat ) ในขณะที่คลื่นวิทยุผ่านชั้นผิวหนังเข้าสู่ด้านในจะทำให้ผิวหนังแต่ชั้นเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อยคล้ายกับการนวด ซึ่งคลื่นวิทยุช่วยกระตุ้นกระบวนการผลิตคอลลาเจน ( Collagen ) และอีลาสติน ( Elastin ) ที่อยู่ใต้ผิว ส่งผลให้กล้ามเนื้อที่บริเวณใต้ตามีความแข็งแรง และยังช่วยกระตุ้นกระบวนการละลายของไขมันป้องกันการกระจายตัวเข้าสู่หลอดน้ำเหลืองที่บริเวณถุงไขมัน ทำให้ปริมาณไขมันในถุงใต้ตามีปริมาณลดลง ถุงใต้ตาจึงมีความกระชับแบนราบ

9. การใช้เลเซอร์ ( Laser Eye Bag Removal )

เลเซอร์ ( Laser ) สามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาได้ ด้วยเนื่องจากเลเซอร์จะเข้าไปทำการสลายและดูดไขมันส่วนเกินบางส่วนออกมาจากถุงใต้ตา ทำให้ถุงใต้ตามีขนาดที่เล็กลงอย่างเห็นได้ชัด โดยการเปิดแผลและทำการฉายเลเซอร์เข้าไปที่ถุงไขมันที่บริเวณด้านล่างของเบ้าตา ซึ่งการรักษาถุงใต้ตาด้วยการฉายเลเซอร์เป็นการรักษาชนิดที่ไม่ถาวร ถุงใต้ตามีโอกาสที่จะกลับมามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นอีกได้ แต่ก็สามารถทำการฉายเลเซอร์เพื่อลดขนาดของถุงใต้ตาได้ตลอด

10. การผ่าตัดลดขนาดถุงใต้ตา ( Lower Blepharoplasty )

การผ่าตัดนำถุงไขมันที่มีการขยายตัวขึ้นออกเป็นการรักษาภาวะถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นได้ดีที่สุดและเป็นการรักษาแบบถาวรที่ถุงใต้ตาจะไม่กลับมาอีก ซึ่งจะใช้รักษาถุงใต้ตาแท้ที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อซึ่งมาจากพันธุ์กรรมที่พบมาตั้งแต่อายุยังน้อย โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดแผลและทำการตัดเอาไขมันส่วนเกินที่อยู่ภายในถุงไขมัน กล้ามเนื้อหรือหนังส่วนเกินที่บริเวณรอบดวงตาที่ถุงไขมันมีการขยายตัวออกมาก ทำให้ถุงไขมันมีขนาดที่เล็กลง เพื่อปรับขนาดของถุงใต้ตาให้มีขนาดเล็กลงและผิวหนังรอบดวงตาเรียบเนียน การผ่าตัดเป็นการรักษาถุงใต้ตาต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยของดวงตา

จะพบว่าการรักษาถุงใต้ตาสามารถเริ่มได้จากการดูแลร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน รับประทานอาการให้ครบทั้ง 5 หมู่ อย่างต่อเนื่อง การปฏิบัติตนเช่นนี้จะสามารถป้องกันหรือลดขนาดของถุงใต้ตาเทียมได้ผลเป็นอย่างดี แต่สำหรับผู้ที่มีถุงใต้ตาชนิดถุงใต้ตาแท้การรักษาจำเป็นจะต้องทำการรักษาด้วยการใช้เลเซอร์หรือการผ่าตัดภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะถ้าเกิดความผิดพลาดในขณะที่ทำการผ่าตัดอาจจะทำให้ดวงตาไม่สามารถมองเห็นได้ การผ่าตัดตัดถุงใต้ตาออกสามารถช่วยลดปัญหาถุงใต้ตาแท้ที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่ออย่างได้ผล หลังจากทำการรักษาถุงใต้ตาให้หายแล้วควรดูแลและป้องกันร่วมด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ถุงใต้ตากลับมาเป็นอีก

การลดขนาดถุงใต้ตา ปรับผิวบริเวณเบ้าตาด้านล่างให้เรียบเนียนและดูแลผิวพรรณให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล จะส่งผลให้ใบหน้าสดใสที่เคยหม่อนหมอง แก่กว่าวัย กลับมาเป็นใบหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์ลดอายุไปได้อีกหลายปีเลยทีเดียว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

http://health.howstuffworks.com/wellness/natural-medicine/home-remedies/home-remedies-for-puffy-eyes1.htm

http://momcoloredglasses.com/healthy-living/natural-remedies-puffy-eyes/