Urine P-Amylase คือ
Urine P-Amylase คือ ค่าที่ใช้ตรวจเพื่อหาค่าเอนไซม์ที่ได้จากตับอ่อนและถูกกรองทิ้งมากับปัสสาวะ โดยมีชื่อว่า P-Amylase ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้มีการผลิตขึ้นมาโดยตับอ่อน เพื่อใช้ในการย่อยอาหารประเภทแป้งในลำไส้โดย เฉพาะ ดังนั้นเอนไซม์ส่วนหนึ่งจึงถูกขับปนออกไปกับกากอาหารพร้อมกับอุจจาระ และอีกส่วนหนึ่งจะถูกดูดซึมโดยลำไส้พร้อมกับสารอาหารเพื่อส่งเข้าสู่กระแสเลือดต่อไป และเนื่องจากเอนไซม์ตัวนี้ถูกจัดเป็นเอนไซม์ที่ไร้ประโยชน์ จึงต้องถูกกำจัดทิ้งผ่านการกรองออกไปทางน้ำปัสสาวะ ดังนั้นจึงสามารถตรวจพบ Urine P-Amylase ในน้ำปัสสาวะได้ ซึ่งผลตรวจที่ได้ก็บ่งชี้ได้ถึง การเป็นโรคตับอ่อน ความผิดปกติของอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ ไต ฯลฯ และใช้เพื่อติดตามผลการรักษาโรคได้อีกด้วย
Urine P-Amylase คือ ค่าที่ใช้ตรวจเพื่อหาค่าเอนไซม์ที่ได้จากตับอ่อนและถูกกรองทิ้งมากับปัสสาวะ ซึ่งผลิตขึ้นมาโดยตับอ่อน เพื่อใช้ย่อยอาหารประเภทแป้งในลำไส้
ข้อบ่งชี้ในการตรวจ Urine P-Amylase คือ
1. ตรวจ Urine P-Amylase เพื่อทำความเข้าใจถึงการผลิตและการนำ P-Amylase มาใช้ประโยชน์ของร่างกาย
2. เอนไซม์ Amylase ที่พบในร่างกายของมนุษย์ ถูกผลิตขึ้นมาจาก 2 แหล่งด้วยกัน นั่นก็คือ
- ต่อมน้ำลายในปาก เพื่อใช้ย่อยอาหารในขั้นแรก ชื่อว่า Saliva Amylase แต่จะมีปริมาณไม่มากนัก
- ตับอ่อน จะผลิตเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยอาหารในลำไส้เล็กส่วนต้นโดยเฉพาะ และอาศัยท่อของตับในการส่งเอนไซม์ออกไป ซึ่งเอนไซม์ที่ตับอ่อนผลิต มีชื่อว่า Urine P-Amylase โดยเป็นเอนไซม์ส่วนใหญ่ของร่างกายเลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคหรือเกิดการกระทบกระทั่งใดๆ กับตับอ่อน ก็อาจมีผลให้เอนไซม์ตัวนี้มีค่ามากขึ้นหรือน้อยลงได้
3. สำหรับโรคหรือเหตุสำคัญที่ไม่ใช่ตับอ่อนอักเสบ แต่ทำให้ค่า Urine P-Amylase ที่ตรวจพบในน้ำปัสสาวะมีค่าสูงขึ้นมากผิดปกติ มีดังนี้
- โรคต่อมน้ำลายหน้าหูอักเสบ หรือโรคคางทูม มีผลต่อค่า Urine P-Amylase ที่สูงขึ้น
- โรคถุงน้ำดีอักเสบ
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก
- สภาวะลำไส้รั่วหรือลำไส้ทะลุ
- สภาวะไตขาดเลือด
4. หากตรวจพบค่า Urine P-Amylase มีค่าที่สูงมากผิดปกติจนสังเกตได้ นั่นอาจการันตรีได้เลยว่าเกิดโรคตับอ่อนอักเสบอย่างแท้จริงแน่นอน เพราะเมื่อเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ จะไม่สามารถควบคุมการผลิตเอนไซม์ชนิดนี้ได้ และเกิดการผลิตออกมามากเกินไปนั่นเอง
5. การกินยาบางชนิดอย่างต่อเนื่อง ก็อาจเป็นคนให้ค่า Urine P-Amylase สูงผิดปกติจากที่ควรเป็นได้เช่นกัน ซึ่งยาที่มีผล ได้แก่ ยา Aspirin ยาฮอร์โมน Corticosteroids ยาขับปัสสาวะ ยาเม็ดคุมกำเนิดและยา Morphine เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมียาตัวอื่นๆ ที่อาจส่งผลดังกล่าวได้เหมือนกัน
6. หากต้องการทราบอย่างแน่ชัดว่ากำลังป่วยด้วยโรคตับอ่อนอักเสบอย่างแท้จริงหรือไม่ นอกจากตรวจหาค่า Urine P-Amylase แล้ว จะต้องตรวจเลือดเพื่อหาค่า Amylase และ Lipase ควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้ได้ข้อบ่งชี้ที่มีความชัดเจนมากขึ้น
ค่าปกติของ Urine P-Amylase
- ค่าปกติของ Urine P-Amylase ให้ยึดเอาตามค่าที่ได้ระบุไว้ในใบรายงานผลการตรวจปัสสาวะ ( ถ้ามี )
2. ค่าปกติโดยทั่วไปของ Urine P-Amylase จะอยู่ที่
Urine P-Amylase : 0 – 500 units/24 hr |
ค่าผิดปกติของ Urine P-Amylase
1. ค่าในทางน้อย อาจแสดงได้ว่า
- ตับอ่อนได้รับการกระทบกระเทือนจนทำให้เกิดการบาดเจ็บ จึงทำให้ผลิตเอนไซม์ Amylase ออกมาได้น้อยกว่าปกติ
- ป่วยด้วยโรคไต เพราะเมื่อไตมีประสิทธิภาพในการกรองน้อยลง ก็ส่งผลให้สามารถกรอง P-Amylase ออกทิ้งไปกับน้ำปัสสาวะได้ต่ำกว่าปกติ
- เป็นโรคมะเร็งของตับอ่อน จึงไม่สามารถผลิตเอน ไซม์ P-Amylase ออกมาได้ ทำให้ค่า Urine P-Amylase ที่ตรวจพบมีค่าต่ำมาก
- อยู่ในสภาวะครรภ์เป็นพิษ ( Toxemia of pregnancy ) ทำให้ตรวจพบค่า P-Amylase น้อยมาก
2. ค่าในทางมาก อาจแสดงได้ว่า
- เป็นโรคตับอ่อนอักเสบแบบเฉียบพลัน ทำให้ไม่สามารถควบคุมการผลิตและปล่อย P-Amylase ออกมาได้ เป็นผลให้ค่า P-Amylase สูงขึ้นกว่าปกติ
- เป็นโรคมะเร็งที่ได้แพร่กระจายไปยังตับอ่อน ปอดและรังไข่ เป็นผลให้ตับอ่อนผลิต P-Amylase ออกมามากเกินไปอย่างควบคุมไม่ได้
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องในปริมาณมาก ซึ่งเข้าไปทำลายตับและตับอ่อน จนทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของตับอ่อนลดน้อยลง
- เกิดสภาวะท่อน้ำดีอักเสบทำให้ไม่สามารถปล่อยเอนไซม์ชนิดนี้ทิ้งไปกับลำไส้เล็กให้ปนไปกับกากอาหารได้ ดังนั้นจึงมีเอนไซม์ตัวนี้ในกระแสเลือดมากเกินไป จนไตต้องเร่งกรองออกทิ้งไปกับน้ำปัสสาวะให้ได้มากที่สุด ผลตรวจค่า Urine P-Amylase จึงมีสูงมาก
- เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกจนกระทั่งเกิดการฉีกขาด เป็นผลให้ตรวจพบเอนไซม์ชนิดนี้ในน้ำปัสสาวะมีค่าที่สูงผิดปกติเช่นกัน
- เกิดสภาวะการอุดกลั้นช่องทางเดินอาหาร ทำให้เอนไซม์ถูกขับออกไปกับกากอาหารน้อยและถูกดึงกลับเข้ากระแสเลือดเป็นส่วนใหญ่ จึงถูกขับออกทางปัสสาวะมากกว่าปกติ
- เกิดการอุดกั้นท่อของตับอ่อน ทำให้ส่งเอนไซม์ออกไปยังลำไส้เล็กได้น้อยลง
ข้อแนะนำเกี่ยวกับโรคตับอ่อนอักเสบ
- โรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันเป็นโรคไม่รุนแรง สามารถรักษาให้หายภายในประมาณ 1-2 สัปดาห์
- ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันสามารถเกิดเป็นซ้ำได้ ถ้าไม่รีบรักษาหรือจัดการต้นเหตุได้
- ตับอ่อนอักเสบในกลุ่มที่มีอาการรุนแรงมักเกิดจากเซลล์ก่อสารเคมีหลายชนิดเข้าสู่กระแสเลือดและไปก่อให้เกิดการอักเสบในอวัยวะ ต่างๆ ซึ่งพบบ่อยที่ กล้ามเนื้อหัวใจ ปอด และไต ก่อภาวะหายใจล้มเหลวและภาวะหัวใจล้มเหลว และไตวายเฉียบพลัน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
- ในทางการแพทย์จัดเป็นโรคตับอ่อนอักเสบเป็นโรคที่รุนแรงและรักษาไม่หาย แต่สามารถบรรเทาอาการได้โดยที่ผู้ป่วยต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ไปตลอดชีวิต เพราะมักมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นตามมา เช่น อาการปวดท้องเรื้อรัง ท้องเสียเรื้อรัง ภาวะขาดอาหาร โรคเบาหวาน จนส่งผลถึงคุณภาพชีวิตและเป็นเหตุทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
ร่วมตอบคำถามกับเรา
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
เอกสารอ้างอิง
ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.
Ramasubbu, N.; Paloth, V.; Luo, Y.; Brayer, G. D.; Levine, M. J. (1996). “Structure of Human Salivary α-Amylase at 1.6 Å Resolution: Implications for its Role in the Oral Cavity”. Acta Crystallographica Section.
Rejzek, M.; Stevenson, C. E.; Southard, A. M.; Stanley, D.; Denyer, K.; Smith, A. M.; Naldrett, M. J.; Lawson, D. M.; Field, R. A. (2011). “Chemical genetics and cereal starch metabolism: Structural basis of the non-covalent and covalent inhibition of barley β-amylase”. Molecular BioSystems. 7 (3): 718–730.