ว่านสาก
พืชจำพวกปาล์ม ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ ดอกรวมกันแน่นสีเหลืองโคนดอกเชื่อมติดกัน

ว่านสากเหล็ก

ว่านสากเหล็ก มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Molineria latifolia (Dryand. ex W.T.Aiton) Herb. ex Kurz (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Curculigo latifolia Dryand. ex W.T.Aiton)[1],[3] จัดอยู่ในวงศ์ HYPOXIDACEAE[3]
นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ว่านพร้าว จ๊าลาน (เชียงราย), มะพร้าวนกคุ่ม มะพร้าวนกคุ้ม (ยะลา), พญารากเดี่ยว (นราธิวาส), กูดพร้าว (ภาคเหนือ), ละโมยอ (มะลายู-นรา), ซีหนานเหวินสูหลาน (จีนกลาง) เป็นต้น[1],[2]

ลักษณะของว่านสากเหล็ก

  • ต้น เป็นพรรณไม้เตี้ยหรือไม้ล้มลุกที่มีอายุหลายปี มีลักษณะที่คล้ายกับพืชจำพวกปาล์ม มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 30-40 เซนติเมตร ลำต้นเหนือดินมีลักษณะกลมและชุ่มน้ำ มีหัวคล้ายกับรากแทงลึกลงไปในดินประมาณ 10-30 เซนติเมตร ตรงหัวจะมีรากเล็ก ๆ ลึกลงไปในดินอีกรากหนึ่ง ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับสากตำข้าว สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อ และใช้เมล็ด มีถิ่นกำเนิดอยู่ในจังหวัดสระบุรี มีการแพร่กระจายอยู่ในพม่า และทางตอนใต้ของไทย รวมถึงหมู่เกาะมาเลเซียและบอร์เนียว[1],[2],[3],[5]
  • ใบ จะออกเรียงสลับติดกันตรงโคนต้น ใบมีลักษณะเป็นรูปยาวรีหรือรูปขอบขนานแกมรูปหอก แผ่นใบพับเป็นร่อง ๆ มีความยาวคล้ายกับใบปาล์ม ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ ส่วนตรงขอบใบเรียบเป็นคลื่นอยู่เล็กน้อย แผ่นใบมีสีเขียวเข้ม มีความกว้างประมาณ 3.5-6 เซนติเมตร และความยาวประมาณ 20-70 เซนติเมตร ส่วนก้านใบมีความยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร โคนแผ่กว้างหุ้มอยู่กับลำต้น[2],[3]
  • ดอก จะออกเป็นช่อแทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน จะออกดอกรวมกันแน่น ดอกมีกลีบอยู่ 6 กลีบ เป็นสีเหลือง โคนดอกเชื่อมติดกัน ดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นช่อและเป็นรูปทรงกระบอกปลายแหลม มีความกว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตร และความยาวประมาณ 5-7 เซนติเมตร[3]
  • ผล มีลักษณะกลมเป็นสีเหลืองอมเขียวอ่อน ส่วนผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีขาวถึงสีแดง มีความยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร ส่วนที่ขั้วจะป่องออก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ประมาณ 1 เซนติเมตร และค่อย ๆ เรียวไปทางปลายผล ผลมีรสที่หวาน ถ้ากินน้ำหลังจากกินผลไม้นี้แล้ว จะทำให้รู้สึกว่าน้ำมีรสหวานชุ่มคอดี[1],[3]

สรรพคุณของว่านสากเหล็ก

1. ราก ช่วยบำรุงกำลัง (ราก)[4]
1.1 รากแห้ง นำมาบดให้เป็นผง ใช้ครั้งละ 10 กรัม และนำมาชงกับน้ำหรือเหล้ารับประทาน ช่วยแก้อาการฟกช้ำ [2]
2. ช่วยรักษาฝีภายนอก (ใบและราก)[2]
2.1 ช่วยแก้พิษงู แมลงกัดต่อย (ใบและราก)[2]
2.2 ช่วยแก้อาการปวดข้อ เคล็ดขัดยอก แก้บวม (ใบและราก)[2]
2.3 ใบและรากมีรสเผ็ดขม เป็นยาเย็นมีพิษเล็กน้อย ใช้เป็นยาดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ [2]
2.4 ช่วยกระจายโลหิต ฟอกโลหิต และทำให้โลหิตไหลเวียนได้สะดวก (ใบและราก)[2]
2.5 ช่วยแก้อาการไอ เจ็บคอ ด้วยการใช้ยาแห้งประมาณ 3-10 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน (ใบและราก)[2]
3. หัว สามารถนำมาใช้ดองกับเหล้ารับประทาน แก้มดลูกพิการ หรือเนื้องอกในมดลูกทำให้ฝ่อ ช่วยแก้กระบังลมพลัด (เรียกว่า “ดากโยนี” เวลานั่งโผล่ เวลานอนหดขึ้น) ทำให้ยุบเล็กและแห้งเหี่ยวไป (หัว)[6]
4. หัวและราก นำมาหั่นบาง ๆ แล้วตากให้แห้ง สามารถนำมาใช้ดองกับเหล้ากินเป็นยาชักมดลูก สำหรับผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ ๆ จะช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น และยังช่วยรักษามดลูกอักเสบเนื่องจากความเคลื่อนไหวของมดลูกจากที่เดิมให้เป็นปกติ (หัวและราก)[1],[2],[3]
5. ว่านสากเหล็กจัดอยู่ในตำรับยา “พิกัดเหล็กทั้งห้า” ซึ่งประกอบไปด้วยว่านสากเหล็ก แก่นขี้เหล็ก แก่นพญามือเหล็ก เถาวัลย์เหล็ก และสนิมเหล็ก มีสรรพคุณเป็นยาแก้พิษโลหิตทั้งบุรุษและสตรี เป็นยาบำรุงกำลัง และแก้กษัย[6]

หมายเหตุ : การใช้ตาม ให้ใช้ยาแห้งครั้งละ 3-10 กรัม ถ้าเป็นยาสดให้ใช้ครั้งละ 15-35 กรัม และนำมาต้มกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้เข้ากับตำรายาอื่นด้วยก็ได้ แต่ถ้านำมาใช้ภายนอกให้ใช้ต้นสดตำพอกบริเวณที่ต้องการ ว่านสากเหล็กและพลับพลึงมีสรรพคุณที่คล้ายคลึงกัน สามารถนำมาใช้แทนกันได้ แต่ในตำรายาไทยส่วนใหญ่แล้วจะใช้ว่านสากเหล็กเป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับมดลูกเป็นส่วนใหญ่ และก่อนจะนำมาใช้เป็นยาจะต้องนำไปกำจัดพิษออกก่อน และเวลาใช้ไม่ควรใช้ในปริมาณที่เกินกว่ากำหนด[2]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของว่านสากเหล็ก

1. สารที่พบได้แก่ สาร Alkaloids หลายชนิด เช่น Lycorine, Narcissine, Crinamrine, Tazettine, Amino acid เป็นต้น[2]
2. สาร Tazettine ที่สกัดได้จากว่านสากเหล็กในปริมาณ 5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม มีฤทธิ์ในการกระตุ้นหัวใจที่อยู่นอกตัวของกล ทำให้มีการบีบตัวแรงขึ้น[2]
3. ว่านสากเหล็กมีฤทธิ์ทางเภสัชที่สำคัญคือฤทธิ์การต้านการอักเสบ รักษาแผลพุพอง หนอง ลดอาการเจ็บปวด อาการบวม[5]
4. สารสกัดหยาบด้วยน้ำอุณหภูมิห้องจากส่วนของรากและเหง้าจะให้ผลผลิตสูงสุด รองลงมาคือเอทานอลและสารสกัดหยาบจากส่วนใบและลำต้น จากการศึกษาฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ พบว่าสารสกัดหยาบทั้งส่วนเหนือดิน (รากและเหง้า) และส่วนใต้ดิน (ใบและลำต้น) มีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระสูง โดยสารสกัดหยาบด้วยน้ำร้อนจากส่วนของใบและลำต้นจะมีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด[5]
5. นอกจากนี้ว่านสากเหล็กยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มก่อโรคผิวหนัง Candida albicans, Pseudomonas aeruginosa, Stapphylococcus aureus ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะสามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้[5]

ประโยชน์ของว่านสากเหล็ก

1. ผล มีรสหวาน สามารถนำมาใช้รับประทานได้ [1]
2. มีบางข้อมูลระบุไว้ว่า รากสามารถนำมาใช้ปรุงทำเป็นยาขัดผิว แก้สิวฝ้าจุดด่างดำได้[4],[5]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ว่านสากเหล็ก”. หน้า 730-731.
2. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “ว่านสากเหล็ก”. หน้า 516.
3. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ว่านสากเหล็ก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [04 มิ.ย. 2014].
4. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ว่านสากเหล็ก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [04 มิ.ย. 2014].
5. กรุงเทพธุรกิจ. “ว่านสากเหล็กต้านอนุมูลอิสระ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bangkokbiznews.com. [04 มิ.ย. 2014].
6. ฐานข้อมูลสมุนไพร, ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ว่านสากเหล็ก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/medplantdatabase/. [04 มิ.ย. 2014].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.monaconatureencyclopedia.com/molineria-latifolia-2/?lang=en
2.https://www.biotaxa.org/Phytotaxa/article/view/phytotaxa.587.1.1