กรรณิการ์
เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ดอกเป็นช่อบานในช่วงเย็น ดอกย่อยสีขาวและมีกลิ่นหอม ผลอ่อนเป็นสีเขียว

กรรณิการ์

กรรณิการ์ มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในตอนกลางของประเทศอินเดีย มีการนำเข้ามาในไทยในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือในสมัยตอนต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ มีการสันนิษฐานว่าชื่อมาจากคำว่า “กรรณิกา” มีความหมายว่า ช่อฟ้า กลีบบัว ดอกไม้ ตุ้มหู และเครื่องประดับหู ซึ่งจากรูปทรงของดอกจะเห็นมีหลอดที่ใช้สอดในรูที่เจาะใส่ต่างหูได้ มีเขตการกระจายพันธุ์ในอินเดีย สุมาตรา ชวา และในประเทศไทย ชื่อสามัญ Night blooming jasmine, Night jasmine, Coral jasmine[1],[2],[3],[4],[8] ชื่อวิทยาศาสตร์ Nyctanthes arbor-tristis Linn.[1],[2],[3],[4],[8] จัดอยู่ในวงศ์มะลิ (OLEACEAE)[1],[2],[3],[4],[8] (หมายเหตุ : P.S.Green ระบุว่าสกุล Nyctanthes มีความใกล้ชิดกับวงศ์ VERBENACEAE มากกว่าวงศ์ OLEACEAE แต่ข้อมูลในด้านวิวัฒนาการในปัจจุบันจัดให้สกุล NYCTANTHES อยู่ภายใต้วงศ์ OLEACEAE และอยู่ในวงศ์ย่อย MYXOPYREAE[8]) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ กณิการ์ กันลิกา กรรณิกา (ภาคกลาง), สะบันงา (น่าน), ปาริชาติ (ทั่วไป)[1],[2],[5],[7],[8],[9] ซึ่งในไทยจะพบได้ทั้ง 2 ชนิด[8]
1. กรรณิการ์ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nyctanthes arbor–tristis L. นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
2. กรรณิการ์ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nyctanthes aculeata Craib ในปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยแล้ว

ลักษณะของกรรณิการ์

  • ต้น[1],[2],[5],[6],[7]
    – เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ
    – มีเรือนยอดเป็นรูปทรงพีระมิดแคบ
    – ต้น มีความสูงประมาณ 3-5 เมตร
    – เปลือกของลำต้น มีความขรุขระและเป็นสีน้ำตาล
    – กิ่งอ่อน มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยม และมีขนแข็งสากมือ
    – สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง หรือการปักชำกิ่ง
    – เติบโตได้ดีในดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดี
    – มีความชื้นปานกลาง
    – ชอบแสงแดดแบบเต็มวันและครึ่งวัน
    – หากปลูกในที่แห้งแล้งจะออกดอกน้อย
    – จะออกดอกในช่วงประมาณเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน
    – สามารถออกดอกได้ตลอดปีหากมีฝน
  • ใบ[1],[4]
    – ใบ เป็นใบเดี่ยว
    – ออกใบตรงข้ามกัน
    – ใบ มีรูปร่างเป็นรูปไข่
    – ใบ มีความกว้างประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร
    – ปลายใบ ค่อนข้างแหลม
    – โคนใบ จะมน
    – ขอบใบ มีความเรียบหรือบางใบอาจจะจะหยักแบบห่าง ๆ กัน
    – ตามขอบใบ จะมีขนแข็ง ๆ
    – หลังใบ มีขนแข็ง ค่อนข้างสากมือ
    – ท้องใบ มีขนแข็งสั้น ๆ
    – มีเส้นแขนงของใบข้างละ 3-4 เส้น
    – ปลายเส้นจรดกันก่อนถึงขอบใบ
    – ก้านใบ มีความยาว 0.5-1 เซนติเมตร
  • ดอก[1],[2],[4]
    – ออกดอกเป็นช่อ ไม่มีก้านดอก
    – ออกดอกตามซอกใบหรือง่ามใบ
    – ก้านช่อดอก มีความยาวประมาณ 1.2-2 เซนติเมตร
    – ใบประดับ เป็นใบเล็ก ๆ อยู่ 1 คู่ที่ก้านช่อดอก
    – ในแต่ละช่อดอกจะมีดอกอยู่ประมาณ 3-7 ดอก
    – ดอก เป็นดอกย่อยสีขาวและมีกลิ่นหอม
    – ดอกจะบานในช่วงเย็นและจะร่วงในช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น
    – ในแต่ละดอกจะมีใบประดับอยู่ 1 ใบ
    – ดอกตูม มีกลีบดอกเรียงซ้อนกันและบิดเป็นเกลียว
    – กลีบมีประมาณ 5-8 กลีบ ปลายกลีบจะเว้า โคนกลีบ เชื่อมติดกันเป็นหลอดสีแสดสั้น ๆ มีความยาวประมาณ 1.1-1.3 เซนติเมตร
    – ด้านในโคนกลีบมีขนยาว ๆ สีขาวที่โคนหลอด ส่วนด้านนอกเกลี้ยง
    – ปลายหลอด จะแยกเป็นกลีบ มีสีเขียว ประมาณ 5-8 กลีบ
    – ในแต่ละกลีบจะมีความยาวประมาณ 0.1-1.1 เซนติเมตร
    – โคนกลีบ ค่อนข้างแคบ ปลายกลีบ มีความกว้างและเว้าลึก
    – มีเกสรเพศผู้จำนวน 2 ก้านติดอยู่ภายในหลอด
    – กลีบดอกบริเวณปาก หันด้านหน้าเข้าหากัน
    – ก้านชูอับเรณู เชื่อมติดเป็นเนื้อเดียวกันกับหลอดดอก
    – รังไข่ จะอยู่เหนือวงกลีบ มีรูปร่างกลม มีอยู่ 2 ช่อง และมีออวุลช่องละ 1 เมล็ด
    – เกสรเพศเมีย จะมีแค่ 1 อัน เป็นตุ่มมีขน
    – มีกลีบเลี้ยงดอกสีเขียวอ่อน 4 กลีบ ติดกันเป็นหลอดรูปกรวยปลายติดหรือหยักตื้น ๆ 5 หยัก
  • ผล[1],[5],[8]
    – ผล เป็นรูปไข่กลับหรือมีเป็นรูปทรงกลมค่อนข้างแบน
    – ปลายผล จะมีความมนและมีติ่งแหลม
    – ผล มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร
    – ผิวผลเรียบ
    – ผลอ่อน เป็นสีเขียว
    – ผลแก่ จะแตกอ้าออกเป็น 2 ซีก
    – มีเมล็ดซีกละหนึ่งเมล็ด
    – เมล็ดมีรูปร่างกลมแบน เป็นสีน้ำตาล

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

  1. มีการศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดแอลกอฮอล์จากใบ ผล และเมล็ด[6]
    – เพื่อยับยั้งโรคไขข้อเสื่อมในหนูทดลองที่ถูกทำให้ติดเชื้อวัณโรคจนเกิดอาการไขข้อเสื่อม
    – ได้ทำการให้สารสกัด กับหนูทดลองทางช่องปาก 25 มก./กก. เป็นเวลา 47 วัน
    – ผลการทดลองพบว่า สารสกัดดังกล่าวสามารถช่วยยับยั้งการเกิดไขข้อเสื่อมได้
    – จะช่วยลดปริมาณการตายของเซลล์ที่เกิดการติดเชื้อได้
  2. งานวิจัยต่อเนื่องที่ระบุว่า เมื่อทำการให้สารสกัดคลอโรฟอร์มจากดอกและใบ[6]
    – ใช้สารสกัดความเข้มข้น 50, 100, 200 มก./กก.
    – ใช้เป็นระยะเวลา 27 วันกับหนูทดลองที่ถูกกระตุ้นให้เป็นโรคเบาหวานด้วยสาร Streptozocin
    – พบว่าสารสกัดจากดอกและใบมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
    – ช่วยลดระดับ Alk Phos, LPO, SGPT, คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ที่เป็นสาเหตุของไขมันอุดตันได้

สรรพคุณของกรรณิการ์

  • ช่วยแก้พิษทั้งปวง[6]
  • ช่วยขับประจำเดือน[6]
  • ช่วยแก้ตาแดง[6]
  • ช่วยแก้ไข้มิรู้สติ เป็นไข้บาดทะจิต แก้ไข้ผอมเหลือง[6]
  • ช่วยแก้ไข้[1],[2],[3],[4],[5],[6],[9]
  • ช่วยแก้ลมวิงเวียน[1],[2],[4],[5],[6]
  • ช่วยแก้โลหิตตีขึ้น[6]
  • ช่วยบำรุงหัวใจ[6]
  • ช่วยแก้อาการปวดตามข้อ[1],[2],[6],[9]
  • ช่วยบำรุงน้ำดี ขับน้ำดี[1],[2],[3],[4],[5],[6],[9]
  • ช่วยขับพยาธิ[6]
  • ช่วยแก้อาการปวดท้อง[6]
  • ช่วยแก้ไข้เพื่อดีและแก้ไข้จับสั่นชนิดจับวันเว้นวัน[6]
  • ช่วยบำรุงเส้นผม แก้เส้นผมหงอก[1],[2],[4],[6]
  • ช่วยแก้ตานขโมย[6],[9]
  • ช่วยทำให้เจริญอาหาร
  • ช่วยแก้อุจจาระเป็นพรรดึก
  • ช่วยแก้อาการท้องผูก
  • ช่วยแก้อาการไอสำหรับสตรีหลังคลอดบุตรใหม่ ๆ
  • ช่วยแก้อาการไอ
  • ช่วยแก้ลมและดี
  • ช่วยบำรุงผิวหนังให้สดชื่น
  • ช่วยแก้ผมหงอก
  • ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย
  • ช่วยบำรุงกำลัง
  • ช่วยแก้วาโยกำเริบเพื่ออากาศธาตุ
  • ช่วยบำรุงธาตุ

ประโยชน์ของกรรณิการ์

1. ในประเทศอินเดียจะนับถือ เชื่อว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง[7]
2. สามารถนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้ แต่ไม่ควรปลูกใกล้ลานนั่งเล่น เนื่องจากดอกจะมีกลิ่นหอมแรงในช่วงเย็น[5]
3. ดอก สามารถนำมาใช้สกัดทำเป็นน้ำมันหอมระเหยได้[5]
4. ดอก สามารถนำไปใช้สำหรับทำเป็นน้ำหอมได้[5]
5. ดอกมีสาร Carotenoid nyctanthin ซึ่งให้สีเหลืองอมแสด สามารถนำมาใช้ทำเป็นสีสำหรับย้อมผ้าได้ โดยใช้โคนกลีบดอกส่วนหลอดสีส้มแดงนำมาโขลกแบบหยาบ ๆ เติมน้ำ คั้นส่วนน้ำกรองจะได้น้ำที่มีสีเหลืองใส หากถ้าเติมน้ำมะนาวหรือสารส้มลงไปเล็กน้อยในขณะย้อม จะทำให้สีคงทนยิ่งขึ้น[3],[6]
6. ดอก สามารถนำมาใช้ทำสีขนมได้[4]

สั่งซื้อ อาหารเสริม สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “กรร ณิ การ์ (Kanni Ka)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 16.
2. หนังสือสมุนไพรไทยในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “ก ร ร ณิ ก า ร์”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 81.
3. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. “กรรณิการ์ Night Jasmine”. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). หน้า 151.
4. สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “สมุนไพรให้สีแต่งสีอาหาร กรรณิการ์”. [ ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [30 ม.ค. 2014].
5. ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “กรรณิการ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [30 ม.ค. 2014].
6. ไทยโพสต์. “กรร ณิ การ์ ไม้ดอกงามบรรเทาไข้ ป้องกันผมหงอกก่อนวัย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaipost.net. [30 ม.ค. 2014].
7. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 268 คอลัมน์: ต้นไม้ใบหญ้า. “ก ร ร ณิ ก า ร์ คุณค่าที่คู่ควรจมูก ตา (และหู)”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [30 ม.ค. 2014].
8. สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “กรรณิการ์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/botany/. [30 ม.ค. 2014].
9. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “กรร ณิ การ์”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 7-8.
10. https://medthai.com/