ประโยชน์ของน้ำมันตับปลา ( Cod Liver Oil )

0
19483
ประโยชน์ของน้ำมันตับปลา
น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) คือ น้ำมันที่ทำการสกัดจากตับของปลาทะเล ซึ่งปลาที่นำมาผลิตน้ำมันตับปลาส่วนมากจะเป็นปลาทะเลน้ำลึก เพราะว่าตับของปลาทะเลน้ำลึกจะสะอาดไม่มีการปนเปื้อนของสารเคมี
ประโยชน์ของน้ำมันตับปลา
น้ำมันตับปลา เป็นน้ำมันที่สกัดจากตับของปลาทะเล ปลาส่วนมากจะเป็นปลาทะเลน้ำลึก เพราะว่าตับของปลาทะเลน้ำลึกจะสะอาดไม่มีการปนเปื้อนของสารเคมี

น้ำมันตับปลา

น้ำมันตับปลา ( Cod Liver Oil ) คือ น้ำมันที่ทำการสกัดจากตับของปลาทะเล เช่น ปลาค็อด ( Cod ) ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาแฮลิบัท ซึ่งปลาที่นำมาผลิตน้ำมันตับปลาส่วนมากจะเป็นปลาทะเลน้ำลึก เพราะว่าตับของปลาทะเลน้ำลึกจะสะอาดไม่มีการปนเปื้อนของสารเคมี ไม่มีโลหะหนักตกค้างอยู่ในตับของปลา ซึ่งทำให้สารสกัดที่ได้จากตับปลาทะเลน้ำลึกมีความบริสุทธิ์สูงเหมาะแก่การนำมาบริโภค น้ำมันตับปลามีองค์ประกอบของสารอาหารที่  สำคัญ คือ วิตามินเอ ( Vitamin A ) วิตามินดี ( Vitamin D ) ในปริมาณสูง นอกจากนั้นยังมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ( Polyunsaturated Fatty Acid ) และกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-3 ( Omega-3 ) อีกด้วย จึงนิยมนำน้ำมันตับปลามาบริโภคเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพหรืออาหารเสริมวิตามินเอและวิตามินดี สำหรับผู้ที่ขาดวิตามินทั้งสอง เช่น ผู้ป่วยโรคตาฟาง โรคกระดูกพรุน เป็นต้น

ประโยชน์ของน้ำมันตับปลาช่วยอะไร

1. ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน น้ำมันตับปลา ( Cod Liver Oil ) จะอุดมไปด้วยวิตามินดี วิตามินดีจะเข้าไปควบคุมการหลั่งของฮอร์โมนพาราไทรอยด์ ( Parathyroid Hormone ) ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมความเข้มข้นของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกาย ทั้งการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูก การสลายแคลเซียมออกจากกระดูก และการเร่งอัตราการดูดซึมแคลเซียมจากอาหารเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งวิตามินดีนี้จะควบคุมการทำงานของฮอร์โมนพาราไทรอยด์ให้ทำงานได้อย่างปกติ ทำให้มีการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ จึงช่วยทำให้กระดูกและฟันมีความแข็งแรง ลดความเสี่ยงการเป็นโรคกระดูกพรุน ป้องกันโรคกระดูกอ่อนในเด็ก

2. ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย น้ำมันตับปลา ( Cod Liver Oil ) จะช่วยกระตุ้นการแบ่งเซลล์ ( Cell Proliferation ) และพัฒนาเซลล์ที่มีหน้าที่ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ส่งผลให้เซลล์ผิวมีการเสื่อมช้าลง และช่วยกระตุ้นการสารสำหรับสังเคราะห์คอลลาเจนใต้ผิวหนังทำให้ผิวหนังเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล เป็นการช่วยชะลอวัยการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ( Delay Skin Aging ) นอกจากนั้นน้ำมันตับปลายังช่วยในการสมานแผลจากการเข้าไปกระตุ้นให้มีการผลิตเซลล์ผิวหนังขึ้นใหม่มาทดแทนเซลล์ที่ตายและช่วยซ่อมแซมเซลล์ไปทำให้แผลหายเร็วขึ้น

3. ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน น้ำมันตับปลา ( Cod Liver Oil ) จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ( Immune System ) โดยน้ำมันตับปลาจะเข้าไปจับกับเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวมีความแข็งแรงมากขึ้น ส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายจึงสามารถขจัดสิ่งสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย อย่างได้ผล

4. ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา วิตามินเอที่อยู่ในน้ำมันตับปลาจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทตาและเซลล์รับแสงที่จอประสาทให้มีการเจริญเติบโต มีความแข็งแรงทนทาน ทำให้ตาสามารถปรับสภาพได้ดีแม้อยู่ในที่แสงสว่างน้อย ป้องกันโรคตาบอดตอนกลางคืน โรคจอประสาทตาเสื่อม ตาฟาง

5. ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ น้ำมันตับปลา ( Cod Liver Oil ) มีองค์ประกอบที่เป็นน้ำมันจะเข้าไปเพิ่มความชุ่มชื่นด้วยน้ำมันตามข้อต่อภายในร่างกาย เพื่อลดแรงกระทบกันระหว่างกระดูกและลดการอักเสบที่เกิดขึ้นตามข้อต่อจึงช่วยลดอาการปวดตามข้อ โดยเฉพาะอาการปวดจากโรคข้อต่ออักเสบได้เป็นอย่างดี

6. ช่วยป้องกันมะเร็ง น้ำมันตับปลา ( Cod Liver Oil ) มีองค์ประกอบของกรดไขมันที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น สควาลีน ( Squalene ) วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี จึงช่วยยับยั้งการทำงานของอนุมูลอิสระที่เข้ามาในร่างกายให้ไม่สามารถทำลายเซลล์ได้ ป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ส่งผลให้ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งที่ผิวหนังและโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทตา

7. ช่วยบำรุงสมอง น้ำมันตับปลา ( Cod Liver Oil ) มีส่วนผสมของกรดโอเมก้า-3 ที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์สมอง โดยเฉพาะในเด็กทารกหรือทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาให้มีเซลล์สมองที่มากพอต่อการพัฒนาสมอง และเซลล์สมองที่สร้างขึ้นมานั้นก็มีความแข็งแรงสมบูรณ์ส่งผลให้เด็กมีพัมนาการที่ดี เรียนรู้ไว จดจำสิ่งต่างๆ รอบตัวได้รวดเร็ว ในผู้สูงอายุจะช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมอง ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม

น้ำมันตับปลา คือ น้ำมันที่ทำการสกัดจากตับของปลาทะเลน้ำลึก เพราะตับของปลาทะเลน้ำลึกจะสะอาดไม่มีการปนเปื้อนของสารเคมี ไม่มีโลหะหนักตกค้าง

น้ำมันตับปลาและน้ำมันปลาคืออย่างเดียวกันหรือไม่

น้ำมันตับปลาและน้ำมันปลานั้นเป็นคนละอย่างกัน น้ำมันตับปลาสกัดมาจากตับของปลาทะเล อุดมไปด้วยวิตามินเอและวิตามิดี ส่วนน้ำมันปลา ( Fish Oil ) คือ น้ำมันที่สกัดจากชิ้นส่วนของปลา เช่น เนื้อ หนัง หัวและหาง ซึ่งผลิตจากปลาทะเลโดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคคอเรล ปลาแอนโชวี่ อุดมไปด้วยโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6

สรรพคุณน้ำมันตับปลา

1. บำรุงสมองและหัวใจ กรดไขมันในน้ำมันปลามีฤทธิ์ต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ดังนั้นจึงช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกร็ดเลือดภายในหลอดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เส้นเลือดเกิดการอุดตัน ช่วยป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดและโรคหัวใจ เช่น โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เป็นต้น

2. ลดการอักเสบของหลอดเลือด EPA จะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างสาร “พลอสตาแกลนดิน” ที่มีส่วนช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือดและการอักเสบของข้อต่อในร่างกาย ดังนั้นการกินน้ำมันปลาจึงช่วยบรรเทาอาการอักเสบในร่างกาย

3. ชะลอความวัย โดยโอเมก้า-3 จะเข้าไปเพิ่มความยาวของดีเอ็นเอที่เรียกว่า “เทโลเมียร์ ( Telomere )” ให้มีความยาวมากขึ้น เพราะว่าถ้าเทโลเมียร์สั้นลงจะมีการส่งสัญญาณกับร่างกายว่าร่างกายกำลังแก่ เซลล์จะเกิดการเสื่อมโดยอัตโนมัติ ดังนั้นเมื่อโอเมก้า-3 ไปจับตัวกับเทโลเมียร์ เทโลเมียร์ก็จะมีความยาวมากขึ้น สัญญาณแห่งความแก่ก็จะไม่ถูกส่งออกมา ร่างกายจึงดูอ่อนเยาว์จึงช่วยชลอวัยได้เป็นอย่างดี

4. บำรุงสมอง DHA ที่อยู่ในน้ำมันปลาจะเข้าไปเสริมสร้างการทำงานของเซลล์สมอง โดย DHA จะช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาท และลดการสร้างเส้นใยที่เกิดขึ้นในสมองให้น้อยลง ป้องกันไม่ให้เส้นใยสมองเข้ามาทำลายเซลล์สมองที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์สมองเสื่อม จึงช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับสมอง โรคอัลไซเมอร์ และยังช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์สมองของทารกในครรภ์และเด็ก ให้มีการเจริญเติบโตสมบูรณ์ป้องกันความผิดปกติในสมองของเด็ก

5. ลดอาการหอบหืด น้ำมันปลาช่วยลดสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบที่ปอดและลดการอักเสบที่เกิดขึ้นสาเหตุของอาการหอบหืดให้มีการอักเสบน้อยลง เมื่อการไม่มีการอักเสบที่ปอดหรือการอักเสบไม่รุนแรงอาการหอบหืดก็จะลดลงตามไปด้วย

6. ลดความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด คุณแม่หลายคนมักจะได้รับคำแนะนำให้รับประทานอาหารเสริมดีเอชเอวันละ 600-800 มก. ต่อวัน ซึ่งนอกจากจะช่วยในเรื่องพัฒนาการสมองของทารกแล้วดีเอชเอสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดได้มากถึง 40%

7. ต้านอักเสบ ดีเอชเอช่วยต้านอาการอักเสบ และช่วยลดอาการของโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ รับประทานดีเอชเอวันละ 2,100 มก. จะมีอาการบวมที่ข้อลดลงมากถึง 28%

ปริมาณการกินน้ำมันตับปลาที่เหมาะสม

ปริมาณการกินน้ำมันตับปลาเพื่อเสริมวิตามินเอ วิตามินดี และกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 แก่ร่างกายนั้นขึ้นอยู่กับคำแนะนำบนผลิตภัณฑ์ แต่โดยทั่วไปไม่ควรรับประทานเกิน 30 มิลลิลิตรต่อวัน ส่วนผู้ใหญ่รับประทานวันละ 1 เม็ด และควรกินควบคู่กับการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่

กินน้ำมันตับปลามากเกินไปมีโทษอย่างไร

1. การรับประทานน้ำมันตับปลาในปริมาณที่มากเกินไป อาจจะทำให้เกิดพิษจากวิตามินเอ อาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน มีผลต่อระบบประสาท ทำให้ตับถูกทำลาย หิวน้ำ ปัสสาวะบ่อย และอาจทำให้ผมร่วง ผิวแห้ง

2. เด็กไม่รับประทานเป็นประจำและในปริมาณที่มากเกินไป เพราะการได้รับวิตามินดีสะสมมากจนเกินไปอาจจะมีผลเสียต่อระบบเลือดได้ อาจทำให้ไตวายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

3. น้ำมันตับปลามีสารบางชนิดที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด โดยทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติเหมือนกับยาแอสไพริน ถ้ารับประทานน้ำมันตับปลาเป็นประจำและจะต้องเข้ารับการผ่าตัด จะต้องหยุดรับประทานก่อนเข้ารับการผ่าตัดประมาณ 10 วัน เพื่อป้องกันอาการเลือดไหลไม่หยุดหรือออกมามากกว่าปกติ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

สุนันท์ วิทิตสิริ. รู้จักกับ น้ำมันและไขมันปรุงอาหาร. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2559. 80 หน้า. 1.รู้จักกับน้ำมันและไขมัน. 2.ปรุงอาหาร. I.ชื่อเรื่อง. 665 ISBN 978-616-538-290-8.

Javitt NB (December 1994). “Bile acid synthesis from cholesterol: regulatory and auxiliary pathways”. FASEB J. 8 (15): 1308–11.