ชะมดเชียง สรรพใช้รักษาหอบหืด หลอดลมอักเสบและปอดบวม

0
1484
ชะมดเชียง
ชะมดเชียง สรรพใช้รักษาหอบหืด หลอดลมอักเสบและปอดบวม เครื่องหอมชนิดหนึ่งซึ่งได้จากสารคัดหลั่งแห้งจากกวางชะมดตัวผู้ที่โตเต็มวัย สามารถนำมาใช้ทำเป็นยาได้
ชะมดเชียง
เป็นรูปกลมรีคล้ายรูปไข่ มีสีน้ำตาล มีขนสั้นห่อหุ้ม เป็นสารสีน้ำตาลเข้ม เหนียว มีกลิ่นหอม

ชะมดเชียง

ชะมดเชียง เป็น เครื่องหอมชนิดหนึ่งซึ่งได้จากสารคัดหลั่งแห้งจากต่อมถุงชะมดซึ่งอยู่ระหว่างสะดือและอวัยวะเพศของกวางชะมดตัวผู้ที่โตเต็มวัย เป็นสัตว์ที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาตั้งแต่ไซบีเรียไปจนถึงเทือกเขาหิมาลัยชะมดเป็นวัตถุดิบของยาหลายชนิดใช้เป็นยาแผนโบราณของชาวตะวันออกในเอเชียตะวันออก มีการใช้แต่งกลิ่นเครื่องหอมและทำยาเพื่อรักษาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง อาการโคม่า โรคประสาทอ่อน อาการชัก และโรคหัวใจในจีนตั้งแต่สมัยโบราณ ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Moschus moschiferus Linnaeus จัดอยู่ในวงศ์กวางชะมด (MOSCHIDAE) ชื่อเรียกอื่น ๆ คือ ชะมด,กวางชะมด,มุดลัง,เซ่อเซียง (จีนกลาง)[1]

ลักษณะของชะมดเชียง[1],[2]

  • กวางชะมด
    – เป็นสัตว์จำพวกกวางแต่ไม่มีเขา
    – มีลำตัวยาวประมาณ 65-95 เซนติเมตร
    – สูงประมาณ 60 เซนติเมตร
    – มีน้ำหนักประมาณ 8-13 กิโลกรัม
    – มีขนสั้นและหยาบแข็ง
    – ขนที่หน้าท้องเป็นสีขาว
    – ปลายขนเป็นสีดำ
    – ใบหูมีลักษณะกลมยาวและตั้งตรง
    – ตาโต
    – มีเขี้ยวยาว
    – ขาเล็กยาว แต่สองขาหลังจะยาวกว่าสองขาหน้า
    – มีหางสั้น คดงอ
    – จะอาศัยอยู่ตามป่าบนภูเขาสูงในประเทศเนปาลและจีน
    – ออกหากินตามลำพังเวลาเช้ามืดหรือพลบค่ำ
  • ชะมดเชียง[1]
    – เป็นไขมันในต่อมกลิ่นของชะมด
    – ซึ่งต่อมนี้จะมีเฉพาะในชะมดตัวผู้เท่านั้น
    – จะอยู่ระหว่างใต้สะดือกับอวัยวะเพศตัวผู้
    – มีลักษณะเป็นรูปกลมรีคล้ายรูปไข่ มีสีน้ำตาล มีขนสั้นห่อหุ้มอยู่
    – ตรงกลางจะมีรูเพื่อขับสารประเภทไขมันออกมา เป็นสารสีน้ำตาลเข้ม เหนียว
    – มีกลิ่นหอม
    – สามารถนำมาใช้ทำเป็นยาได้
    – มีกลิ่นฉุนจัด ผิวเป็นมัน เนื้ออ่อนนิ่มและเป็นสีน้ำตาลไม่ปนสีดำ
    – ปัจจุบันตัวยาชนิดนี้หาได้ยากและมีราคาแพง

สรรพคุณของชะมดเชียง

  • สามารถนำมาใช้รักษาโรคเส้นประสาทได้[2]
  • สามารถนำมาใช้แก้อาการเป็นลมหมดสติ แก้อาการตกใจง่ายได้[1]
  • สามารถนำมาใช้รักษาโรคตา โรคลม โลหิต กำเดาได้[2]
  • สามารถนำมาใช้รักษาหอบหืด หลอดลมอักเสบ ปอดบวมได้[2]
  • สามารถนำมาใช้แก้อาการปวดท้อง จุกเสียดแน่นได้[1]
  • ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของมดลูก[1]
  • ช่วยแก้อาการฟกช้ำ ฝีบวมอักเสบ ปวดบวม แก้ซีสต์[1]
  • ช่วยแก้อัมพฤกษ์ อัมพาต ลมชัก[1]
  • สามารถนำมาใช้เป็นยาเร่งในโรคไข้รากสาดน้อยได้[2]
  • สามารถนำมาใช้เป็นยากระตุ้นการทำงานของประสาทส่วนกลาง ทำให้รู้สึกตื่นตัวและสดชื่นได้[1]
  • ช่วยรักษาอาการแน่นหน้าอก จุกเสียดปวดมวนที่หัวใจ[1]
  • ไขมันของต่อมกลิ่นของชะมดตัวผู้ มีรสเผ็ดขม มีกลิ่นหอม เป็นยาร้อนเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อหัวใจ ตับและม้าม ใช้เป็นยาปิดทวารทั้ง 7 ทำให้ลมปราณไหลเวียนดี[1]
  • ช่วยกระจายการอุดตันของเส้นลมปราณและเส้นเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดี[1]

ประโยชน์ของชะมดเชียง

  • สามารถใช้ในการแต่งกลิ่นเครื่องหอมต่าง ๆ ได้[3]

ข้อควรระวัง

  • สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้เด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้แท้งบุตรได้[1]

ขนาดและวิธีใช้[1]

  • ให้ใช้ครั้งละประมาณ 0.15-0.2 กรัม
  • นำมาบดให้เป็นผงรับประทาน หรือใช้เข้ากับตำรายาอื่น
  • ยาชนิดนี้ไม่นิยมนำมาต้มรับประทาน

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของชะมดเชียง

  • สารที่พบ ได้แก่ สาร Muscone (สารให้กลิ่นหอม), Muscopyridine, Normuscone และพบแร่ธาตุต่าง ๆ อีกหลายชนิด เช่น แคลเซียม, ธาตุเหล็ก, แมกนีเซียม, โปรตีน, ไขมัน เป็นต้น[1]
  • จากการทดลองกับหนูขาว พบว่า ถ้ารับประทานสาร Muscone ในปริมาณเล็กน้อย ขนาด 0.01-0.05 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะมีฤทธิ์ไปกระตุ้นประสาทส่วนกลาง ทำให้หนูขาวมีความรู้สึกตื่นตัวและมีความสดชื่น แต่ถ้ารับประทานมากกว่า 1 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม พบว่าจะมีฤทธิ์กล่อมประสาท ทำให้ง่วงและยืดเวลาการนอนหลับให้ยาวนานขึ้น[1]
  • มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจที่อยู่นอกร่างของสัตว์ทดลอง ทำให้บีบตัวแรงขึ้น และพบว่าความดันโลหิตได้เพิ่มขึ้น ทำให้มีการหายใจเร็วขึ้นอีกด้วย[1]
  • สารสกัดมีฤทธิ์กระตุ้นต่อมดลูกที่อยู่นอกร่างของสัตว์ทดลอง ทำให้มดลูกบีบตัวไวขึ้น โดยเฉพาะกับมดลูกที่ตั้งครรภ์ ซึ่งพบว่าจะมีการบีบตัวแรงขึ้นและทำให้แท้งได้[1]

สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “ชะมดเชียง”. หน้า 194.
2. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ชะมดเชียง”. หน้า 247-248.
3. จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑๑, พฤศจิกายน ๒๕๓๒.
4. https://cmjournal.biomedcentral.com/

อ้างอิงรูปจาก
1.https://rosaleneov.life/
2.https://www.britannica.com/