กรดบิวทิริก ช่วยอะไร? คุณสมบัติและข้อดีที่ควรรู้

0
กรดบิวทิริก ช่วยอะไร คุณสมบัติและข้อดีที่ควรรู้
หน้าที่และประโยชน์ของกรดบิวทิริก
กรดบิวทิริก คือ กรดอินทรีย์ที่พบได้ในไขมันสัตว์ น้ำมันพืช นมและไขมันเนย เป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว

ประโยชน์ของกรดบิวทิริก

กรดบิวทิริก (Butyric Acid) เป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid) ที่พบในไขมันสัตว์ น้ำมันพืช น้ำนม และไขมันเนย มีลักษณะเป็นกรดไขมันสายสั้นที่ระเหยง่ายและมีจุดหลอมเหลวต่ำ สูตรเคมีของกรดบิวทิริกคือ CH3CH2CH2COOH โดยมีโครงสร้างที่ประกอบด้วยคาร์บอนเพียง 4 อะตอม ทำให้เป็นกรดอินทรีย์ที่มีขนาดโมเลกุลเล็กที่สุดในกลุ่มนี้

จึงนับเป็นกรดไขมันชนิดที่มีสายสั้น ( Short Chain Fatty Acid ) มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนๆ จุดหลอมเหลวต่ำ ( Melting Point ) อยู่ที่ ประมาณ -7.9 องศาเซลเซียส เป็นกรดอินทรีย์ที่ระเหยได้ง่าย ( Volatile Fatty Acid ) ละลายในน้ำได้ดี แหล่งที่พบกรดบิวทิริกนอกจากในน้ำนมและไขมันเนยแล้ว กรดบิวทิริกยังพบได้จากการหมักของเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจน ซึ่งกรดบิวทิริกที่เกิดขึ้นจากการหมักนี้เป็นสาเหตุของการเน่าเสียของอาหาร ลักษณะอาหารที่เน่าเสียจากกรดบิวทิริกจะมีกลิ่นเหม็น รสเปรี้ยวคล้ายกับนมที่บูดแล้ว
ถึงแม้ว่ากรดบิวทิริกจะทำให้อาหารเน่าเสีย แต่กรดบิวทิริกกลับมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

ประโยชน์ของกรดบิวทิริกต่อร่างกาย

ประโยชน์ของกรดบิวทิริกต่อร่างกาย1.แหล่งพลังงาน กรดบิวทิริก เป็นแหล่งพลังงานให้กับเยื่อเมือกหรือเนื้อเยื่อเมือก ( Mucosa or Mucous Membrane ) โดยเฉพาะที่ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ โดยกรดบิวทิริกจะเข้าไปช่วยให้วิลลัส ( Villus ) หรือเยื่อบุผนังลำไส้ภายในลำไส้มีจำนวนเพิ่มขึ้น และจำนวนที่เพิ่มขึ้นมากนั้นมีขนาดความยาวมากขึ้น สุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนอยู่ได้นานกว่าเดิมอีกด้วย จึงทำให้วิลลัสสามารถดูดซึมอาหารเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้นนั่นเอง

2.ดูดซึมสารอาหาร กรดบิวทิริกช่วยในการดูดซึมสารอาหารได้เพิ่มมากขึ้น เพราะผนังลำไส้มีความแข็งแรงและมีพื้นที่มากขึ้น รวมถึงวิตามินที่ไม่ละลายน้ำ ลดการขาดวิตามินเอ วิตามินเค วิตามินอี วิตามินดี เพราะเข้าไปเพิ่มพื้นที่ของเยื่อบุผนังลำไส้ทำให้สามารถดูดซึมอาหารได้มากขึ้น ร่างกายจึงดูดซึมวิตามินที่ไม่ละลายน้ำเพิ่มมากขึ้น

3.รักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ลำไส้ของเราจะประกอบไปด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ปะปนอยู่ด้วยกัน ถ้าจุลินทรีย์ที่ไม่มีประโยชน์มากเกินความจำเป็นจะทำให้เราเกิดอาการท้องเสีย ท้องอืด ในทางกลับกันถ้าจุลินทรีย์ชนิดดีมากเกินไปก็จะทำให้การขับถ่ายไม่ดี ดังนั้นเราต้องรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ทั้งสองชนิดให้อยู่ในสภาวะที่สมดุลเพื่อที่ระบบการย่อยและขับถ่ายจะทำงานได้เป็นปกติ ซึ่งกรดบิวทิริกจะช่วยสร้างสมดุลของจุลินทีย์ในร่างกาย โดยเมื่อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ เช่น Lactobacilli เป็นต้น มีปริมาณลดลงก็จะเข้าไปช่วยให้มีการสร้างเพิ่มขึ้นให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และลดหรือทำลายจุลินทรีย์ที่ไม่มีประโยชน์ เช่น S.Entertidis, E.Coli เป็นต้น เมื่อจุลินทรีย์ไม่มีประโยชน์เพิ่มขึ้นเกินสมดุล โดยการควบคุมค่าความเป็นกรด-ด่างให้อยู่ในค่าที่ไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตได้

กรดบิวทิริก ( Butyric Acid ) คือ กรดอินทรีย์ที่พบได้ในไขมันสัตว์ น้ำมันพืช นมและไขมันเนย เป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว ( Saturated Fatty Acid )

4. ป้องกันมะเร็งลำไส้ กรดบิวทิริกจะช่วยป้องกันและรักษาแผลที่เกิดจากการทำลายของเชื้อโรคที่เข้ามาในลำไส้ให้ดีขึ้นหรือหายได้ เพราะถ้าลำไส้มีการอักเสบ การระคายเคืองเป็นแผลบ่อยๆ จนกลายเป็นแผลที่มีการอักเสบชนิดเรื้อรังแล้ว เซลล์บริเวณที่เกิดการอักเสบนี้จะมีโอกาสที่จะกลายพันธุ์และเจริญเติบโตเกิดเป็นเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้นเมื่อกรดบิวทิริกสามารถรักษาแผลที่เกิดขึ้นในลำไส้ได้แล้ว โอกาสที่เซลล์จะกลายเกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งย่อมลดลงตามไปด้วย

กรดบิวทิริกเป็นกรดอินทรีย์ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดี ลดภาวะขาดวิตามิน เช่น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค

และช่วยรักษาสมดุลภายในลำไส้ทำให้ร่างกายแข็ง แรง กรดบิวทิริกนั้นเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในวัยเด็กที่ลำไส้ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่และยังไม่แข็งแรงมากเพราะเมื่อเด็กได้รับกรดบิวทิริกเข้าไปจะช่วยทำให้ลำไส้ของเด็กแข็งแรง ลดความเสี่ยงของโรคท้องเสียหรือโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารและขับถ่ายได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเด็กควรดื่มนมหรือกินอาหารที่เสริมกรดบิวทิริกจะดีการเจริญเติบโตของร่างกาย ส่วนในผู้ใหญ่ก็สามารถกินอาหารที่เสริมบิวทิริกเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของลำไส้ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ในระยะยาวได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/news_week_full.

http://www.medscape.com/viewarticle/584984.

Hartley, L.; Clar, C.; Ghannam, O.; Flowers, N.; Stranges, S.; Rees, K. (Sep 2015). “Vitamin K for the primary prevention of cardiovascular disease”. The Cochrane Database of Systematic Reviews (Systematic review). 9 (9): CD011148.

เบาหวานชนิดที่ 2 คือเบาหวานที่เราสร้างเอง

0
เบาหวานชนิดที่ 2 คือเบาหวานที่เราสร้างเอง
เบาหวานชนิดที่สองเกิดจากร่างกายไม่สามารถสร้างหรือนำอินซูลินไปใช้ได้
เบาหวานชนิดที่ 2 คือเบาหวานที่เราสร้างเอง
กราฟวงกลมแสดงสถิติที่มีพันธุ์กรรมเบาหวานในชาวเอเชีย

สาเหตุเบาหวานชนิดที่ 2

เบาหวานชนิดที่ 2 คือภาวะที่มีน้ำตาลในเลือดสูง สาเหตุที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมี 2 สาเหตุ คือ การลดระดับของการผลิตอินซูลินในร่างกาย และภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งสาเหตุเบาหวานชนิดที่ 2 นี้เป็นเบาหวานที่เราสร้างขึ้นมาเอง โดยเกิดจากวิถีชีวิตประจำวันการกินมากถึง 99.99% ส่วนอีก 0.01% ก็จะมาจากพันธุกรรมนั่นเอง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าสาเหตุของการป่วยด้วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ก็มาจากพฤติกรรมของตัวเราเองล้วนๆ 

ใครบ้าง เสี่ยงกลับมาเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ?

1. คนที่มีอายุมากกว่า 30 ปี

2. มีระดับไขมันในเลือดสูงผิดปกติ รวมถึงระดับไตรกลีเซอไรด์ด้วย

3. ผู้ที่เป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด

4. ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมาก

5. ผู้ชายที่มีรอบเอว มากกว่า 36 นิ้วและผู้หญิงที่มีรอบเอวมากกว่า 32 นิ้ว

6. มีถุงน้ำในรังไข่

7. มีดัชนีมวลกายสูงมากกว่า 23 กก./ม2 หรืออยู่ในเกณฑ์อ้วนนั่นเอง

8. มีประวัติคนในครอบครัวหรือญาติพี่น้องเป็นเบาหวานมาก่อน

ผอมแค่ไหน ก็มีโอกาสเป็นเบาหวานชนิดที่ 2ได้

หลายคนมีความเข้าใจแบบผิดๆ ว่าผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจะต้องอ้วนเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว ผู้ที่มีรูปร่างผอมก็สามารถเป็นเบาหวานได้เหมือนกัน ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะสาเหตุดังต่อไปนี้   

1. มีพ่อแม่ ญาติพี่น้องหรือคนในครอบครัวเป็นเบาหวานมาก่อน โดยอาจเกิดการติดต่อกันทางพันธุกรรมได้

2. เกิดปัญหากับตับอ่อน เป็นผลให้ตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้อย่างเพียงพอ

3. เป็นเพราะผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาขับปัสสาวะ เป็นต้น

4. เกิดการติดเชื้อไวรัสบางชนิด จึงทำให้เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานได้สูง เช่น คางทูม หัด และหัดเยอรมันเป็นต้น

5. มีการขาดสารอาหารตั้งแต่แรกเกิด ทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายขาดประสิทธิภาพในการทำงานและเป็นเบาหวานได้ในที่สุด

พันธุกรรมกับการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2

แม้ว่าพันธุกรรมจะเป็นสาเหตุของเบาหวานที่เกิดขึ้นได้น้อยที่สุด แต่ก็ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว เพราะจากสถิติพบว่า ผู้ที่คนในครอบครัวเคยมีประวัติการเป็นเบาหวานมาก่อน มักจะลงเอยด้วยการเป็นเบาหวานทั้งสิ้น นั่นก็เพราะร่างกายของพวกเขาล้วนดื้อต่ออินซูลินนั่นเอง ซึ่งเมื่อหายแล้วก็มีโอกาสกลับมาะเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อีก

ภาวะการดื้อต่ออินซูลิน

ภาวะนี้เกิดจากการที่ร่างกายทำการบังคับให้อินซูลินมีประสิทธิภาพที่แย่ลงกว่าเดิม เพื่อไม่ให้กลูโคสถูกนำออกไปจากเลือดในปริมาณมาก เพราะร่างกายต้องการเก็บน้ำตาลไว้ให้มากที่สุด เพื่อรับมือกับการอดอาหารหลายวัน ( เนื่องจากในสมัยก่อนนั้นอาหารหายาก ในวันที่หาอาหารไม่ได้ก็จะต้องพยายามอดนั่นเอง ) และด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดยีนที่ดื้อต่ออินซูลินขึ้นมาในร่างกาย และมีการถ่ายทอดจากรุ่นไปสู่รุ่นในที่สุด จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเบาหวานจากพันธุกรรมได้

ในปัจจุบันร่างกายของคนเราไม่จำเป็นต้องทำให้เกิดการดื้ออินซูลินอีกต่อไป เพราะในยุคนี้ไม่ต้องอดอาหารเหมือนในยุคก่อนๆ แต่กลับต้องการอินซูลินที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ในการขนส่งกลูโคสออกจากเลือดไปยังเซลล์ต่างๆ ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ดังนั้นเมื่อเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน จึงทำให้เป็นเบาหวานได้ง่าย แต่ก็สามารถป้องกันได้บ้างด้วยการหมั่นออกกำลังกายบ่อยๆ นั่นเอง

ถ้าเป็นเบาหวาน ลูกจะเป็นด้วยไหม?

เบาหวาน เกิดขึ้นได้จากพันธุกรรม ที่สืบทอดต่อกันไปยังบรรพบุรุษ ดังนั้นเมื่อใครก็ตามที่เป็นเบาหวาน ก็ย่อมส่งต่อเบาหวานไปสู่ลูกที่เกิดมาได้โดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นควรดูแลตัวเองให้ดีที่สุดอย่าให้เป็นเบาหวานจะดีกว่า เพื่อที่ลูกจะได้ไม่เสี่ยงเป็นเบาหวานไปด้วย

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯซ บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัดม 2557.

สมาคมเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.

แก้ว กังสดาลอำไพ. ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับอาหาร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. หมอชาวบ้าน 2531.
งานวิจัยเกาหลี [เว็บไซต์]. เข้าถึงจาก www.diabassocthai.org.

เบาหวานแฝงตัวมากับเครื่องดื่ม

0
เบาหวานแฝงตัวมากับเครื่องดื่ม
เครื่องดื่มจำพวก ชา โกโก้ จะมีความหวานมากกว่าปกติ
เบาหวานแฝงตัวมากับเครื่องดื่ม
เครื่องดื่มจำพวก ชา กาแฟ โกโก้ มักมีความหวานมากกว่าปกติ

เครื่องดื่มก่อเบาหวาน

นอกจากน้ำเปล่าแล้ว เครื่องดื่มอื่นๆ อย่างเช่นน้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง กาแฟ ชานมหรือนมเปรี้ยว ก็เป็นเครื่องดื่มที่ผู้คนส่วนใหญ่นิยมดื่มกันในแต่ละวันเช่นกัน นั่นก็เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้จะให้ความสดชื่นและคลายเครียดได้ดี แต่รู้ไหมว่าเป็น เครื่องดื่มก่อเบาหวาน แฝงมาทั้งสิ้น ซึ่งก็คืออาจทำให้คุณเป็นเบาหวานได้โดยไม่รู้ตัวนั่นเอง

ชนิดเครื่องดื่ม ปริมาณ

(กรัม)

น้ำตาล

(ช้อนชา)

พลังงาน

(แคลอรี)

น้ำตาลเกิน

(ช้อนชา)

น้ำส้ม 44.8 11.2 224 5.2
น้ำอัดลม 34.6 8.7 174 2.7
ชาเขียว (กล่อง) รสน้ำผึ้ง 30 7.5 150 1.5
เครื่องดื่มชูกำลัง 30 7.5 150 1.5
นมเปรี้ยวขวดเล็ก 17.6 4.4 88
กาแฟกระป๋อง 17.2 4.3 84

คำนวณปริมาณของน้ำตาลในเครื่องดื่มจากฉลากโภชนาการ

1.กรณีที่ปริมาณของน้ำตาลในฉลากระบุมาเป็น % ให้คำนวณตามสูตรดังนี้
( ปริมาณ ( % ) × ปริมาตรสุทธิ (มล.) ) / 500 = ปริมาณน้ำตาลเป็นช้อนชา 

2.กรณีที่ปริมาณของน้ำตาลในฉลากระบุมาเป็นกรัม ให้คำนวณตามสูตรดังนี้
(น้ำตาล (กรัม) ) / 500 = ปริมาณน้ำตาลเป็นช้อนชา
ยกตัวอย่างเช่น น้ำมะนาว 350 มล. มีน้ำตาลอยู่ทั้งหมด 10.5% สามารถหาปริมาณของน้ำตาลได้โดย (10.5×350) / 500 = 7.35

ซึ่งสรุปได้ว่า การที่เราดื่มน้ำมะนาวกล่องนี้ 1 กล่อง ก็เท่ากับว่าได้ทานน้ำตาลไปมากกว่า 7 ช้อนชานั่นเอง ซึ่งโดยปกติแล้วคนเราควรกินน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชาเท่านั้น
เพราะฉะนั้นหากดื่มน้ำมะนาวติดต่อกันเป็นประจำทุกวัน รับรองเลยว่าเบาหวานจะต้องถามหาอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นอย่าได้ชะล่าใจว่าการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้จะไม่ทำให้เป็นเบาหวานเด็ดขาด
กาแฟหอม มาพร้อมกับโรค

ต้องยอมรับเลยว่า กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนเรามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นวัยเรียนหรือวัยทำงานก็ตาม และเนื่องจากในปัจจุบันมีกาแฟสำเร็จรูปออกมาวางขายมากมาย หลายคนจึงหันมาดื่มกาแฟสำเร็จรูปกันมากขึ้น รวมถึงกาแฟที่ชงขายตามร้าน อย่างมอคค่า ลาเต้หรือคาปูชิโน่เช่นกัน และแน่นอนว่ากาแฟเหล่านี้ล้วนมีส่วนผสมของน้ำตาลในปริมาณมาก ซึ่งก็จะทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานได้ไม่ยากเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น
ลาเต้เย็น ให้พลังงาน 288 แคลอรี และมีน้ำตาล 3-9 ช้อนชา
คาปูชิโน่เย็น ให้พลังงาน 303 แคลอรี และมีน้ำตาล 6-9 ช้อนชา
มอคค่าเย็น ให้พลังงาน 404 แคลอรี และมีน้ำตาล 5-9 ช้อนชา

โดยจากข้อมูลเหล่านี้ ยังไม่นับรวมน้ำเชื่อม ผงช็อกโกแลตและอื่นๆ ที่ใส่ลงไปในกาแฟ จึงสรุปได้ว่า กาแฟก็เป็นตัวการร้ายของโรคเบาหวานที่จะมองข้ามไม่ได้เลยทีเดียว
แอลกอฮอล์ ถึงจะขมแต่ก็แฝงด้วยเบาหวาน

เบาหวาน ไม่ได้เกิดจากการทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสชาติหวานเท่านั้น แต่เครื่องดื่มที่มีรสขมอย่างแอลกอฮอล์ ก็อาจนำมาซึ่งการเป็นเบาหวานได้เช่นเดียวกัน นั่นก็เพราะ 

1.การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำทุกวัน จะส่งผลให้อินซูลินลดลงและระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น

2.เมื่อดื่มแอลกอฮอล์เพียงแค่ 1 กรัม จะให้พลังงานมากถึง 7 แคลอรี

3.โดยปกติแอลกอฮอล์จะให้พลังงานที่สูงมาก ทำให้ร่างกายไม่ต้องสลายไขมันออกมาใช้เป็นพลังงาน เป็นผลให้มีไขมันสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนอ้วนลงพุงและเป็นเบาหวานได้

4.แอลกอฮอล์จะเข้าไปขัดขวางการดูดซึมของโปรตีนที่ย่อยแล้ว ซึ่งนอกจากจะเสี่ยงเป็นเบาหวาน ก็อาจขาดสารอาหารได้อีกด้วย

พลังงานที่พบในเครื่องดื่มต่างๆ
เครื่องดื่ม พลังงาน (แคลอรี)
เบียร์กระป๋อง 350 ml 144
ไวน์แดงหรือและไวน์ขาว 1 แก้ว 80
วิสกี้ 30 ml 65
เบียร์สด 100 ml 42

จะเห็นได้ว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็เสี่ยงเบาหวานได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ชายควรดื่มแอลกอฮอล์ไม่เกินวันละ 2 ดริ๊ง และผู้หญิงควรดื่มไม่เกินวันละ 1 ดริ๊ง
แอลกอฮอล์ตกค้างในกระแสเลือด

เมื่อแอลกอฮอล์ตกค้างในกระแสเลือด จะทำให้เกิดการขัดขวางไม่ให้ร่างกายสามารถนำไขมันไปเผาผลาญเป็นพลังงานได้ และยังทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยและการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตลดต่ำลงกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งก็จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันและย้อนกลับมาเกาะที่ตับแทน ผลที่เกิดขึ้นก็คือเซลล์ตับจะดื้อต่ออินซูลิน และระดับน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้นจนเป็นเบาหวานได้ในที่สุด อย่างไรก็ตามการดื่มแอลกอฮอล์ หากดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะช่วยลดเบาหวานและโรคหัวใจได้อีกด้วย โดยปริมาณที่พอเหมาะก็คือเทียบเท่ากับเอทานอล 12.6 กรัมนั่นเอง

เทคนิคการดื่มอย่างฉลาด

เนื่องจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีทั้งประโยชน์และโทษ ดังนั้นเรามาดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างฉลาดกันดีกว่า ซึ่งก็มีเทคนิคการดื่มดังนี้

1.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ จากนั้นจึงค่อยๆ ลดปริมาณการดื่มลงเรื่อยๆ จนสามารถเลิกดื่มได้ในที่สุด หรือดื่มแค่วันละไม่เกิน 1-2 ดริ๊ง

2.พยายามอย่าดื่มควบคู่ไปกับการทานกับแกล้ม เพราะอาจได้รับพลังงานจากกับแกล้มสูงจนทำให้อ้วนและเป็นเบาหวานได้ โดยอาจลดกับแกล้มให้น้อยลง หรือเปลี่ยนเป็นเมนูอื่นๆ ที่มีแคลอรีต่ำนั่นเอง

3.พยายามควบคุมปริมาณแคลอรีที่ร่างกายได้รับในแต่ละวันให้ได้มากที่สุด โดยอาจควบคุมด้วยการลดปริมาณอาหารและการออกกำลังกายนั่นเอง

4.ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอดอาหารแทน เพราะไม่ได้ช่วยอะไร เนื่องจากแอลกอฮอล์ไม่ให้สารอาหาร แต่จะให้พลังงานสูงจึงอาจทำให้ลงพุงและเป็นเบาหวานได้ง่าย แม้ว่าจะไม่อ้วนก็ตาม

5.คิดจะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรดื่มแค่วันละ 1 ดริ๊งเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพแล้ว ก็ยังช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานและโรคหัวใจได้ดีทีเดียว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯซ บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัดม 2557.

สมาคมเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.

แก้ว กังสดาลอำไพ. ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับอาหาร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. หมอชาวบ้านว 2531.
งานวิจัยเกาหลี [เว็บไซต์]. เข้าถึงจาก www.diabassocthai.org.

กรดโพรพิโอนิก และ ประโยชน์ที่คุณคาดไม่ถึง

0
กรดโพรพิโอนิก
กรดอินทรีย์ที่เป็นวัตถุปรุงแต่งสำหรับถนอมในอาหาร เป็นสารกันบูดกันเสีย

ประโยชน์ของกรดโพรพิโอนิก

กรดโพรพิโอนิก (Propionic Acid) คือ กรดอินทรีย์ที่ใช้เป็นวัตถุปรุงแต่งในอาหาร มีคุณสมบัติเป็นสารกันเสีย (Preservative) ช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงใช้ในการปรับกลิ่นและรสของอาหารได้ดี กรดโพรพิโอนิกที่ใช้ในอาหารมักอยู่ในรูปของเกลือ เช่น แคลเซียม โพแทสเซียม หรือโซเดียม โดยทั่วไปจะพบในขนมปัง อาหารสัตว์ และในอุตสาหกรรมการเคลือบพลาสติก โดยใช้ในรูปของ Cellulose Propionate 

กรดโพรพิโอนิกและกรดเกลือเป็นกรดไขมันที่ขนาดสายแบบสั้น อยุ่ในกลุ่มของ Aliphatic Monocarboxylic Acid ที่พบได้ตามธรรมชาติจากการหมักดองอาหาร ละลายได้ในน้ำ อีเทอร์ เอทานอลและไม่ละลายในไขมันทุกชนิด การที่กรดโพรพิโอนิกเป็นที่นิยมนำมาใช้ในการถนอมอาหารเพราะเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วไม่มีการสะสมเนื่องจากไม่ละลายในไขมันและไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย แถมยังช่วยถนอมอาหารให้อยู่ได้นานอีกด้วย

หน้าที่ของกรดโพรพิโอนิก

1.ทำลายเซลล์จุลินทรีย์ กรดโพรพิโอนิกเข้าไปทำลายผนังเซลล์ของจุลินทรีย์ที่เข้ามาในอาหาร เช่น เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ฟังไจ ( Fungi ) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเน่าเสียของอาหาร โดยการทำลายจะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

  • ทำลายผนังเซลล์บางส่วน เมื่อผนังเซลล์บางส่วนของจุลินทรีย์โดนทำลาย จุลินทรีย์ก็จะหยุดการเจริญเติบโตทันทีและตายลง
  • ทำลายทั้งหมด เมื่อผนังเซลล์ของจุลินทรีย์โดนทำลายทั้งหมดด้วยกรดโพรพิโอนิก จุลินทรีย์ก็จะตายทำให้อาหารไม่เน่าเสีย

2.หยุดการทำงานของเอ็นไซต์ของจุลินทรีย์ การทำให้อาหารเน่าเสียจุลินทรีย์จะปล่อยเอ็นไซต์ออกมาเพื่อย่อยอาหาร กรดโพรพิโอนิกจะหยุดการทำงานของเอ็นไซต์จุลินทรีย์ที่ออกมาให้ทำงานได้น้อยลงหรือหยุดทำงานทั้งหมด อาหารจึงไม่เน่าเสีย

3.หยุดการแพร่พันธุ์ กรดโพรพิโอนิกจะเข้าไปทำลายดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอของจุลินทรีย์เกิดกลายพันธุ์หรือความผิดปกติจนไม่สามารถแพร่ขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นได้ ทำให้ปริมาณของจุลินทรีย์ลดลงและหมด อาหารจึงไม่เน่าเสีย

กรดโพรพิโอนิก ( Propionic Acid ) คือ กรดอินทรีย์ที่เป็นวัตถุปรุงแต่งสำหรับถนอมในอาหาร โดยที่กรดโพรพิโอนิกมีหน้าที่เป็นสารกันเสีย ( Preservative ) สารกันเชื้อรา สารกันบูด และยังเป็นวัตถุที่ใช้แต่งกลิ่นรสของอาหารด้วย

สารกันบูดที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้นอกจากกรดโพรพิโอนิกแล้ว ยังมีสารกันบูดอีกหลายชนิดที่นิยมใช้กัน ซึ่งแต่ละชนิดก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป เรามาดูกันว่าสารกันบูดแต่ละชนิดนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

1.กรดอินทรีย์ เป็นสารกันบูดที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมอาหารมากที่สุด เพราะว่าเป็นสารที่ได้จากธรรมชาติ ไม่สะสมในร่างกายและไม่เป็นอันตรายต่อเมื่อปริโภคเข้าไป โดยกรดอินทรีย์เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะละลายในน้ำแล้วถูกขับออกมากับปัสสาวะภายในหนึ่งวัน ซึ่งไม่ต้องกังวลเลยว่าสารกันบูดชนิดนี้จะสะสมจนทำให้เซลล์เกิดการกลายพันธุ์กลายเป็นมะเร็ง ตัวอย่างของกรดอินทรีย์ที่นำมาผสมในอาหารเพื่อเป็นสารกันบูด คือ กรดอะซิติก กรดโพรพิโอนิก กรดซอร์บิก กรดเบนโซอิก และยังรวมเกลือของกรดด้วย
ถึงแม้ว่ากรดอินทรีย์จะไม่มีโทษต่อร่างกาย แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่มากเกินไปก็สร้างผลเสียได้ ถ้าร่างกายได้รับในปริมาณที่สูงมากจะทำให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินอาหารหรือเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้

2.เกลือซัลไฟต์และซัลเฟอร์ไดออกไซต์ เป็นสารกันบูดที่นิยมใช้ในอาหารที่เป็นน้ำ เช่น น้ำหวาน น้ำผักผลไม้ และเครื่องดื่มแทบทุกชนิด เพราะว่าเกลือซัลไฟต์และซัลเฟอร์ไดออกไซต์จะช่วยป้องกันการออกซิเดชั่นของเซลล์ไม่ให้เกิดการเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลหรือปฏิกิริยาสีน้ำตาล ( Browning Reaction ) จึงช่วยคงสภาพสีของเครื่องดื่มให้คงสีธรรมชาติไว้และยับยั้งหรือหยุดการทำงานของเชื้อจุลินทรีย์ได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกับกรดอินทรีย์
แต่ว่าการที่เกลือซัลไฟต์และซัลเฟอร์ไดออกไซต์ยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้ำตาลได้จึงสร้างผลเสียต่อร่างกายด้วยเช่นกัน เพราะสารซัลไฟต์จะเข้าไปยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาสีน้ำตาลในร่างกายด้วย เช่น การสังเคราะห์วิตามินบี โฟเลทและไทอามีน เป็นต้น ทำให้ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์สารดังกล่าวได้จึงเกิดภาวะขาดสารอาหาร และเกลือซัลไฟต์และซัลเฟอร์ไดออกไซต์ยังเป็นพิษต่อผู้ป่วยโรคหอบหืด ( Asthmatics ) โดยผู้ป่วยโรคหอบหืดถ้ารับสารเข้าไปจะทำให้หลอดลมตีบหายใจลำบากและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

3.สารประกอบไนไตรต์และไนเตรต เป็นสารกันบูดที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้จากกระทรวงสาธารณสุขของไทยและอีกหลายประเทศ โดยสารไนไตรต์และไนเตรตนั้นในอดีตนิยมนำมาใส่ในเนื้อสัตว์เพื่อให้เนื้อสัตว์คงสีแดงสวยน่ารับประทานและใส่ในอาหารกระป๋อง อาหารหมักดอง เพื่อยับยั้งการทำงานของจุลินทรีย์ชนิดที่ไม่ต้องการออกซิเจน ( Clostridium Botulinum ) และคลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์ ( Clostridium Perfringens ) ที่มีอยู่ในอาหารหมักดอง จุลินทรีย์ประเภทนี้เป็นสาเหตุของโรคอาหารเป็นพิษชนิดร้ายแรงและสารกันบูดนี้ยังทำงานได้แม้อยู่ในสภาวะทีเป็นกรดน้อยก็ตาม
แต่ข้อเสียของสารกันบูดชนิดนี้ คือ เมื่อได้รับเข้าสู่กระเพาะอาหารและลำไส้ แบคทีเรียที่อยู่ในกระเพาะอาหารจะทำการเปลี่ยนไนเตรตให้กลายเป็นไนไตรต์และเข้าไปจับตัวกับฮีโมโกบิลในเม็ดเลือดแดงเกิดเป็นเมทฮีโมโดบิล ( Methaemoglobin ) ทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถจับตัวกับออกซิเจนได้ ทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดออกซิเจน ตัวเขียว หอบ หัวใจเต้นแรง หรืออาจเสียชีวิตได้ และข้อเสียอีกอย่างหนึ่งก็คือการที่สารไนไตรต์หรือไนเตรตจับตัวกับสารประกอบเอมีนในร่างกายเกิดเป็นสารไนโตรซามีนที่เป็นสารก่อมะเร็งในร่างกาย

สารกันบูดแต่ละชนิดก็มีข้อดีและข้อเสียที่ไม่เหมือนกัน แล้วเราจึงต้องเลือกใช้สารกันบูดให้เหมาะสมกับอาหาร ดังนี้

1.ชนิดของอาหาร เราควรเลือกสารกันบูดให้เหมาะสมกับชนิดของอาหารที่ต้องการถนอมอาหารด้วย เช่น ขนมปัง แยม ควรใช้สารกันบูดชนิดกรดอินทรีย์ น้ำผลไม้ เครื่องดื่ม ควรใช้สารกันบูดชนิดซัลไฟต์และเกลือซัลไฟต์ ส่วนอาหารกระป๋อง เนื้อสัตว์ ควรเลือกใช้สารกันบูดชนิดไนเตรท เป็นต้น ควรเลือกสารกันบูดให้อยู่ในช่วงค่าความเป็นกรด-ด่างใกล้เคียงกับอาหารเพื่อที่สารกันบูดจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

2.ชนิดของสารกันบูด ควรเลือกใช้สารกันบูดที่กำจัดจุลินทรีย์ได้หลายชนิดในตัวเดียว ไม่ควรเลือกใช้สารกันบูดทำลายจุลินทรีย์ได้เพียงชนิดเดียว และควรเลือกสารกันบูดที่ไม่ทำปฏิกิริยากับอาหารจนเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้ง รูป สี กลิ่น และคุณค่าทางอาหาร

3.ความเข้มข้นของสาร ความเข้มข้นของสารกันบูดนั้นมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานมากที่สุด เพราะว่าถ้าใส่สารกันบูดน้อยไปอาหารก็จะเน่าเสียเร็ว แต่ถ้าใส่มากเกินไปก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกายของผู้บริโภค ดังนั้นการใส่สารกันบูดต้องใส่ตามมมาตราฐานของกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดไว้

4.อุณหภูมิ การใส่สารกันบูดในอาหารนั้นควรใส่ในขณะที่มีอุณหภูมิที่ไม่สูงเกินเพราะความร้อนจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของสารกันบูดนั้นลดลง และควรเก็บอาหารที่ใส่สารกันบูดไว้ในอุณหภูมิที่ไม่ร้อน

5.ความเป็นกรด-ด่าง สารกันบูดแต่ละชนิดนั้นสามารถทำงานในสภาวะกรด-ด่างที่ต่างกัน เราจึง

6.ราคา สารกันบูดที่นำมาใช้ควรมีราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพไม่แพงจนเกินไป มีประสิทธิภาพในการรักษาอาหารให้อยู่ได้นานและไม่เป็นพิษหรือตกค้างในร่างกายของผู้บริโภคด้วย

นี่เป็นวิธีการเลือกใช้สารกันบูดอย่างถูกต้องและเหมาะสมที่สุด จะเห็นว่าสารกันบูดนั้นเป็นสิ่งที่มีผลต่ออาหารที่เรารับประทานเป็นอย่างมาก ถ้าอาหารไม่ได้ใส่สารกันบูดก็จะเน่าเสียเมื่อรับประทานเข้าไปก็จะเกิดอันตรายต่อร่างกาย แต่ถ้าใส่สารกันบูดมากเกินไปก็เป็นอันตรายเช่นกัน ทางที่ดีเราควรเลือกทานอาหารสดใหม่ที่ไม่ใส่สารกันบูดจะดีที่สุด แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้เลือกใช้หรือรับประทานสารกันบูดชนิดที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

NIOSH Pocket Guide to Chemical Hazards #0529″. National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH).

Lagowski, J.J., ed. (2012). The Chemistry of Nonaqueous Solvents. III. Elsevier. p. 362. ISBN 0323151035.

Lide, David R., ed. (2009). CRC Handbook of Chemistry and Physics (90th ed.). Boca Raton, Florida: CRC Press. ISBN 978-1-4200-9084-0.

ธาตุไฮโดรเจนมีความสำคัญอย่างไรต่อร่างกาย

0
ธาตุไฮโดรเจนมีความสำคัญอย่างไรต่อร่างกาย
ไฮโดรเจนเป็นส่วนหนึ่งของน้ำ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ดีเอ็นเอซึ่งเป็นโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการมีชีวิต
ธาตุไฮโดรเจนมีความสำคัญอย่างไรต่อร่างกาย
ไฮโดรเจนเป็นส่วนหนึ่งของน้ำ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ดีเอ็นเอซึ่งเป็นโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการมีชีวิต

ไฮโดรเจน

ไฮโดรเจน หรือ ธาตุไฮโดรเจน ( Hydrogen ) คืออะไร ?  เมื่อกล่าวถึงไฮโดรเจนหลายคนไม่รู้เลยว่าคืออะไร? มีความสำคัญอย่างไรต่อชีวิต ดูเหมือนว่าเป็นไฮโดรเจนเป็นธาตุแค่ธาตุชนิดหนึ่งที่ไม่มีความสำคัญต่อชีวิตของเราเลย แต่จริงๆ แล้วไฮโดรเจนเป็นธาตุที่อยู่ใกล้ตัวเราและมีความสำคัญมากที่สุดเลยก็ว่าได้

ไฮโดรเจน คือ ธาตุที่ทำให้เกิดน้ำ เพราะไฮโดรเจนเป็นส่วนหนึ่งของ น้ำ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ดีเอ็นเอซึ่งเป็นโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตรวมถึงมนุษย์เราด้วย ไฮโดรเจนนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการมีชีวิต ทุกชีวิตนั้นล้วนมีองค์ประกอบของไฮโดรเจนอยู่ในร่างกาย
ไฮโดรเจนเป็นธาตุอันดับที่ 1 ของตารางธาตุ มีสัญลักษณ์คือ H เลขอะตอม 1 อะตอมของธาตุไฮโดรเจนมีน้ำหนัก 1.00794 amu เป็นธาตุอโลหะ ธาตุประกอบด้วย นิวเคลียส์อยู่ตรงกลางของอะตอม ซึ่งภายในนิวเครียส์ประกอบไปด้วยโปรตอนที่มีประจุเป็นบวก และนิวตรอนที่ไม่มีประจุทางไฟฟ้า ด้านนอกจะมีอิเล็กตรอนที่มีประจุเป็นลบ วิ่งอยู่รอบๆ ไฮโดรเจนนั้นอยู่ได้ทุกสถานะไม่ว่าจะเป็นของแข็ง ของเหลว ก๊าซ ขึ้นอยู่กับความดันและอุณหภูมิของธาตุไฮโดรเจนในขณะนั้น ซึ่งในบรรยากาศของโลกเรานี้จะมีธาตุไฮโดรเจนอยู่ประมาณ 0.1 ppm หรือร้อยละ 75 ของสารชีวมวลที่มีอยู่บนโลก ลักษณะของไฮโดรเจน คือไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ติดไฟง่าย พบได้ทั่วไปตามธรรมชาติมี ไม่มีพิษในตัวเอง เรารู้จักไฮโดรเจนครั้งแรกจากการแยกองค์ประกอบของน้ำ ได้เป็นก๊าซที่ติดไฟง่ายกับก๊าซออกซิเจน ดังนั้นจึงให้ชื่อกับก๊าซที่ค้นพบว่า “ ไฮโดรเจน ” ที่แปลว่า “ ตัวทำให้เกิดน้ำ ” นั่นเอง

เพราะไฮโดรเจนเป็นส่วนหนึ่งของน้ำ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ดีเอ็นเอซึ่งเป็นโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตรวมถึงมนุษย์เราด้วย ไฮโดรเจนนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการมีชีวิต ทุกชีวิตนั้นล้วนมีองค์ประกอบของไฮโดรเจนอยู่ในร่างกาย

ธาตุไฮโดรเจนที่พบอยู่ตามธรรมชาติจะพบอยู่ในรูปก๊าซไฮโดรเจนเป็นส่วนน้อยแต่จะพบอยู่ในรูปของสารประกอบหรือสารอินทรีย์เป็นส่วนใหญ่ เช่น สารประกอบไฮโดรคาร์บอน น้ำ มีเทน บิวเทน เป็นต้น ก๊าซไฮโดรเจนเป็นก๊าซที่มีประโยชน์ทั้งทางด้านอุตสาหกรรมและทางการแพทย์ โดยทางอุตสาหกรรมจะใช้ก๊าซไฮโดรเจนในอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมัน การผลิตน้ำมันที่ไม่อิ่มตัวให้กลายเป็นน้ำมันชนิดอิ่มตัว การเตรียมโลหะที่มีความบริสุทธิ์สูง การถลุงโลหะ การสังเคราะห์สารอินทรีย์บางชนิด ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ที่ให้พลังงานสูงในการเชื่อม ตัด ด้านการแพทย์เราจะให้ก๊าซไฮโดรเจนในการเตรียม NH3 ที่ช่วยในการแก้อาการวิงเวียน การผลิตยาและเมทานอล ปัจจุบันนี้ได้มีการนำก๊าซไฮโดรเจนมาเป็นเชื่อเพลิงในรถยนต์ เครื่องจักรกล ทดแทนเชื้อเพลิงและแหล่งพลังงานแบบเก่าที่สร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการเกิดก๊าซเรือนกระจก ( Greenhouse Gas ) ที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน ( Global Warming ) จึงนับว่าไฮโดรเจนนั้นเป็นธาตุที่มีคุณค่าเป็นอย่างมากต่อการดำรงชีวิต แต่ของทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ เมื่อมีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสียด้วย รวมถึงไฮโดรเจนที่จัดเป็นธาตุที่มีประโยชน์

แหล่งกำเนิดไฮโดรเจนที่พบ คือ

ปัจจุบันพลังงานจากไฮโดรเจนได้ถูกวิจัยและพัฒนาขึ้นมา สู่ระดับของการใช้งานได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น และเข้าใกล้กับชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นด้วย ดังนั้นเราควรทำความรู้จักกับแหล่งพลังงานไฮโดรเจนเบื้องต้นดังนี้

1. น้ำ
สารประกอบระหว่างไฮโดรเจน 2 อะตอม และออกซิเจน 1 อะตอม สูตรโมเลกุล H2O ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโควาเลนต์ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เป็นของเหลวที่สภาวะปกติ สารประกอบที่พบมากที่สุดในโลก เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต เป็นตัวตั้งต้นที่สำคัญในการผลิตไฮโดรเจนจากการเกิดปฏิกิริยาการแยกด้วยไฟฟ้า และการแยกกรองด้วยไฟฟ้า

2. เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ หรือซากพืชซากสัตว์
เชื้อเพลิงต่าง ๆ ที่มีองค์ประกอบหลักเป็นไฮโดรคาร์บอนสามารถผลิตเป็นไฮโดรเจนด้วยการรีฟอร์มด้วยไอน้ำ เชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์พบได้ที่ชั้นบนสุดของเปลือกโลก ซึ่งเกิดจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์และมีการสะสมกันอยู่ชายฝั่งทะเล แหล่งน้ำกร่อย น้ำจืด หรือแผ่นดินที่ชื้นแฉะในระยะต้น เกิดการเน่าเปื่อยโดยแบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน ในระยะถัดมามีดินเหนียว ทราย และหินตะกอนทับถมเป็นชั้นๆ ภายใต้แรงดันและอุณหภูมิสูงเป็นเวลาหลายร้อยล้านปีทำให้เกิดการแปรสภาพเป็นถ่านหิน หรือเกิดการเคลื่อนตัวของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนไปสะสมที่ชั้นหินที่มีโครงสร้างที่เหมาะสมกลายเป็นแหล่งกักเก็บปิโตรเลียม เช่นน้ำมัน แก๊สธรรมชาติ ถ่านหิน หินน้ำมัน ทรายน้ำมัน และแก๊สธรรมชาติจากหินดินดาน

เมื่อได้รับก๊าซหรือสัมผัสไฮโดรเจนมากเกินไปจะเกิดอะไร ?

ถ้าร่างกายได้รับก๊าซหรือสัมผัสไฮโดรเจนมากเกินไปก็ส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน ดังนี้

1.ติดไฟง่าย เนื่องจากเป็นธาตุที่มีน้ำหนักเบามากจึงสามารถฟุ้งอยู่ในอากาศได้ง่าย เมื่อลอยอยู่ในอากาศก็สามารถติดไฟได้ง่าย ถ้าสัมผัสกับออกซิเจนและมีแหล่งให้ประกายไฟทุกชนิด ทำให้เกิดการระเบิดและติดไฟได้

2.ภาวะขาดออกซิเจน ( Systemic Asphyxiants หรือ Chemical Asphyxiants ) ก๊าซไฮโดรเจนเป็นก๊าซที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกายแต่ว่าถ้าร่างกายได้รับก๊าซไฮโดรเจนเข้าไปจะทำให้เกิดภาวะขาดอกซิเจนได้ คือ ถ้าร่างกายได้รับก๊าซไฮโดรเจนเข้าไปในปริมาณที่มาก จากการเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีก๊าซไฮโดรเจนเข้มข้นสูง ก๊าซไฮโดรเจนจะเข้าไปทำให้กระบวนการส่งออกซิเจนไปยังอวัยวะต่างๆ เกิดความผิดปกติ กระบวนการสังเคราะห์ที่ต้องให้ออกซิเจนในการสังเคราะห์จะเกิดการหยุดชะงักไปเพราะว่าก๊าซไฮโดรเจนนั้นจะเข้าไปขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดซึมก๊าซออกซิเจนจับตัวกับฮีโมบิลในเลือดโดยที่ก๊าซไฮโดรเจนจะเข้าไปจับตัวแทน ทำให้ร่างกายดูดซึมก๊าซไฮโดรเจนเข้าไปแทนก๊าซออกซิเจน ร่างกายจึงเกิดสภาวะขาดออกซิเจนขึ้นโดยจะมีอาการวิงเวียนศรีษะ หน้ามืด หัวใจเต้นแรง หมดสติและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการออกซิเจนอย่างทันท่วงที

3.ระบบหายใจผิดปกติ เมื่อเราสูดดมก๊าซไฮโดรเจนเข้าไป ก๊าซจะเข้าไปทำให้เนื้อเยื่อบริเวณระบบทางเดินหายใจส่วนบนเกิดการระคายเคือง แสบจมูก น้ำตาไหล น้ำมูกไหล ทำให้เกิดภาวะหายใจไม่ออกอย่างเฉียบพลัน ร่างกายเกิดภาวะขาดออกซิเจนได้ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นเมื่อเกิดอาการขาดออกซิเจนต้องรีบพาออกมาจากจุดที่มีก๊าซไฮโดรเจนหรือทำการให้ออกซิเจนโดยทันที

4.ระคายเคืองผิว เมื่อผิวหนังนั้นสัมผัสก๊าซไฮโดรเจนที่อยู่ในสถาวะของเหลวจะทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง เพราะว่าการเก็บรักษาไฮโดรเจนนั้นต้องทำการเก็บอยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำมาก เพื่อป้องกันไม่ให้ก๊าซไฮโดรเจนเกิดการกระเบิดหรือจุดติดไฟได้ ดังนั้นถ้าผิวหนังหรือเนื้อเยื่อสัมผัสโดนไฮโดรเจนโดยตรงทำให้ผิดเกิดการระคายเคือง แสบผิว เกิดผื่นแดง ถ้าโดนในปริมาณที่มากหรือในขณะที่เย็นจัดจะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณที่สัมผัสโดนกลายเป็นเนื้อเยื่อตาย โดยเฉพาะบริเวณดวงตาอาจจะทำให้ตาบอดได้

5.มะเร็ง สารประกอบไฮโดรคาร์บอนเมื่อร่างกายได้รับประจำเป็นเวลานานหรือได้รับในปริมาณที่มากๆ จะทำให้เซลล์เกิดการกลายพันธุ์กลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ ชนิดมะเร็งที่เกิดขึ้น คือ มะเร็งเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะสารไฮโดรคาร์บอนกลุ่มที่มีวงเบนซีนเป็นองค์ประกอบ เช่น สารฟีนอล สารเบนโซไพลิน ( Benzopyrene ) และควันพิษที่เกิดจากการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น

ไฮโดรเจนเป็นธาตุที่ทรงคุณค่าต่อชีวิตก็จริงแต่โทษของไฮโดรเจนนั้นก็อันตรายยิ่งนัก ไม่ว่าจะอยู่ในรูปก๊าซไฮโดรเจนหรือสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ถ้าได้รับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่มากเกินไปล้วนแต่สร้างความเสียหายให้กับร่างกายของเราทั้งสิ้น ทางที่ดีถ้าเราต้องใช้หรือทำงานร่วมกับไฮโดรเจนไม่ว่าจะรูปแบบใด เราควรสวมอุปกรณ์ป้องกันในการทำงาน เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อชีวิตของเราจะดีกว่า

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“Hydrogen”. Van Nostrand’s Encyclopedia of Chemistry. Wylie-Interscience. 2005. pp. 797–799. ISBN 0-471-61525-0.

Emsley, John (2001). Nature’s Building Blocks. Oxford: Oxford University Press. pp. 183–191. ISBN 0-19-850341-5.

อาหารต้านความเสื่อมของร่างกาย

0
อาหารต้านความเสื่อมของร่างกาย
กลูตาไธโอนเป็นสารที่เซลล์สามารถผลิตขึ้นเองได้
อาหารต้านความเสื่อมของร่างกาย
แคปซูลบรรจุอาหารเสริมทำจากเจลาตินง่ายต่อการกลืนและมีระยะในการแตกตัวที่แน่ชัด

อาหาร

อาหารต้านความเสื่อมของร่างกายคืออะไร? โดยปกติแล้ว ผู้ป่วยเบาหวานจะมีความต้องการสารต้านอนุมูลอิสระมากเป็นพิเศษ เพื่อช่วยชะลอความเสื่อมและกระตุ้นให้ร่างกายทำงานได้อย่างปกติมากขึ้น ดังนั้นในแต่ละมื้ออาหารจึงควรเน้น อาหาร ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเพียงพอ

สารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายมีความต้องการ

1. กลูต้าไธโอน

กลูต้าไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ประกอบไปด้วยซีลีเนียมและกรดอะมิโน 3 ชนิด ซึ่งมีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระและป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้อย่างดีเยี่ยม โดยแหล่งอาหารที่จะพบกลูต้าไธโอนได้สูง ก็คือ อาหารทะเล เนื้อสัตว์ ข้าวซ้อมมือ ตับ ไต ไข่ และนมนั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่จะช่วยเพิ่มระดับของกลูต้าไธโอนให้สูงขึ้นได้อีกด้วย ซึ่งได้แก่ วิตามินอี วิตามินซี วิตามินบีและสังกะสี เป็นต้น

2. วิตามินเอ

สารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเยื่อบุเซลล์ พร้อมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นและการเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี โดยแหล่งที่สามารถพบวิตามินเอได้มาก ก็ได้แก่ ไข่แดง ตับ นม น้ำมันตับปลา เนย และผักผลไม้ เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังรวมถึงอาหารที่อุดมไปด้วยแคโรทีนอีกด้วย เพราะร่างกายสามารถเปลี่ยนแคโรทีนเป็นวิตามินเอและนำมาใช้ประโยชน์ได้นั่นเอง

4. วิตามินซี

มีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระในเลือดโดยตรง ซึ่งก็จะช่วยป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจได้ ทั้งยังสามารถซ่อมแซมทุกเซลล์ที่สึกหรอได้ดีอีกด้วย รวมถึงสามารถสร้างวิตามินอีและกลูต้าไธโอนภายในเซลล์ขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน โดยอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง ก็ได้แก่ ฝรั่ง ส้ม มะขามป้อม มะนาวและผลไม้รสเปรี้ยวอื่นๆ แต่ทั้งนี้ควรทานแบบสดๆ จะได้คุณประโยชน์สูงสุด

5. ซีลีเนียม

มีส่วนสำคัญในการช่วยป้องกันการออกซิเดชั่นของกรดไขมันไม่อิ่มตัวและช่วยประสานการทำงานของเอนไซม์ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งแหล่งที่สามารถพบซีลีเนียมได้สูง ก็คือ เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล กระเทียม เนื้อสัตว์และหัวหอมธัญพืชไม่ขัดสี เป็นต้น 

6. ไบโอฟลาโวนอยด์

สารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยในการลดปริมาณของไขมันชนิดเลวในร่างกาย โดยเฉพาะคอเลสเตอรอล ซึ่งก็พบได้มากในพืชผักทั่วไปหลากหลายชนิด เช่น เม็ดองุ่น ชาเขียว ไวน์แดง และบร็อคโคลี

7. โปรแอนโทไซยานิดีน

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีความแรงในการต่อต้านมากกว่าวิตามินอีและวิตามินซีหลายเท่า ซึ่งก็สามารถดูดซึมได้ที่ลำไส้เล็กโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ร่างกายสามารถนำสารต้านอนุมูลอิสระตัวนี้ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด โดยพบได้มากในเปลือกองุ่นแดงและไวน์แดง

8. โคเอนไซม์คิวเทน

สารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า อารมณ์และความรู้สึกสดชื่นตื่นตัว พร้อมลดอาการซึมเศร้าและช่วยเสริมสร้างความจำให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสารตัวนี้ก็จะพบได้มากในถั่วลิสง ปลาซาดีน เนื้อสัตว์ น้ำมันถั่วเหลือง ผักใบเขียว ปลาแมคคาเรลและในอาหารเสริมบางชนิด โดยปกติแล้วสารต้านอนุมูลอิสระตัวนี้ ร่างกายก็สามารถสร้างขึ้นมาได้เอง แต่ในภาวะที่ร่างกายเจ็บป่วย ขาดสารอาหารหรือแก่ชราลง จะทำให้สร้างสารตัวนี้ได้น้อยหรือแทบสร้างไม่ได้เลยนั่นเอง

9. กรมแอลฟ่า-ไลโปอิค

เป็นสารที่จะช่วยในการสร้างวิตามินซี วิตามินอีและโคเอนไซม์คิวเทน ซึ่งปกติร่างกายจะต้องการที่วันละ 15-30 มิลลิกรัม โดยพบได้มากในตับและบริเวอร์ยีสต์

10. สารไลโคปีน

สารต้านอนุมูลอิสระอีกหนึ่งชนิดที่จะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้ดีมาก โดยจะกำจัดสารพิษต่างๆ ที่คาดว่าจะเป็นตัวกระตุ้นมะเร็งให้หมดไปนั่นเอง ซึ่งก็สามารถพบไลโคปีนได้มากในมะเขือเทศ กุ้ง ปู ปลาแซลมอน ส้มโอแดง เมล็ดทับทิม ผลตำลึงสุก เชอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่และแตงโม เป็นต้น   

11. สารลูทีน

เป็นสารที่จะช่วยในการบำรุงสายตาและเสริมสร้างการมองเห็นเป็นหลัก พร้อมทั้งช่วยป้องกันการเกิดโรคและชะลอการเสื่อมของดวงตาได้ดีอีกด้วย โดยแหล่งอาหารที่สามารถพบลูทีนได้สูง ก็ได้แก่ คะน้า ผักโขม บร็อคโคลี กะหล่ำปลีชนิดแข็งใบย่นและผักปวยเล้ง

12. แอสตาแซนทิน

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์สูงกว่าเบต้าแคโรทีนถึง 10 เท่า โดยจะผ่านเข้าไปในสมองและทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระในสมองได้โดยตรง ซึ่งสารชนิดนี้ก็พบได้มากในสัตว์ที่มีสีแดง ได้แก่ กุ้ง ปูและปลาแซลมอน เป็นต้น

13. สารเรสเวอราทรอล

สารตัวนี้มีส่วนช่วยในการยับยั้งโรคเบาหวานและโรคอ้วนโดยตรง ซึ่งจะช่วยป้องกันการสะสมของไขมัน ลดความเสี่ยงหลอดเลือดอุดตันและยังช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายอีกด้วย โดยพบได้มากในไวน์แดงและองุ่นแดงนั่นเอง

อาหารอันตรายเพิ่มอนุมูลอิสระ

นอกจากผู้ป่วยเบาหวาน ควรจะทานอาหารต้านอนุมูลอิสระให้มากๆ แล้ว ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นอันตรายหรือเป็นตัวการเพิ่มอนุมูลอิสระให้กับร่างกายเช่นกัน นั่นก็เพราะผู้ป่วยเบาหวานมักจะมีภูมิต้านทานต่ำ จึงสามารถติดเชื้อหรือเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายนั่นเอง และที่สำคัญก็ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาเสพติดทุกชนิดด้วย 

อาหารอันตรายที่ควรหลีกเลี่ยง

1. อาหารที่ผ่านการทอดโดยใช้น้ำมันซ้ำ เพราะน้ำมันที่ใช้ซ้ำจะเกิดสารก่อมะเร็งขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัวนั่นเอง

2. อาหารที่ใส่สารกันบูด ฟอร์มาลีน สารกันรา กันหืนหรือมีการปนเปื้อนยาฆ่าแมลง เป็นต้น เพราะสารเหล่านี้ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งทั้งสิ้น

3. สารแปลกปลอมที่ไม่แน่ใจว่าเป็นของแท้หรือไม่ เพราะอาจมีสารปลอมที่เป็นตัวเป็นอันตรายปนเปื้อนมานั่นเอง

4. อาหารที่หมดอายุ เสื่อมสภาพ บูดเน่าหรือมีการขึ้นรา อาหารเหล่านี้มักจะมีอนุมูลอิสระสูง

5. สัตว์ที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุว่าตายเพราะอะไร ซึ่งอาจนำโรคร้ายมาสาคุณได้

6. อาหารที่มีการปรุงแบบสุกๆ ดิบๆ เนื่องจากอาจมีแบคทีเรียและเชื้อโรคอันตรายปะปนอยู่

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

อาหารที่เหมาะสมเมื่อเป็นโรคปลายประสาทเสื่อม

0
อาหารที่เหมาะสมเมื่อเป็นโรคปลายประสาทเสื่อม
วิตามินบี 6 พบได้มากในข้าวซ้อมมือ แคนตาลูปช่วยในการสร้างสารสื่อประสาทในสมอง
อาหารที่เหมาะสมเมื่อเป็นโรคปลายประสาทเสื่อม
ปลาทะเลน้ำจืด มีโอเมก้า 3 ช่วยกระตุ้นเซลล์สมองที่มีความไวต่อการรับสัญญาณประสาทให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ปลายประสาทเสื่อมหรืออักเสบ

เมื่อระบบประสาทเกิดการอักเสบ หรือเสื่อม จะทำให้ความสามารถในการนำกระแสประสาทไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายเสื่อมไปด้วย ซึ่งในผู้ป่วยเบาหวานที่มีปัญหาปลายประสาทเสื่อม ก็พบว่าเกิดจากการที่ร่างกายมีอนุมูลอิสระมากเกินไปจนไม่สามารถจำกัดได้นั่นเอง โดยสำหรับความผิดปกติที่สังเกตได้ก็คือ ในระยะเริ่มแรก ผู้ป่วยจะมีอาการชาและปวดเจ็บบริเวณปลายเท้าทั้งสองข้างก่อน จากนั้นจึงเริ่มเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ และมี  อาการชาปลายนิ้วตามมา โดยหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็จะนำไปสู่ความผิดปกติในการทำงานของไต หัวใจ ระบบปัสสาวะและการย่อยอาหารอีกด้วย และนอกจากนี้ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้ เช่น

  • การได้รับโลหะหนักมากเกินไป ซึ่งโลหะหนักเหล่านี้อาจมาจากสารหนู ยาฆ่าแมลงและสารตะกั่ว เป็นต้น
  • การได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะวิตามินบี
  • การดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เพราะแอลกอฮอล์จะไปทำลายวิตามินบีในร่างกายได้นั่นเอง

การรักษาระบบปลายประสาทเสื่อม

สำหรับการรักษาระบบปลายประสาทเสื่อมสามารถทำได้ด้วยการควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ทานยากลุ่มวิตามินบีที่มีส่วนช่วยในการบำรุงระบบปลายประสาท ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบลงได้ และหากมีอาการแขนขาอ่อนแรงร่วมด้วยก็จะต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อเป็นการฟื้นฟูกล้ามเนื้อนั่นเอง และที่สำคัญก็คือการหลีกเลี่ยงทุกสาเหตุที่จะทำให้ระบบปลายประสาทเสื่อมได้ ไม่ว่าจะเป็นการดื่มสุรา การทานอาหารหรือทำกิจกรรมบางอย่างที่ทำให้ร่างกายได้รับโลหะหนักและอื่นๆ เป็นต้น

เมื่อระบบประสาทเกิดการอักเสบหรือเสื่อมลงไป จะทำให้ความสามารถในการนำกระแสประสาทไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายเสื่อมไปด้วย ซึ่งในผู้ป่วยเบาหวานที่มีปัญหาปลายประสาทเสื่อม ก็พบว่าเกิดจากการที่ร่างกายมีอนุมูลอิสระมากเกินไปจนไม่สามารถจำกัดได้นั่นเอง

1.การรักษาด้วยยากลุ่มวิตามินบี

กลุ่มวิตามินบีก็ได้แก่ วิตามินบี 1 บี 6 บี 12 และกรดโฟลิกนั่นเอง โดยวิตามินบีกลุ่มนี้จะมีส่วนช่วยในการบำรุงระบบประสาทโดยตรง พร้อมสร้างสารสื่อประสาทและซ่อมแซมเส้นประสาทในส่วนที่สึกหรออีกด้วย จึงช่วยลดอาการชาตามปลายมือปลายเท้าได้ดีนั่นเอง

  • วิตามินบี 1 เป็นวิตามินที่พบมากในเม็ดธัญพืช ผลิตภัณฑ์จากธัญพืช ขนมปัง ข้าวโอ๊ต เนื้อหมู และข้าวสาลีไม่ขัดขาว เป็นต้น โดยมีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์ประสาทให้แข็งแรง
  • วิตามินบี 5 พบได้มากในเนื้อวัว ผลไม้ นม กระถิน ปลา ไก่ ถั่วและสัตว์ปีก ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างโคเอนไซม์ที่จะใช้ถ่ายทอดสัญญาณประสาทนั่นเอง
  • วิตามินบี 6 พบได้มากในข้าวซ้อมมือ แคนตาลูป นม ไข่ ข้าวสาลีไม่ขัดขาว เมล็ดถั่วธัญพืช เครื่องในสัตว์และปลา โดยมีส่วนช่วยในการสร้างสารสื่อประสาทในสมอง
  • วิตามินบี 12 พบได้มากในไข่ ปลา เนื้อสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์ที่ใช้วิตามินบี 12 ในรูปของเมทิลโคบาลามีน โดยจะทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยซ่อมแซมปลอกเยื่อหุ้มประสาท โดยทั้งนี้ควรได้รับวิตามินบี 12 ที่วันละ 1,500 ไมโครกรัม อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 12 สัปดาห์
  • กรดโฟลิก เป็นวิตามินบีอีกชนิดหนึ่งที่พบได้มากใน ตับ ไข่แดง น้ำส้ม กล้วย มะนาว ผักใบเขียวจัด ฟักทอง ถั่วเหลือง ถั่วลันเตาและถั่วลิสง เป็นต้น ซึ่งจะทำหน้าที่ในการชะลอปัญหาระบบประสาท จึงลดการเสื่อมของระบบประสาทและบรรเทาอาการชาตามปลายมือปลายเท้าได้ดี

2.การรักษาด้วยกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ

กลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระก็ได้แก่ ทองแดง วิตามินอี สังกะสี วิตามินเอ โครเมียมและผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั่นเอง ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระแบบนี้อาจจะทานในรูปแบบของอาหารหรือในรูปแบบของเม็ดยาก็ได้ โดยสำหรับแหล่งอาหารที่พบสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ได้สูง ก็ได้แก่

  • น้ำมันอีฟนิงพริมโรส ซึ่งมีกรดแกมมาลิโนเลนิก โดยเป็นกรดที่จะช่วยในการบรรเทาอาการประสาทเสื่อมได้
  • ปลาทะเลน้ำจืด โดยจะพบโอเมก้า 3 ได้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเซลล์สมองที่มีความไวต่อการรับสัญญาณประสาทให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • ข้าวกล้อง ข้าวโพดและผักใบเขียวต่างๆ จะพบโคลีนได้มาก ซึ่งจะช่วยบำรุงปลายประสาท เสริมสร้างความจำและลดอาการเศร้าหมองหรือจิตใจหดหู่ได้ 
  • เนื้อสัตว์ ปลา กล้วย ถั่วลิสง นมและอินทผลัม จะพบทริปโตเฟนได้มาก ซึ่งก็เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยบำรุงปลายประสาทได้ดีเช่นกัน
  • ข้าวกล้องงอก จะพบสารกาบาได้สูง โดยเป็นสารที่จะทำหน้าที่กระตุ้นการสร้างสารสื่อประสาทนั่นเอง
  • อาหารทะเล ผักใบเขียว มะม่วง แอปเปิ้ลและตับหมู จะพบแมงกานีสได้สูง
  • ผลไม้ ธัญพืชและผักใบเขียวเข้ม สามารถพบแคลเซียม แมกนีเซียมและโพแทสเซียมได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบประสาท แต่สำหรับโพแทสเซียมจะไม่ค่อยเหมาะกับคนที่เป็นโรคไตมากนัก
  • เมล็ดฟักทอง นม ไข่ จมูกข้าว มัสตาร์ดผงและบริวเวอร์ยีสต์ จะพบสังกะสีได้มากที่สุด

เคล็ดลับการดูแลผู้ป่วยปลายประสาทเสื่อม

1.นอกจากการทานอาหารและยาเพื่อบำรุงระบบปลายประสาทแล้ว ก็ควรยืดเส้นยืดสายบ่อยๆ เพื่อให้เลือดและน้ำเหลืองมาหล่อเลี้ยงปลายมือปลายเท้าและเส้นประสาทอย่างเพียงพอด้วย

2.อย่าอยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานานเกินไป เพราะจะทำให้ประสาทตึงและเกิดการอักเสบได้ในที่สุด

3.ทาเจลพริกหรือขี้ผึ้งพริก เพราะเจลเหล่านี้มีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวดเส้นประสาทได้ แต่ก็ไม่ควรทามากเกินไป หรือทาเฉพาะเมื่อมีอาการปวดและชาตามปลายมือปลายเท้าก็พอ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

น้ำตาลธรรมชาติ ใช้ได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไร?

0
น้ำตาลธรรมชาติใช้ได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไร?
น้ำผึ้งเป็นน้ำตาลจากธรรมชาติที่ไม่ได้ผ่านการแปรรูป ประกอบไปด้วยน้ำตาลฟรุคโตส
น้ำตาลธรรมชาติใช้ได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไร?
น้ำตาลทรายแดงเป็นน้ำตาลที่มีกลิ่นหอมมากแต่หวานน้อยกว่าน้ำตาลทรายขัดขาว ได้จากการนำน้ำอ้อยมาเคี่ยว

น้ำตาลธรรมชาติ

น้ำตาลทราย คืออะไร?

น้ำตาลธรรมชาติคือ น้ำตาลทราย หรือ ซูโครส คือ น้ำตาลทรายขัดขาวบริสุทธิ์ ซึ่งจะเป็นก้อนผลึกเล็กๆ ให้ความหวานได้ 100% จัดอยู่ในประเภทของอาหารทั่วไปที่ไม่ต้องมีเครื่องหมาย อย. ก็สามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้อย่างปลอดภัย โดยสำหรับ  โครงสร้างของน้ำตาลชนิดนี้ก็จะประกอบไปด้วยน้ำตาลทราย 2 ชนิด ได้แก่ กลูโคสและฟรุคโตส ซึ่งเมื่อทานน้ำตาลชนิดนี้เข้าไป ร่างกายจะทำการย่อยน้ำตาลซูโครสให้เป็นน้ำตาล 2 ชนิดนี้ก่อนจะนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปนั่นเอง โดยพบว่าน้ำตาลทราย 1 ช้อนชา จะให้พลังงานถึง 16 แคลอรี

โดยสำหรับน้ำตาลกลูโคสจากน้ำตาลธรรมชาตินั้น ปกติจะมีจำหน่ายเป็นกระป๋องโลหะสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน โดยถูกจัดเป็นอาหารควบคุมเฉพาะในหมวดเครื่องดื่ม ราคากิโลกรัมละ 70 กว่าบาท ซึ่งก็มีราคาสูงกว่าน้ำตาลทรายถึง 5 เท่าเลยทีเดียว จึงไม่เหมาะที่จะนำมาปรุงอาหารมากนัก โดยข้อดีของน้ำตาลกลูโคสก็คือร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยเพิ่มพลังงานและฟื้นฟูร่างกายในผู้ที่มีอาการอ่อนเพลียได้ดี แต่ก็มีจุดด้อยอยู่บ้าง นั่นคือจะมีความหวานต่ำกว่าน้ำตาลทรายถึง 40% นั่นเอง

น้ำตาลทรายหรือซูโครสคือน้ำตาลทรายขัดขาวบริสุทธิ์ ซึ่งจะเป็นก้อนผลึกเล็กๆ ให้ความหวานได้ 100% จัดอยู่ในประเภทของอาหารทั่วไปที่ไม่ต้องมีเครื่องหมาย อย. ก็สามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้อย่างปลอดภัย

น้ำตาลธรรมชาติจากน้ำตาลทรายแดง

เป็นน้ำตาลที่มีกลิ่นหอมมากแต่หวานน้อยกว่าน้ำตาลทรายขัดขาว ซึ่งน้ำตาลชนิดนี้ได้จากการนำน้ำอ้อยมาเคี่ยว ตักเอาสิ่งสกปรกออกจนได้น้ำเชื่อมใสและใส่ปูนขาวลงไปเล็กน้อย เคี่ยวต่อไปจนน้ำเชื่อมเริ่มแห้งก็จะได้เป็นน้ำตาลทรายแดง เพียงแต่จะมีการจับก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง โดยทั้งนี้น้ำตาลทรายแดงก็มักจะมีวิตามินและแร่ธาตุลดลงไปจากการเคี่ยวพอสมควร จึงไม่แนะนำให้ใช้ในปริมาณมาก ซึ่งจะนิยมนำมาใช้ทำน้ำขิงและผัดหมี่มากที่สุด

น้ำตาลธรรมชาติจากน้ำตาลอ้อย

น้ำตาลอ้อยทำมาจากลำอ้อย โดยการนำลำอ้อยมารีดเอาน้ำอ้อยออก จากนั้นเคี่ยวในกระทะใบบัวจนกระทั่งได้น้ำอ้อยที่เหนียวได้ที่ ซึ่งจะมีสีน้ำตาลเข้มจัด จากนั้นนำมาหยอดลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้ ก็จะได้น้ำตาลอ้อยที่มีกลิ่นหอม นิยมนำมาปรุงอาหารที่เน้นเครื่องเทศเป็นหลัก เพราะน้ำตาลอ้อยจะช่วยขับกลิ่นของเครื่องเทศในอาหารให้หอมน่าทานยิ่งขึ้นทั้งยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุ วิตามินและกากใยอาหารเป็นจำนวนมากอีกด้วย

น้ำตาลธรรมชาติจากน้ำตาลหม้อ น้ำตาลโตนด

น้ำตาลธรรมชาติชนิดนี้จะมีรสชาติหวานน้อยหน่อย ซึ่งก็ทำมาจากช่อดอกของต้นตาลนั่นเอง โดยการนำช่อดอกมาตัดให้น้ำหวานไหลซึมออกมาจากนั้นนำน้ำหวานที่ได้ไปเคี่ยวจนงวดได้ที่ แล้วนำมากวนและตีเพื่อให้น้ำตาลขึ้นตัว จากนั้นหยอดลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้ ซึ่งน้ำตาลที่ได้ก็จะเหมาะกับการนำมาทำอาหารคาวหวานที่สุด โดยเฉพาะกล้วยบวชชี แกงส้ม ลอดช่อง เป็นต้น สำหรับชื่อของน้ำตาลชนิดนี้ก็จะมีการเรียกที่แตกต่างกันไปตามแต่ภาชนะที่ใส่ เช่น น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลหม้อ เป็นต้น

น้ำตาลธรรมชาติจากน้ำตาลมะพร้าว

เป็นน้ำตาลจากธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งที่ให้ความหวานน้อยเช่นกัน โดยทำมาจากตาลมะพร้าวหรือช่อดอกของต้นมะพร้าวนั่นเอง สำหรับน้ำตาลที่ได้ก็จะมีความคล้ายกับน้ำตาลโตนดมาก แต่จะมีกลิ่นหอมน้อยกว่าและมีรสชาติที่หวานแล่มกว่าน้ำตาลโตนด หวานน้อยกว่าน้ำตาลขัดขาวอยู่มากและไม่ค่อยกลมกล่อมมากนัก สำหรับการนำมาใช้ประโยชน์ก็จะนิยมนำมาใช้ในการปรุงอาหารแทนน้ำตาลโตนดนั่นเอง

น้ำตาลธรรมชาติจากน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งเป็นน้ำตาลธรรมชาติที่ไม่ได้ผ่านการแปรรูปใดๆ ทั้งสิ้น โดยในน้ำผึ้งจะประกอบไปด้วยน้ำตาลฟรุคโตส ซึ่งก็จะมีสีเหลืองอ่อน เหลืองเข้มออกเขียว สีน้ำตาลอ่อนหรือสีน้ำตาลไหม้ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นน้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งชนิดไหนและชนิดของเกสรดอกไม้บริเวณที่ผึ้งอาศัยอยู่นั่นเอง โดยทั้งนี้น้ำผึ้งเดือนห้าจะถือเป็นน้ำผึ้งที่มีความบริสุทธิ์ที่สุด เพราะเป็นช่วงที่มีการเก็บเกี่ยวน้ำหวานได้เต็มและไม่ค่อยมีน้ำเจือปน จึงนิยมนำน้ำผึ้งเดือนห้ามาใช้ประโยชน์มากกว่าน้ำผึ้งในช่วงเวลาอื่นๆ นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีคุณประโยชน์มากมาย นอกจากนิยมนำมาทานกับขนมปังแพนเค้ก ชงกับเครื่องดื่มต่างๆ แล้ว ก็สามารถช่วยในการขับถ่ายและฆ่าเชื้อบางชนิดได้เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ไม่ควรใช้ในปริมาณมากเพราะอาจก่อให้เกิดผลเสียได้

น้ำตาลธรรมชาติฟรุ๊กโตสในผลไม้

น้ำตาลฟรุคโตสพบได้มากในผลไม้ ซึ่งก็จะให้ความหวานที่ 140% ของน้ำตาลทรายเลยทีเดียว ดังนั้นจึงควรใช้ในปริมาณเล็กน้อยต่อครั้งเท่านั้น สำหรับข้อดีของน้ำตาลชนิดนี้ก็คือ สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เลยโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยใดๆ ทั้งสิ้น โดยจะเข้าไปในตับเพื่อเปลี่ยนเป็นกลูโคสก่อนจะเข้าไปสู่กระแสเลือดต่อไป แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นน้ำตาลที่ได้จากผลไม้ก็อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและอ้วนได้เหมือนกัน สำหรับการนำมาใช้ประโยชน์ ก็จะนิยมใช้ปรุงอาหารคาวหวานและใส่ในเครื่องดื่มนั่นเอง

น้ำตาลธรรมชาติน้ำตาลมอลล์

น้ำตาลธรรมชาติขากมอลล์เป็นน้ำตาลอีกชนิดหนึ่งที่ให้ความหวานน้อยกว่าน้ำตาลทราย ซึ่งจะประกอบไปด้วยกลูโคส 2 โมเลกุลมาเชื่อมต่อกัน พบได้มากในข้าวบาร์เลย์หรือข้าวมอลล์ที่กำลังงอก สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการปรุงอาหารได้เช่นกัน

เคล็ดลับน่ารู้ของน้ำตาลธรรมชาติ

ก่อนเลือกทานน้ำตาลไม่ว่าชนิดใดก็ตาม ควรทำความเข้าใจกับ TIP น่ารู้เหล่านี้ก่อน ได้แก่

1.หากทานน้ำตาลไม่ว่าชนิดใด มากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของพลังงาน จะทำให้ระดับไขมันและคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในร่างกายเพิ่มขึ้นได้

2.ควรสังเกตหากผลิตภัณฑ์น้ำตาลที่ซื้อใช้คำว่า Sugar จะหมายถึงน้ำตาลกลูโคส แต่หากใช้คำว่า Sugars จะหมายถึงว่ามีน้ำตาลชนิดอื่นๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งอาจเป็นซูโครส ฟรุคโตนหรือมอลโตสก็ได้

3.สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีการโฆษณาว่าปราศจากน้ำตาล นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มีน้ำตาลอยู่เลย แต่หมายถึงไม่มีน้ำตาลซูโครสเป็นส่วนผสมอยู่เท่านั้น ส่วนน้ำตาลชนิดอื่นๆ อาจมีอยู่ได้โดยที่เราไม่รู้นั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะนิยมใช้น้ำตาลฟรุคโตสที่เป็นน้ำตาลจากผลไม้แทนนั่นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ขอบคุณข้อมูลความรู้จาก : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

มารู้จักสารให้ความหวานกันเถอะ

0
มารู้จักสารให้ความหวานกันเถอะ
น้ำตาลเทียม เป็นสารให้ความหวานที่สังเคราะห์ขึ้นมาให้มีความหวานเหมือนน้ำตาล สามารถนำมาใช้แทนน้ำตาลได้
มารู้จักสารให้ความหวานกันเถอะ
น้ำตาลเทียม เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมาให้มีความหวานเหมือนน้ำตาล สามารถนำมาใช้แทนน้ำตาลได้

สารให้ความหวาน

สารให้ความหวาน คือ สารที่สังเคราะห์ขึ้นมา โดยจะให้ความหวานเหมือนน้ำตาลจึงสามารถนำมาใช้แทนน้ำตาลได้ ทั้งยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาว่ามีความปลอดภัยอีกด้วย ซึ่งทั้งนี้น้ำตาลเทียมก็มีมากมายหลายชนิด แต่ที่ได้รับการยอมรับและมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายที่สุด ก็คือ แซคคาริน แอสปาแทมนั่นเอง และเนื่องจากน้ำตาลเทียมไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ค่อยได้หรือต้องการควบคุมน้ำหนัก ก็สามารถใช้น้ำตาลเทียมในการประกอบอาหารหรือใส่ในเครื่องดื่มแทนได้เหมือนกัน แต่ก็ต้องใช้น้ำตาลเทียมอย่างถูกต้องและถูกวิธี เพื่อไม่ให้เกิดโทษตามมานั่นเอง และที่สำคัญไม่ควรนำน้ำตาลเทียมมาปรุงในอาหารร้อนๆ เด็ดขาด โดยเฉพาะน้ำตาลเทียมชนิดซัคคารีนและแอสปาแทม เพราะทนความร้อนได้แค่ไม่เกิน 65 องศาเซลเซียสเท่านั้น หากเกินจากนี้จะก่อให้เกิดโทษได้ในที่สุด

ชนิดของสารให้ความหวานแทนน้ำตาล

1. แอสปาแทม

แอสปาแทม ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 2 ชนิด ได้แก่ ฟินิลอลานินและกรดแอสปาติก สามารถให้ความหวานได้ที่ 200-300 เท่าของน้ำตาลทรายและมีรสชาติความหวานที่ใกล้เคียงกับน้ำตาลทรายมากที่สุด จึงนิยมนำมาใช้ในการเพิ่มความหวานให้กับเครื่องดื่ม เช่น น้ำอัดลม ชา กาแฟ หรือนำมาใส่ในอาหารแห้ง ไอศกรีม และพวกขนมหวานทั้งหลาย เป็นต้น แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้างเหมือนกัน นั่นก็คือแอสปาแทมจะไม่ทนต่อความร้อน โดยจะเกิดการสลายตัวเมื่ออยู่ในอุณหภูมิสูงและในสภาพความเป็นกรดด่างที่ไม่เหมาะสม จึงทำให้ ความหวานลดน้อยลงหรือสูญเสียไปจนหมดสิ้น นอกจากนี้หากใช้ในปริมาณสูงมาก ก็อาจทำให้เป็นมะเร็งและสมองมีความผิดปกติได้อีกด้วย ดังนั้นจึงควรทานแอสปาแทมในปริมาณที่เหมาะสม นั่นคือไม่เกินวันละ 10 มก./กก. ของน้ำหนักตัวนั่นเอง

2. ซัยคลาเมต

เป็นน้ำตาลเทียมที่ให้ความหวานประมาณ 30 เท่าของน้ำตาลทราย และไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย การทานน้ำตาลเทียมชนิดนี้จึงไม่ทำให้อ้วนนั่นเอง และยังให้รสชาติของอาหารที่พอดี ไม่หวานเอียนจนเกินไปอีกด้วย อย่างไรก็ตามในปัจจุบันสารชนิดนี้ได้ถูกห้ามใช้ไปแล้ว เพราะเมื่อราวปี พ.ศ.2500 ได้มีการค้นพบว่าอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ

3. ซัคคารินหรือขันฑสกร

ซัคคารินเป็นสารให้ความหวานที่ให้ความหวานที่ประมาณ 300-400 เท่าของน้ำตาลทรายเลยทีเดียว จึงให้รสชาติที่หวานจัดและอาจหวานติดลิ้นได้ แต่ไม่ให้พลังงาน จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความอ้วนหรือระดับน้ำตาลในเลือดนั่นเอง แต่ทั้งนี้หากใช้ในปริมาณมากก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกขมคอได้เหมือนกัน นอกจากนี้ยังพบว่าการทานซัคคารินในขนาด 5-25 กรัมต่อวันติดต่อกันเป็นเวลานานหรือทานในครั้งเดียวที่ 100 กรัม ก็จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน ง่วงซึมหรือชักได้อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่นิยมนำซัคคารินมาใช้แทนน้ำตาลมากนัก โดยสำหรับอาหารที่นิยมใส่ซัคคารินก็ได้แก่ ไอศกรีม ขนมหวานและผลไม้ดอง เป็นต้น

4. อะซิซัลเฟม เค

สำหรับน้ำตาลเทียมชนิดนี้ ทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้นำมาใช้ผสมอาหารได้ โดยมีคุณสมบัติในการให้ความหวานที่สูงกว่าน้ำตาลถึง 200 เท่า แต่ไม่ให้พลังงาน จึงสามารถนำมาใช้ในผู้ป่วยเบาหวานและผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักได้เหมือนกัน ซึ่งในปัจจุบันก็มีการใช้น้ำตาลเทียมตัวนี้อยู่ประมาณ 20 ประเทศ โดยจะนิยมใส่ในน้ำอัดลม ลูกกวาด ของหวานต่างๆ และเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ นั่นเอง

คุณสมบัติของสารที่ให้ความหวานแต่ละชนิด

สารให้ความหวาน รสชาติ พลังงาน (แคลอรี่/ กรัม) เหมาะกับโรคเบาหวานและคนอ้วน  ข้อควรระวัง
ฟรุคโตส อร่อย 4 ไม่เหมาะ มีมากในน้ำผลไม้
ซอร์บิทอล ไซลิทอล อร่อย 2.6 ไม่เหมาะ ถ้าบริโภคมากอาจท้องเสียและฟันผุได้
อีริไธทอล อร่อย น้อยกว่า 0.2 เหมาะ ราคาสูงมาก ไม่ทำให้ฟันผุ
ซูคราโลส อร่อย 0 เหมาะ ราคาสูง ไม่ทำให้ฟันผุ
สตีวิโอไซด์ (หญ้าหวาน) อร่อย 0 เหมาะ หวานปนขม ไม่ทำให้ฟันผุ
แอสปาเทม ปานกลาง 0 เหมาะ อย่าใส่ในอาหารร้อน

ห้ามใช้ในโรคฟีนิลคีโตนูเรีย

ไม่ทำให้ฟันผุ

ซัคคาริน แย่ 0 เหมาะ อย่าปรุงอาหารร้อน

ไม่ทำให้ฟันผุ

มีปนรสขนของโลหะ

อะซิซัลแฟมเค แย่ 0 เหมาะ ไม่ทำให้ฟันผุ

มีปนรสขมของโลหะ

น้ำตาลเทียมที่มีจำหน่ายในประเทศไทย

สำหรับน้ำตาลเทียมที่มีในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นน้ำตาลผสม โดยผสมน้ำตาลเทียมเล็กน้อยเข้ากับน้ำตาลแอลกอฮอล์ในปริมาณที่สูงกว่านั่นเอง ซึ่งก็จะมีขายในรูปของผงแบบบรรจุซอง และมีหลายยี่ห้อ เช่น สลิมมา 1 ซอง หวานเท่าน้ำตาลทราย 2 ช้อนชา

คอนโทรล 1 ซอง หวานเท่าน้ำตาลทราย 2.5 ช้อนชา

อีควล 1 เม็ด หวานเท่าน้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

ยี่ห้อสารที่ให้ความหวานตามท้องตลาด

อีควล
สลิมม่า
ฟิตเน่
ไลท์ชูการ์
ทรอปิคาน่า
สวิซซี่
สวีตเอ็นโลว์
ดี-เอ็ด
คอนโทรล

 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

เส้นใยอาหาร ประโยชน์จากธรรมชาติช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด

0
เลือกเส้นใยอาหารมาช่วยรักษาระดับน้ำตาล
ถั่วฝักยาวมีเส้นใยอาหารสูง ช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลเข้าสู่ร่างกาย ช่วยให้ลำไส้ทำงานดี
เลือกเส้นใยอาหารมาช่วยรักษาระดับน้ำตาล
พุทรา ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร ช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็ว และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี

เส้นใยอาหาร

เส้นใยอาหาร ประโยชน์จากธรรมชาติช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด เส้นใยอาหารสำหรับผู้ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน ควรเน้นการทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารเป็นหลัก โดยควรทานที่ประมาณวันละ 20-35 กรัม นั่นก็เพราะเส้นใยอาหารเหล่านี้จะไปลดการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตไม่ให้ถูกดูดซึมเร็วเกินไป จึงไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นหรือลดลงเร็วมากนัก แถมยังมีส่วนช่วยในการลดการดูดซึมไขมันในลำไส้ได้อีกด้วย

เส้นใยอาหาร พบได้ที่ไหน และดีอย่างไร?

เส้นใยอาหาร คืออะไร? เส้นใยอาหารโดยส่วนใหญ่แล้วจะพบได้มากในผักผลไม้และธัญพืชต่างๆ โดยเฉพาะธัญพืชที่ไม่ขัดสี ส่วนในอาหารอื่นๆ ก็จะพบเส้นใยได้บ้างแต่มีไม่มากนัก เช่น แป้งขัดขาว มีเส้นใยน้อยจนแทบไม่มีเลย ขนมปัง โดยจะพบในขนมปังโฮลวีตมากกว่าขนมปังธรรมดา ส่วนประโยชน์ของการทานเส้นใยอาหาร นอกจากจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลได้ดีแล้ว ก็สามารถช่วยด้านการขับถ่ายอุจจาระได้เหมือนกัน โดยจะช่วยป้องกันอาการท้องผูก ทำให้อุจจาระมีกากใยและขับถ่ายง่ายนั่นเอง

เส้นใยอาหารจากพืช แบ่งออกได้เป็นกี่ชนิด?

เส้นใยอาหารจากพืชแบ่งออกได้เป็น 5 ชนิด ซึ่งได้แก่

1. เส้นใยอาหารเซลลูโลส เป็นเส้นใยเหนียวๆ ที่แม้ว่าจะผ่านการหุงต้มแล้วแต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาก จึงทำให้อุจจาระมีกากใยมากขึ้นและขับถ่ายออกมาได้ง่ายกว่าปกติ ทั้งยังมีฤทธิ์ช่วยดูดซึมสารก่อมะเร็งและจับเอาน้ำตาลและไขมันให้ออกมาพร้อมกับอุจจาระอีกด้วย โดยทั้งนี้เซลลูโลสจะพบได้มากใน เมล็ดพืช ถั่วต่างๆ และเปลือกต้นไม้

2. เส้นใยอาหารเฮมิเซลลูโลส เป็นเส้นใยที่มักจะรวมอยู่กับเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำ มีโมเลกุลเล็กและสามารถแตกตัวด้วยกรดและด่างได้ดี ส่วนมากจะมีฤทธิ์ในการป้องกันอาการท้องผูกโดยตรง ซึ่งทั้งนี้ก็จะพบเส้นใยชนิดนี้ได้มากในผนังเซลล์ของพืชนั่นเอง

3.เส้นใยอาหารลิกนิน เป็นเส้นใยอาหารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ ไม่ละลายน้ำ มีส่วนช่วยในการต้านทานปฏิกิริยาเคมี ปฏิกิริยาเอนไซม์และต้านแบคทีเรียได้ ซึ่งจะพบได้มากในผนังเซลล์ของพืชและพบในข้าวที่ยังไม่ผ่านการขัดสี รวมถึงกะหล่ำปลี มะเขือเทศ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และถั่วงอกอีกด้วย

4. เส้นใยอาหารเพคติน มีลักษณะคล้ายวุ้นจึงนิยมนำไปทำเป็นเยลลีมากที่สุด ซึ่งเส้นใยชนิดนี้ก็จะพบได้มากในกล้วย ส้ม องุ่น แอปเปิ้ล สตรอว์เบอร์รี่และแครอต เป็นต้น

5. เส้นใยอาหารกัมและมิวซิเลส มีคุณสมบัติในการลดไขมันคอเลสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือดและทำให้ซอสมีความเหนียว ส่วนใหญ่จะพบได้มากในซอสมะเขือเทศ รำข้าวโพด และรำข้าว 

เส้นใยอาหารในผักผลไม้ ที่มีเส้นใยอาหารสูง

สำหรับผักและผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารสูง คือมากกว่า 3 กรัม/อาหาร 100 กรัม ได้แก่

  • เส้นใยอาหารจากฝรั่ง มังคุด ข้าวโพดอ่อน ถั่วฝักยาว เม็ดแมงลัก ถั่วเขียว แครอต และถั่วแระ
  • เส้นใยอาหารจากรำข้าว เมล็ดทานตะวัน สะเดา ผักกระเฉด กระเทียม ถั่วแดง ใบชะพลู งา ถั่วลิสงและมะเขือพวง
  • สปาเก็ตตี ข้าวซ้อมมือ ข้าวโพดต้ม พุทรา ทับทิม ขนมปังโฮลวีต มักกะโรนี กะหล่ำปลี และน้อยหน่า
  • เส้นใยอาหารจากตะขบ มะกอก มะละกอสุก ข้าวกล้อง ทุเรียน กล้วยดิบ ส้มเช้ง เห็ด ถั่วลันเจาและฝรั่ง

ผักผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารต่ำ

ผักผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารต่ำมาก คือมีเส้นใยน้อยกว่า 1 กรัม / อาหาร 100 กรัม ได้แก่

  • กล้วยสุก แตงโม ขนุนสุก มะม่วงดิบและสุก ลิ้นจี่ แตงไทย และชมพูนาค
  • แอปเปิ้ล อุง่น สับปะรด หน่อไม้ หัวผักกาด ส้มจีน และสะตอ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.