ปลากะตัก (Anchovy) เล็กแต่แจ๋ว เปิดสรรพคุณที่คุณต้องทึ่ง

0
20664
ปลากะตัก (Anchovy) เล็กแต่แจ๋ว เปิดสรรพคุณที่คุณต้องทึ่ง
ประโยชน์และสรรพคุณของปลากะตักหรือปลาจิ้งจั้ง (Anchovy)
กินปลากะตัก หรือ ปลาฉิ้งฉ้าง (ปลาจิ้งจั้ง) ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และยังช่วยลดระดับความดันในโลหิตได้

ปลากะตัก หรือ ปลาจิ้งจั้ง

ปลากะตัก (Anchovy) หรือที่หลายคนอาจเคยได้ยินในชื่อ ปลาจิ้งจั้ง คือปลาขนาดเล็กที่มักถูกมองข้าม แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ปลากะตัก ประโยชน์ และ ปลาจิ้งจั้ง ประโยชน์ นั้นมีมากมายจนคุณอาจคาดไม่ถึง? หากมีคนถามว่า ปลาจิ้งจั้ง คือปลาอะไร หรือ ปลาจิ้งจั้ง คือ ปลาประเภทไหน คำตอบก็คือ ปลาชนิดนี้เป็นอีกหนึ่งชื่อเรียกของปลากะตัก ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนคุณภาพสูง, กรดไขมันโอเมก้า-3, รวมถึงแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แคลเซียมและฟอสฟอรัส

ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย ปลากะตักจึงมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครอบคลุม ตั้งแต่ช่วยบำรุงสุขภาพกระดูกและสมอง เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ไปจนถึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ นอกจากนี้ ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากสารพิษต่าง ๆ เมื่อมองในภาพรวม ปลากะตักและปลาจิ้งจั้งจึงเป็นวัตถุดิบที่ไม่ควรพลาดในการเสริมสร้างสุขภาพและความแข็งแรงของร่างกายอย่างแท้จริง

ปลากะตัก หรือ ปลาจิ้งจั้ง

ปลากะตัก หรือ ปลาจิ้งจั้ง - ปลากะตัก (Anchovy) เล็กแต่แจ๋ว เปิดสรรพคุณที่คุณต้องทึ่งปลากะตัก ออกเสียงไม่เหมือนกันในแต่ละภาค บ้างก็เรียก ปลากะตะ ปลากระตัก คือ ปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีขนาดตัวโตเต็มที่ประมาณ 6 นิ้ว เป็นปลาที่มีลักษณะรูปร่าง คล้ายคลึงกับปลาซาดีน แต่มีขนาดที่เล็กกว่า มีเกร็ดเป็นสีเงินส่องประกาย เป็นปลาที่อยู่ในสายพันธุ์เดียวกับปลาไส้ตัน ปลากะตักนี้สามารถพบได้ตามท้องทะเลทั่วโลก

ปลากะตักหรือปลาจิ้งจั้งใช้ทำเป็นเมนูอะไรได้บ้าง?

ปลากะตัก เป็นปลาอีกหนึ่งชนิด ที่นำมาใช้ประกอบเป็นอาหาร นิยมนำมาหมักเค็มแล้วแช่ในน้ำมัน มีรสชาติออกเค็มและมีกลิ่นที่จัด ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของปลาชนิดนี้ ปลาข้าวสาร คือชื่อเรียกลูกปลากะตักที่ยังไม่โตนั่นเอง ปลาข้างสาร มีประโยชน์มากมายสามารถนำไปใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น นำไปทานคู่กับสลัด ใช้ทำเป็นหน้าพิซซ่า ใช้ผัดกับสปาเก็ตตี้ และอื่นๆแล้วตามความชอบ ปลากะตักชนิดสดโดยมากชาวตะวันตกจะนิยมนำไปทำเป็นซุปทานกัน

กินปลากะตัก หรือ ปลาฉิ้งฉ้าง ( ปลาจิ้งจั้ง ) ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และยังช่วยลดระดับความดันในโลหิตได้

ประโยชน์ของปลากะตักหรือปลาจิ้งจั้ง

ประโยชน์ของปลากะตักหรือปลาจิ้งจั้งปลากะตัก จะอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์อย่าง เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 โปแทสเซียม ( Potassium ) และแคลเซียม ( Calcium ) ในปริมาณที่สูง การทานปลากะตัก ขนาด 3 ออนซ์ จะให้พลังงาน 10 แคลอรี แบ่งเป็น ไขมัน 4 กรัม โพแทสเซียมมากกว่า 300 มิลลิกรัม และแคลเซียม 125 มิลลิกรัม การทานปลากะตักในปริมาณที่เหมาะสม จะได้รับสรรพคุณที่ดี มีประโยชน์กับร่างกาย นอกจากปลากะตัก หรือ ปลาจิ้งจั้งแล้ว ปลาเล็กปลาน้อยก็มีประโยชน์ และให้แคลเซียมสูงด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ปลากะตักยังสามารถนำไปดองน้ำปลาได้เหมือนกับปลาไส้ตัน

ข้อแนะนำในการทานปลากะตักหรือปลาจิ้งจั้ง

1. ปลากะตักแบบกระป๋อง เรียกว่า ปลาแอนโชวี่กระป๋อง ควรเลือกซื้อชนิดที่อยู่ในน้ำมันปลา หรือในน้ำมันมะกอก มากว่าการเลือกชนิดที่อยู่ในน้ำมัน เนื่องจากชนิดที่อยู่ในน้ำมัน จะมีปริมาณของไขมัน คอเลสเตอรอล ( Cholesterol ) และโซเดียม ( Sodium ) ในระดับที่สูง ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ

2. การเลือกซื้อปลากะตักแบบสดมาปรุงอาหาร หากใช้ไม่หมด จะสามารถเก็บใส่ตู้เย็น เพื่อรักษาความสดของปลาไว้ได้ประมาณ 2 วัน แต่หากนานกว่านี้ ต้องนำไปแช่แข็งโดยหุ้มให้สนิทด้วยกระดาษห่อสำหรับช่องแช่แข็งโดยเฉพาะ เพื่อให้เนื้อปลายังคงความสดไว้ได้นาน

ปลากะตัก ถือว่าเป็นปลาทะเลที่มีประโยชน์และสรรพคุณที่ดีต่อร่างกาย ทั้งช่วยป้องกันโรคหัวใจ และช่วยลดระดับความดันโลหิต ผู้บริโภคควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม และรู้จักเลือกประเภทให้ถูกต้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์กับร่างกายอย่างสูงสุด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“ทะเลไทย” โดย ภาคภูมิ วิธานติระวัฒน์ จากหนังสือ “ปลาหายไปไหน” และ รายงานการประมงในประเทศไทยโดย กรีนพีซ มิถุนายน พ.ศ. 2555.

สมโภชน์ อัคคะทวีวัฒน์, เกษตรและสหกรณ์,กระทรวง กรมประมง . ภาพปลาและสัตว์น้ำของไทย . พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา , 2535.

แอพเพิลเกต, ลิซ. 101 อาหารรักษาหัวใจ.–กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2547. 342 หน้า. 1. อาหารเพื่อสุขภาพ. 2.โภชนบำบัด. I.จงจิต อรรถยุกติ, ผู้แปล. II.ชื่อเรื่อง. 641.56311 ISBN 974-00-8692-6.

Nelson, Gareth (1998). Paxton, J.R.; Eschmeyer, W.N., eds. Encyclopedia of Fishes. San Diego: Academic Press. pp. 94–95. ISBN 0-12-547665-5.