ถั่วเหลือง
เมล็ดมีสีเหลือง สีเขียว สีน้ำตาล หรือสีดำ ต้นตั้งตรงลักษณะเป็นพุ่ม ดอกมีสีขาวหรือสีม่วง ฝักออกเป็นกลุ่ม โปรตีนสูง

ถั่วเหลือง

ถั่วเหลือง จัดเป็นพืชที่สำคัญและเก่าแก่ชนิดหนึ่งของโลกเลยทีเดียว ตามประวัติศาสตร์แล้วนั้นถั่วเหลืองมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนทางตอนกลางและในทางตอนเหนือ ซึ่งชาวจีนได้มีการรู้จักใช้ประโยชน์จากถั่วเหลือง และมีการปลูกถั่วเหลืองมายาวนานมากกว่า 4,700 ปีแล้ว ถั่วเหลืองมีประโยชน์มากมายหลากหลายประการและยังถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างแพร่หลายอีกด้วย ในปัจจุบันถั่วเหลืองถือเป็นพืชที่มีการเพาะปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตร้อนและเขตอบอุ่น แต่จะให้ผลผลิตที่ดีในเขตอบอุ่น เพราะเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในเขตอบอุ่นนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามประเทศที่ผลิตถั่วเหลืองที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลผลิตมากถึง 56% ของผลผลิตทั่วโลก รองลงมาคือประเทศบราซิลและจีน ชื่อภาษาอังกฤษ Soybean, Soya bean ชื่อในทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับในปัจจุบันว่า Glycine max (L.) Merr. และมีชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ว่า Dolichos soja L., Soja max (L.) Piper, Phaseolus max L., Glycine soja sensu auct. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ถั่วแระ ถั่วพระเหลือง ถั่วแม่ตาย (ภาคกลาง), มะถั่วเน่า ถั่วเน่า ถั่วหนัง (ภาคเหนือ), เถ๊าะหน่อ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), ตบยั่ง (เมี่ยน), อาทรึ่ม (ปะหล่อง), โชยุ (ญี่ปุ่น), โซยาบีน (อังกฤษ), อึ่งตั่วเต่า เฮ็กตั่วเต่า (จีน-แต้จิ๋ว) เป็นต้น[1],[2],[7] และถั่วเหลืองได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชาแห่งถั่ว” อีกด้วย[6]

ลักษณะของถั่วเหลือง

  • ต้น ตั้งตรงลักษณะเป็นพุ่ม แตกแขนงค่อนข้างมาก มีความสูงประมาณ 30-150 เซนติเมตร โดยความสูงจะขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของดิน ความชื้น และฤดูที่เพาะปลูก ส่วนลำต้นจะมีขนปกคลุมอยู่ทั่วไป ยกเว้นในส่วนของใบเลี้ยงและกลีบดอก และต้นถั่วเหลืองยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ชนิดทอดยอดและชนิดไม่ทอดยอด[3],[4] เมื่อเมล็ดแก่แล้ว ฝักจะแห้งและต้นจะตายตามไปด้วย จึงเป็นที่มาของชื่อ “ถั่วแม่ตาย”
  • ราก มีระบบเป็นรากแก้ว หากเป็นดินร่วนอาจหยั่งรากลึกถึง 0.5-1 เมตรเลยทีเดียว แต่โดยทั่วไปแล้วระบบรากจะอยู่ในความลึกประมาณ 30-45 เซนติเมตร ซึ่งจะประกอบไปด้วยรากแก้วที่เจริญมาจากรากแรกของต้น และมีรากแขนงที่เจริญมาจากรากแก้ว ส่วนบริเวณปมรากนั้นก็เกิดมาจากแบคทีเรียไรโซเบียมที่เข้าไปอาศัยอยู่[3],[4]
  • ใบต้นอ่อนจะมีใบเลี้ยง ใบจริงคู่แรกจะเป็นใบเดี่ยว โดยใบจริงที่เกิดขึ้นต่อมานั้นจะเป็นใบประกอบแบบ 3 ใบย่อย คือ มีใบย่อยด้านปลาย 1 ใบ และมีใบย่อยด้านข้างอีก 2 ใบ ลักษณะใบมีรูปร่างหลากหลายแบบ เช่น รูปไข่จนถึงเรียวยาว ส่วนที่โคนของก้านใบประกอบจะมีหูใบอยู่ 2 อัน และตรงส่วนโคนของก้านใบย่อยจะมีหูใบย่อยอยู่ 1 อัน ที่ใบมีขนสีน้ำตาลหรือเทาปกคลุมอยู่ทั่วไป[3],[4]
  • ดอกออกเป็นช่อ มีช่อดอกเป็นแบบกระจะ ดอกมีสีขาวหรือสีม่วง โดยสีขาวจะเป็นลักษณะด้อย เมื่อดอกบานเต็มที่แล้วจะมีขนาดประมาณ 3-8 มิลลิเมตร ดอกจะเกิดตามมุมของก้านใบหรือตามยอดของลำต้น ในหนึ่งช่อดอกจะมีดอกตั้งแต่ 3-15 ดอก โดยช่อดอกที่เกิดบนยอดของลำต้น มักจะมีจำนวนดอกในช่อมากกว่าช่อดอกที่เกิดตามมุมใบ และในส่วนของดอกนั้น จะประกอบไปด้วยก้านช่อดอกและก้านดอกย่อย กลีบเลี้ยงที่อยู่นอกสุดจะมีสีเขียว มีอยู่ทั้งสิ้น 2 กลีบ และมีขนขึ้นปกคลุม ถัดมาก็คือกลีบรองดอกที่อยู่ในชั้นถัดจากกลีบเลี้ยง มีฐานติดกันอยู่ 5 แฉก ถัดมาคือส่วนของกลีบดอก มี 5 กลีบ คือ กลีบใหญ่ 1 กลีบ กลีบกลางด้านข้าง 2 กลีบ และกลีบเล็ก 2 กลีบ[3],[4]
  • ฝักออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 2-10 ฝัก ฝักมีขนสีเทาหรือสีน้ำตาลปกคลุมอยู่ทั่วฝัก ฝักมีความยาวประมาณ 2-7 เซนติเมตร ในแต่ละฝักนั้นจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 1-5 เมล็ด แต่ส่วนใหญ่แล้วนั้นจะมีอยู่ 2-3 เมล็ด ฝักอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และเมื่อฝักแตกออกมาแล้วนั้นจะทำให้เมล็ดร่วงออกมานั่นเอง[4]
  • เมล็ดมีสีเหลือง สีเขียว สีน้ำตาล หรือสีดำก็ได้ โดยเมล็ดจะมีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกัน ลักษณะของเมล็ดมีตั้งแต่กลมรีจนไปถึงแบบยาว เมล็ดขนาดเล็กจำนวน 100 เมล็ด จะมีน้ำหนักประมาณ 2 กรัม แต่ถ้าเป็นเมล็ดที่มีขนาดใหญ่อาจจะมีน้ำหนักมากกว่า 40 กรัม แต่โดยทั่วไปแล้วนั้นจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 12-20 กรัม[4]

ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเลย์ พ.ศ.2516 ได้ระบุเอาไว้ว่า “ถั่วแม่ตาย เป็นชื่อถั่วอย่างหนึ่งที่เขาปลูกตามไร่ พอเป็นฝักต้นก็ตาย เมล็ดมันเช่นถั่วแระ” แสดงให้เห็นถึงว่าคนไทยสมัยก่อนมักเรียกถั่วเหลืองว่า “ถั่วแม่ตาย” และในคำอธิบายที่ว่า “เมล็ดมันเช่นถั่วแระ” ก็ทำให้เราทราบอีกว่า ถั่วเหลืองกับถั่วแระเป็นพืชคนละชนิดกัน ซึ่งปัจจุบันคนไทยภาคกลางจะเรียกฝักถั่วเหลืองที่นำมาต้มว่า “ถั่วแระ” จึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือทำให้เกิดความสับสนได้ ส่วนพืชที่เป็นถั่วแระจริง ๆ ก็คือ ถั่วมะแฮะ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Pigeon pea[10]

สรรพคุณของถั่วเหลือง

1. นำไปใช้เป็นยาบำรุงโลหิต โดยการใช้เปลือกเมล็ดแห้งประมาณ 10-15 กรัมมาต้มกับน้ำดื่ม (เปลือกเมล็ด)[8]
2. กากถั่วเหลืองนั้นสามารถช่วยป้องกันการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดได้อีกด้วย (กากเมล็ด)[8]
3. ใช้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง และบางการศึกษาได้ระบุไว้ว่า การบริโภคถั่วเหลืองเป็นประจำนั้น อาจมีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชาย และมะเร็งเต้านมในเพศหญิงในวัยที่ยังมีประจำเดือน แต่ก็อาจเพิ่มโอกาสของการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในเพศหญิงวัยที่หมดประจำเดือนแล้วได้ ซึ่งเป็นผลมาจากสารไฟโตเอสโตรเจน แต่อย่างไรก็ตามนั้น ยังไม่มีการศึกษาที่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจน และยังไม่สามารถระบุได้ว่า ถั่วเหลืองสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้[9] สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งของเนื้อเยื่อระบบสืบพันธุ์ (สารไฟโตเอสโตรเจน)[11] ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งช่องคลอด มะเร็งต่อมลูกหมาก (Isoflavones)[14],[15] และจากงานศึกษาในประเทศญี่ปุ่นและจีนก็พบว่า
– ผู้ที่ทานซุปเต้าเจี้ยวมาก ๆ จะมีอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งที่ต่ำ[12]
– ผู้ที่ชอบรับประทานซุปที่ทำจากถั่วเหลือง จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเพียง 1 ใน 3 ของผู้ที่ไม่ได้รับประทาน[10]
– ผู้ที่รับประทานเต้าหู้มาก ๆ จะมีอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหารต่ำ [12]
– ผู้ที่ทานถั่วเหลืองมากกว่า 5 กิโลกรัมต่อปี จะมีอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารลดลงถึง 40%[12]
– ผู้ชายที่ทานเต้าหู้มากกว่า 5 ครั้งต่อสัปดาห์ จะมีอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นครึ่งหนึ่งของผู้ชายที่ทานเต้าหู้น้อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์[12]
– ผู้ที่รับประทานอาหารที่ประกอบไปด้วยถั่วเหลืองน้อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมเป็น 2 เท่า และมะเร็งปอดเป็น 3.5 เท่าของผู้ที่ทานอาหารที่ประกอบไปด้วยถั่วเหลืองทุกวัน[12] สำหรับมะเร็งปอดนั้น สารไอโซฟลาโวนจะช่วยถ่วงการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเอาไว้ (แต่ต้องไม่ใช้ถั่วเหลืองที่ผ่านการหมัก และจะได้ประโยชน์เฉพาะกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่)[14]
– การบริโภคอาหารที่มีโปรตีนจากถั่วเหลืองนั้น จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้ถึง 30% เลยทีเดียว (ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ)[14]
– จากการศึกษาการทดลองพบว่า สาร Isoflavones ในถั่วเหลืองสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของก้อนมะเร็งในสัตว์ทดลองได้[15]
4. ใช้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้[11]
5. มีส่วนช่วยป้องกันการขาดแคลเซียม ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูก[6] ช่วยลดความรุนแรงของโรคกระดูกผุ[10] ช่วยลดการเสื่อมสลายของกระดูกได้ และช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย[12],[14]
6. ใช้ช่วยบำบัดและรักษาผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาต เนื่องจากในถั่วเหลืองมีสารไอโซฟลาโวน ที่ช่วยทำให้เลือดลมเดินทางได้สะดวก ซึ่งเป็นผลการศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงที่ได้ทำการศึกษากับคนไข้ 102 รายที่เป็นอัมพาตเพราะเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตันและเป็นโรคหัวใจในเวลาต่อมา[14]
7. ใช้ช่วยขับร้อน สลายน้ำ และถอนพิษ[6]
8. กรดไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วเหลืองนั้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้[11] และจากการศึกษาก็พบว่า ถั่วเหลืองมีฤทธิ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ถึง 15-20% โดยผลจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียนที่ได้ทำการทดลองในคนไข้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลมากกว่า 300 อันเนื่องมาจากพันธุกรรม[10] และจากการศึกษาก็พบว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีโปรตีนจากถั่วเหลือง 25 กรัมต่อวัน เป็นระยะเวลาถึง 12 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีระดับไขมันเลว (LDL) ลดลงร้อยละ 18 และมีระดับไขมันดี (HDL) ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 เลยทีเดียว[12]
9. ใช้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา และสมาคมแพทย์โรคหัวใจในสหรัฐอเมริกา ให้คำแนะนำว่า ให้รับประทานโปรตีนจากถั่วเหลืองวันละ 25 กรัม จะช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวได้[11],[12] และยังช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย (สารไฟโตเอสโตรเจน)[12]
10. เส้นใยอาหารจากถั่วเหลืองนั้น สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ (แอนดริว พี โกลด์เบิร์ก) และผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ดร.เดวิด เจนคินส์ ยังกล่าวเอาไว้ว่า “ถั่วเหลืองเป็นพืชที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีที่สุด” อีกด้วย[10]
11. ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง เนื่องจากถั่วเหลืองนั้นมีธาตุเหล็กสูง แต่ในขณะเดียวกันก็มีสารต้านการดูดซึมธาตุเหล็กด้วย ดังนั้นการจะช่วยให้ร่างกายได้ดูดซึมธาตุเหล็กได้นั้น จะต้องรับประทานร่วมกับอาหารชนิดอื่น ๆ เช่น เนื้อสัตว์หรือวิตามินซีจากผลไม้ เป็นต้น[14]
12. ดอกสดนั้นใช้เป็นยารักษาต้อกระจกได้ (ดอก)[8]
13. ใช้ช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้ (เปลือกเมล็ด)[8]
14. การบริโภคถั่วเหลืองเป็นประจำนั้นจะช่วยบำรุงปอดให้แข็งแรงขึ้น และช่วยลดโอกาสของการเป็นโรคถุงลมโป่งพองได้อีกด้วย[14]
15. ใช้ช่วยแก้ตานขโมย (เมล็ด)[8]
16. มีส่วนช่วยแก้ผอมแห้งหรือซูบผอม[6]
17. ใช้ช่วยบรรเทาอาการเหงื่อออก ด้วยการใช้เปลือกเมล็ดแห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม (เปลือกเมล็ด)[8]
18. ใช้ช่วยบำบัดอาการลำไส้ทำงานไม่ปกติ[6]
19. ใช้ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ช่วยให้การเผาผลาญอาหารในกระเพาะอาหารนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น (ไขมันไม่อิ่มตัว)[14]
20. ช่วยแก้โรคบิด และอาการแน่นท้อง[6],[8]
21. เมล็ดนำมาใช้เป็นยาระบาย (เมล็ด)[8]
22. ใช้ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูก และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคริดสีดวงทวารได้[14]
23. ใช้ช่วยหล่อลื่นลำไส้ (เมล็ด)[8]
24. ใช้ช่วยขับปัสสาวะ โดยการใช้เมล็ดแห้งประมาณ 30-90 กรัม นำมาต้มกิน หรือจะใช้เปลือกเมล็ดแห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่มก็ได้ (เมล็ด, เปลือกเมล็ด)[8]
25. ช่วยปรับสภาพของฮอร์โมนในสตรีให้สมดุล ช่วยลดความรู้สึกที่ไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวได้ ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบในระยะหมดประจำเดือนของสตรีได้ รวมไปถึงอาการหงุดหงิด เหงื่อแตก ช่องคลอดแห้ง อารมณ์แปรปรวน หรือมีอาการทางผิวหนัง และเยื่อบุบริเวณช่องคลอดแห้งหรืออักเสบได้นั่นเอง (Isoflavones)[10],[12],[15] และยังช่วยลดอาการผิดปกติของหญิงวัยหมดประจำเดือนได้อีกด้วย[11]
26. ตามตำราแพทย์ของจีนได้ระบุไว้ว่า ถั่วเหลืองมีฤทธิ์บำรุงม้ามและลมปราณในร่างกาย[14] โดยจะใช้เมล็ดแห้งประมาณ 30-90 กรัม นำมาต้มกินเป็นยาบำรุงม้าม[8]
27. สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตที่ต้องจำกัดการรับประทานโปรตีนและคอเลสเตอรอลนั้น แต่โปรตีนจากถั่วเหลืองถือเป็นอาหารที่ผู้ป่วยโรคไตสามารถรับประทานทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ โดยพบว่าการทำงานของไตนั้นดีขึ้น และยังช่วยลดอุบัติการณ์ของการเกิดโรคนิ่วในไตได้อีกด้วย[14]
28. ช่วยรักษาแผลที่เปื่อย[6] และแผลเน่าเปื่อยได้ (เปลือกเมล็ด)[8]
29. ใช้ช่วยรักษาบาดแผลภายนอกที่มีเลือดออก (เมล็ด)[8]
30. ใบสดนำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มรักษาเลือดออก (ใบ)[8]
31. ใบสดนั้นใช้เป็นยารักษาภายนอก ด้วยการนำมาตำแล้วพอกรักษาคนที่ถูกงูกัด โดยพอกวันละ 3 ครั้ง (ใบ)[8]
32. แก้สตรีมีครรภ์ที่โดนพิษเฉียบพลัน (เมล็ด)[8]
33. ช่วยแก้ปวดได้[6] โดยถั่วเหลืองนั้นอุดมไปด้วยสารไอโซฟลาโวนที่มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการอักเสบตามไขข้อ ซึ่งการรับประทานถั่วเหลืองวันละ 40 กรัม จะช่วยแก้และป้องกันอาการปวดดังกล่าวได้[14]

ประโยชน์ของถั่วเหลือง

  • เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและหลากหลาย เพราะอุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต กรดอะมิโน มีไขมันชนิดดีสูง มีเส้นใยอาหารสูง มีวิตามินและเกลือแร่สูง และยังเป็นอาหารที่หาได้ง่าย ราคาไม่แพง การเก็บรักษาก็ง่าย และผู้ผลิตยังเติมสารอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ ลงไปได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองสำเร็จรูป[9]
  • การบริโภคน้ำนมเป็นประจำนั้น ยังมีประโยชน์ต่อรูปลักษณ์ภายนอกอีกด้วย เช่น ช่วยทำให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง ดูมีน้ำมีนวล เป็นต้น[17]
  • การรับประทานถั่วเหลืองเป็นประจำนั้น จะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคเบาหวานได้[6],[17]
  • ช่วยบำรุงประสาทและสมอง[6] ช่วยเพิ่มความจำ อันเนื่องจากถั่วเหลืองอุดมไปด้วยวิตามินบีหลายชนิด[14]
    โปรตีนในถั่วเหลืองนั้น ถือเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดี มีโปรตีนสูงเทียบเท่ากับนมวัวเลยทีเดียว (แต่มีแคลเซียมน้อยกว่า เพียง 1 ใน 5 ของนมวัวเท่านั้น) สามารถใช้ในการทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ เพราะมีกรดอะมิโนจำเป็นอยู่หลายชนิดในปริมาณที่สมดุลมากกว่าถั่วชนิดอื่น[5],[9],[11]
  • ถั่วเหลืองมีไขมันที่สูง โดยมีน้ำมันอยู่ร้อยละ 12-20 น้ำมันจากถั่วเหลืองนั้นมีส่วนประกอบของไขมันไม่อิ่มตัวอยู่หลากหลายชนิด ที่เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของวัยเด็กและในวัยทารก ช่วยเสริมสร้างความสมบูรณ์ให้แก่ผิวหนัง จึงเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ และยังมีวิตามินอีซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันอีกด้วยนั่นเอง[5]
  • สามารถใช้เป็นอาหารเสริมได้ดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่แพ้นมวัว และไม่สามารถดื่มนมมารดาได้ จึงดื่มนมถั่วเหลืองทดแทนนั่นเอง[9]
  • มีสารไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ที่มีคุณสมบัติบางอย่างที่คล้ายคลึงกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง[9] ที่ช่วยทำให้ระบบเลือดดีขึ้น แถมยังช่วยทำให้สิวลดน้อยลงอีกด้วย[14]
  • การดื่มนมถั่วเหลืองอุ่น ๆ ก่อนนอนนั้น จะช่วยทำให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น เพราะในถั่วเหลืองนั้นจะมีกรดอะมิโน “ทริปโตเฟน” ที่จะช่วยเปลี่ยนให้เป็นฮอร์โมนเซโรโทนินซึ่งจะช่วยควบคุมการนอนหลับ จึงทำให้นอนหลับได้ดีขึ้นนั่นเอง[14]
  • เป็นอาหารเสริมที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่บริโภคอาหารได้น้อย หรือมีอาการแพ้นมวัว มีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรือมีอาการเจ็บเวลากลืนอาหาร[9]
  • สำหรับผู้ที่ท้องเสียหรือเพิ่งฟื้นจากการเจ็บป่วยนั้น การดื่มนมวัวอาจจะทำให้ท้องเสียได้ แต่ถ้าหากดื่มนมถั่วเหลืองจะไม่มีปัญหาเรื่องการย่อยเหมือนนมวัว ทำให้ดูดซึมได้ดี ผู้ป่วยก็จะฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น[13]
  • น้ำเต้าหู้นั้นถือเป็นเครื่องดื่มเสริมสร้างความงามที่เหมาะแก่สุภาพสตรีเป็นอย่างมาก โดยส่วนใหญ่ผู้หญิงมักจะมีอาการโลหิตจาง ประสิทธิภาพการปรับความสมดุลในเลือดของน้ำเต้าหู้ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุภาพสตรีวัยกลางคนและวัยชราที่ดื่มน้ำเต้าหู้อยู่เป็นประจำ จะช่วยปรับการขับของเหลวภายในร่างกายได้
  • ชะลอความแก่ ผลการวิจัยพบว่า ไอโซเฟลโวนีส โปรตีน และเลซิตินที่อยู่ในถั่วเหลืองนั้นช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม นอกจากนี้ สารอาหารบางชนิดที่อยู่ในน้ำเต้าหู้นั้นยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่ที่ไปทดแทนเซลล์เก่า ทำให้ไขมันใต้ผิวหนังไม่จับตัวกันเป็นก้อน จึงช่วยเสริมสร้างความงามให้แก่เรือนร่าง หากรับประทานก่อนมื้ออาหารพร้อม ๆ กับอาหารที่มีกากไขมันสูง จะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
  • สารอาหารบางชนิดที่อยู่ในน้ำเต้าหู้สามารถช่วยกระตุ้นในการสร้างเซลล์ใหม่เพื่อทดแทนเซลล์เก่า ทำให้ไขมันใต้ผิวหนังไม่จับตัวกันเป็นก้อน จึงมีส่วนช่วยเสริมสร้างความงามให้กับเรือนร่างได้[14]
  • การรับประทานถั่วเหลืองก่อนมื้ออาหารนั้นพร้อมกับอาหารที่มีกากไขมันสูง จะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มได้เร็วยิ่งขึ้น มีผลทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง จึงช่วยควบคุมน้ำหนักไปด้วยในตัวนั่นเอง[14]
  • สามารถเลือกรับโอเมก้า 3 ที่ได้จากถั่วเหลืองแทนการรับประทานจากปลาได้ แถมยังปลอดภัยต่อสารปนเปื้อนที่มักพบในปลาบางชนิดได้อีกด้วย[14]
  • ช่วยเสริมสร้างเส้นผมใหม่ได้[14]
  • เมล็ดที่ยังไม่แก่อาจนำมาต้มรับประทานหรือที่เรียกว่า “ถั่วแระ”[4] หรือบางสายพันธุ์ที่มีเมล็ดโตก็นำมาใช้ปรุงรับประทานเป็นถั่วเหลืองฝักสด หรือนำไปแปรรูปบรรจุกระป๋องได้[4]
  • เมล็ดแก่นั้น อาจนำมาใช้ทำเป็น “ถั่วงอก” เพื่อใช้รับประทานเป็นผัก หรืออาจนำมาใช้ทำเป็นเต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว ซอส เต้าหู้ เต้าฮวย ขนมเทียน ขนมหม้อแกงถั่ว ถั่วงอกหัวโต แป้งถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง น้ำมันถั่วเหลือง ทำเป็นเนื้อเทียม สำหรับใช้เป็นอาหารมังสวิรัติ หรือใช้ในกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์[2],[4],[8],[10] หรือจะนำมาใช้ปรุงอาหารโดยตรงก็ได้ เช่น การนำมาต้มกับหมูก็ได้ หรือนำมาทำน้ำพริกเผาถั่วเหลือง นำไปคั่วหรืออบแล้วบดเป็นผงชา ผงกาแฟ เป็นต้น[10]
  • เมล็ดสามารถเก็บไว้หมักทำเป็นถั่วเน่าเพื่อเก็บไว้ใช้ปรุงรสชาติของอาหารประเภทต่าง ๆ เช่น แกง น้ำพริก เป็นต้น[8]
  • แป้งนำมาใช้ผสมหรือปรุงอาหารได้หลากหลายอย่าง เช่น การนำมาทำเป็นขนมต่าง ๆ อาหารสำหรับทารก ฯลฯ[4]
  • น้ำมันถั่วเหลืองนั้น สามารถนำมาใช้ในการปรุงอาหาร ผัดอาหาร ทำมาการีน ทำเป็นน้ำสลัด ฯลฯ ได้[4]
  • น้ำต้มเมล็ดถั่วเหลือง นั้นสามารถนำมาใช้สระผมได้ (ปะหล่อง)[8]
  • กากที่เหลือจากการสกัดทำเป็นน้ำมันสามารถนำมาใช้ทำเป็นปุ๋ย[4] หรือใช้ทำเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ หรือใช้รับประทานแทนเนื้อสัตว์[8] และกากเกลือจากการทำน้ำนมถั่วเหลืองก็ยังสามารถนำไปทำอาหารได้อีกด้วย เช่น กรอบเค็ม หรือใช้เลี้ยงสัตว์ ทำปุ๋ยหมักก็ได้[10]
  • ต้นที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์จำพวกเคี้ยวเอื้อง อย่างเช่น วัว ควาย แพะ แกะ ได้เป็นอย่างดี หรือจะนำมาใช้ทำเป็นปุ๋ยหมักก็ได้[10]
  • ช่วยบำรุงดิน เมื่อไถกลบถั่วเหลืองลงไปในดินก่อนที่ถั่วเหลืองจะแก่นั้น ก็จะเป็นปุ๋ยพืชสดที่ช่วยบำรุงดินได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์และมีคุณสมบัติที่ดี ส่วนรากของถั่วเหลืองนั้นที่มีปมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของแบคทีเรียไรโซเบียม ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้จะช่วยดูดตรึงไนโตรเจนให้มาอยู่ในรูปของพืช สามารถใช้เป็นปุ๋ยได้ เมื่อเก็บถั่วแล้ว รากและปมก็จะขาดตกค้างอยู่ในดิน แล้วกลายเป็นปุ๋ยของพืชต่อไปได้อีกในอนาคต[4]
  • นำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมอาหาร ยกตัวอย่างเช่น เนื้อเทียม โปรตีนเกษตร หรือโปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง โปรตีนถั่วเหลือง โปรตีนถั่วเหลืองเข้มข้น แป้งถั่วเหลือง น้ำมันถั่วเหลือง เต้าหู้ เต้าหู้ยี้ เต้าเจี้ยว เต้าเจี้ยวญี่ปุ่น ซอสถั่วเหลือง ซีอิ๊ว ถั่วเน่า นัตโตะ เทมเป้ อาหารเสริมเลซิติน ฯลฯ หรือจะใช้ในอุตสาหกรรมสัตว์ สบู่ เครื่องสำอาง ผ้า กระดาษ เส้นใย ฉนวนไฟฟ้า หมึกพิมพ์ ใช้ผลิตกาว สี เบียร์ วิตามินและยาต่าง ๆ ทำปุ๋ย หรือใช้เป็นส่วนผสมของยาฆ่าแมลง ฯลฯ โดยอาจจะเป็นทั้งส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์หรือเป็นตัวช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณสมบัติที่ดีขึ้นนั่นเอง[2],[4]

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการ100 กรัม พลังงาน 446 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 30.16 กรัม
น้ำ 8.54 กรัม
น้ำตาล 7.33 กรัม
เส้นใย 9.3 กรัม
ไขมัน 19.94 กรัม
ไขมันอิ่มตัว 2.884 กรัม
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 4.404 กรัม
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 11.255 กรัม
โปรตีน 36.49 กรัม
ทริปโตเฟน 0.591 กรัม
ทรีโอนีน 1.766 กรัม
ไอโซลิวซีน 1.971 กรัม
ลิวซีน 3.309 กรัม
ไลซีน 2.706 กรัม
เมทไธโอนีน 0.547 กรัม
ซิสทีน 0.655 กรัม
โรซีนอะลานีน 2.122 กรัม
ฟีนิลไท 1.539 กรัม
วาลีน 2.029 กรัม
อาร์จินีน 3.153 กรัม
ฮิสตามีน 1.097 กรัม
อะลานีน 1.915 กรัม
กรดแอสพาร์ติก 5.112 กรัม
กลูตามิก 7.874 กรัม
ไกลซีน 1.880 กรัม
โพรลีน 2.379 กรัม
ซีรีน 2.357 กรัม
วิตามินเอ 1 ไมโครกรัม 0%
วิตามินบี 1 0.874 มิลลิกรัม 76%
วิตามินบี 2 0.87 มิลลิกรัม 73%
วิตามินบี 3 1.623 มิลลิกรัม 11%
วิตามินบี 5  0.793 มิลลิกรัม 16%
วิตามินบี 6 0.377 มิลลิกรัม 29%
วิตามินบี 9 375 ไมโครกรัม 94%
โคลีน 115.9 มิลลิกรัม 24%
วิตามินซี 6.0 มิลลิกรัม 7%
วิตามินอี 0.85 มิลลิกรัม 6%
วิตามินเค 47 ไมโครกรัม 45%
ธาตุแคลเซียม 277 มิลลิกรัม 28%
ธาตุเหล็ก 15.7 มิลลิกรัม 121%
ธาตุแมกนีเซียม 280 มิลลิกรัม 79%
ธาตุแมงกานีส 2.517 มิลลิกรัม 120%
ธาตุฟอสฟอรัส  704 มิลลิกรัม 101%
ธาตุโพแทสเซียม 1,797 มิลลิกรัม 38%
ธาตุโซเดียม  2 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 4.89 มิลลิกรัม 51%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

ข้อควรระวังในการรับประทาน

1. สำหรับบางรายนั้นอาจมีอาการแพ้ถั่วเหลืองได้ (แต่พบได้น้อยมาก) โดยจะเกิดผื่นคันหลังจากการรับประทาน[9]
2. การบริโภคโปรตีนจากถั่วเหลืองนั้น อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงเล็กน้อยได้ แต่จะไม่รุนแรงมาก โดยมากแล้วนั้นจะเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร เช่น มีอาการท้องอืด แน่นท้อง ท้องผูก เป็นต้น แต่มักจะเกิดในเด็กที่มีประวัติเป็นโรคหอบหืด หรือผู้ที่มีอาการแพ้ผลิตภัณฑ์จากถั่ว[12]
3. เด็กทารกที่ดื่มน้ำนมถั่วเหลืองเพียงอย่างเดียว มีโอกาสที่ต่อมไทรอยด์จะทำงานต่ำกว่าปกติได้ (แต่ในปัจจุบันนมถั่วเหลืองสำหรับทารกมักจะมีการเติมไอโอดีนเพื่อป้องกันภาวะดังกล่าว)[12]
4. สำหรับในเด็กผู้ชาย การบริโภคถั่วเหลืองในปริมาณสูงเป็นประจำ อาจทำให้มีเต้านมที่โตผิดปกติ จากสารไฟโตเอสโตรเจน[9] และอาจส่งผลต่อปริมาณของอสุจิในเพศชายได้[9] โดยพบว่าอาหารที่มีถั่วเหลืองเป็นส่วนผสมนั้นอาจทำให้จำนวนอสุจิลดลงถึงครึ่งหนึ่ง ซึ่งหากบริโภคเพียง 1 ครั้ง ในทุก ๆ 2 วัน จะทำให้อสุจิที่ปกติจะมีอยู่ 80-120 ล้านตัวต่อมิลลิลิตร จะเหลือค่าเฉลี่ยไม่ถึง 41 ล้านตัว (ดร.จอร์จ ชาวาร์โร แห่งวิทยาลัยสาธารณสุขฮาร์วาร์ด) แต่การศึกษาดังกล่าวยังมีเสียงคัดค้านจากผู้เชี่ยวชาญบางราย เพราะในบางรายที่บริโภคถั่วเหลืองในปริมาณมากกว่า ไม่พบว่ามีผลกระทบต่อการเจริญพันธุ์แต่อย่างใด[14] แต่มีอีกข้อมูลที่ระบุว่า เพศชายสามารถดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำทุกวันได้ โดยไม่ต้องกังวลว่า สารเจนิสติน (Genistein) ที่มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิงจะทำให้เกิดการผิดปกติในร่างกาย[11]
5. มีข้อมูลระบุว่า อาจทำให้เกิดภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในเพศชายได้ เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิงจะไปกดการทำงานของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนของเพศชาย[16]
6. การรับประทานโปรตีนจากถั่วเหลืองชนิดผงวันละ 30 cc. อาจจะทำให้เกิดความผิดปกติที่เต้านมจากฤทธิ์ของไฟโตเอสโตรเจนได้ (Petrakis, N.L.,1996)[16]
7. จากการศึกษาการทำงานของต่อมไทรอยด์ในผู้ที่รับประทานถั่วเหลืองผลพบว่า ต่อมไทรอยด์ถูกกดการทำงาน และทำให้เกิดคอพอกในหลายงานวิจัย (Ishizuki,Y.,et al.,1991 : Divi,R.I. and D.R. Doerge,1997)[16]
8. ไฟโตเอสโตรเจนในถั่วเหลืองเป็นตัวขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ และมีแนวโน้มที่จะทำให้เป็นหมัน อีกทั้งยังส่งเสริมให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมในเพศหญิงอีกด้วย[16]
9. โปรตีนถั่วเหลืองอาจทำให้มีการสร้างน้ำนมที่ผิดปกติได้ ทำให้เนื้อเยื่อเต้านมหนาตัวมากยิ่งขึ้น ทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเลือดเพิ่มมากขึ้น ในเพศหญิงก่อนวัยทองและในวัยทองนั่นเอง[16]
10. โปรตีนในถั่วเหลืองนั้นมี Phytic acid ที่สูงมาก ซึ่งถือเป็นตัวยับยั้งการดูดซึมเกลือแร่ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม และสังกะสี (Fallon,S.W. and Mary G.Enig 1995)[16]
11. ถั่วเหลืองมีสาร Hemagglutinin ที่เป็นตัวทำให้เม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาวจับตัวกันเป็นก้อน ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดเสียไปได้ (Fallon,S.W. and Mary G. Enig 1995)[16]
12. ในกระบวนการผลิตโปรตีนจากถั่วเหลืองนั้น อาจทำให้เกิดสารก่อมะเร็งที่มีชื่อว่า ไนโตรซามีน (Nitrosamines) และสารพิษที่เรียกว่า ไลซิโนอะลานีน (Lysinoalanine)[16]
13. ในสัตว์ตั้งท้องนั้น หากเลี้ยงด้วยโปรตีนจากถั่วเหลือง อาจทำให้ลูกของสัตว์ที่เกิดมามีอวัยวะเพศที่ผิดปกติไปได้ และอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการเอสโตรเจน (Estrogen Syndrome) ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้เป็นโรคต่อมไทรอยด์ โรคถุงน้ำดี โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคกระดูกผุ หรือเป็นหมันได้[16]
14. การรับประทานถั่วเหลืองเป็นประจำอาจทำให้เกิดภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ (Hypothyroidism) โดยอาการที่พบได้บ่อยนั่นก็คือ เจ็บส้นเท้า มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง กินนิดเดียวก็อ้วน และอาจทำให้มะเร็งดื้อต่อการรักษาแบบธรรมชาติบำบัดได้อีกด้วย[16]
15. มีบางการศึกษาที่ระบุไว้ว่า การรับประทานถั่วเหลืองในปริมาณสูงเป็นประจำ อาจเกิดปัจจัยเสี่ยงทำให้สมองฝ่อได้ แต่ยังไม่มีการศึกษาที่ยืนยันอย่างชัดเจน[9] และมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารดีเมนเทียส์ แอนด์ เกเรียทริก ค็อกนิทีฟ ดิสออร์เดอร์ส ได้ระบุว่า การได้รับสารไฟโตเอสโตรเจนในปริมาณมากอาจทำให้จิตเสื่อมได้ (งานวิจัยของมหาวิทยาลัยลัฟโบโรห์ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และนักวิจัยจากอินโดนีเซีย) โดยการรับประทานเต้าหู้มากกว่าวันละหนึ่งมื้อ อาจจะทำให้การทำงานของสมองเสื่อมลงถึง 20% แต่การรับประทานเทมเป้หมักกลับช่วยเพิ่มความจำ เพราะอาหารชนิดนี้อุดมไปด้วยโฟเลตและยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคจิตเสื่อมได้[14]
16. การรับประทานถั่วเหลืองหรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองนั้น ไม่ควรบริโภคในปริมาณที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก หรือในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมนชนิดต่าง ๆ ควรจะระมัดระวังในการบริโภค เพราะโรคมะเร็งดังกล่าวมีปัจจัยเสี่ยงมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจน[9]
17. สำหรับวิธีการเพิ่มการบริโภคถั่วเหลืองในชีวิตประจำวันนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี เช่น การดื่มนมถั่วเหลือง ใช้เนื้อเทียมหรือโปรตีนเกษตร ใช้น้ำนมถั่วเหลืองในการทำเค้ก ใช้แป้งถั่วเหลืองแทนแป้งสาลี ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากถั่วเหลืองต่าง ๆ หรือใช้ถั่วเหลืองฝักอ่อนและถั่วงอกหัวโตเป็นส่วนประกอบในอาหาร หรือจะใช้ถั่วงอกในการทำอาหารเมนูต่าง ๆ เช่น ผัดกับผัก ทำเป็นแกงจืด เป็นต้น[14]
18. เมล็ดถั่วเหลืองที่แก่แล้วมีสารยับยั้งเอนไซม์บางชนิดที่ช่วยย่อยโปรตีนได้ จึงต้องทำให้สุกเสียก่อนจึงจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่[10] และสำหรับผู้ที่เกิดอาการอาเจียนหรือมีอาการท้องร่วงหลังจากการดื่มน้ำเต้าหู้นั้น มีสาเหตุมาจากการดื่มน้ำเต้าหู้ที่ไม่เดือดเต็มที่ ทำให้ไม่สามารถทำลายสารซาโพนีนได้[14]
19. แม้ว่านมถั่วเหลืองจะสามารถใช้ทดแทนนมวัวได้ แต่สำหรับในเด็กที่ไม่ได้แพ้นมวัวก็ไม่ควรจะดื่มนมถั่วเหลืองแทนนมวัว เนื่องจากอยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโต เพราะเนื่องจากนมวัวมีแคลเซียมมากกว่านมถั่วเหลือง ให้พลังงานที่มากกว่า มีโปรตีนที่สมบูรณ์กว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังสามารถดื่มร่วมกันกับนมวัวได้[11]
20. การเลือกซื้อนมถั่วเหลืองนั้น ควรจะดูรายละเอียดที่ข้างกล่องด้วย ซึ่งนมถั่วเหลืองที่ดีต่อสุขภาพนั้นนอกจากจะมีโปรตีนที่สูงแล้ว ยังต้องมีแคลเซียมที่สูงอีกด้วย[14]
21. น้ำมันถั่วเหลือง ไม่ควรนำมาใช้ในการทอดอาหาร เพราะเป็นน้ำมันที่ไม่คงตัวและเสื่อมสภาพได้เร็ว[14] แต่กระนั้นน้ำมันถั่วเหลืองมักจะนิยมนำมาใช้ผัดมากกว่า
22. การเก็บถั่วเหลืองไว้นานเกินไปนั้น หรือการเก็บรักษาที่ไม่ดี เต้าหู้หรือเต้าเจี้ยวอาจมีการปนเปื้อนของสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ได้ ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งตับ[9]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1.สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) องค์การมหาชน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.arda.or.th. [27 ต.ค. 2013].
2.คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. กรีนไฮเปอร์มาร์ท สารานุกรมผลิตผลและผลิตภัณฑ์จากพืชในซุปเปอร์มาร์เก็ต ฉบับคอมพิวเตอร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.sc.mahidol.ac.th. [27 ต.ค. 2013].
3.ภาควิชาพืชไร่นา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน. “ถั่วเหลือง (Soybean)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : gri.kps.ku.ac.th. [27 ต.ค. 2013].
4.คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.natres.psu.ac.th. [27 ต.ค. 2013].
5.ศูนย์เครือข่ายข้อมูลอาหารครบวงจร. “Soybean / ถั่วเหลือง”. (ผศ.ดร.พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์, ศาสตราจารย์เกียรติคุณดร.นิธิยา รัตนาปนนท์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.foodnetworksolution.com. [23 ต.ค. 2013].
6.สำนักมาตรฐานการทะเบียนที่ดิน. “มหัศจรรย์พลังของถั่ว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dol.go.th. [27 ต.ค. 2013].
7.ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้. (เต็ม สมิตินันทน์).
8.โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [27 ต.ค. 2013].
9.สมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย. (ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : portal.in.th/thastro.org. [26 ต.ค. 2013].
10.มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 222 คอลัมน์ : ต้นไม้ใบหญ้า. “ถั่วเหลือง พืชพื้นบ้านที่เป็นอนาคตของมนุษยชาติ”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [27 ต.ค. 2013].
11.มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 370 คอลัมน์ : เรื่องน่ารู้. “นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม”. (อรพินท์ บรรจง). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [27 ต.ค. 2013].
12.มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 314 คอลัมน์ : เรื่องเด่นจากปก. “ผู้หญิงวัยทองกับประโยชน์ของถั่วเหลือง”. (ผศ.ดร.ศรีวัฒนา ทรงจิตสมบูรณ์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [27 ต.ค. 2013].
13.มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 30 คอลัมน์ : กินถูก…ถูก. “นมถั่วเหลือง นมเพื่อชนทุกชั้น”. (ศ.นพ.ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [27 ต.ค. 2013].
14.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaihealth.or.th. [27 ต.ค. 2013].
15.GotoKnow. “นมถั่วเหลือง…ดีจริง ๆ”. (ฉันทลักษณ์ อาจหาญ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.gotoknow.org. [27 ต.ค. 2013].
16.ainews1. “ประโยชน์และโทษของถั่วเหลือง”. อ้างอิงใน : นายแพทย์เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์, Dr.Lita Lee, และ The Weston A. Price Foundation for Wise Traditions in Food, Farming, and the Healing Arts. “Soy Alert!”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.westonaprice.org., ainews1.com. [27 ต.ค. 2013].
17.Mthai. “ไขปริศนาประโยชน์ของนมถั่วเหลือง”. (แพทย์หญิงธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : talk.mthai.com. [27 ต.ค. 2013].

อ้างอิงรูปจาก
1.https://agriculture.basf.us/crop-protection/crops/soybeans.html
2.https://rurallivingtoday.com/gardens/soybean-plant/