หูกวาง
ผลเป็นรูปทรงรี ผลสีเขียวแข็ง ด้านข้างเป็นเส้นบางๆ นูนรอบผล ผลแก่สีเหลืองกลิ่นหอม ผลแห้งสีน้ำตาล

หูกวาง

หูกวาง (indian-almond) เป็นพันธุ์ไม้ในป่าชายหาดที่สามารถพบการขึ้นอยู่กระจายตามชายฝั่งทะเล จะปลูกทั่วตั้งแต่ประเทศอินเดียจนถึงตอนเหนือของทวีปออสเตรเลียทางตอนเหนือ เป็นพืชทิ้งใบ โดยทั่วไปแล้วก็จะทิ้งใบอยู่ 2 ครั้ง ในรอบ 1 ปี หรือในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ และอีกช่วงนึงในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม ซึ่งก่อนจะทิ้งใบ ใบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีส้มแดงก่อน ในปัจจุบันได้มีการปลูกทั่วไปตามพื้นที่เขตร้อนอย่างทวีปเอเชีย ส่วนในประเทศไทยนั้นมักพบขึ้นตามชายฝั่งทะเลทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ (ตราดและชลบุรี) ภาคตะวันตกเฉียงใต้ (ประจวบคีรีขันธ์และกาญจนบุรี) และภาคใต้ (นราธิวาส ตรัง และสุราษฎร์ธานี) [1],[2] ชื่อสามัญ คือ Bengal almond, Indian almond, Olive-bark tree, Sea almond, Singapore almond, Tropical Almond, Umbrella Tree[1],[2] ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Terminalia catappa L. จัดอยู่ในวงศ์สมอ (COMBRETACEAE)[1],[2] ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ตาปัง (พิษณุโลก, สตูล), โคน (นราธิวาส), หลุมปัง (สุราษฎร์ธานี), คัดมือ ตัดมือ (ตรัง), ตาแปห์ (มลายู-นราธิวาส) เป็นต้น[1] (เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดตราด)

ลักษณะของต้นหูกวาง

  • ต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง ที่มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 10-15 เมตร และบางครั้งอาจจะสูงได้ถึง 30-35 เมตร (แต่จะไม่ค่อยพบต้นที่ใหญ่มากในประเทศไทย) มีเรือนยอดขึ้นหนาแน่น มีการแตกกิ่งก้านแผ่ออกไปในแนวราบเป็นชั้นๆ คล้ายฉัตร ลำต้นสูงตรง ต้นที่มีอายุมากและมีขนาดใหญ่จะมีความเป็นพูพอนอยู่ที่โคนต้น เปลือกลำต้นนั้นเป็นสีน้ำตาลปนเทา เปลือกเกือบเรียบ จะแตกเป็นร่องแบบตื้นๆ ตามแนวนอนและแนวตั้ง และลอกออกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ทั่วไป กิ่งอ่อนนั้นก็จะมีขนสีน้ำตาล ส่วนเนื้อไม้จะเป็นสีแดง มีเสี้ยนไม้ละเอียดที่สามารถขัดชักเงาได้ดี สามารถขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด บางครั้งน้ำหรือค้างคาวก็ช่วยในการกระจายพันธุ์ได้เช่นกัน และจะเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีการระบายน้ำอย่างดินร่วนพอควรหรือปนทราย
  • ใบ จะเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนสลับกันอยู่เป็นกระจุกขึ้นอย่างหนาแน่นอยู่ที่บริเวณปลายกิ่ง ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่กลับ ปลายใบแหลมก็จะเป็นติ่งสั้นๆ ปลายใบนั้นจะกว้างกว่าโคนใบ โคนใบมนเว้าหรือสอบแคบเป็นรูปลิ่ม และมีต่อมเล็กๆ อยู่หนึ่งคู่ที่โคนใบบริเวณท้องใบ ส่วนขอบใบจะเรียบเป็นคลื่นหยักเล็กน้อย ใบมีความกว้างประมาณ 8-15 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 12-25 เซนติเมตร ก้านใบมีความยาวประมาณ 0.5-1.5 เซนติเมตร มีขน หลังใบและท้องใบมีขน เนื้อใบค่อนข้างหนา ใบอ่อนเป็นสีเขียวอ่อน แต่พอแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นเขียวเข้ม แล้วก็จะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงเมื่อใกล้ร่วงหรือผลัดใบ มักจะผลัดใบในช่วงฤดูหนาวในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน[1],[2]
  • ดอก ออกเป็นช่อยาวแบบติดดอกสลับกัน โดยจะขึ้นอยู่ตามซอกใบ ลักษณะเป็นแท่งที่มีความยาวประมาณ 8-12 เซนติเมตร ดอกย่อยนั้นจะเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ดอกมีขนาดที่เล็กและจะไม่มีกลิ่นหอม (บางข้อมูลระบุว่าจะมีกลิ่นฉุนด้วยเล็กน้อย) ดอกเป็นแบบแยกเพศแต่อยู่ในช่อเดียวกัน ดอกเพศผู้จะอยู่ตรงปลายช่อ ส่วนดอกเพศเมียนั้นก็จะอยู่บริเวณโคนช่อ (แต่อีกข้อมูลระบุว่าดอกแบบสมบูรณ์จะอยู่โคนช่อ) ไม่มีกลีบดอก มีแต่กลีบเลี้ยงดอกอยู่ 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นแฉกรูปสามเหลี่ยม 5 แฉก มีขนอยู่ด้านนอก ดอกเกสรเพศผู้จะมี 10 ชั้น ดอกพอบานได้เต็มที่แล้วก็จะมีความกว้างประมาณ 0.4-0.6 เซนติเมตร โดยดอกจะออกดอกสองครั้งในรอบ 1 ปี คือ ในช่วงฤดูหนาวหลังจากแตกใบใหม่ (เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม) และอีกครั้งในช่วงฤดูฝน (เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม)[1],[2]
  • ผล เป็นผลเดี่ยว ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงรีค่อนข้างแบนเล็กน้อย ผลแข็ง มีความกว้างประมาณ 2-5 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 3-7 เซนติเมตร ผลด้านข้างนั้นเป็นแผ่นหรือเป็นเส้นบางๆ นูนอยู่รอบผล ผลอ่อนเป็นสีเขียว แต่เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีเหลืองอมเขียว และก็จะมีกลิ่นหอม ผิวผลค่อนข้างเรียบ ผลเมื่อแห้งนั้นจะเป็นสีดำคล้ำ เปลือกผลมีเส้นใย และในแต่ละผลก็จะมีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดมีขนาดใหญ่ เหนียว และเปลือกในแข็ง ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไข่หรือรูปรี แบนป้อมเล็กน้อยคล้ายกับผล เมื่อเมล็ดแห้งก็จะเป็นสีน้ำตาล ภายในมีเนื้อมาก โดยผลจะแก่ในช่วงในช่วงแรกประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน และอีกช่วงหนึ่งประมาณพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน[1],[2],[3]

สรรพคุณของหูกวาง

1. ทั้งต้น ใช้แก้โรคคุดทะราด [1],[2]
2. ทั้งต้น ช่วยขับน้ำนมของสตรี [1],[2]
3. ทั้งต้น มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ [1],[2]
4. ทั้งต้น มีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้บิด [1],[2]
5. ทั้งต้น มีสรรพคุณเป็นยาระบาย  [1],[2]
6. ใบ มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ  [1],[2]
7. ใบ มีสรรพคุณเป็นยาขับเหงื่อ [1],[2]
8. ใบ ที่มีสีแดงจะมีสรรพคุณเป็นยาถ่ายพยาธิ [1],[2]
9. ใบ ใช้เป็นยารักษาโรคทางเดินอาหารและตับ [1],[2]
10. ใบ ช่วยแก้ต่อมทอนซิลอักเสบ [1],[2]
11. ผล มีสรรพคุณเป็นยาถ่าย [1],[2]
12. เมล็ด ใช้รับประทานเป็นยาแก้ขัดเบา แก้นิ่วได้  [6]
13. ราก มีสรรพคุณช่วยทำให้ประจำเดือนของสตรีมาตามปกติ  [2]
14. เปลือก ใช้เป็นยาแก้ตกขาวของสตรี  [1],[2]
15. เปลือก มีรสฝาด สรรพคุณเป็นยาขับลม แก้ท้องเสีย [1],[2]
16. เปลือก ช่วยรักษาโรคโกนีเรีย (โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์) [1],[2]
18. เปลือกและทั้งต้น มีสรรพคุณเป็นยาสมาน [1],[2]
19. ใบใช้ผสมกับน้ำมันจากเนื้อในเมล็ด เป็นยารักษาโรคเรื้อน [1],[2]
20. ใบใช้ผสมกับน้ำมันจากเนื้อในเมล็ด นำมาทาหน้าอกจะช่วยแก้อาการเจ็บหน้าอก หรือใช้ทาไขข้อและส่วนของร่างกายที่หมดความรู้สึก [1],[2]
21. ใบมีสรรพคุณช่วยรักษาอาการผื่นคันตามผิวหนังและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และยังพบฤทธิ์ทางเภสัชว่า ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ แก้อาการปวด ลดอุณหภูมิภายในร่างกายหรือลดไข้ ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว และทำให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัว ควรนำมาใช้เป็นยาเฉพาะในผู้ที่มีอาการไม่รุนแรง หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์ (ข้อมูลจาก : เว็บไซต์โรงเรียนอุทัยวิทยาคม) ข้อมูลส่วนนี้ยังขาดแหล่งอ้างอิงนะครับ ผู้เขียนเองก็ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ประโยชน์ของหูกวาง

1. เมล็ดสามารถนำมารับประทานได้ และยังมีโปรตีนที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายของเราอีกด้วย[2]
2. เมล็ดสามารถนำเอาไปทำเป็นน้ำมันเพื่อนำไปใช้บริโภค (คล้ายน้ำมันอัลมอนด์) หรือทำเครื่องสำอางได้[2]
3. เนื้อไม้สามารถนำมาใช้ในการก่อสร้าง ทำบ้านเรือน หรือเครื่องเรือนได้ดี เพราะเป็นไม้ที่ไม่มีมอดและแมลงมารบกวน หรือนำมาใช้ทำฟืนและถ่านก็ได้[2]
4. เปลือกและผลมีสารฝาดมาก สามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมย้อมสีผ้า ฟอกหนังสัตว์ และทำหมึกได้ ในอดีตมีการนำเอาเปลือกผลซึ่งมีสารแทนนินมาใช้ในการย้อมหวาย และได้มีการทดลองใช้ใบเพื่อย้อมสีเส้นไหม พบว่าสีที่ได้คือสีเหลือง สีเขียวขี้ม้า หรือสีน้ำตาลเขียว[2],[4]
6. ใบแก่นำมาแช่น้ำใช้รักษาบาดแผลของปลาสวยงาม อย่างเช่น ปลากัด ปลาหางนกยูงได้ อีกทั้งยังช่วยบำรุงสุขภาพปลาและสีสันของปลา ช่วยทำให้ตับของปลานั้นดีขึ้น จึงส่งผลให้ปลาแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้ปลาเป็นโรค (แต่ควรระมัดระวังเรื่องของยาฆ่าแมลงที่อาจพบได้ในใบ) (รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา ชันซื่อ)
7. เป็นพรรณไม้ที่นิยมปลูกกันมาก เพื่อเป็นไม้ประดับตามข้างทางหรือตามสถานที่ต่างๆ เช่น สวนสาธารณะ สถานที่ราชการ ริมถนน สวนป่า หรือปลูกในที่โล่งต่างๆ เป็นต้น[2],[3],[6]
8. เป็นต้นไม้ที่ปลูกเลี้ยงง่าย โตเร็ว ทนแล้ง ทนน้ำขังแฉะ แต่โดยมากจะนิยมปลูกเป็นไม้เพื่อให้ร่มเงามากกว่าเป็นไม้ประดับ เพราะมีกิ่งเป็นชั้นๆ เรือนยอดหนาแน่น และหากต้องการให้แผ่ร่มเงาออกไปกว้างขวาง ก็ต้องตัดยอดออกเมื่อได้เรือนยอดหรือกิ่งประมาณ 3-4 ชั้น ซึ่งจะทำให้เรือนยอดแตกกิ่งใบออกทางด้านข้าง (ไม่ควรนำมาปลูกใกล้บริเวณตัวอาคารบ้านเรือน เนื่องจากเป็นไม้โตเร็ว รากจะดันตัวอาคารทำให้อาคารบ้านเรือนแตกร้าวเสียหายได้[2],[3],[6])

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของเมล็ด 100 กรัม ให้พลังงาน 594 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารที่ได้รับ
น้ำ 4%
โปรตีน 20.8 กรัม
ไขมัน 54 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 19.2 กรัม
ใยอาหาร 2.3 กรัม
วิตามินบี1 0.32 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.08 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.6 มิลลิกรัม
แคลเซียม 32 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 789 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 9.2 มิลลิกรัม

ข้อควรระวัง : สำหรับผู้ที่เป็นภูมิควรระวัง เพราะอาจจะแพ้ละอองเกสรได้ [3]

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “หูกวาง (Hu Kwang)”. หน้า 335.
2. สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ฯ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “หูกวาง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/pattani_botany/. [18 ก.ค. 2014].
3. ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “หูกวาง” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [18 ก.ค. 2014].
4. พันธุ์ไม้ย้อมสีธรรมชาติ กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. “หูกวาง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: qsds.go.th. [18 ก.ค. 2014].
5. ผักพื้นบ้าน ในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. “หูกวาง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: area-based.lpru.ac.th/veg/. [18 ก.ค. 2014].
6. โรงเรียนนวมินทราชูทิศ มัชฌิม จังหวัดนครสวรรค์. “ต้นหูกวาง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.chaiwbi.com. [18 ก.ค. 2014].

ที่มารูป
www.chan1.net